ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นินทา...รวบรวมเรื่องร้ายภายใต้ผืนพรม

    ลำดับตอนที่ #4 : เด็กน้อยใน 'รอยร้าย'

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 55


    เด็กน้อยใน รอยร้าย

                    เพื่อนคนหนึ่งเคยเอ่ยถามปรัศนีย์ว่า เคยสงสัยบ้างไหม...ทำไมเด็กคนนี้จึงเกเร ทำไมเด็กคนนั้นจึงก้าวร้าวเสียหนักหนา ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆ หรือแม้แต่จะเป็นเด็กที่กำลังย่างก้าวเข้าสู่การเป็นวัยรุ่นตอนต้นจึงมีพฤติกรรมที่โหดร้ายประดุจสัตว์ป่า ความเคารพในระบบอาวุโสที่เป็นคุณค่าที่น่าภาคภูมิใจของวัฒนธรรมความเป็นไทย...เหตุใดจึงหายไป อะไรหรือคือปัจจัยแห่งความสูญสิ้นความดีงามทั้งปวง

                    เธอบอกกับปรัศนีย์ว่าในความคิดของเธอสิ่งที่เธอสังเกตได้ก็คือ การขาดคนสอนและขาดซึ่งคำสอนที่ถูกต้องดีงาม คนสอนและคำสอนที่ดีงามจะต้องเริ่มต้นจากคนใกล้ตัวหาใช่คนสอนและคำสอนจากที่อันห่างไกลหรือจากใครที่เด็กไม่เคยรู้จัก เพราะเด็กส่วนใหญ่ที่พบเจอแต่ความเลวร้ายและเรื่องราวที่ไม่ดีงามจากบุคคลในครอบครัวไม่ว่าพ่อหรือแม่หรือผู้ที่ให้การเลี้ยงดูแก่เด็ก เด็กมักจะถูกกลืนกินไปโดยความเลวร้ายหลากเรื่องราวจนกระทั่งผสมผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันไปกับชีวิตน้อย ๆ นั้น จนกระทั่งพวกแกเติบใหญ่

                    เธอเริ่มติเตียนลับหลังถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งขณะนั้นเด็กน้อยกำลังเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่สาม เด็กชายวัยไม่ถึงเก้าขวบผู้นี้สูบบุหรี่จัดชนิดที่เรียกว่า มวนต่อมวน โดยแรก ๆ ที่เขาเริ่มหัดสูบบุหรี่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนใดได้ห้ามปราม เมื่อวันเวลาผ่านไปหลายปีเด็กชายตัวน้อยเติบโตเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่สูบบุหรี่จัดและพัฒนาไปเป็นสิ่งเสพติดชนิดอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่านั้น...ในยามนี้คงไม่มีคำสอนหรือคำชี้แนะของใครอีกแล้วที่จะนำพาเขากลับมายังเส้นทางแห่งความดีงามหรือแม้แต่เส้นทางปรกติของมนุษย์ทั่วไป มนุษย์คนหนึ่งต้องกลับกลายเป็นผู้มีพฤติกรรมก้าวร้าวหยาบคายเยี่ยงสัตว์ป่า เธอผู้นี้บอกว่าหากในอดีตซึ่งลูกชายได้เริ่มต้นกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่พ่อแม่ได้ห้ามปรามและให้การแนะนำสั่งสอนหรือได้ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ณ วันนี้โลกใบนี้คงจะมีมนุษย์ผู้มีพฤติกรรมเป็นภัยสังคมน้อยลงอีกหนึ่งคน...

     

                    ในครั้งเดียวกันนี้เธอยังได้กล่าวติเตียนถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับเด็กอีกหนึ่งเรื่องซึ่งเป็นเรื่องราวที่เธอเคยได้รับฟังมาอีกทอดหนึ่งเมื่อครั้งที่เดินทางไปต่างจังหวัด...เรื่องที่เธอบอกกล่าวมานี้ปรัศนีย์ขอภาวนาว่าอย่าได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เลย เพราะสำหรับปรัศนีย์แล้วยากเหลือเกินที่จะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่ได้รับรู้ในครั้งนี้จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็คงจะปฏิเสธเสียอย่างเต็มปากเต็มคำไม่ได้ว่าเรื่องราวเช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้...

                    ณ บ้านไม้สองชั้นเก่า ๆ ซึ่งปลูกติดต่อกันเป็นแถว รอยแตกรอยแยกของเนื้อไม้แสดงให้ผู้พบเห็นได้รับรู้ว่าบ้านเหล่านี้ได้ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาหลายสิบปีและรอยแตกรอยแยกนี้เองที่ทำให้เกิดเรื่องราวที่เชื่อได้ยากเรื่องนี้เกิดขึ้น...การสงสัยว่าพ่อคนหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนนั้นนับเป็นความสงสัยที่หากไม่ใช่เรื่องจริงแล้วก็จะเป็นเรื่องที่ผิดบาปเหลือเกิน...

