ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวบรรดาศักดิ์ | MarkBam (THAI)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ ๓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.63K
      321
      15 ก.ค. 59

    ลงครั้งแรก 30 มิถุนายน 2559

     

    “คุณชาย” เรียวขายาวภายใต้กางเกงแสลกสีเข้มหยุดชะงักเมื่อได้ยินสุรเสียงทุ้มต่ำของบุคคลที่คุ้นเคยดี ดวงตากลมช้อนมองผู้เป็นบิดาหากแต่มิได้ตอบอะไรกลับไป มือเรียวสวยกำวุฒิการศึกษาเอาไว้แน่น หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์ตั้งใจจะไปสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่น้องหญิงศึกษาอยู่


    ตัดสินใจแน่วแน่ว่าอย่างไรเสียก็จะไม่ยอมเข้าทำงานที่กระทรวงต่างประเทศกับท่านพ่อเป็นเด็ดขาด


    หาได้ต้องการหลบหน้า เพียงต้องการทำงานที่เหมาะกับตนก็เท่านั้น


    แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คุณชายเพียงคนเดียวของบ้านคงตัดสินใจอะไรล่าช้าเกินไป จึงต้องได้เผชิญหน้ากับหม่อมเจ้าตฤณกฤตทั้งที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งแต่วันที่คุยเรื่องงานแต่งงานคราวนั้น


    “วันนี้มีนัดหรอกรึ?”


    “เพียงต้องการไปสมัครงานที่มหาวิทยาลัยเท่านั้นกระหม่อม”


    “เหตุใดต้องไปถึงมหาวิทยาลัย ชายไม่อยากทำงานที่กระทรวงกับพ่อแล้วหรือ?”พระหัตถ์ใหญ่เอื้อมไปจับมือน้อยของลูกชายเอาไว้ พระเนตรคมเข้มตามแบบชายไทยโดยแท้ทอดมองใบหน้าหวานของลูกชายเพียงคนเดียว หม่อมเจ้าตฤณกฤตทรงทราบอยู่แล้วว่าเหตุใดลูกชายจึงต้องอยากออกไปทำงานข้างนอก แล้วก็ทรงทราบดีด้วยว่าคุณชายคนกลางกำลังคิดที่จะทำอะไร


    สิ่งนั้นก็คงจะไม่พ้นหลบหน้ากัน


    “ชายอยากเป็นอาจารย์มากกว่ากระหม่อม”


    “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ทานอาหารเช้ากับพ่อก่อน”


    “หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่ได้” กายบางเขยิบถอยห่างออกจากพระวรกายของผู้เป็นบิดา ดวงตากลมเอ่อคลอไปด้วยน้ำตายามที่ต้องตวัดช้อนมองพระพักตร์ เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำแบบนี้เลย ไม่ได้ต้องการจะหลบหน้าหรือเรียกร้องอะไร หากแต่ทุกคราที่ได้เจอท่านพ่อ ในหัวก็มักจะหวนกลับไปคิดเรื่องแต่งงานอยู่เสมอ


    รู้ดีว่าอย่างไรเสียก็คงจะหนีไม่พ้น


    หากแต่ตอนนี้ต้องการเพียงแค่เวลา ขอเวลาสักยามในการทำใจก็เท่านั้น


    “ชายอย่าทำอย่างนี้กับพ่อเลยลูก มันเป็นพระประสงค์ของเสด็จปู่ พ่อขัดไม่ได้” สุรเสียงอ่อนโยนตรัสกับลูกชายเพียงคนเดียว ดวงเนตรคมเต็มไปด้วยความลำบากใจแต่ถึงอย่างนั้นท่านชายเองก็ทรงทำอะไรไม่ได้ หากจะไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาก็จะเป็นการให้อีกฝ่ายมาหมิ่นพระเกียรติบิดาของตน


    สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ


    แต่สำหรับคนที่เกิดมาเป็นลูกเจ้าลูกตระกูล การให้คนหมิ่นเกียรติคือสิ่งสุดท้ายที่จะยอมให้เกิดขึ้นได้


    “หม่อมฉันเข้าใจกระหม่อม”



    “ร่างกายของหม่อมฉัน หัวใจของหม่อมฉัน ท่านพ่อก็ทรงเป็นผู้ประทานมาให้ จะเป็นอะไรไปหากท่านพ่อมีพระประสงค์จะยึดคืน หน้าที่ของหม่อมฉันคือแต่งงาน หม่อมฉันไม่ลืมหรอกกระหม่อม”



