ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวบรรดาศักดิ์ | MarkBam (THAI)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ ๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.38K
      379
      4 ก.ค. 59

    ลงครั้งแรก 28 มิถุนายน 2559

     

    แก้วตาสีน้ำตาลเข้มไม่ดำสนิทสีเดียวกับเรือนผมของตนจ้องมองใบหน้าหวานสวยของหม่อมในหม่อมเจ้าตฤณกฤตแน่นิ่ง เรียวปากสีสดขบเม้มเข้าหากันเพื่อระบายความไม่พอใจออกมา มือเรียวสวยที่ประครองดอกกุหลาบสีชมพูอ่อนดอกไม้โปรดของท่านพ่อกำเข้าหากันแน่น แทบจะหลงลืมไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่าเจ้าดอกไม้แสนสวยนั่นถูกถือเอาไว้


    หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องทำงานของท่านพ่อไม่ยอมขยับตัวไปไหน แม้จะได้รับคำสั่งให้เข้าพบผู้เป็นบิดาของตนก็ตาม


    ไม่เคยปฏิเสธแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาปฏิเสธไม่เป็นเสียหน่อย


    และเรื่องใหญ่โตพรรค์นี้เขาก็ไม่พร้อมด้วยที่จะกระทำ ต่อให้จะเป็นพระประสงค์ของท่านพ่อก็ตาม


    “หม่อมไม่ดื้อสิลูก ท่านพ่อท่านขอร้อง หม่อมจะยอมทำตามประสงค์ของท่านไม่ได้เชียวหรือ” มือเรียวสวยของผู้เป็นมารดาลูบลงไปบนแขนเรียวภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีชมพูอ่อนของลูกอย่างเบามือ ดวงหน้าหวานราวกับสตรีเพศเต็มไปด้วยความลำบากใจซึ่งเธอเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าลูกชายจะต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้


    หม่อมไม่ชอบให้ใครมาบังคับเธอเองรู้ดี แต่เรื่องนี้หากไม่บังคับเห็นทีจะเกิดเรื่อง


    “ราชสกุลของเราไม่ถูกกับเขา ถ้าชายจำไม่ผิดท่านพ่อเคยตรัสกับชายแบบนั้น”


    “มันก็ถูก แต่คราวนี้มันจำเป็น” หม่อมมารตีเอ่ยตอบบุตรชายไปเสียงเรียบ ขณะที่ท่านชายตฤณผู้เป็นสามีกำลังพูดคุยกับปลายสายเรื่องงานแต่งงานของราชสกุลโรจนรัตติกรกับตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆของพระนครอย่างวิรุฬห์ธนกิจอยู่ด้านในห้องทำงาน


    ท่านชายตฤณบอกให้หล่อนเป็นธุระคุยกับลูกให้หน่อยเพราะตัวท่านเองก็ไม่รู้ว่าจะตรัสกับลูกอย่างไร คุณชายกันต์พิมุกต์ไม่ใช่เด็กดื้อ แต่ก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอสำหรับเรื่องที่จะทำ คุณชายถูกเลี้ยงมาโดยพระองค์เจ้าหญิงติรวดีผู้เป็นย่า นั่นทำให้หม่อมมีทั้งความเรียบร้อย ความเด็ดขาด และความถือตัวในยศศักดิ์อยู่ไม่มากก็น้อย


    ใครๆต่างก็เกรงกลัวหน่อเนื้อแห่งราชสกุลโรจนรัตติกรกันทั้งนั้น แม้ไม่ได้โวยวายออกมาเหมือนแม่ค้าปากตลาด แต่การเชิดหน้าขึ้นสูงแล้วเสดวงตาไปมองทางอื่นก็ถือเป็นเป็นการลงโทษที่ไม่เคยมีใครคิดอยากจะลองสักครั้งหนึ่งในชีวิตหรอก


    คุณชายแบมน่ะ เวลาดีก็ดีใจหาย แต่หากเวลาไม่พอใจขึ้นมา ไม่มีใครคิดอยากจะไปเข้าหน้าท่านสักเท่าไหร่นัก


