ความทรงจำของหัวใจ...
เรื่องสั้นที่ผมเคยเขียน
ผู้เข้าชมรวม
2,809
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
‘หล่อน’ มาร่ำลาเขาด้วยน้ำตานองใบหน้า ท่ามกลางท้องฟ้าสีส้มแสด พระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกลงไปในผืนทะเลใหญ่
“รอฉันนะ ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด กลับมาแต่งงานกับตุลา”
“ถ้าแน่ใจว่าจะกลับแล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่งทำไม เขาไม่มีผ้าขี้ริ้วจะมาเช็ดให้หรอกนะ”
“บ้า... สัญญานะว่าจะรอ”
“สัญญาอยู่แล้ว คนดีของผม นายตุลาคนนี้ไม่เคยผิดสัญญากับใคร”
“แล้วฉันจะกลับมา แต่งงานกับนายตุลา คนเดียวที่ฉันรัก ตลอดไป”
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตุลา เหวี่ยงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตัวเองขึ้นไปบนหลัง มืออีกด้านจับกล้องถ่ายรูปไว้แน่น สะพายขาตั้งกล้องเข้ากับแขน แล้วออกเดินด้วยเท้า ตรงเข้าไปยังรีสอร์ทใหญ่
ที่นี่คือจุดหมายล่าสุดที่เขาจะใช้เป็นโลเคชั่นสำหรับรูปถ่ายชุดต่อไปเพื่อสะสมในแกลลอรี่ รวมกับภาพเก่าอีกมากมายมหาศาลที่เจ้าตัวออกเดินทางไปแทบทั่วทุกทิศอย่างเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย สุดแต่จะหยุดลงที่ใดแล้วยกกล้องคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพ
รูปเหล่านั้นอาจขายได้หรือไม่ได้ ตุลาไม่เคยใส่ใจ
ใครอยากได้ ... ยินดียกให้
แม้นใครถามว่า ‘เหตุใด’ ถึงเลือกใช้ชีวิตเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถให้คำตอบ เพียงรู้แต่ในใจลึกๆ มีบางอย่างที่เรียกร้องให้ก้าวเดินต่อไป
และบางอย่าง.... ที่ขาดหายไป
อะไรหนอ ที่ทำให้ชีวิตเขาต้องโลดแล่นมาตามทางนี้ เพื่อค้นหา ตามสิ่งบางอย่างที่ดลใจกระซิบบอกอยู่ลึกๆ ในความรู้สึก
แม้ในความฝัน ก็เหมือนเห็นจิ๊กซอว์ภาพหนึ่งที่ยังต่อไม่จบสิ้น ชิ้นส่วนอีกหลายชิ้นยังกระจัดกระจายยากที่จะหยิบมาจัด มาต่อ เรียงให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราว
พนักงานบนเค้าเตอร์เช็คอินพนมมือไหว้ คลี่ยิ้มอ่อนหวานยิ่งนักยามลูกค้าคนใหม่แต่ละคนเดินเข้าไปหา เช่นเดียวกับช่างภาพคนใหม่ ที่นึกนิยมชมชอบอยู่เงียบๆในใจยามเมื่อสาวเท้าเข้าไปถึง
“ห้องเดี่ยว หนึ่งห้องครับ”
“พักกี่คืนคะ?”
“สาม” เขาตอบ และเสริม “พักคนเดียวครับ”
“สักครู่นะคะ”
สิ้นคำบอกของรีเซฟชั่นสาว แขกก็เพียงยิ้ม แล้วหันไปสำรวจตรวจตราทั่วโรงแรมที่กำลังจะเข้าพัก งานตกแต่งเล็กน้อยละเอียดที่สวยสะกิดตาทำให้ประหลาดใจ ภาพแกะสลักไม้เป็นรูปนางอัปสราบนฝาผนังอ่อนช้อยเคลื่อนไหวดุจมีชีวิตจนเจ้าตัวนึกอยากเก็บภาพความสวยงามเหล่านั้นขึ้นมาตะหงิด
และไวเท่าความคิด มือหนาหยิบกล้องถ่ายรูปออกมาจากในซองกระเป๋าที่สะพายคล้องคอ ปรับหน้ากล้องและเล็งแสงเงาอย่างเชี่ยวชาญแล้วกดชัตเตอร์อย่างรวดเร็วหลายครั้งติดต่อกัน
“คุณอุดมศักดิ์เป็นคนออกแบบค่ะ” เสียงพนักงานรีเซฟชั่นอธิบาย
“อ๋อครับ”
เขาตอบโดยไม่ละสายตาจากเลนส์ในกล้อง หากแล้วพลันมือที่กำลังจะกดชัตเตอร์เก็บรูปต่อไปก็ชะงัก เมื่อเงาร่างของใครคนหนึ่งพาดผ่านเข้ามาในกล้อง
ตุลาลดอุปกรณ์คู่ใจของตัวเองลง เขม้นมองเจ้าของเงานั้นให้แน่ชัด
หล่อนเป็นผู้หญิงผิวขาว ... ขาวจนเกือบเรียกได้ว่าเป็นผิวสีซีด ลำแขนเรียวเล็กโผล่พ้นแขนเสื้อเชิ้ตสั้นกลมกลึงเช่นเดียวกับเอวที่คอดกิ่วบาง และใบหน้า....