    “หม่อมฉันไม่ใช่ผู้เยาว์แล้ว หม่อมฉันไม่มีวันหนีงานแต่งงานให้ท่านพ่อและหม่อมแม่เสียเกียรติ ขอให้ท่านพ่อทรงสบายพระทัยเถิดกระหม่อม” เรียวปากบางสั่นระริกยามที่ต้องเปล่งน้ำเสียงอ่อนแรงออกไป น้ำตาเม็ดโตไหลงลงอาบแก้มนวลอย่างน่าสงสาร ที่พูดออกไปไม่ได้มีความต้องการจะประชดประชัน คุณชายเพียงต้องการแสดงสถานะของตนก็เท่านั้น ต่อให้หนีอย่างไรเขาก็ไม่มีวันหนีหน้าที่ของตนเองได้


    ถึงจะไม่ใช่ราชวงศ์ชั้นสูง


    แต่คุณชายก็จะไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นพระเกียรติของท่านปู่ได้เช่นกัน


    แม้ว่าจะต้องแลกด้วยการสูญเสียเกียรติของตนก็ตาม


    “ชาย..


    “หม่อมไปเถิดลูก ช่วงบ่ายอย่างไรก็กลับมาที่บ้านเสียหน่อย ว่าที่คู่หมั้นของลูกจะพาออกไปทานข้าวข้างนอก” หม่อมมารตีที่เพิ่งจะเดินลงมาจากด้านบนทันที่จะเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพอดีพูดกับลูกชาย ดวงหน้าหวานที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาพยักรับอย่างจำยอมก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตัวตึกไป


    หญิงสาวประคองพระวรกายของสวามีให้เดินไปยังโต๊ะอาหาร ท่านชายดูเคร่งเครียดหากจะให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องงานแต่งงาน


    ใครบ้างจะอยากให้ลูกเสียเกียรติถึงขั้นต้องละทิ้งความเป็นชายไปแต่งงานเป็นภรรยาของคนอื่น ยิ่งลูกชายที่เกิดมาพร้อมยศถาบรรดาศักดิ์แบบนี้ด้วยแล้ว ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ทำใจยากเสียเหลือเกิน


    “หม่อมว่าลูกจะชังฉันไหม?”


    “อย่าทรงกังวลไปเลยเพคะ ลูกชายรู้หน้าที่ของตนดี เพียงแต่ในเวลานี้ยังทำใจไม่ได้ก็เท่านั้น”



     

    “ได้ข่าวว่าหม่อมบ้านนั้นน่ารักอย่างนี้เลยนะเฮีย” ฆนรุจยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างประกอบกับคำพูดของตัวเองหลังจากที่พี่ชายเพียงคนเดียวทำหน้าตาราวกับโมเดลเครื่องบินในห้องถูกคุณนายนวลผู้เป็นแม่เอาไปเผาทิ้งหมดชั้น ดวงหน้าหล่อเหลาประดับไปด้วยความไม่พอใจเสียจนฆนรุจเองก็ไม่รู้ว่าจะชวนพี่คุยเรื่องอะไรดี


    สุดท้ายก็เลยหาข้อดีของว่าที่ภรรยามาพูดให้พี่ชายของตนไม่รู้สึกแย่กับการแต่งงานไปมากกว่าที่เป็นอยู่มันเสียอย่างนั้น


    “แต่งเองไหม หากสนใจหม่อมบ้านนั้นขนาดที่ว่านั่นน่ะ” ดวงตาคมกริบตวัดมองน้องชายที่รอดตัวจากการแต่งงานไปหวุดหวิดเพราะดันไปหมั้นหมายกับลูกสาวคุณปิติคู่ค้าคนสนิทของป๊าไปเสียแล้วเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ฆนรุจส่ายหน้าเร็วๆปฏิเสธคำของพี่ชาย ถึงจะน่ารักปานใดเขาก็ไม่คิดอยากจะพิศวาสผู้ชายด้วยกันสักเท่าไหร่หรอก


    แม้จะบอกว่ากิริยามารยาทงามเกินชาย แต่ถึงอย่างนั้นคุณหม่อมคู่หมั้นก็ยังเป็นชายอยู่ดี


    โจอี้ยังไม่นึกอยากได้ภรรยาเป็นชายเท่าไหร่


    เฮียยังว่างไร้คู่หมั้นคู่หมาย ก็ขอให้เฮียรับไปก็แล้วกัน


    “เฮ้อ อุตส่าห์ได้ต้องใจใครสักคนเสียหน่อย ทำไมถึงได้ต้องมาถูกจับคลุมถุงชนอย่างนี้ด้วยวะ”