    กลัวสายตาเย็นยะเยือกแบบนั้นกันจะตายไป


    “ถ้าหม่อมแม่หมายถึงเพราะเราต้องทำตามสัญญาของเสด็จปู่ที่ให้ไว้ ชายไม่เห็นว่าการที่เราทำแบบนี้คือสิ่งที่ถูก พี่หญิงแต่งงานกับท่านชายเรวัตไปแล้ว นั่นก็ถือว่าข้อตกลงมันจบลงไปแล้ว” อ้างถึงหม่อมราชวงศ์กันติภาผู้เป็นพี่ที่เข้าพิธีแต่งงานเข้าวังกรภัควัฒน์ไปเมื่อต้นปีที่แล้ว พลางตวัดดวงตาไปมองรูปภาพของพระองค์เจ้าคิริณยากร ผู้เป็นปู่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก


    คุณชายสนิทกับเสด็จย่า แต่ก็ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเสด็จปู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมท่านทั้งสองถึงได้ต่างกันนัก เสด็จย่าพระทัยดี เขาทำผิดอะไรก็ค่อยๆตักค่อยๆเตือน แต่กับเสด็จปู่ ท่านมีไม้เรียวประจำตัวอยู่เสมอ และไม้นั่นมันก็พร้อมจะฟาดลงที่น่องนิ่มของหม่อมราชวงศ์คนกลางในหม่อมเจ้าตฤณกฤตทุกครั้งที่ทำผิด


    นั่นเลยทำให้คุณชายกันต์พิมุกต์ไม่ค่อยจะชอบเข้าเฝ้าเสด็จปู่สักเท่าไหร่นัก


    พอได้มาตกที่นั่งลำบากเพราะสัญญาของท่านอีกแบบนี้ ร่างน้อยจึงอดไม่ได้ที่จะไม่พอใจขึ้นมา


    พี่หญิงแต่งออกไปแล้วแบบนั้นสัญญายังไม่ถือว่าเป็นโมฆะอีกหรือยังไง ในเมื่อในสัญญาระบุเอาไว้แค่เพียงว่าบุตรคนโตแห่งโรจนรัตติกร พี่หญิงเป็นพี่คนโต มันก็ควรจะจบลงตั้งแต่ที่พี่หญิงเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว แล้วทางฝ่ายนั้นจะมาต่อรองเรื่องอะไรกันอีกให้มันมากความ


    จะให้คุณชายแบบเขาไปแต่งกับพวกลูกชายเจ้าสัวที่ต้นตระกูลโล้สำเภามาจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่แบบนั้น แบมแบมไม่เห็นว่ามันเป็นการสมควรเลยสักนิด!


    มีที่ไหนจับผู้ชายสองคนไปแต่งงานกัน !


    ท่านพ่อทรงคิดอะไรอยู่เขาเองก็ไม่เข้าใจ!!


    “ถ้าหากหม่อมปฏิเสธการแต่งงานนี้ แม่คงต้องให้หญิงบิ๋มแต่งแทน”


    “หม่อมแม่!พูดออกมาเสียงดังเสียจนข้าหลวงที่ทำงานอยู่ต้องรีบพาตัวเองออกไปจากบริเวณนี้เสีย ดวงตากลมของคุณชายผู้สูงศักดิ์จ้องดวงตาที่เหมือนกันอย่างไร้ที่ติของผู้เป็นมารดาอย่างไม่ยอมแพ้ อย่างไรเขาก็ไม่ยอมในเรื่องนี้ หม่อมแม่จะเอาหญิงบิ๋มมาขู่เขาแบบนี้ไม่ได้!


    น้องยังเรียนอยู่จะให้ออกมาเพื่อมาแต่งงานได้อย่างไร


    ใครรู้เข้าจะได้อับอายกันไปเสียทั้งตระกูล


    “แม่รู้ว่าหญิงบิ๋มยังเรียนอยู่ แต่เราไม่มีทางเลือกนี่หม่อม หากเราผิดคำพูด นั่นหมายถึงคนจะหมิ่นพระเกียรติของเสด็จปู่ได้ ซึ่งแม่คิดว่านั่นมันร้ายแรงกว่าการที่ชายจะยอมแต่งงานนะ” หากจะกล่าวว่าหม่อมมารตีมีวาทศิลป์ก็คงจะไม่ผิดนัก เธอเป็นสาวชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ได้รับการยกขึ้นมาเป็นหม่อมหลังจากที่เข้าพิธีแต่งงานกับหม่อมเจ้าตฤณกฤตผู้เป็นสวามี จากหญิงชาวบ้านจึงต้องเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างก่อนจะเข้ามาอยู่ในรั้วในวัง


