[S.Fic KHR6927+18] It's You...คือคุณ... (Yaoi)
คุณเป็นมาเฟียที่ผมเกลียด แต่ผมต้องการคุณ
ผู้เข้าชมรวม
1,733
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
Title : It's You คือคุณ
Author : O.H.R~HuSTsU
Category : Angst
Rate : PG-13
Fandom : Katekyo Hitman Reborn!
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คุณที่อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง คุณที่เป็นนภาโอบล้อมทุกคน คุณที่เป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด
แต่ผมต้องการคุณ
...ผมไม่ต้องการความรักอื่นใดอีก แค่เพียงคุณ...
ผืนหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาถูกบดบังด้วยสายหมอก จากบางเบา กลายเป็นหนาหนัก กดดันจนหวั่นกลัว สึนะโยชิหันรีหันขวางมองทิวทัศน์ไม่คุ้นเคย
“รีบอร์น”
เรียกหาอาจารย์สอนพิเศษอัตโนมัติเมื่อเจอเรื่องไม่ชอบมาพากล แต่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมานอกจากละอองไอลอยพัดผ่าน
....หมอก....
มีแต่หมอกกับหมอก หมอกสีขาว บดบังจนมืดมิด
....น่ากลัว....
“รี บอร์นนายอยู่ไหนน่ะ? ที่นี่ที่ไหน” เสียงที่สะท้อนในสายหมอก ชวนให้วังเวงยิ่งกว่าเดิม ร่างเล็กกอดอกพลางลูบต้นแขนไปมาบรรเทาความหนาว แล้วก็พบว่าตนยังอยู่ในชุดนอน
จริงสิ จำได้ว่าตนเพิ่งจะเข้านอน แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่ที่นี่ หรือว่า....
“นี่คือความฝันครับ”
“โรคุโด มุคุโร!!” หันไปทางเสียงทุ้มก็พบเจอกับชายหนุ่มผมสีน้ำเงินมัดสูงเป็นช่อ ดวงเนตรสีโกเมนและแซฟไฟร์สองข้างตัดกัน แปลกตา ทว่าคุ้นเคย
ผู้พิทักษ์สายหมอกแห่งวองโกเล่
....ทำไม หัวช้าอย่างนี้นะเรา น่าจะคิดได้ตั้งแต่เห็นทุ่งหญ้ากว้าง นอนอยู่บนเตียงอยู่ดีๆแล้วมาโผล่อยู่กลางทุ่ง เป็นไปได้ก็เฉพาะฝันนั่นแหละ....
แล้วหมอกนี่....
“ฝีมือนายสินะ นายมาเข้าฝันฉันทำไม?”
“คึ หึหึหึ...” สิ้นเสียงหัวเราะอันเป็กเอกลักษณ์ รู้สึกตัวอีกทีร่างสูงก็มาโผล่อยู่ด้านหลังภายในพริบตา สึนะสะดุ้งเฮือก หมายจะหันกลับไปเผชิญหน้าตามสัญชาตญาณแต่ด้วยความที่อยู่ชิดกันเกิน ร่างเล็กจึงปะทะอกกว้างเต็มแรงแล้วก็เซล้มก้นจ้ำเบ้า ส่งผลให้มุคุโร่หัวเราะอย่างไม่ปิดกั้น
“ฮ่า ๆ ๆ คุณนี่นอกจากหลงตัวเองแล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะครับ ไม่เหมือนวองโกเล่ที่สู้กับผมหนนั้นเลย”
“นั่นมัน...”
“อ่อ ผมลืมไป นั่นมันคุณในโหมดไฮเปอร์ นี่สินะ ตัวตนจริง ๆ ของคุณ”
“ถ้าใช่แล้วทำไม? นายไม่รู้หรือไงว่าฉันมีฉายา ‘เจ้าห่วยสึนะ’น่ะ” ใบหน้าขาวซับสีเลือดจาง ๆ แม้จะยอมรับฉายานี้มาตั้งแต่จำความได้ เพราะรับรู้ถึงความห่วยของตนมาตลอด แต่ต้องมาพูดประจาณตัวเองให้คน ๆ นี้รู้ มันอดรู้สึกอายไม่ได้
“เห? งั้นหรอครับ ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย” ผู้นำของมาเฟียที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ มีฉายาว่า ‘เจ้าห่วย’ มาเฟียที่เขาคิดแย่งชิงร่าง...
“แล้วเรื่องหลงตัวเองนายเอาที่ไหนมาพูด ฉันไม่เคยหลงตัวเองเสียหน่อย”
“คึ หึหึ” สึนะเหล่มองมุคุโร ทำไมต้องหัวเราะก่อนตอบ? ใช่ว่ามีสิ่งใดตลก ใช่ว่ารอยยิ้มนั้นมาจากใจ เมื่อกี้ที่ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเขายังดูจริงใจมากกว่า ....นี่คงเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดี เป็นตัวตลกให้ใครต่อใครหัวเราะ...