ใบหน้านั้นต่างหากเล่าที่สะกิดอยู่ด้านในใจของผู้ที่กำลังจ้องมองอย่างเผลอตน...มิใช่เพราะสวยหยาดฟ้ามาดินเหมือนนางอัปสราบนสวรรค์ หากใบหน้านั้นกลับเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ซ่านลึกเข้าไปในหัวใจ และลึกยิ่งลงไปถึง...
....ความทรงจำ....
แปลกนักที่ตุลาบอกตัวเองได้ว่าไม่เคยเจอสตรีผู้นี้มาก่อน หากอะไรหนอที่กลับทำให้เขารู้สึกว่าไม่ใช่...หล่อนไม่ใช่คนไม่คุ้นเคย
“ขอโทษ...”
เสียงนั้นปลุกช่างภาพหนุ่มขึ้นจากภวังค์ และตีสีหน้าเก้อ
“เอ้อ...”
“ขอโทษนะคะ” หล่อนผู้นั้นยังพูดต่อ ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนทุ้ม นุ่มนวล “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเดินผ่านตอนที่คุณถ่ายรูป”
“ครับ ครับ” น่าขันนัก เหตุใดเขาตอบได้เพียงเท่านี้
“ฟิล์มเสียหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า”
“งั้นขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำให้คุณเสียสมาธิไป”
ดวงตากลมสีดำขลับหลุบลงอย่างลุแก่โทษ เรียวปากบางแย้มเพียงนิดก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ ถอยห่างออกไป ทิ้งให้ตุลายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยมืออันชื้นเหงื่อกำกล้องแน่น
แม้จนเมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องพักของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ภาพใบหน้าเรียวรูปไข่ล้อมไปด้วยกรอบเส้นผมหยักศกน้อยๆ สีดำสนิทเหมือนขนนกกาน้ำก็ยังคงเด่นกระจ่างอยู่ในความคิด
พิศวาสหรือ?.... รักแรกพบ?...
มิใช่
ตอบตัวเองได้ในทันใด ไม่ใช่ ความต้องตาต้องใจเมื่อเห็นหน้า หรือความรักตั้งแต่แรกเห็น ...หาก ...อะไรบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในหัวใจต่างหากคือปัญหาที่ขบคิดไม่ออกสำหรับตัวเขา
หล่อนเป็นใคร...เพียงผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งที่เดินผ่านไปเท่านั้นเอง...
ดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่ใกล้ริมขอบฟ้า แสงสีส้มเข้มสาดส่องเป็นลำอาบไปบนก้อนเมฆ และสะท้อนเป็นประกายวิบวับในน้ำทะเล เป็นเวลาเดียวกับที่ตุลาเซ็ตขาตั้งกล้องเสร็จเรียบร้อย และลงมือกดชัตเตอร์เก็บภาพที่สวยงามไปด้วยสีของแสงและเงาเก็บไปบนแผ่นฟิล์ม
คอลเล็คชั่นต่อไปอาจจะต้องเป็นภาพพระอาทิตย์ตกจากรอบทิศอันดามัน หลังจากที่เขาเคยได้เก็บรูปภาพพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพไว้เมื่อหลายปีก่อน และเริ่มสะสมรูปจากชายหาดอื่นเรื่อยมาจนกระทั่งถึงชายหาดแห่งล่าสุด
ใครอาจบอกว่าพระอาทิตย์ก็เป็นดวงเดิม เวลาตกก็ตกใส่ทะเลผืนเดียวกัน ตุลาก็ไม่เถียง หากคลี่ยิ้มยามเอาภาพถ่ายที่ล้างเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาวางเรียงกันในอัลบั้ม
ใช่ พระอาทิตย์ดวงเดิม...และดวงเดิมดวงเดียวนั้นก็ยังสดสวยไม่เสื่อมคลาย
เสร็จจากเก็บภาพชายหาดและท้องทะเลที่กว้างใหญ่แล้ว ช่างภาพหนุ่มก็เดินลากขาไปเรื่อยบนผืนทราย สะพายกล้องและขาตั้งไว้กับไหล่ เอื่อยเรื่อยไป หากใครจะรู้เล่าว่าเพราะความจริงแล้ว ในส่วนลึกของใจกำลังแอบคิดว่า ‘เธอ’ ผู้นั้นอาจลงมาเดินเล่นรับลมทะเลยามเย็นด้วยกัน
หากเดินผ่านชาวต่างชาตินับสิบ คนไทยอีกหลายคนแล้ว ก็ยังไม่เห็นเจ้าของร่างนั้นแม้แต่เงา
เธอคงไม่มา....