    และด้วยความที่สวามีเป็นถึงผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ สิ่งหนึ่งที่เธอต้องเรียนรู้ก็คือการพูด


    แต่ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าวันหนึ่งจะต้องเอามาใช้กับคนในครอบครัวอย่างนี้


    หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์ขมวดคิ้วมุ่นราวกับคนที่กำลังคิดไม่ตก ด้วยความที่เกิดมาในตระกูลผู้สูงศักดิ์ทำให้ร่างน้อยจำต้องรู้จักการรักษาเกียรติของตนเอง คนในครอบครัว และเกียรติของราชสกุล ถึงจะไม่ค่อยลงรอยกับเสด็จปู่เท่าไหร่ แต่การให้คนอื่นมาหมิ่นพระเกียรติของท่านก็เป็นสิ่งที่คุณชายร่างน้อยยอมไม่ได้


    แต่เรื่องนี้มันไม่มีทางออก


    พี่หญิงกันก็แต่งออกไปแล้ว ตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย  หญิงบิ๋มก็ยังเรียนอยู่


    คิดยังไงก็มีทางออกเดียวคือเขาต้องแต่งงาน


    การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่เป็นถึงหม่อมราชวงศ์หากแต่งกับลูกชายบ้านนั้นออกไป เขาก็ต้องถูกถอดยศ และแน่นอนว่ามันไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก แต่การแต่งงานกับใครสักคนไปแน่นอนว่าต้องมีคนคอยจับตามอง อย่าว่าแต่พวกนักข่าวเลย พระญาติด้วยกันนี่แหละตัวดี


    การจะหย่าขาดจากฝ่ายนั้นย่อมต้องเป็นเรื่องยากแน่ๆหากเขาตัดสินใจแต่งงานกับอีกฝ่ายไป


    ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว


    ชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งต้องรับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้เลยหรือไง


    เขาเพิ่งจะเรียนจบกลับมาได้ไม่ถึงปี งานการก็ยังไม่ได้ทำ ชีวิตก็ยังไม่ได้ใช้ จะให้แต่งงานไปเป็นภรรยาของคนอื่นแบบนี้ แบมแบมก็ไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่นักหรอก


    เขาจะทำยังไงได้บ้างนอกจากการยอมแต่งงาน


    “มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆหรือครับหม่อมแม่ ชายยังเด็ก ชายยังไม่อยากแต่งงาน”


    “โถ่ลูกแม่” โอบกอดร่างน้อยของผู้เป็นเหมือนดวงใจเอาไว้ มือเรียวสวยลูบแผ่นหลังบางเบาๆอย่างปลอบโยน เธอเองก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้สักเท่าไหร่หรอก หน้าตาหรือท่าทางของทางฝั่งนั้นก็ยังไม่เคยเห็น จะให้ลูกชายแต่งออกไปเลยแบบนี้หัวใจของเธอก็อดจะวูบไหวไม่ได้


    เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก จะแต่งงานออกไปกับคนที่ไหนก็ไม่รู้ นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้ จะไม่ให้เธอห่วงได้อย่างไร


    แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ มันไม่มีทางเลือก


    เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยลูกยังไง


    คุณชายคนกลางของบ้านทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาบุนวมเนื้อดีจากฝรั่งเศสที่เพื่อนของท่านพ่อคนใดคนหนึ่งซื้อมาให้อย่างเหนื่อยอ่อน ดวงหน้าหวานดูเหนื่อยล้าเสียเต็มประดา ดวงตาคู่สวยจ้องมองประตูบานหนาของห้องทำงานท่านพ่ออย่างเลื่อนลอย


    เขาเหนื่อยเหลือเกิน


    มันเหนื่อยกว่าต้องไปตัดดอกไม้ดอกสวยในสวนนั่นคนเดียวเสียอีก


    “โธ่หม่อม ทำแบบนี้แม่ไม่รู้จะพูดยังไงเลยลูก”