ไม่ใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควรเจ็บปวด
...แต่เป็นสาเหตุให้มีรอยยิ้ม เป็นสาเหตุให้มีเสียงหัวเราะ....จากใจ
นั่นก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือ สำหรับเจ้าห่วยสึนะ
“เหม่ออะไรน่ะครับ ถามคำถามคนอื่นแล้วไม่สนใจฟังคำตอบ เสียมารยาทนะครับ”
“อ๊ะ ขอโทษที แหะ ๆ” มุคุโรมองร่างเล็กที่ขอโทษพลางเกาแก้มแก้เขิน เป็นนภาบอสใหญ่แห่งวองโกเลแต่ยอมโดนตำหนิ ยอมก้มหัวขอโทษผู้พิทักษ์ใต้อำนาจของตนโดยง่าย
...คิดผิดหรือคิดถูกเนี่ย ที่คิดจะยึดร่างคน ๆ นี้...
“ที่คุณพูดว่าผมไปเข้าฝันคุณ ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
“ก็...ฉันนอนอยู่ดี ๆ แล้วโผล่มา- - -”
“ที่ความฝันผมครับ....”
“ความฝันนาย?”
“ดูหมอกเอาก็รู้ครับ ผมเป็นผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก ลืมไปแล้วหรอครับ?”
“จะแขวะว่าฉันความจำสั้นล่ะสิ”
“หึ หึ...” หัวเราะไม่ตอบคำ แสดงว่าใช่ สึนะถอนหายใจปลง ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะมีนิสัยกระแนะกระแหนเป็นสาวๆ อยากจะพูดแขวะอย่างนี้กลับไปบ้าง แต่ก็กลัว ...คำขู่จะยึดร่าง ยังก้องสะท้อนอยู่ในหัว...
“ถ้านี่เป็นความฝันนาย แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในฝันนายได้ล่ะ”
“นั่นผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ”
“เอ๋?”
“การที่จะมาอยู่ในฝันของกันและกันได้ ต้องมีจิตประสานกัน....” นัยต์ตาสองสีจ้องลึกเข้าดวงตาสีอ่อนกลมโต ...ราวกับจะมองทะลุให้ถึงก้นบึง “ก่อนนอน คุณคิดถึงผมหรือเปล่าครับ?”
เท่านั้นสึนะโยชิก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก สองมือกุมสองแก้มร้อนผ่าว ก้มหน้างุดซ่อนความอาย
....จะอายทำไม ไม่เข้าใจตัวเอง!
ก็มุคุโรเล่นพูดในทางนั้น...
‘คิดถึง’ งั้นหรือ...แค่นึกถึงนิดหน่อยเท่านั้นแหละ ก็มุคุโรเพิ่งปรากฏกายต่อหน้าในวันนี้ แล้วยังภาพความทรงจำของมุคุโรที่เขาได้เห็นนั่นอีก
...เป็นกังวล...
...เป็นห่วง...
“....ห่วง....”
“ครับ?”
“ฉันเป็นห่วงนายนะ” ร่างเล็กเงยหน้ามองคนตรงหน้า ให้สายตาเป็นตัวช่วยสื่อคำพูด มุคุโร่หลับตาลง...ไม่อาจสู้สายตา แต่ความอ่อนโยน ความห่วงใยนั่น กลับประทับตรึงอยู่ในใจแน่นเสียแล้ว
“คุณนี่มันไร้เดียงสาจริง ๆ ”
“วันนี้นายพูดคำนี้มาสองรอบแล้วนะ”
“ตราบใดที่คุณไม่เปลี่ยน ผมก็จะไม่เลิกพูด”
“อืม ถึงฟังก็รู้ว่าไม่ใช่คำชม แต่ไร้เดียงสา มันไม่ดีหรอ?”
“สำหรับมาเฟีย มันแสดงให้เห็นว่าคุณอ่อนแอครับ”
“ฉันไม่ได้คิดจะเป็นมาเฟีย....”
“แล้วศึกชิงแหวนนี่ ไม่ได้เพื่อแย่งตำแหน่งบอสของวองโกเล่หรือครับ?”
“นั่นมัน...”
“ยังไงคุณก็หนีไม่พ้น”
“อย่าตอกย้ำกันสิ...” ถึงปากเขาจะปฏิเสธ แต่ลึก ๆ แล้วก็รู้... อย่างที่มุคุโรพูด ...หนีไม่พ้น...
“คึหึหึ ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าแห่งมาเฟีย มันคงไม่มีความหมาย” ....แย่งชิงร่างมาเฟีย...เพื่อทำลายมาเฟีย...มาเฟียที่แสนเกลียดชัง
“นายเกลียดมาเฟียนี่นะ... แต่ก็ยังยอมมาช่วย” ยอมเป็นผู้พิทักษ์แห่งสายหมอก ผู้พิทักษ์แห่งวองโกเล่ ...ผู้พิทักษ์มาเฟีย...
“ผมบอกแล้วไงครับ ที่ยอมก็เพราะมันสะดวกในการหาโอกาสฉกชิงร่างคุณ” แม้จะพูดย้ำคำเดิม แต่เขาก็ยังคิดว่ามันมีเหตุผลมากกว่านั้น
....เหตุผลที่เขาเองก็ไม่รู้...
“ฮื้ออ...” สึนะส่ายหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มให้ร่างสูง “จะว่าอย่างนั้นก็เรื่องของนาย ยังไงก็ ขอบคุณอีกครั้งนะ”
“ผมไม่ได้ทำเพื่อคุณ” มุคุโร่ยิ้มตอบกลับ
+++++++++++++++++++
ความวุ่นวายในวัยเยาว์เทียบอะไรไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ ...ช่วงเวลาอันสดใสค่อย ๆ ร่วงหล่นตามเม็ดทรายในนาฬิกาแก้ว ความรู้สึกตอนเด็กนั้นไม่มีอีกแล้ว
...เพราะเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว...