    “เฮียว่าไงนะ!” กายโปร่งของพ่อหนุ่มนักธุรกิจเขยิบเข้าใกล้ผู้เป็นพี่ชายมากยิ่งขึ้นเมื่อแอบได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั่นพึมพัมว่ากำลังต้องใจใครบางคนอยู่  โจอี้ไม่นึกอยากจะเชื่อหูของตัวเองเท่าไหร่นัก คนอย่างคุณฆนากรเนี่ยนะจะไปต้องใจใครเข้าให้ได้


    หากบอกว่าจะตกลงแต่งงานกับเครื่องบินสักลำในกองทัพเขายังอยากจะเชื่อมากกว่าเลย


    “วะไอ้นี่ ตกใจอะไรปานนั้น คนอย่างฉันจะมีคนให้ต้องใจบ้างไม่ได้หรืออย่างไรกัน!


    “ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อยนี่เฮีย ผมก็แค่สงสัยว่าหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใครก็เท่านั้นเอง”


    “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ผู้หญิง” ใบหน้าหวานสวยราวกับสตรีเพศของหม่อมหลวงจิณภัทรลอยละล่องเข้ามาในห้วงความคิดของนายทหารหนุ่มโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งตัว รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากบางสีธรรมชาตินั่นทำให้ฆนากรได้แต่ทำหน้าเศร้าใจ


    ทำไมคนที่เขาต้องแต่งงานด้วยไม่เป็นหม่อมหลวงจิณภัทรกันนะ


    หากเป็นหม่อมผู้นั้นฆนากรจะไม่ลังเลใจอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย


    “หืม ผู้ชายที่ไหนกันมาทำให้คนอย่างคุณฆนากรที่วันๆสนใจแต่เครื่องบินไปต้องใจได้??”


    “หม่อมหลวงจิณภัทร ปิติโชคโภคิณ” ชื่อเสียงเรียงนามของหม่อมที่ว่าทำให้ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจได้โดยง่าย หากจะกล่าวถึงชายที่งดงามหมดจดน่ามองก็คงจะต้องนึกถึงหม่อมหลวงผู้นี้กับคุณหม่อมว่าที่ภรรยาของเฮียเขานั่นแหละ โจอี้เองก็เป็นหนุ่มสังคม เขาจึงมักได้ยินคนพูดถึงราชนิกูลหนุ่มทั้งสองอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกอะไรที่เขาจะรู้จัก แต่ที่แปลกนี่คือพี่ชายของเขาไปรู้จักคุณหม่อมคนสวยได้อย่างไรต่างหาก


    แล้วรู้หรือเปล่าคนที่ตัวเองต้องใจกับว่าที่ภรรยาน่ะเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน


    เช่นนี้จะไม่ช้ำกว่าเดิมอีกหรือ หากว่าในงานแต่ง บุคคลที่ไปต้องใจไว้จะต้องมาร่วมงานด้วย


    โจอี้ไม่อยากจะนึกถึงภาพบรรยากาศงานในวันนั้นเลยจริงๆ


    “อ่อ คุณหม่อมเพื่อนสนิทของว่าที่ภรรยาเฮียไง”


    “ถึงได้กังวลอยู่นี่อย่างไรล่ะ” กายแกร่งสมชายชาติทหารทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หวายเนื้อดีตัวหนึ่ง ขาเรียวยกขึ้นพาดเป็นการไขว่ห้างง่ายๆพลางใช้สมองอันปราดเปรื่องของตนคิดไปด้วยว่าเขาควรจะจัดการกับเรื่องทั้งหลายแหล่ที่ประเดประดังเข้ามาในชีวิตอย่างไรดี


    บางทีก็นึกอยากจะเกิดเป็นฆนรุจ


    เป็นน้องชายคนเล็กที่ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรมากมายเยี่ยงเขา


    นึกแล้วก็ได้แต่ปวดหัว อย่างไรก็คงปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้


    โถ่.. คุณหม่อมของผม..


    “ถ้าเราปฏิเสธการแต่งงานนี่ได้ไหมเฮีย??”