    “หม่อมแม่ไปพักเถอะครับ เดี๋ยวชายคุยกับท่านพ่อเอง บางทีมันอาจจะมีทางออก” ว่าพลางลูบมือเรียวของมารดาผะแผ่ว หญิงสาวถอดถอยหายใจออกมาแรงๆ บางทีเธอคิดว่าการเกิดมาพร้อมยศศักดิ์แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก ตาหนูของเธอต้องเรียนพิเศษหลายๆภาษา เข้าไปศึกษางานกับท่านพ่อเมื่อมีเวลาว่าง แถมยังต้องไปเรียนเรื่องในรั้วในวังกับเสด็จย่าอีก


    ชีวิตช่างไร้ซึ่งความสนุกสนานสมวัยเสียจนเธอได้แต่เศร้าใจ


    แต่ในเมื่อชะตามันขีดเอาไว้แบบนี้แล้ว หม่อมมารตีก็ไม่รู้ว่าจะขัดได้อย่างไร


    คงต้องปล่อยไปตามที่มันควรจะเป็นนั่นแหละ


    “แม่ขอโทษนะลูกที่ช่วยอะไรหม่อมของแม่ไม่ได้เลย”


    “ไม่ครับ หม่อมแม่ไม่ได้ทำผิด ไม่ต้องขอโทษชายหรอก บางทีทุกอย่างมันอาจจะถูกกำหนดเอาไว้แล้วก็ได้..


    “โธ่ ชาย..” หม่อมมารตีได้แต่ทอดสายตามองลูกรักของตนด้วยแววตาที่แสดงออกว่าสงสารคนตรงหน้าเสียเหลือเกิน ด้วยความที่หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์เป็นคุณชายเพียงคนเดียวของบ้านทำให้เด็กน้อยของเธอต้องแบกรับอะไรเอาไว้มากมาย เรียนรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศก็เพื่อเข้าทำงานในกระทรวงตามรอยผู้เป็นพ่อ ต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวยามที่ท่านพ่อเสด็จต่างประเทศเพื่อทำงาน หลายต่อหลายครั้งที่เธอต้องเห็นลูกเหนื่อยล้า


    สงสารจับใจ แต่ก็ทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น


    เกิดมาพร้อมกับหน้าที่รับผิดชอบมากมายขนาดนั้น แบมแบมตัวน้อยของเธอต้องเหนื่อยขนาดไหนกันนะ


    “ไม่ว่ามันจะมีทางออกหรือไม่ หม่อมฟังแม่นะ หม่อมคือความภูมิใจที่สุดของแม่ หม่อมทำเพื่อครอบครัวมาตลอด แม่รักแบมแบมนะลูก” ใบหน้าหวานซบเข้าอกนุ่มของผู้เป็นแม่เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะบอกให้หม่อมมารตีขึ้นไปพักเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอคุยกับท่านพ่อ


    หากได้เรื่องว่าอย่างไรจะรีบไปบอกให้หม่อมแม่ทราบทันที


    หม่อมมารตีสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง อย่างน้อยลูกก็คงจะใจเย็นลงบ้างแล้ว หวังว่าสวรรค์จะเห็นใจบุตรชายของเธอบ้างก็แล้วกัน


    หากไม่มีทางเลือกและต้องแต่งงานจริงๆ ก็ขอให้คนๆนั้นเป็นสามีที่ดี และดูแลหม่อมตัวน้อยของเธอให้มีความสุข


    และถ้าไม่มากเกินไปก็ขอให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้และรู้สึกดีๆต่อกัน


     

    สมชายนั่งรอเจ้านายหนุ่มอยู่ที่หน้าห้องทำงานของหนึ่งในผู้ถือหุ้นของห้างหงส์หยกมานานกว่าสามสิบนาทีแล้ว  สามสิบนาทีที่เจ้าสัวคนเล็กเดินเข้าไปในห้องทำงานของเพื่อนสนิทของผู้เป็นบิดาพร้อมกับเอกสารปึกใหญ่ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญ ใบหน้าหล่อเหลาของลูกน้องพ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนสนิทดูเคร่งเครียดเสียจนคนเดินผ่านไปผ่านมาได้แต่สงสัยว่าทำไมคนที่ปกติร่าเริงสดใสตลอดเวลาอย่างสมชายถึงได้ทำหน้าตาเคร่งเครียดขนาดนั้น