แมกไม้เขียวขจีแซมด้วยมวลบุปผาหลากสีไม่อาจช่วยเยียวยาจิตใจอย่างที่ควรจะเป็น สวนกว้างที่จัดแต่งอย่างดีซึ่งเขากำลังยืนมองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ยิ่งตอกย้ำ ถึงสถานะตน ....สวนในคฤหาสน์วองโกเล่....
...สุดท้ายเขาก็หนีชะตาไม้พ้น...
“อิริเอะ โชอิจิ...แห่งมิลฟีลโอเล่ สินะครับ” สึนะโยชิละสายตาจากสวนสวยหันกลับมาพิจารณาบุคคลซึ่งพึ่งเดินเข้ามา เด็กรับใช้ผู้นำทางโค้งตัวลาเพื่อไปจัดเตรียมน้ำชาให้แขก โชอิจิพยักหน้าตอบรับไม่พูดคำ
“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์วองโกเล่ ครับ คุณอิริเอะ โชอิจิ” สึนะยิ้มทักทายพร้อมผายมือไปยังโซฟาบุหนังสีดำตรงริมห้อง เป็นมุมรับแขกเล็ก ๆ ในห้องทำงาน “เชิญนั่งก่อนเถอะครับ”
โชอิจิ เดินไปนั่งตามคำเชิญ แม้ภายนอกนิ่งสงบ แต่บอสใหญ่แห่งวองโกเล่กลับเห็นถึงความว้าวุ่น และกังวลอยู่ภายในดวงตาสีมรกตสุกสว่างคู่นั้น
สาเหตุที่ชายหนุ่มต่างแฟมิลี่มายื่นขอพบเป็นการส่วนตัวนี้ ย่อมไม่ธรรดา
ก๊อก ก๊อก
“อ๊ะ คงเป็นเด็กเอาน้ำชามาให้ รอซักครู่นะครับ” สึนะโยชิเดินไปเปิดประตูให้สาวใช้เดินไปเสิร์ฟน้ำชาตรงหน้าแขก เขาลอบสังเกตอิริเอะ โชอิจิไกล ๆ ชายหนุ่มเริ่มออกท่าทางกระสับกระส่ายทว่าไม่เห็นชัดนัก แต่เขาแน่ใจว่าเห็นร่างโปร่งสะดุ้งกับแค่เสียงเคาะประตูเมื่อกี้
....ธุระซึ่งคนสนิทบอสของแฟมิลี่ที่ไม่ใช่พันธมิตรนำมา....จะร้ายแรงเพียงไรกัน...
ทันทีที่เขาเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม โชอิจิก็เอ่ยเปิดประเด็นไม่รอช้า ทุกคำพูดที่ชายหนุ่มตรงหน้าพรั่งพรูออกมาทำเขาไม่อาจนั่งนิ่งได้อีก
“ซาวาดะ สึนะโยชิคุง....”
“ตกลงครับ”
...ผมตอบโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง...
หากเป็นแต่ก่อนเขาคงรู้สึกกดดันจนต้องรีบวิ่งหนีคนๆนี้ ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ ร่างสูงเรือนผมสีดำขลับซอยสั้นไล่ระดับลงมา ดูแล้วคล้ายคลึงกับนกสีเหลืองป้อมซึ่งเกาะอยู่คนไหล่ชายหนุ่ม เห็นทีไรเป็นต้องขำ...
“อะไร” ยิ้มให้เจ้าของดวงตาเรียวคมซึ่งตวัดมองมา บัดนี้เขาไม่เหลือความกลัวใดๆกับสายตานั่น
“คุณแม่เพิ่งส่งชามาจากญี่ปุ่น คุณฮิบาริจะรับไหมครับ?”
“หึ ถามได้” ฮิบาริ เคียวยะยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์
“นั่นสินะครับ ผมไม่เคยเห็นฮิบาริซังดื่มอย่างอื่นนอกจากชาเขียวเลย”
“ฉันเป็นคนญี่ปุ่น”
“ครับๆ” ว่าแล้วก็จัดการโทรไปสั่งให้เด็กรับใช้ชงชาเขียวมาเสิร์ฟผู้พิทักษ์แห่งเมฆา แต่โดยดี คนชาตินิยมสุดกู่อย่างฮิบาริซัง ยอมมาทำงานที่อิตาลีด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว แม้ชายหนุ่มจะเทียวไปเทียวมาระหว่างญี่ปุ่นกับอิตาลีทุกครั้งที่ว่างก็เถอะ
....เพราะนายแข็งแกร่ง....
เหตุผลที่ฮิบาริซังบอกเมื่อยอมตามมาอิตาลี
....แต่นายก็ยังเป็นสัตว์กินพืช....
คำต่อเติมที่เขาก็ไม่เข้าใจความนัย
ทว่าแค่นั้นก็เพียงพอ แค่ฮิบาริซังยอมตามมาก็เพียงพอ
....นภาที่ไร้เมฆา....มันจืดชืด....ท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆ.....มันจะน่าสนใจอะไร....