    “ป๊าฆ่าฉันหมกป่าพอดีสิ” เถ้าแก่ต้วน แซ่เก่าก่อนจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลวิรุฬห์ธนกิจ ขึ้นชื่อเรื่องความเถรตรงเสียยิ่งกว่าไม้บรรทัดสามล้านอันมารวมกัน หากจะให้ผิดคำพูด ป๊าคงยอมฆ่าเขาหมกป่าเสียยังง่ายกว่า ชายหนุ่มที่ผ่านอะไรมามากมายกว่าครึ่งชีวิตนั่นก็ตามประสาคนจีน พูดคำไหนก็คำนั้น ฆนากรเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอากงของเขาไปทำสนธิสัญญากับบ้านลูกเจ้าลูกนายนั่นเอาไว้ทำไม


    ปกติเห็นพวกลูกผู้ดีรางน้ำไม่ชอบขี้หน้าคนไทยเชื้อสายจีนอย่างพวกเขาเท่าไหร่นัก


    ลงทุนให้ลูกหลานของตัวเองมาแต่งงานกับพวกเขาเยี่ยงนี้ ก็ดูเป็นเรื่องที่แปลกพอตัว


    แล้วยิ่งจะให้ไปปฏิเสธอีก มีหวังเกลียดกันไปอีกเจ็ดชั่วโคตร


    “งั้นเฮียคงต้องทำใจแล้วล่ะ”


    “เฮ้ออ” ถอนหายใจออกมาแรงๆให้กับภาระหน้าที่ของตนเอง นี่ถ้าเขาไม่พาไอ้สมชายไปหาขนมกินวันนั้นเรื่องมันก็คงไม่ยากขนาดนี้


    เราคงไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกันจริงๆสินะครับคุณหม่อม


    “ก็คงต้องอย่างนั้น ฉันไปเตรียมตัวก่อนก็แล้วกัน ตอนบ่ายต้องไปรับคุณว่าที่ภรรยาไปทานข้าว แกเองก็ไปแต่งตัวได้แล้ว วันนี้ไม่ต้องเข้าไปดูงานที่ห้างหรือไง??”


    “บ่นเป็นคนแก่เลยเฮีย ไปๆๆแยกย้ายๆ”โบกมือในอากาศเร็วๆสองสามทีก่อนที่พ่อหนุ่มเจ้าสำราญจะหายแว๊บไปอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ฆนากรได้สวดก่อนที่ริอาจจะมาว่าเขาว่าเป็นตาแก่ เกิดช้ากว่าเขาแค่สามปี หากฆนากรแก่แล้วฆนรุจจะไปเหลืออะไร


    ก็แก่พอกันนั่นแหละวะ!

     



    “เดี๋ยวทางมหาวิทยาลัยจะติดต่อกลับไปอีกทีนะครับคุณหม่อม” เรียวปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มให้กับท่านอธิการบดีก่อนจะกระพุ่มมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าเสียจนอีกฝ่ายยกมือขึ้นมารับไหว้แทบจะไม่ทัน กายบางในชุดสุภาพให้เกียรติสถานที่ลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะค้อมตัวเดินผ่านผู้ใหญ่ไปทางประตูของสำนักงาน


    ดวงหน้าหวานสวยเต็มไปด้วยความกังวล ลองให้พูดอีหรอบนี้เปอร์เซ็นต์การไม่ได้งานก็ดูจะยิ่งสูงขึ้น เขาล่ะกลัวนักว่าทางมหาวิทยาลัยจะไม่ติดต่อกลับไป


    หากเป็นเช่นนั้นราชนิกูลหนุ่มก็คงไม่แคล้วจะต้องเข้าไปทำงานที่กระทรวงกับท่านพ่อจริงๆ


    ขอให้ติดต่อกลับมาเถิดนะ ได้โปรด


    ได้แต่อ้อนวอนอยู่ในใจระหว่างที่เรียวขายาวก้าวเดินไปยังลานจอดรถที่นายสนจอดรออยู่แล้ว ดวงตากลมโตหลุบมองเท้าของตัวเองหาได้มองทางอย่างที่ควรจะเป็น และเพราะแบบนั้นคุณชายผู้สูงศักดิ์จึงไม่ทันได้มองว่ามีคนกำลังเข็นรถเข็นตัดผ่านทางที่ตนกำลังเดินอยู่


    “ระวังครับ!! กายบอบบางถูกดึงกระชากอย่างแรงจากมือของใครบางจนถลาเข้าไปหาอกของผู้มาใหม่ ดวงตากลมโตหลับลงอย่างรวดเร็ว คิดเอาไว้แล้วว่าคงต้องหกล้มกระแทกจนเจ็บตัวอีกแน่ๆ นิสัยเปิ่นๆแบบนี้แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่หายสักที เหนื่อยใจคุณชายวังโรจนรัตติกรเสียจริง