    ในครั้งแรกเมื่อเพื่อนของปรัศนีย์ได้รับฟังเรื่องนี้จากการนินทาของชายคนหนึ่ง (ซึ่งดื่มเหล้า) เธอบอกกับปรัศนีย์ว่าเธอไม่กล้าเชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือนเธอก็ได้ยินการนินทาในเรื่องเดียวกันนี้จากชายอีกคน (ซึ่งดื่มเบียร์) ชายทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าของเรื่องราวที่ถูกนำมานินทาในครั้งนี้และได้พักอาศัยอยู่ในบ้านไม้สองชั้นแถวเดียวกัน

                    “ไอ้ผู้ชายคนนี้มันอุบาทว์” ขณะนั้นซึ่งเพื่อนของปรัศนีย์ได้ฟังประโยคนี้จากชาย (ผู้ดื่มเบียร์) เธอถึงกับสะดุ้งกับวาจาผรุสวาทนี้ อะไรหรือที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งกล้าติเตียนลับหลังบุคคลอื่นรุนแรงเช่นนี้

                    “ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะ” เพื่อนของปรัศนีย์ถามเมื่อตั้งสติได้

                    “ผมสงสัยว่ามันจะทำไม่ดีกับลูกสาวของตัวเอง” เขากระซิบแผ่ว ๆ และเมื่อได้ฟังเพื่อนของปรัศนีย์ก็คิดทบทวนว่าเคยได้รับรู้เรื่องราวเดียวกันนี้มาจากไหน

    “อ๋อ...” เธออุทานแผ่วเบาเมื่อนึกได้ว่าเคยได้ยินเรื่องนี้มาจากชาย (ผู้ดื่มเหล้า) ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกับชาย (ผู้ดื่มเบียร์) นั่นเอง

    “อย่าพูดดังไป เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้ามันไม่ดีและถ้าเป็นเรื่องไม่จริงคุณจะบาปมากเลยนะ” เพื่อนของปรัศนีย์ปรามเบา ๆ จนเขาต้องขยับเข้ามาใกล้ ๆ เธอ

    “แล้วเรื่องมันเป็นยังไงคุณถึงกล้าไปว่าเขาอย่างนั้น” เพื่อนของปรัศนีย์เอ่ยถามต่อไป

    “ก็มีอย่างที่ไหนพ่อนุ่งกางเกงในตัวเดียวนอนกอดกับลูกสาวที่ใส่เพียงชุดชั้นใน” คำพูดของชายผู้ดื่มเบียร์ทำให้เพื่อนของปรัศนีย์แสดงสีหน้าท่าทางว่าไม่เชื่อสิ่งที่ได้รับฟัง แต่เขากลับยืนยันว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

    “จะไม่จริงได้ยังไงก็ผมสงสัยเลยแอบดู” ประโยคนี้นี่เองเพื่อนของปรัศนีย์ถึงกับเกิดอาการเครียดขึ้นมาเลยทีเดียวเพราะนอกเหนือจากเรื่องราวที่ได้รับฟัง เธอกลับต้องเป็นกังวลกับพฤติกรรมที่เธอถือว่าเป็นภัยสังคมอีกประการหนึ่ง การแอบดูคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลขั้นร้ายแรงสำหรับเธอ...

    แม้เรื่องราวที่ปรัศนีย์ได้รับรู้มานี้จะเป็นเรื่องราวที่ถูกนินทาต่อ ๆ กันมา จะจริงหรือไม่จริงนั้นคงเป็นเรื่องที่ใครก็ยืนยันไม่ได้ แต่มูลเหตุที่ผู้รับฟังการนินทาต้องนำมาพิจารณานั้นก็พอจะมีอยู่นั่นคือ ลักษณะของพ่อ แม่ ลูก ในครอบครัวนี้ซึ่งทุกคนต่างมีระดับการทำงานของสมองที่คาดได้ว่าน่าจะต่ำกว่าระดับปรกติกว่าคนทั่วไปและปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมถูกผิดได้นั่นก็คือ สุราทั้งพ่อและแม่ของครอบครัวนี้ต่างก็ดื่มสุรา จะเป็นไปได้ไหมที่ลูกสาวผู้เติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่ปรกติจะมีพฤติกรรมไม่ปรกติตามไปด้วย ปัจจัยสุดท้ายที่ต้องนำมาพิจารณานั่นคือ การที่ทุกชีวิตในบ้านหลังนี้ต้องอาศัยหลับนอนในบ้านเช่าหลังเล็กซึ่งไม่ได้แบ่งแยกเป็นสัดส่วน ลูกสาวต้องนอนรวมกับพ่อและแม่มาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งย่างก้าวเข้าสู่วัยรุ่นนั้น จะเป็นไปได้ไหมที่คำนินทาของชาย (ผู้ดื่มเหล้า) และชาย (ผู้ดื่มเบียร์) ที่ได้ถ่ายทอดสู่เพื่อนของปรัศนีย์ในครั้งนั้นจะเป็น คำนินทาที่มีมูลความจริง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×