“นายก็กล้าเหมือนกันนะ ที่ให้ฉันร่วมงานที่ต้องรวมกลุ่มสุมหัว”
“แค่ช่วงตกลงแผนการเท่านั้นแหละครับ นอกจากนั้นก็ทางใครทางมัน” และวันนี้คือวันสรุปแผนครั้งสุดท้าย แผนทำลายมิลฟีลโอเรของอิริเอะ โชอิจิ
“มันต้องเป็นอย่างนั้นล่ะนะ”
“ครับ เพราะคุณเป็นผู้พิทักษ์แห่งเมฆานี่” ปุยเมฆล่องลอยไม่หยุดนิ่ง แต่ไม่ว่าไปแห่งหนใด ก็ยังอยู่ภายใต้ผืนนภา ...ยังคงเคียงคู่กัน...
“ฮิบาริซังครับ”
“หืม?”
คุณคงไม่รู้ ครั้งหนึ่งรีบอร์นให้ผมคิดถึงคนที่แข็งแกร่งที่สุด...คนแรกที่ผมคิดถึง คือคุณ
“ผมไว้ใจคุณครับ”
.............
.....
...
“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำเท่าที่ฉันทำได้ละกัน ซาวาดะ สึนะโยชิ” เห็นมือที่กำจนเกร็งแน่นเมื่อครู่คลายออกแล้วก็ยิ้มขำ ก่อนจะออกจากห้องไปทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
....แข็งแกร่งจนยอมรับ....
ทว่าสัตว์กินพืชก็ยังเป็นสัตว์กินพืชวันยังค่ำ
อ่อนโยน....ไร้เดียงสา....
....เกินไป....
+++++++++++++++++++++++++++
สูทสีดำ สัญลักษณ์หนึ่งของสมาชิควองโกเล่ วันนี้กลับมีความหมายมากกว่าเครื่องแบบ สีดำแสดงความสิ้นหวัง...สีดำแสดงความโศกศัลย์...สีดำที่หม่นหมอง...สูทสีดำ ที่เหล่าแฟมิลี่พันธมิตรก็ต่างต้องใส่ เพื่อแสดงความอาลัย...
แด่ ซาวาดะ สึนะโยชิ รุ่นที่10 แห่งวองโกเล่
“หน้านิ่งดีนะครับ ขนาดงานศพของคนสำคัญ สมกับเป็นคุณ ฮิบาริ เคียวยะ” ว่าอย่างนั้นแต่คนกล่าวกลับยิ้มระรื่น เห็นดังนั้นเขาจึงยกยิ้มเย็น เหมือนจะแข่งกับอีกฝ่าย
เมฆาไม่เคยถูกกับสายหมอก....ยามใดที่มีหมอก หมอกจะบดบังจนไม่เห็นเมฆ....ยามใดที่เห็นเมฆแจ่มชัด คือยามนั้นไม่มีหมอกบดบัง
....ทว่าทั้งสองก็อยู่ภายใต้นภา...
“นายก็เหมือนกันนี่ โรคุโด มุคุโร”
“คึหึหึ...” เห็นสัปปะรดยิ้มแป้นแล้นแล้วหงุดหงิด เขาเลยเสมองฟ้า เมฆเทาครึ้มเริ่มตั้งเค้าฝน ....ช่างเป็นใจ....
“นายรู้สินะ”
“ครับ?” ไม่เห็นหน้า ยังคงมองฟ้า แต่ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าอีกฝ่ายแสร้งไขสือ
“นายรู้ว่าจะมีวันนี้”
“ครับ” แหงนนานชักเมื่อคอ พอหันกลับมา คนตรงหน้ากลับมองฟ้าแทนตน
...ต่างฝ่ายต่างเฝ้ามองนภา...
“แต่สึนะโยชิคุงไม่ได้บอกผมหรอกครับ”
“เขาไว้ใจคุณครับ ฮิบาริ เคียวยะ”
“แล้วนายรู้ได้ยังไง”
“เพราะผมคือคนที่คิดจะยึดร่าง” ...ต้องการครอบครอง....ต้องการใกล้ชิดที่สุด.....คุณที่เห็นความทรงจำของผม เห็นความฝันของผม เห็นความเศร้าของผม เห็นตัวตนของผม....
แต่คุณเลือกเขา
....หมอกต้องไอแดด ระเหยขึ้นท้องฟ้า รวมตัวเป็นเมฆ ก่อนจะกลั่นเป็นหยาดน้ำตาร่วงหล่นบนผืนดิน...
ในที่สุดฝนก็ตกลงห่าใหญ่ดังคาด ผู้คนวิ่งหนีหาที่กำบังกันระนาวจนภายนอกไม่เหลือผู้ใด มีเพียงฮิบาริ เคียวยะซึ่งเดินจากไปท่ามกลางสายฝน และโรคุโด มุคุโร ซึ่งยืนอยู่ที่เดิมในสายฝน
....สายหมอกและเมฆากำลังร้องไห้....
+++++++++++++++++++++++
“นานเท่าไหร่แล้วนะ” ร่างเล็กนั่งลงพลางดึงยอดหญ้าเล่น แม้จะมีหมอกหนาทึบ แต่พื้นดินกลับแห้งสนิท
...เพราะนี่คือฝัน...