    “ลืมตาเถิดครับ คุณไม่เป็นอะไรแล้ว”


    “หะ หืม..” ปรือตาขึ้นมองอกแกร่งของคนตรงหน้าก่อนจะรีบดันร่างน้อยออกจากอ้อมแขนของอีกคนอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาของบุคคลที่ช่วยตนไว้ เขาเป็นชายผู้คนหนึ่งที่มีดวงตากลมรับเข้ากับจมูกที่โด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเฉียบ รวมกันแล้วลงตัวได้อย่างน่าพิสมัย กายแกร่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มเนื้อดีกับกางเกงแสลกสีเข้ากันตัวใหญ่กว่าคุณชายร่างน้อยอยู่ไม่มากจนเกินไป แต่ก็ดูแข็งแรงและแข็งแกร่งกว่าจากความหนาของลำตัว


    ดูเป็นผู้ชายวัยทำงานคนหนึ่งที่สามารถปกป้องใครสักคนได้


    ต่างจากราชนิกูลหนุ่มที่ดูน่าถะนุถนอมเสียมากกว่าจะไปปกป้องใคร


    “ขะ ขอบพระคุณครับ” อ้อมแอ้มขอบคุณเขาออกไปเสียงเบา ปรางค์นุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย มามหาวิทยาลัยวันแรกก็ทำตัวเปิ่นๆแบบนี้เสียแล้ว รู้ถึงไหนได้อายไปถึงนั่น


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่คุณไม่เป็นอะไรนะ” ถามออกมาเสียงนุ่มพลางกวาดดวงตาสีเข้มราวกับรัตติกาลที่มืดมนมองร่างน้อยตรงหน้าไปด้วย คนตัวเล็กส่ายหน้าไวๆจนผมนุ่มสลวยกระจายไปมาอย่างน่ารัก ญาณภัทรยกยิ้มให้กับท่าทางน่ารักๆนั่น ถ้าไม่ติดว่ารู้จักชื่อเสียงเรียงนามอีกคนดีอยู่แล้ว เขาคงคิดว่าคุณหม่อมตรงหน้าเป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งของที่นี่เท่านั้น


    ใครจะไม่คิดกันล่ะว่าเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์แบบนี้จะเรียนจบการระหว่างประเทศจากอังกฤษมาเรียบร้อยแล้ว


    “ไม่เป็นครับ ขอบคุณอีกที”


    “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับหม่อม ผมญาณภัทรนะครับ หรือจะเรียกว่าภัทรเฉยๆก็ได้” ก้มลงจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวออกเสียงต่ำ คนถูกเรียกว่าหม่อมพยักหน้าเร็วๆพร้อมกับแนะนำตัวเองออกมาบ้าง “ผมหม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์ครับ เรียกผมว่าแบมเฉยๆก็ได้”


    “ไม่เอาหรอกครับ แม่ผมรู้เข้ามีหวังโดนสวดหูชาแน่ๆ ไปเรียกลูกเจ้าลูกนายด้วยชื่อเฉยๆแบบนั้นน่ะ”


    “ฮ่าๆ ตามใจคุณเถอะครับ แต่ผมคงต้องขอตัว พอดีว่ามีธุระ อย่างไรก็ขอบคุณอีกทีนะครับ” ค้อมตัวให้อีกคนเร็วๆหลังจากที่สังเกตแล้วว่าอายุอานามคงจะไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก


    “หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะครับ” ร่างบอบบางของคุณชายตัวน้อยเดินห่างออกไปไกลแล้ว แต่ชายหนุ่มตัวสูงยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับดวงตาที่ทอดมองตามร่างเล็กไป


    น่ารักอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงๆด้วยสินะ


    คุณชายแบม..