    แต่ถ้าทุกคนได้รู้ว่าเจ้านายหนุ่มของเขาเข้ามาที่นี่ทำไม ก็คงจะรู้ได้ไม่ยากเลยว่าเหตุใดสมชายถึงต้องทำหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้


    เรืออากาศโท ฆนากร วิรุฬห์ธนกิจ เจ้านายหนุ่มของเขาปกติไม่ค่อยจะได้เข้ามาในส่วนของบริษัทเท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มมีความสุขอยู่กับการเป็นทหารอากาศของตัวเองเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัย 28 ปีประกอบกับเชื้อสายเอเชียผสมสามประเทศอย่างไทย ไต้หวัน(จีน) และอเมริกาที่ผสมกันได้อย่างลงตัวทำให้มาร์ค หรือ คุณฆนากร เป็นที่หมายปองของสาวๆแทบจะทั่วพระนคร ดารานางแบบรวมไปจนถึงนางสาวศรีสยามต่างก็จ้องจะเข้ามาทำความรู้จักกับชายหนุ่มด้วยกันทั้งนั้น


    แต่ก็เข้ามาได้เพียงไม่นานเพราะพ่อเจ้าประคุณให้ความสนใจอยู่แต่กับเครื่องบินของตัวเองเสียจนไม่มีเวลาให้หญิงสาวพวกนั้น ไม่นานพวกเธอจึงค่อยๆถอยห่างกันออกไปเองจนหมด โดยไม่ต้องเสียแรงมาร์คในการไล่เลย


    “กล้ามากนะมาร์คที่ทำแบบนี้กับอา!!” สมชายสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงของคุณสมภพดังออกมาจากห้องทำงาน


    “ผมไม่นับคนที่ทรยศป๊าของผมเป็นอาหรอกครับ จัดการเรื่องของคุณให้เรียบร้อยก่อนวันจันทร์ และถ้าวันจันทร์ป๊าของผมยังได้เห็นว่าคุณทำงานอยู่ที่นี่ อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างราบเรียบเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มือหนาจะดันประตูบานใหญ่ออกมาแล้วยักไหล่ให้ลูกน้องคนสนิทหนึ่งที เบ้หน้าแถมให้ด้วยอีกอย่างพร้อมกับออกเดินไปยังลิฟต์ของสำนักงานที่อยู่ไม่ไกลนัก


    มือใหญ่ปัดชุดเครื่องแบบของตัวเองเบาๆราวกับกลัวว่าความชั่วร้ายของคนที่เขาเพิ่งจะเอาเอกสารการยักยอกเงินบริษัทไปกระแทกแรงๆบนโต๊ะทำงานเมื่อสักครู่นี้จะติดตัวออกมา


    ถึงจะไม่ค่อยได้เข้ามาช่วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย


    จะเรียกว่าไม่ช่วยเลยก็คงไม่ได้ เพราะเขาก็แอบช่วยงานห้างของป๊าอยู่เสมอนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้เข้ามานั่งในสำนักงานก็เท่านั้นเอง


    มาร์คชอบขับเครื่องบินมากกว่าจะมานั่งเซ็นเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานน่ะ


    “เฮียไปตอกหน้าเจ็กสมภพเค้าแบบนั้นไม่กลัวเป็นเรื่องหรือไง” สมชายเอ่ยถามร่างสูงโปร่งที่ยังคงยืนส่องกระจกในลิฟต์เช็กความหล่อของตัวเองไม่ได้สนใจจะเล่าเรื่องเมื่อสักครู่ให้เขาฟังแม้แต่น้อย คนถูกเรียกว่าเฮียส่ายหน้าน้อยๆตอบคำถามของลูกน้อง


    เขาไม่แคร์หรอกว่าตาแก่คนนั้นจะทำยังไง


    แต่จะให้เลี้ยงไว้โกงบริษัทต่อไปมาร์คก็ยอมไม่ได้


    ถ้าช่วยกันทำงานดีๆ เจ็กภพแกก็ได้เงินปันผลพอจะเลี้ยงคนในครอบครัวให้อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ก็นั่นแหละความโลภมันไม่เข้าใครออกใคร จากเพื่อนรักของป๊าเลยหักเหลี่ยมโหดผู้เป็นบิดาของเขาเสียอย่างนั้น