สึนะส่งยิ้มกว้างให้ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนจ้องตนด้วยใบหน้าเรียบเฉยผิดวิสัย
“ก่อนนอนฉันคงเผลอคิดถึงนาย อีกแล้วสินะ มุคุโร” หญ้าต้นแล้วต้นเล่าถูกดึงทิ้งเล่นอย่างเพลินมือเสียพื้นที่แถวนั้นเริ่ม เหี้ยนเกรียน จนเจ้าของฝันเริ่มทนไม่ไหว ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ แล้วหยุดมืออีกฝ่ายไม่ให้ทำลายโลกของเขาไปมากกว่านี้
“พอเถอะครับ”
“ขอโทษนะ” คนพูดหมายถึงเรื่องหญ้า แต่เจ้าของนัยต์ตาสองสีกลับไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นแม้แต่น้อย
“พอเถอะครับ” จ้องลึกไปยังดวงตากลมโตบัดนี้ไหวระริกและแฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่ไม่อาจบรรยาย ....จากครั้งหนึ่งที่เคยสดใส.... สายตาที่เคยมีเพียงความอ่อนโยน และ จริงใจ....
ผมไม่สามาถจะตอกมันให้จำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้
“ขอโทษนะ” คราวนี้คนพูดเองก็ไม่รู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร...รู้เพียงอยากพูดคำนี้
มือใหญ่บีบกระชับขึ้น ส่งผ่านความอบอุ่นเดียวในม่านหมอกที่เย็นชื้น สึนะเงยขึ้นจ้องอีกฝ่ายกลับ รอยยิ้มค่อย ๆ หายไปจากใบหน้า
“ทำไมวันนี้ไม่ยิ้มเลยล่ะ มุคุโร หน้านิ่ง ๆ อย่างนี้ไม่สมเป็นนายเลย ไม่ใช่ฮิบาริซังซักหน่อย” รอยยิ้มยังคงไม่ผุดขึ้นบนใบหน้าเรียวคม “แต่ฮิบาริซังก็ใช่ว่าจะนิ่งตลอดเนอะ เวลาต่อสู้ เวลาอยู่กับฮิเบิร์ด เวลาเจออี้ผิน เวลาเจอของถูกใจ...ฮะ ๆๆ จะว่าไปฮิบาริซังก็ยิ้มเยอะนะ ยิ้มเย็น ยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มแสยะ .....และรอยยิ้มอ่อนโยน....”
มือเล็กเอื้อมแตะมุมปากของร่างสูงอย่างถือวิสาสะ ...มือที่เย็นเฉียบ...
“ยิ้มสิมุคุโร ฉันอยากเห็นรอยยิ้มนาย ....ฉันอยากยิ้มกับนาย....” สึนะรวบรวมแรงฝืนยิ้มขึ้นอีกครั้ง ....อยากจะยิ้ม....อยากจะหัวเราะ..... อยากยิ้มกับนาย อยากหัวเราะกับนาย....กับทุก ๆ คน
“พอเถอะครับ” ย้ำเป็นหนที่ 3 แต่ครานี้ได้ผลชะงัด รอยยิ้มของบอสใหญ่แห่งวองโกเล่หายไปพริบตา
“นายรู้เรื่องสินะ แผนนั่น”
“ครับ”
“แล้วนายจะช่วยฉันไหม...”
“ถ้านั่นเป็นคำสั่ง....”
“ได้โปรด”
“นั่นไม่ใช่คำสั่งครับ” สึนะหลุดหัวเราะ แม้เพียงเล็กน้อยเพราะสภาพจิตใจไม่เอื้ออำนวย ...แต่เสียงหัวเราะนี้ ก็หวานจับใจ
“ฉันสั่งนายไม่ได้หรอก เพราะเราเป็น เพื่อน นายเป็นเพื่อนกับฉันใช่ไหม มุคุโร”
“ไม่รู้สิครับ ผมไม่เคยคิดเป็นเพื่อนกับมาเฟีย”
“ฉันก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นมาเฟีย...” ไม่เคยคิดอยาก...เพียงหนีชะตาไม่พ้น “เป็นเพื่อนกับฉันนะ มุคุโร”
มือเล็กบนใบหน้าเริ่มสั่นเทา จนเขาต้องกอบกุม
“นะ เป็นเพื่อนกับฉันนะ มุคุโร” เขาหลับตาลง กระชับมือทั้งสองข้างซึ่งยิ่งเย็นลงเรื่อย ๆ ...ความอบอุ่นของเขาไม่อาจส่งไปถึง....
“ถ้านั่นเป็นคำสั่ง....”
“นายก็รู้ว่าฉันสั่งนายไม่ได้”
“งั้นเราก็ไม่ใช่เพื่อนกันครับ”
“ใจร้าย” สึนะชักมือที่สัมผัสหน้าชายหนุ่มกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ปล่อยโดยดี อีกข้างที่กอบกุมกันอยู่บนผืนหญ้า ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มันเป็นไป
“ไม่สงสัยเลย มาในฝันนายทีไร เย็นเยือกทุกที”
“จะว่าผมเย็นชา?”