     


    รถของวังโรจนรัตติกรเลื่อนเข้าเทียบที่หน้าตึกใหญ่อย่างนุ่มนวล นายสนคนขับค่อยๆชะลอรถลงก่อนที่จะจอดสนิทพร้อมให้ผู้โดยสารตัวน้อยก้าวลงจากยานพาหนะคันใหญ่ได้


    “ขอบคุณลุงสนมากเลยครับ” เอ่ยกับคนขับรถของวังอย่างไม่ถือตัว เรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มวัยเกือบจะ 50 ปีได้เป็นอย่างดี ร่างน้อยค่อยๆขยับตัวลงจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่าสามอย่างไร้ที่ติ หากเสด็จได้มาเห็นก็คงจะภูมิใจในตัวหลานรักของท่านไม่น้อย


    ช่างงดงามได้ทุกอิริยาบถอย่างที่ท่านต้องการเสียจริง


    “คุณชายกลับมาพอดีเลยค่ะ คุณคู่หมั้นก็เพิ่งจะมาถึง” ข้าหลวงคนสนิทก้าวเข้ามารับเอกสารซองใหญ่ในมือของคุณชายที่เธอดูแลมาตั้งแต่เด็กอย่างนอบน้อม หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์เพียงส่งยิ้มบางเบาให้กับเธอเท่านั้นหาได้พูดอะไรออกมาไม่


    ดวงหน้าหวานสวยดูเหนื่อยล้าเสียจนข้าหลวงคนสนิทได้แต่สงสาร


    ตลอดหลายวันมานี่เจ้านายของเธอมีแต่ทำหน้าเศร้าๆ ขนาดได้จัดดอกไม้อย่างที่ชอบก็ยังเศร้า


    ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็พากันสงสาร


    แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครสามารถช่วยอะไรคุณหม่อมตัวน้อยได้เลย


    “อยู่ที่ห้องรับแขกใช่ไหมครับ?”


    “ค่ะ เธอนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก” พยักหน้ารับคำบอกกล่าวอย่างว่าง่าย ช่วงขายาวก้าวเดินไปทางห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลนักด้วยหัวใจที่แสนห่อเหี่ยว อยากจะหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีออกไปนักแต่ก็ทำเยี่ยงนั้นไม่ได้ ทำได้ก็แค่ก้มหน้าก้มตาเดินไปรับชะตากรรมของตัวเอง


    หวังว่าว่าที่สามีจะไม่ได้เป็นคนแย่อะไรหรอกนะ


    หวังว่าเราสองคนจะจากลากันได้ด้วยดีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม


    ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน


    “อ่าวชาย กลับมาพอดี มานั่งเร็วลูก” หม่อมมารตีส่งเสียงเรียกลูกชายเพียงคนเดียวเมื่อเห็นว่าคุณชายหนุ่มกลับมาจากการไปสมัครงานแล้ว กันต์พิมุกต์ก้าวเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างกายหม่อมแม่อย่างจำยอมก่อนจะช้อนดวงตากลมไปมองร่างสูงโปร่งของคู่หมั้นที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว


    ดวงตาทั้งสองคู่เบิกกว้างเพียงแค่ได้มองเห็นหน้ากันชัดๆ


    “คุณฆนากร/คุณหม่อม!


    “รู้จักกันแล้วหรือลูก??” หม่อมมารตีอดไม่ได้ที่จะฉงนใจ ไหนว่าไม่เคยเจอกัน แล้วเหตุใดจึงส่งเสียงดังเรียกกันราวกับรู้จักกันมาก่อนแล้วเช่นนี้


    “หม่อมจิณ..” เสียงทุ้มต่ำครางออกมาเสียงแผ่วในลำคอ เรียกความไม่พอใจจากคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี ลมหายใจร้อนๆถูกผ่อนออกมาระบายความหงุดหงิดใจ


    ไอ้เราหรือก็นึกว่าจะรู้จักกัน..


    “ขอโทษ แต่นั่นไม่ใช่ชื่อของผม..!

     

    แต่ดันไม่รู้จักชื่อกันเสียนี่!!






    TALK

    คนที่ถามเข้ามาว่าเมื่อไหร่พี่เค้าจะรู้สักทีว่านั่นไม่ใช่หม่อมจิณ พี่เค้ารู้แล้วนะคะ ไม่ได้รู้วันแต่งเนอะ 555555

    ตอนนี้มีตัวละครเพิ่ม แต่คุณคนนี้เค้าไม่ร้ายนะคะตัว เค้าออกจะน่ารัก ยังไงฝากนิยายด้วยนะคะ

    แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงอัพได้ทุกวี่ทุกวัน 55555 (ปิดเทอมก็เงี๊ยยย!!)


    นี่คือคุณญาณภัทร >///< พี่เค้าเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์นะคะ ใครอยากลงชื่อทีมแฟนคลับพี่เค้าก็ทำได้เต็มที่เลย 55555

     เล่นแท็กกันได้ที่ #จสบดศ นะคะ แท๊กโล่งมาก 5555

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×