    แอบเสียดายฝีมือการทำงานของเจ็กแกเหมือนกันนะ


    ไม่น่าเลยจริงๆ


    “กูเป็นทหารนะ มึงคิดว่ากูจะงอมืองอเท้าให้เค้าส่งคนมาฆ่ากูหรือไง”


    “เออว่ะ” สมชายพยักหน้าตาม เขาลืมไปได้ยังไงว่าเฮียเป็นทหาร อย่าว่าแต่เฮียเลยตัวเขาเองก็เป็นทหาร หน่วยและสังกัดเดียวกับเฮียเสียด้วย แล้วชายชาติทหารอย่างพวกเขาจะไปเกรงกลัวความตายจากการโดนทำร้ายทำไมกัน


    ขับเครื่องบินลาดตระเวนยังน่ากลัวตายมากกว่าเสียอีก


    “แล้วนี่เฮียจะเอาไงต่อ วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรแล้วหนิ”


    “ไปหาไรกินที่ราชดำเนินกันไหม ได้ข่าวว่าขนมไทยแถวนั้นอร่อย”


    “อ๋ออ ร้านหม่อมจิณ” สมชายรีบเดินก้าวเท้าตามเฮียไปเร็วๆเมื่อนายทหารหนุ่มบอกว่าจะพาไปหาขนมไทยที่ร้านหม่อมจิณกิน หม่อมจิณหรือหม่อมหลวงจิณภัทร ปิติโชคโภคิน หม่อมร่างน้อยที่ทำขนมไทยขายเสียจนมีชื่อเสียงไปทั่วพระนคร ที่ขึ้นชื่อน่ะไม่ใช่แค่ขนมหรอก แต่ใบหน้าหวานสวยราวกับสตรีเพศนั่นก็ด้วยที่ขึ้นชื่อ


    ชายหนุ่มแทบจะครึ่งพระนครต่างก็หลงใหลหม่อมจิณด้วยกันทั้งนั้น ไม่ต้องถามหรอกนะว่าอีกชายหนุ่มอีกครึ่งพระนครไปไหน อีกครึ่งนึงก็หลงใหลในตัวหม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์เพื่อนสนิทของหม่อมจิณนั่นแหละ อ้อ สมชายลืมไปว่ามีผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งในพระนคร


    ผู้ชายที่วันวันเอาแต่ทำงาน ทำงานเสร็จก็หมกตัวอยู่แต่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ได้รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองอะไร


    คนกลุ่มนั้นคือกลุ่มชายหนุ่มผู้โง่เขลาซึ่งสมชายเป็นคนตั้งชื่อให้เอง


    ส่วนสมาชิกตัวยงในกลุ่มชายหนุ่มผู้โง่เขลานั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เฮียมาร์คของเขานี่เอง วันวันทำแต่งาน ทำงานเสร็จก็หมกตัวอยู่แต่กับการต่อโมเดลเครื่องบิน หรือไม่ก็ไปสโมสรเพื่อเล่นโปโล ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าในพระนครเนี่ยมีของสวยๆงามๆให้ดูเยอะแยะมากมายขนาดไหน


    “หม่อมจิณเจ้าของร้านขนมใช่ไหม กูเคยได้ยินอยู่ ไอ้บีมันก็ซื้อมาฝากกูอยู่บ่อยๆ กูรู้จักๆ”


    “รู้จักหม่อมเค้า หรือรู้จักร้านขนม??”