“ก็ใช่ไหมล่ะ อ๊ะ!” ความอุ่นร้อนที่จู่ๆแผ่ซ่านบนผิวแก้มทำเอาสะดุ้ง ทว่ามันสบายจนเผลออิงแนบยิ่งขึ้น
“เย็นเฉียบเชียว อย่างนี้ใครกันแน่ที่เย็นชาครับ”
“แหะ ๆ อ๊ะ ทำอะไรน่ะมุคุโร่!” คราวนี้ความอุ่นแผ่ไปทั้งกายเมื่อมุคุโรรวบตัวร่างเล็กเข้ากอดแน่น สึนะหน้าแดงอย่างห้ามไม่อยู่ สัมผัสแนบชิดแบบนี้กับผู้ชายด้วยกัน....กับมุคุโร
“แบบนี้จะได้อุ่นขึ้นไงครับ”
“นั่นสิ...” สึนะยิ้มขอบคุณ ถึงใบหน้าตนตอนนี้จะซุกอยู่กับอกกว้าง อีกฝ่ายไม่มีทางได้เห็น
...อุ่นขึ้นจริง ๆ ด้วย...
สึนะทิ้งความกระอักกระอ่วนในใจออกไปแล้วสวมกอดอีกฝ่ายกลับ นึกขำที่เห็นชายหนุ่มสะดุ้งเช่นกัน คงไม่คาดว่าเขาจะกอดตอบ
...อย่างไรเสีย นี่ก็คือความฝัน...
“ขอบคุณนะ มุคุโร... ขอบคุณนะ”
“ครับ” ไม่กอดเปล่า ยังลูบผมราวกับปลอบเด็กเล็ก แต่สึนะไม่ถือความ ก็ในเมื่อมันทั้งอุ่น...ทั้งสบาย...
สองร่างนั่งกอดกันอยู่ซักพัก ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด โลกในความฝันไม่มีกลางวันและกลางคืน มีเพียงกลางวัน ‘หรือ’ กลางคืน ทว่าตัวเขารู้ดี ว่าเวลาเหลืออีกไม่มากก่อนจะรุ่งสาง ...ก่อนจะตื่นจากฝัน
คนในอ้อมแขนเริ่มสั่นเทารุนแรง แล้วซุกเข้ามามากขึ้น แถมยังกำเสื้อเขาแน่น มุคุโรหยุดมือที่ลูบผมนุ่มมากระชับอ้อมกอด
“ยังหนาวอีกหรอครับ?” สึนะสั่นหัวดิก
“ช่วยฉันนะมุคุโร...นายต้องช่วยฉันนะมุคุโร” ไม่เพียงร่าง หากเสียงก็สั่นเครือตาม “เข้าไปที่นั่น เข้าไปที่ฐานมิลฟีโอเร่ ไปอยู่ข้าง ๆ คน ๆ นั้น”
“ครับ”
“เผื่อแผนมันไม่ได้ผล นายก็มีโอกาสได้ยึดครองร่างมาเฟียที่มีอำนาจมากกว่าฉันไง ฮะ ๆๆ”
“..........”
“ไม่ดีหรอมุคุโร ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่าฉัน นายจะได้ทำลายมาเฟียที่นายเกลียดง่ายขึ้น”
“ผมแข็งแกร่งพอครับ”
“นั่นสินะ...”
“มุคุโร”
“ครับ?”
“กลัว....” พอจบเสียงกระซิบแผ่ว หยาดหยดน้ำตาร้อนจี๋ก็พรั่งพรูซึมผ่านเนื้อผ้าจนเปียกชุ่ม ชายหนุ่มตกใจ รีบจับไหล่บางหมายจะผละตัวออกเพื่อดูอาการคนตรงหน้า แต่ร่างเล็กกลับขืนตัวไว้ ....ไม่อยากให้เห็น
“สึนะโยชิคุง?”
“ฉันกลัว มุคุโร!!” มือขยำเสื้อร่างสูงแรงราวกับจะฉีกทึ้ง ...ไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยว “ฉันกลัว ฮึก...ฉันกลัว!”
“ฮึก...ฉันอยากยิ้ม มุคุโร อยากยิ้มกับนาย อยากยิ้มกับทุกคน อยากหัวเราะ แต่ฉันทำไม่ได้ ทำไงดีมุคุโร มันกลัว...กลัว!!!”
กลัวว่าจะไม่มีวันได้เห็นรอยยิ้ม
...กลัวว่าทุกอย่างมันจะจบลงด้วยรอยน้ำตา
“ทำไม ต้องเป็นฉัน...ทำไมต้องเป็นฉันด้วย....กลัว ฮึก...โฮ!!!” ร่ำเสียงร้องอย่างไม่อาย ความกลัวจับเข้าทุกอณูของจิตใจ ไม่เหลือความรู้สึกอื่นใด...เขากลัว...
....กลัวความตาย!...
“ใจเย็นๆสึนะโยชิคุง สึนะโยชิคุง!” พยายามเรียกให้อีกฝ่ายได้สติ แต่ร่างเล็กยิ่งสะอื้นไห้ หอบโยนเหมือนขาดอากาศหายใจ แต่ยังคงพร่ำคำเดิมซ้ำๆ ...ราวคุ้มคลั่ง
“กลัว....กลัว....”
ทำได้แค่กอดอีกฝ่าย กระชับอ้อมแขนไว้ไม่ให้ห่าง
....ร่างเล็กเพียงนี้....
....บอบบางเพียงนี้....
.....บ่าเล็ก ๆ นี้ของคุณแบกรับน้ำหนักมหาศาลนั่นได้ยังไง....
.....คุณทนได้ยังไง....
“ฮึก..ฮือ....ฉันกลัว...”
