ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อง
ผลงานตกรอบ (แต่รักมาก) ของแม่ค้าคนหนึ่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิหลังและความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสรรพสิ่งรอบข้างของคนธรรมดาๆ
ผู้เข้าชมรวม
2,117
ผู้เข้าชมเดือนนี้
14
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คุยก่อนอ่าน
ตามคำสัญญาค่ะที่เคยบอกว่าถ้าหากผลงานที่ส่งเข้าประกวดเกิดตกรอบขึ้นมาป้าเอ๋จะนำมาลงให้อ่านกันในครอบครัวเล็กๆ ของเรา นอกจากจะขอแสดงความยินดีกับผู้ที่มีผลงานเข้ารอบและผู้ชนะเลิศการประกวดในครั้งนี้แล้ว สิ่งหนึ่งก็คือการกลับมาสำรวจงานเขียนของตัวเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้นและเมื่อได้ทบทวนป้าเอ๋พบว่าข้อบกพร่องในงานชิ้นนี้มีมากมาย เช่นเนื้อเรื่องที่นำเสนอนั้นอาจมองเห็นเป็นเรื่องยิบย่อย (เล็กมาก) หากจะนำออกเผยแพร่ในวงกว้างคือยังขาดความเป็นสากลนั่นเอง ในส่วนของการใช้ภาษาน่าจะเรียบง่ายจนเกินไปจนดูเหมือนไร้ซึ่งเสน่ห์ในเชิงวรรณศิลป์ แต่ประการสำคัญที่สำรวจได้คืองานที่ส่งไปนั้นผิดกฎกติกาของการประกวดในครั้งนี้ (พอจะรู้คร่าวๆ ตั้งแต่ก่อนส่งค่ะ) นับเป็นการปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อเชียว แต่ถึงอย่างไรงานเขียนชิ้นนี้ก็ยังเป็นงานเขียนที่ป้าเอ๋รักมาก เป็นการเขียนเรื่องจริงครั้งแรกในชีวิตของป้าเอ๋ค่ะและเป็นผลงานที่ชัดเจนในความเป็นตัวตนของป้าเอ๋
เอกลักษณ์ของป้าเอ๋ประการหนึ่งที่หลายคนมองเห็นตรงกันคือ ความเยิ่นเย้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันหรือลักษณะของการเขียนงานก็ตาม สิ่งนี้ป้าเอ๋คงจะแก้ไขตัวเองได้ยากเหลือเกิน ขอโอกาสจากผู้อ่านที่น่ารักได้โปรดให้อภัยแก่ป้าเอ๋ในส่วนนี้ด้วยนะคะ ส่วนคำแนะนำที่บอกว่าป้าเอ๋ใช้ภาษาล้าสมัย (โบราณ) ป้าเอ๋ก็ต้องขอโอกาสเช่นกัน คือป้าเอ๋มีความสุขที่ได้ใช้ภาษาเช่นนั้นค่ะ ขอเป็น ป้าโบ น้าโบ น้องโบ และเพื่อนโบ ของทุกท่านต่อไปนะคะ
งานตกรอบ (แต่รักมาก) ที่ป้าเอ๋ภูมิใจนำเสนอคือผลงานชื่อ ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อง เป็นการเขียนถึงภูมิหลังและความรู้สึกนึกคิดของป้าเอ๋ที่มีต่อสรรพสิ่งรอบข้างค่ะ หากอ่านอย่างผิวเผินก็คงจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยิบย่อยอย่างที่บอกไว้ข้างต้นนั่นล่ะค่ะ แต่หากท่านให้โอกาสกับป้าเอ๋โดยการอ่านตัวอักษรทุกตัวของป้าเอ๋แล้ว ผู้อ่านก็อาจจะรับรู้ได้ว่าภายในจุดเล็กๆ ที่ป้าเอ๋นำเสนอนั้นป้าเอ๋ต้องการสื่ออะไรถึงท่านผู้อ่าน เรื่องแต่ละเรื่องที่ป้าเอ๋ได้นำมาเล่าสู่กันฟังนี้เหมือนจะไม่มีอะไร เหมือนป้าเอ๋จะพร่ำเพ้อไปเรื่อยๆ แต่ก็ขอยืนยันนะคะว่า...ทุกๆ ตัวอักษรที่ป้าเอ๋จดจารึกลงไปนั้นมีอะไรๆ อยู่อย่างแน่นอน