    “ร้านดิ ของอร่อยกูเคยพลาดที่ไหน”


    รู้จักแต่ขนม ไม่รู้จักเจ้าของร้านขนมบ้างหรือไงเฮีย


     


    “นี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องเป็นเรา เราเครียดมากเลยจิณ” มือเรียวช่วยเพื่อนสนิทตัวบางหยิบขนมไทยที่เพิ่งจะได้ออกมาจากครัวหลังร้านลงถาดขณะที่เรียวปากบางก็เอ่ยพูดกับเพื่อนไปด้วย ดวงตากลมจับจ้องอยู่กับขนมด้านหน้าเลยไม่ทันได้เห็นว่าหน้าร้านมีหนุ่มๆมายืนออรอซื้อเสียจนแถวยาวจะออกไปนอกถนนอยู่แล้ว


    หม่อมหลวงจิณภัทรยกยิ้มบางเบาขึ้นที่ริมฝีปาก เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยเพื่อนได้อย่างไร ไอ้ครั้นจะไปพูดกับท่านตฤณให้ก็เกรงว่าจะไม่ได้ จิณกล้าเข้าใกล้ท่านที่ไหนกัน ท่านตฤณขึ้นชื่อเรื่องความดุ ใครๆเขาก็รู้กันทั่ว ถึงอยากจะช่วยเพื่อนแค่ไหน จิณภัทรก็ทำไม่ได้อย่างที่คิดเอาไว้หรอก


    เอาเป็นว่าเขาจะคอยช่วยในเรื่องที่เขาช่วยได้ก็แล้วกัน


    อย่างเช่นการให้กำลังใจอะไรแบบนี้น่ะนะ


    “รับอะไรดีครับ”


    “ขนมตาลสามบาทครับ” ชายหนุ่มร่างสูงที่มักจะมาซื้อขนมที่ร้านนี้เป็นประจำเอ่ยกับเจ้าของร้านคนสวย ซึ่งหม่อมจิณก็ยกยิ้มตอบกลับอีกคนไปอย่างใจดี


    “วันนี้ไม่เอาสอดไส้ด้วยหรือครับคุณทหาร”


    “ไม่หรอกครับ พอดีวันนี้ผมซื้อไปกินคนเดียว” บี หรือรวีวิทตอบออกไปเสียงเบาขณะที่ดวงตาคู่คมก็จับจ้องใบหน้าหวานของเจ้าของร้านไปด้วย เขามักจะแวะมาซื้อขนมที่นี่ก่อนเข้าไปในกรมเสมอ แต่ด้วยวันนี้เพื่อนสนิทของเขาไม่อยู่เวรช่วงบ่ายก็เลยไม่ได้ซื้อขนมสอดไส้ไปฝากเหมือนเช่นทุกคราว


    หม่อมจิณก็คงจะอดไม่ได้ที่จะถามออกมา เพราะเขาซื้อขนมเมนูเดิมๆนั่นทุกวันติดกันจนอีกคนจำได้


    แอบดีใจเหมือนกันที่หม่อมจำได้ บีจะขอคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมนะว่าหม่อมก็เห็นเขาอยู่ในสายตาเหมือนกันกับที่เขาเฝ้าแอบมองหม่อมร่างบางนี้คนเดียวมาตลอดหลายปี


    “สามบาทครับ” รวีวิทยื่นแบงค์สีน้ำเงินราคาฉบับละหนึ่งบาทไปให้คุณเจ้าของร้านสามใบก่อนจะรับขนมไทยที่ถูกจัดลงกระทงใส่ถุงกระดาษให้เขาเรียบร้อยแล้ว หม่อมจิณยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณลูกค้าไม่ได้ถือเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์อะไรอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน และแน่นอนว่ารวีวิทก็ยกมือขึ้นมารับไหว้คนตัวบางไม่ทันเป็นประจำทุกวันเหมือนกัน


    “แบมเราฝากร้านครู่นึงนะ จะเข้าไปดูป้านุ่มเสียหน่อยว่าขนมทองเอกทำถึงไหนแล้ว” หม่อมราชวงศ์กันต์พิมุกต์พยักหน้ารับคำของเพื่อนสนิทอย่างว่าง่ายก่อนจะละมือจากการเอาขนมลงถาดแล้วเคลื่อนกายไปบริเวณตู้ขายขนมหน้าร้านแทน  ใบหน้าหวานสวยไม่ได้ต่างอะไรจากเพื่อนสนิทประดับไปด้วยรอยยิ้มเสียจนหนุ่มๆหลายคนรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่มาวันนี้


    เจอของสวยงามของพระนครพร้อมกันสองคนขนาดนี้


    นอนตายตาหลับแล้วล่ะ


    “เอาขนมสอดไส้ห้าบาทครับ”