ผมซุกหน้าลงกับไหล่บาง พร่ำเรียกชื่อ ๆ เดียว
“สึนะโยชิคุง”
ผมเกลียดมาเฟีย....ผมเกลียดคุณที่เป็นมาเฟีย
“สึนะโยชิคุง”
....เพราะมาเฟียที่ผมเกลียด กำลังทำร้ายคนที่ผมรัก.....
“สึนะโยชิคุง....”
แค่เพียงคุณ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“มุคุโรซามะ!” เสียงทัดทานไม่อาจหยุดฝีเท้า มุคุโรเดินลิ่วไม่สนใจลูกน้องในอาณัติที่วิ่งตามมาข้างหลัง
ทว่าจะไปที่แห่งใด ไม่มีใครรู้
“เคน!” ในที่สุดก็ไล่ตามเพื่อนทัน ชายหนุ่มสวมแว่นรีบคว้าคอเสื้อคนหัวทองเอาไว้ แม้วิ่งตามจนเหนื่อยหอบ แต่เจ้าของผมบ๊อบสั้นก็ยังคงสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม
“ปล่อยนะเฟร้ย จิคุสะ!!” นอกจากไม่ฟังคำ ยังจัดการล๊อคแขนเจ้ามนุษย์ครึ่งสัตว์ไว้อีก แรงมหาศาลเกินมนุษย์ หากไม่ใช่เขาซึ่งถูกดัดแปลงมาเช่นกัน คงไม่สามารถต่อต้าน
“นายนั่นแหละปล่อย”
“ปล่อยบ้าอะไรของนาย !” เขาต่างหากที่ถูกพันธนาการ มาบอกให้ปล่อยอะไร เขาไม่เข้าใจ แต่นี่ไม่ใช่เวลาคิดหาคำตอบ ร่างสูงที่เริ่มเดินห่างออกไปเรื่อยๆต่างหากสำคัญที่สุด “นายสิปล่อย ฉันจะไปหยุดมุคุโรซามะ!!”
“ฉันบอกให้ปล่อยมุคุโรซามะไปซะ!!!” ตวาดลั่นจนเจ้าของประเด็นยังตกใจ ส่วนคนโดนตวาดใส่แข็งนิ่งด้วยความอึ้งไปแล้ว
จิคุสะที่ไม่เคยแสดงอารมณ์กับใครกลับขึ้นเสียงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงไม่หยุดเดินแต่ก็แอบชำเลืองมองคนหน้าเฉยซึ่งบัดนี้แสดงให้เห็นอารมณ์โกรธ ขึ้งอย่างแจ่มชัด
....เพื่อมุคุโรซามะ....
....เพื่อเขา....
“จิคุสะ นาย....”
“โวยวายอะไรกันวะ!!!” จบคำเท่านั้นทั้งหมดก็หยุดนิ่ง รวมถึงมุคุโร ทว่าชายหนุ่มไม่ได้หยุดเพราะเสียง แต่เพราะเจ้าของเสียงดังเมื่อครู่ออกมายืนขวางหน้า แถมพ่วงด้วยร่างสูงใหญ่ข้างๆ ...ผู้พิทักษ์วายุ และ วรุณ...
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย- - -” พอได้สติก็เริ่มแผลงฤทธิ์ เคนเตรียมฟาดปากกับหนุ่มผมเงิน แต่ก็ต้องหยุดเมื่อเจ้านายตวัดสายตามองเป็นสัญญาณให้หยุด ตนจึงยอมสงบเงียบ
“ขอโทษที่คนของฉันเสียงดังละกัน โกคุเดระ ฮายาโตะ”
“เออ! หัดดูแลคนของตัวเองซะมั่ง ช่วงไว้ทุกข์ให้รุ่นที่10 อยู่แท้ๆ เอะอะเสียงดัง ไร้มารยาทสิ้นดี”
“หนอยแก...” มุคุโรต้องส่งสายตามปรามเคนอีกครั้ง “ฮึ่ย...”
“หมดเรื่องแล้ว งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” โค้งลาให้อย่างสวยงามเหมือนประชดที่โดนว่าไร้มารยาทเสร็จ ก็เตรียมจะก้าวเดินต่อ แต่ไม่อาจทำได้เพราะร่างโปร่งยังคงขวางทาง “ถ้าไม่ว่าอะไร จะช่วยหลีกทางได้ไหมครับ”
โกคุเดระกอดอกคิ้วขมวดจ้องคนตรงหน้า ไม่ขยับตามคำขอ ...รอยยิ้มบนหน้ามัน ขัดใจเขา...
“แล้วนายจะไปไหน ไม่สิ นายจะไปทำอะไร ลูกน้องนายถึงโวยจะห้ามอย่างนั้น”
“พอเถอะโกคุเดระ” กลัวเรื่องจะเลยเถิด มือหนาเลยยึดไหล่คนข้างๆไว้ “นายเองก็มีธุระไม่ใช่หรอ”
“แล้วมันเกี่ยวไรกับแก เจ้าเบสบอลบ้า” โกคุเดระสะบัดตัวหนีจากมือแล้วหันมาคาดคั้นชายหนุ่มต่อ “ว่าไง?”