ป้าเอ๋รู้ค่ะว่างานของตัวเองเป็นงานนอกกรอบไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็ยังทำใจกล้าส่งไป ใน ตอนนั้นขอแค่ให้คณะกรรมการท่านได้อ่านแล้วมีการตั้งคำถามว่า ใคร? ส่งงานอย่างนี้มาให้เราอ่าน กรรมการท่านจะคัดลงตะกร้าเสียตั้งแต่ประโยคแรกๆ ที่ได้อ่านก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ ตัวอักษรของเราก็ได้ผ่านสายตาของผู้ทรงคุณวุฒิบางท่าน ในอดีตขณะอายุสิบสี่ปีป้าเอ๋เคยส่งตัวอักษรของป้าเอ๋เข้าประกวดและไม่เข้ารอบเช่นกันค่ะ ครั้งนั้นยอมรับการตัดสินของคณะกรรมการแต่ภายในใจยังมีข้อกังขามาจนบัดนี้ (อายุนำหน้าด้วยเลขสี่ค่ะ) กระทั่งต้องนำความรู้สึกในครั้งนั้นมาเขียนเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งในงานชิ้นนี้นั่นคือเรื่อง ดีใจเมื่อเห็นครูบรรณารักษ์ แต่สำหรับผลการตัดสินในครั้งนี้ป้าเอ๋ยอมรับผลการตัดสินโดยไร้ข้อกังขาค่ะ คือยอมรับว่าผลงานของตนเองคงอยู่นอกเหนือการพิจารณาในครั้งนี้
เมื่อได้บอกกล่าวเช่นนี้ผู้อ่านคงจะเริ่มสงสัยแล้วซิคะว่าป้าเอ๋เริ่มมีความหวังว่างานของตัวเองจะไม่ถูกโยนลงตะกร้าในทันทีเมื่อไหร่ ก็จากถ้อยคำเหล่านี้ของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ หลานๆ ที่สนิทสนมกันและคอยเป็นกำลังใจให้ป้าเอ๋มาโดยตลอดนั่นล่ะค่ะ รู้สึกว่าหัวใจมันฟูฟ่องพองโตขึ้นมา มีอาการบ้าตัวเองหลงตัวเองขึ้นมานิดๆ มีความหวังขึ้นมาหน่อยๆ หลังจากที่ไม่กล้าหวังเลยในครั้งแรก ขอเพียงได้ทำในสิ่งที่อยากทำ คือแค่ให้ตัวอักษรของเราผ่านสายตาผู้พิจารณาคัดเลือกเท่านั้น ขออนุญาตนำถ้อยคำเหล่านั้นมาเล่าสู่กันฟังนะคะ คือป้าเอ๋มีวัตถุประสงค์เชิญชวน (หลอกล่อ) ให้ทุกท่านได้อ่านงานของป้าเอ๋ต่อไป อย่าเพิ่งทอดทิ้งกันนะคะ
ถ้อยคำจากเพื่อนคนหนึ่ง
เป็นเรื่องที่เรียบง่ายแต่อ่านแล้วส่วนใหญ่อารมณ์จะไม่สะดุด ด้วยความงามในการใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจง่าย เป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สามารถหยิบยกแง่มุมมาให้คิด
เปิดอ่านผ่านๆ เที่ยวแรกแทบไม่สะดุดตาเนื่องด้วยหัวข้อเรื่องจะต่อๆ กันไป เลยงง จึงตัดสินใจอ่านตั้งแต่หน้าแรก ก็เลยสะดุดว่า อืม...เอามาเขียนได้นะ หยิบแง่มุมที่สังคมมองเป็นสิ่งผ่านเลยแต่ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถลงลึกไปอ่านแล้วจะได้พบสัจธรรมของแต่ละเรื่อง
ถ้าเปรียบงานเขียนเรื่องนี้กับความงามของผู้หญิง ก็บอกว่า “สวยพิศ ไม่ได้สวยผาด”
ถ้อยคำจากพี่คนหนึ่ง