    “สักครู่นะครับ” มือน้อยเอื้อมหยิบห่อขนมสอดไส้มาใส่ถุงกระดาษอย่างคล่องแคล้วเพราะมาช่วยเพื่อนที่ร้านขนมเป็นประจำ ชายหนุ่มในชุดทหารเต็มยศมองร่างน้อยตรงหน้าด้วยความชื่นชม เป็นถึงลูกเชื้อลูกตระกูลแต่กลับไม่ถือยศถาบรรดาศักดิ์แบบนี้ เห็นแล้วก็อดจะชื่นชมไม่ได้


    หม่อมจิณนี่น่ารักเหมือนที่ไอ้สมชายเป่าหูเขามาตลอดทางจริงๆ


    “หม่อมขายขนมมานานแล้วหรือครับ” เมื่อเห็นอีกคนทำงานงกๆอยู่เลยอดไม่ได้ที่จะชวนคุย ไม่รู้หรอกว่าอีกคนจะอยากคุยกับเขาหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะถ้าตอบกลับมาก็ถือว่าเป็นกำไร แต่ถ้าไม่ก็ไม่ถือว่าขาดทุน


    ก็เขาตั้งใจจะมาซื้อขนมนี่นา


    ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำความรู้จักกับเจ้าของร้านขนมเสียหน่อย


    “ก็เปิดมาสามสี่ปีแล้วล่ะครับ นี่ครับขนมสอดไส้” เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยื่นถุงกระดาษที่ด้านในบรรจุขนมเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้วให้อีกคน มาร์คหยิบยื่นธนบัตรกลับคืนไปก่อนจะเอ่ยลาเพื่อรีบไปหาไอ้สมชายที่เขาสั่งให้เฝ้ารถเอาไว้เพราะไม่มีที่จอดเลยต้องจอดขวางคันอื่น การทิ้งสมชายไว้ก็เผื่อถ้ามีคนมาขอให้ย้ายรถจะได้ย้ายได้ทัน


    ตอนแรกมันโวยวายอยู่เล็กน้อยว่าอดเจอหม่อมจิณคนสวยที่วาดฝันถึงเขามานาน มาร์คอาสาจะเฝ้ารถเอง ไอ้ลูกน้องคนสนิทมันก็ไม่ยอมเสียอีก บอกว่าอยากให้เขาได้เจอหม่อมจิณตัวเป็นๆสักครั้งจะได้เลิกทำตัวเหมือนอยู่หลังเขาสักที


    และวันนี้ ฆนากร ก็ได้รู้แล้วว่าหม่อมจิณที่เลื่องลือนั่นน่ะ เขาน่ารักมากจริงๆ


    ไม่เสียดายที่อุตส่าห์ถ่อมาถึงราชดำเนินเพื่อมาซื้อขนมแค่ห้าบาท

     

    “จิณ ร้านจิณนี่เปิดมาสามสี่ปี่แล้วใช่หรือเปล่า??”


    “หือ ทำไมอยู่ดีๆถึงมาถามกันล่ะ” จิณภัทรมวดคิ้วมองหน้าเพื่อนแต่ก็ยอมพยักหน้ารับอีกคนไปว่าร้านของเขาเปิดมาสามสี่ปีน่ะถูกแล้ว ราชนิกูลหนุ่มยิ้มกว้างให้กับตัวเอง อย่างน้อยเขาก็ตอบคุณลูกค้าไปถูกน่ะนะ


    “พอดีเมื่อกี๊มีคนถามน่ะว่าร้านของจิณเปิดมานานเท่าไหร่แล้ว J


     


    ฆนากรอาจจะเลิกอยู่หลังเขาได้แล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มน่ะไม่ได้เจอหม่อมจิณอย่างที่สมชายตั้งใจหรอก


    เขาได้เจอกับหม่อมอีกคนที่เป็นเพื่อนสนิทของหม่อมจิณต่างหาก

     

    “หม่อมจิณน่ารักไหมเฮีย”


    “อือ.. ก็น่ารักดี”

     




    TALK

    มาแล้วววว เล่นสกรีมกันได้ที่ #จสบดศ นะคะ :)

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×