“ถ้าตอบไม่ถูกใจคุณผู้พิทักษ์แห่งวายุ ผมคงได้ยลอานุภาพของอาวุธใหม่นั่นเป็นขวัญตาสินะ” มุคุโรพยักเพยิดไปยังกล่องสลักลายสีแดงบนเอวอีกฝ่ายก่อนจะถอนใจแล้วยกสองมือ ขึ้นยอมแพ้ “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่จะไปเยี่ยมวองโกเล”
“แก!!” แต่คำตอบนั่นกลับยิ่งจุดชนวน โกคุเดระทะยานตัวเข้าใส่ชายหนุ่มและคงได้เกิดการตะลุมบอนกลางคฤหาสน์ไปแล้ว ถ้ายามาโมโตะไม่ยื้อยุดผู้พิทักษ์วายุไว้ “แกจะไปทำอะไรร่างรุ่นที่10 ใช่มั๊ย!!”
“ใจเย็นโกคุเดระ!!”
ฉากเดิมแต่เปลี่ยนคู่ จากจิคุสะและเคนกลายเป็นยามาโมโตะและโกคุเดระ ส่วนตัวต้นเหตุคนเดิมส่ายหน้าหน่าย
“คุณคงฟังไม่ชัด ผมบอกว่าไป เยี่ยม ครับ”
“โกหก!!” ตวาดลั่นสุดเสียงพร้อมกระชากตัวหลุดออกจากการกอบกุม ทว่าไม่นานโดนรวบตัวเข้าไปใหม่ ผู้พิทักษ์วรุณ ผู้มีหน้าที่ชโลมจิตใจแห่งเหล่าวองโกเล แต่บัดนี้ไม่อาจช่วยอะไรได้
....พายุโหมกระหน่ำรุนแรงเกินต้านทาน...
“พอแล้วโกคุเดระ!”
....เพราะบาดแผลมันลึกเกินเยียวยา....
“เมื่อวาน... เมื่อวานแก...อย่าคิดว่าฉันไม่เห็นว่าแกทำอะไรที่งานศพท่านรุ่นที่10” ไม่อาจทำอะไร ไม่อาจหลุดพันธนาการ หมดแรงจะต่อต้าน จึงได้แต่ก้มหน้า เสียงสั่นเครือและร่างสั่นเทิ้ม ไม่ต้องเห็นชัดก็รู้ว่าคนในอ้อมแขนร้องไห้หนักเพียงไร
“แกยิ้ม...แก ยิ้มในงานศพท่านรุ่นที่ 10 ทั้งๆที่แกเคยทำเรื่องเลวร้าย ทั้งๆที่ท่านรุ่นที่สิบให้อภัยแก คอยเป็นห่วงแก ช่วยแกออกมาจากคุกนั้น...”
“พอแล้วโกคุเดระ.....” กระซิบเสียงแผ่ว เพราะตัวเองเริ่มไม่เหลือแรงเช่นกัน ....บาดแผลมันลึกจนใครๆต่างก็เจ็บ....
“ดีกับแกขนาดนี้...ท่านรุ่นที่สิบจากไปแล้ว...จากไปแล้วแต่แก....” เงยขึ้นมองใบหน้านั่นแล้วก็กัดฟัน กำหมัดที่อยากเข้าไปลบรอยยิ้มน่ารังเกียจนั้นแน่น ม่านน้ำตาที่บดบังไม่ช่วยให้ความโกรธน้อยลงซักนิด
“แกไม่เสียใจเลยหรอ โรคุโด มุคุโร? ไม่เศร้าบ้างเลยหรือไง?”
“ขอร้องล่ะโกคุเดระ พอได้แล้ว” พยายามห้าม พยายามลากร่างโปร่งไปที่อื่น ....แต่ทำไม่ได้....
สายฝนในเวลานี้ทำอะไรไม่ได้เลย....เพราะสายฝนคือหยาดน้ำตาของท้องนภา....
ทุกคนกำลังร่ำไห้....
“รุ่นที่สิบตาย!...แกได้ยินมั๊ย!! รุ่นที่สิบตาย!!!”
....กดย้ำบาดแผล....ให้เจ็บยิ่งขึ้น เพื่ออะไร?
“...ตาย... ไม่มีรุ่นที่สิบ...ฮึก...ไม่มีอีกแล้ว...แล้วแก...แกยังยิ้มออกอีก...แกยังยิ้มได้ยังไง...แกมีหัวใจบ้างหรือเปล่า!!!!”
“โกคุเดระ!!!!”
เกินทน...
นี่น่ะหรือคนที่อ้างตนว่าเป็นมือขวาวองโกเล่
...น่าขำ...
“คุณต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลย” พูดจบแล้วออกเดินต่อทันที ก้าวผ่านสองผู้พิทักษ์อย่างไม่แยแส
“หมายความว่าไง หยุดนะ แล้วแกจะไปไหน!!”
“ปล่อยสิวะ ไอบ้านี่ ปล่อยโว้ย ห้ามเข้าใกล้รุ่นที่10 นะ!!!”
ไม่ฟังคำ ไม่สนใจ ไม่รับรู้
มุ่งไปยังที่ใจอยาก
ไปยังที่ดวงใจอยู่
“สึนะโยชิคุง...”
ผมต้องการเพียงแค่คุณคนเดียว
ผลงานอื่นๆ ของ -:+:O*H*R~HuSTsU:+:- ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ -:+:O*H*R~HuSTsU:+:-
ความคิดเห็น