ต้องขอบพระคุณครูผั่วที่ทำให้พี่และเอ๋ได้คุยกัน แม้จะอยู่ละแวกบ้านใกล้เคียงกัน ถ้าไม่ได้คุยกันก็ได้แต่รู้หน้า ไม่รู้ใจ ยิ่งได้อ่านเรื่องเล่าของเอ๋ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนรู้จักกันมานาน
พี่เคยอ่าน (ชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง) ของ (นักเขียนท่านหนึ่ง) นานมาแล้ว ชอบมาก เมื่อได้อ่าน “ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อง” รู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากกว่า เหมือนมีคนมาเล่าเรื่องรอบๆ บ้านของตัวเอง (ซึ่งเราไม่คิดว่าจะมีใครเอามาเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว)
พี่มีคู่หูซึ่งเป็นนักเขียน นักกิจกรรม นักพูดและนักเล่าเรื่อง ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เธอใช้การพูด การเขียนประสบการณ์ชีวิตรอบๆ ตัวเป็นธรรมะและการเยียวยา เธอบอกว่า การเขียนจะทำให้ผู้เขียนมีความชัดเจนในความคิด ความรู้สึก และนี่เป็นการเยียวยาที่ลึกซึ้งสำหรับชีวิตของเธอในช่วงที่ต้องอยู่กับมะเร็ง เธอเลือกที่จะจุดตะเกียงดีกว่าสาปแช่งความมืด (สุภาษิตจีน)
ขอบคุณสำหรับเรื่องจริง (เหมือนอิงนิยาย) ดีๆ ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้รับการเยียวยาไปด้วย
ถ้อยคำจากน้องคนหนึ่ง
ได้อ่านงานที่พี่เขียนแล้ว ถ้าไม่รู้จักพี่จะไม่รู้เลยว่าเจ้าของตัวหนังสือนี้จะเป็นแม่ค้าที่นั่งขายของอยู่ข้างถนน มันเห็นภาพ มันรู้จักกับสิ่งที่พี่เล่า รู้จักและเห็นภาพแม้กระทั่งหมาทุกตัวของพี่และสิ่งที่อยากบอกคือ ถ้า (เธอพูดแทนตัวเองด้วยชื่อของเธอ) มีพี่เป็นพี่สาว (ชื่อของเธอ) จะไม่ทำให้พี่ต้องร้องไห้เลย
ข้อความจากมิตรคนที่หนึ่ง
อ่านแล้วซึ้งใจค่ะ “การที่คนเราจะได้สัมผัสความรู้สึกนึกคิดของคนแต่ละคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะคะ ถือได้ว่าเป็นกำไรชีวิตเลยแหละค่ะ แล้วป้าเอ๋ก็มีกำไรเยอะมากรู้มั้ยคะ การที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะความจริงใจที่ป้าเอ๋มีต่อทุกๆ คนค่ะ”
หนูเห็นความไม่ธรรมดาในท่วงทำนองการเขียนของป้าเอ๋นะคะ และคิดว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะรู้สึกได้ ดีใจมากๆ ค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานและความฝันที่แบบว่าแรงกล้ามากๆ ของป้าเอ๋
ไม่ใช่แค่ป้าเอ๋ได้กำลังใจจากหนูเท่านั้นนะ หนูก็ได้ความคิดดีๆ และกำลังใจจากใจจริงๆ ของป้าเอ๋มาเหมือนกันค่ะ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ จากใจจริงๆ ของหนูเลย
ข้อความจากมิตรคนที่สอง
สวัสดีค่ะป้าเอ๋
ได้อ่านงานเขียนของป้าเอ๋แล้ว (ชื่อของเธอ) รู้สึกตื้นตันค่ะ...และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นหนึ่งในหลายๆ ท่านที่ป้าเอ๋กล่าวถึง ดีใจที่ป้าเอ๋ทำความฝันสำเร็จแล้ว คำว่าสำเร็จในที่นี้ไม่ได้หมายถึงได้รับรางวัลเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการเอาชนะความยาก ความเหนื่อย ความท้อแท้และหลายสิ่งหลายอย่างที่รุมเร้าจนเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถทำผลงานออกมาได้
แต่วันนี้ในที่สุดป้าเอ๋ก็ทำสำเร็จแล้วหนึ่งขั้น (ชื่อของเธอ) เชื่อว่างานที่ป้าเอ๋เขียนแม้ (ชื่อของเธอ) ได้อ่านเพียงเสี้ยวหนึ่งของผลงาน แต่ (ชื่อของเธอ) คิดว่าทุกท่านที่ได้อ่านงานของป้าเอ๋จะต้องเห็นคุณค่าในงานชิ้นนี้แน่นอนค่ะ ป้าเอ๋ใช้ภาษาได้ดีสละสลวยมาก (ชื่อของเธอ) เป็นกำลังใจให้ป้าเอ๋และขอส่งแรงใจให้งานชิ้นนี้เป็นอีกชิ้นหนึ่งที่ได้รับคัดเลือกทำเป็นรูปเล่มออกสู่สายตาประชาชน (ชื่อของเธอ) ขอเป็นคนหนึ่งที่จะขอเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้ของป้าเอ๋นะคะ
ข้อความจากมิตรคนที่สาม
ป้าเอ๋จ๋า ป้าเอ๋ทำให้เช้านี้ของ (ชื่อของเธอ) สดใสขึ้นมากทีเดียว
เป็นบทความที่เรียบง่าย และราบรื่น เพอร์เฟ็ค อ่านแล้ว (ชื่อของเธอ) สัมผัสมิตรภาพ มันเหมือนสายน้ำฉ่ำเย็นไหลเอื่อย และมันทำให้ (ชื่อของเธอ) ถึงกับน้ำตาซึม พร้อมหันกลับมามองว่าจุดเริ่มต้นเมื่อเริ่มเขียนคือเหตุผลใด ในวันนี้ (ชื่อของเธอ) เริ่มจะลืมเลือนเหตุผลนั้นไปเสียแล้ว
เป็นกำลังใจให้กันนะคะ
ปล. ขอบคุณมากๆๆ สำหรับสิ่งที่ป้าเอ๋เขียนถึง (ชื่อของเธอ) มันทำให้ (ชื่อของเธอ) มีความสุขค่ะ
ข้อความจากมิตรคนที่สี่
ขอบคุณพี่เอ๋ค่ะ อ่านแล้วเขินจัง ดีใจนะคะที่ได้เป็นกำลังใจให้คนเขียนงานดีๆ ไม่ทราบว่าช้าไปมากหรือเปล่า ตอนนี้ผลการประกวดออกหรือยังคะ (ชื่อของเธอ) ช่วยลุ้นๆๆ เช่นกันค่ะ
นี่ไงคะตัวอย่างบางส่วนจากผู้อ่านที่ป้าเอ๋เชื่อมั่นว่าทุกท่านคือผู้ที่รักและเห็นคุณค่าในตัวอักษร ทุกคำที่ได้อ่านและทุกถ้อยคำที่ได้รับฟังทำให้ป้าเอ๋รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกเป็นเกียรติที่ทุกท่านได้ให้โอกาสอ่านงานเขียนของป้าเอ๋แม้จะเพียงบางส่วนเท่านั้น...ให้กำลังใจกันขนาดนี้จะไม่ให้ป้าเอ๋หลงตัวเองได้หรือคะ เป็นธรรมดาของปุถุชนค่ะ
ในการเขียนงานชิ้นนี้ป้าเอ๋ใช้นามปากกาว่า 2554 ตะเกียงเจ้าพายุ ค่ะ ผู้อ่านทุกท่านอยากรู้ไหมเอ่ยว่านามปากกานี้มีที่มาอย่างไร จะอยากรู้หรือไม่อยากรู้ ป้าเอ๋ก็ขออนุญาตเล่าให้ฟังนะคะ แต่ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเองก่อนว่าป้าเอ๋เป็นใคร
ป้าเอ๋คือแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งต้องขับรถซาเล้งออกไปขายของค่ะ ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองเพราะว่าเป็นคนมากเรื่อง ใครช่วยอะไรก็ไม่เคยถูกใจป้าเอ๋สักเรื่อง พวกน้องๆ เลยหมั่นไส้ปล่อยให้ทำงานทุกอย่างเสียคนเดียว ป้าเอ๋คือคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านใดๆ สาเหตุหลักๆ คือป้าเอ๋เป็นคนตามใจตัวเองค่ะ ถ้าหากจะยอมรับกันตรงๆ ก็คือป้าเอ๋มั่นใจไร้สตินั่นล่ะค่ะ คือยึดถือตนเองเป็นหลักไม่ค่อยเชื่อฟังใคร...หลังจากรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองตกอยู่ในความดำมืดเสียเป็นเวลานานจนกระทั่งอายุล่วงเลยเข้าเลขสี่ ป้าเอ๋มารู้ตัวโดยบังเอิญว่ารักการเขียนหนังสือ ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้เลย และรู้ตัวด้วยว่าตนเองนั้นหากจะเลือกเดินบนเส้นทางสายนี้คงจะต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองอีกมากมาย
แต่แล้วข้อความดีๆ อันเกิดจากความรู้สึกดีๆ ของมิตรที่น่ารักหลายคนซึ่งป้าเอ๋ได้รับรู้ในปี 2554 และก่อนหน้านั้นก็ทำให้ป้าเอ๋รู้สึกว่าตนเองก็เป็นสิ่งหนึ่งในโลกใบนี้ที่สามารถให้แสงสว่างได้เช่นกัน แม้จะเป็นแสงสว่างเพียงไม่กี่แรงเทียนและที่สำคัญไม่ได้เป็นแสงสว่างที่เกิดโดยตนเอง แต่เป็นแสงสว่างที่เกิดจากการจุดของผู้อื่น ความรู้สึกที่มีต่อตัวเองของป้าเอ๋ ณ ปี 2554 คือเปรียบแสงน้อยนิดที่มีอยู่ในตัวตนของป้าเอ๋เป็นแสงของตะเกียงเจ้าพายุ เมื่อป้าเอ๋คือตะเกียงเจ้าพายุ ดังนั้นผู้จุดตะเกียงก็คือทุกๆ ท่านที่ได้ให้กำลังใจกับป้าเอ๋ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและผู้เป็นกำลังใจให้ป้าเอ๋ในโลกออนไลน์ค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับกำลังใจจากหัวใจทุกๆ ดวงของทุกท่านที่ได้กรุณาจุดแสงให้แก่ตะเกียงเจ้าพายุดวงนี้ค่ะ
การเขียนเรื่อง ‘ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อง’ ป้าเอ๋มีวัตถุประสงค์อยากแสดงด้านมืดของตนเองและอยากเชิดชูด้านสว่างของผู้อื่นค่ะ ดังนั้นที่ผ่านมาเมื่อมีคนที่สนิทสนมกันได้อ่านงานชิ้นนี้ของป้าเอ๋ ป้าเอ๋ก็จะต้องมีคำถามว่า
“พี่เกลียดเอ๋มั้ยคะ”
“น้องเกลียดพี่มั้ย”
สำหรับผู้อ่านที่น่ารักก็เช่นกันนะคะ หลังจากได้อ่านภูมิหลังและความรู้สึกนึกคิดของป้าเอ๋แล้ว สิ่งที่ป้าเอ๋อยากได้จากทุกท่านก็คือคำตอบจากคำถามนี้ล่ะค่ะ คือ “เกลียดป้าเอ๋มั้ยคะ”
เนื้อเรื่องที่ป้าเอ๋นำมาลงในครั้งนี้คือต้นฉบับที่ส่งเข้าประกวด ส่วนข้อความที่พูดคุยกันภายหลังในแต่ละตอน ป้าเอ๋ขอใช้สัญลักษณ์ตัวเอียงนะคะ งานชิ้นนี้มีภาพประกอบด้วยค่ะ (สำหรับบางเรื่อง) แต่ป้าเอ๋จะนำรูปภาพมาลงในภายหลังนะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ ความปรารถนาดีของเทวดา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ความปรารถนาดีของเทวดา
ความคิดเห็น