ร่างสูงหยุดลงที่ร้านขายมะพร้าวน้ำหอมของแม่ค้าชาวพื้นเมือง เลือกซื้อลูกขนาดพอเหมาะมือแล้วเดินต่อมาอีกนิดเพื่อทอดกายลงนั่งบนผืนผ้าใบที่รีสอร์ทจัดไว้เพื่อบริการลูกค้า ลมเย็นแล่นเข้ามาปะทะหน้า ปนกับกระไอเค็มของทะเลให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะ หากความเคยชินก็ทำให้เขานอนได้อย่างไม่เดือดร้อน เปิดหนังสือนำเที่ยวที่พกติดมือมาเพื่อศึกษาเส้นทางใหม่ที่จะเลือกเดินทางต่อไป
แสงไฟจากตะเกียงดวงเล็กๆที่อยู่บนยอดต้นสนเตี้ยให้ความสว่างสลัว ตุลาปิดหนังสือ เก็บกลับคืนใส่กระเป๋าแล้วผ่อนลมหายใจคลายความเมื่อยล้า ไขว้สองมือประสานเหนือศีรษะพลางมองกลุ่มดาวที่เริ่มปรากฏขึ้นมาบนท้องฟ้าอย่างสนอกสนใจ
แต่แล้ว.... ใจก็กลับกระหวัดนึกถึงเจ้าของใบหน้าสวย หาก ปนโศก นั้นโดยไม่รู้ตน
แปลกไหมที่รู้สึกกระวนกระวาย แปลกไหมที่รู้สึกค้างคาโดยที่ไม่รู้แม้แต่เหตุผล เพราะแม้แต่จะเคยเจอเมื่อก่อนหน้า ก็ยังไม่เคยแม้สักครั้ง
ทำไมหนอ?
เมื่อยิ่งคิดแล้วใจยิ่งร้อนรุ่ม ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะลุกขึ้น ปัดเศษทรายที่ติดอยู่ตามร่างกายให้หลุดออกสองสามครั้งแล้วเริ่มออกเดินเลียบไปตามชายหาด ฟองคลื่นสีขาวม้วนตัวเข้ามากระทบหาดทราย ที่บัดนี้ทุกเม็ดเย็นเฉียบเพราะคลายความร้อนอย่างรวดเร็วกลับไปสู่อากาศ
“ช่วยด้วย”
ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวต่อไปหยุดชะงักลง
“ช่วยด้วย”
ตุลาเงี่ยหูฟังให้ถนัด เสียงผู้หญิงร้องหาความช่วยเหลือดังมาจากในเงามืดของโขดหิน ไม่ห่างไกลมากนัก และไวเท่าความคิดที่เขาหยิบเศษไม้ใหญ่ที่พอจะหาได้จากบริเวณนั้นขึ้นมาในมือ แล้วรีบวิ่งตามเสียงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย หยุดนะ”
ไม้ท่อนใหญ่เหวี่ยงไปบนศีรษะของชายชาวต่างชาติร่างสูงหนาผมสีทอง ฝ่ายนั้นสบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดเพียงหนึ่งคำ ก่อนจะวิ่งหนีหายไปท่ามกลางความมืด ทิ้งไว้เพียงแต่ร่างของเหยื่อที่พับลงไปกองอยู่แทบเท้า
“คุณ เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” มือหนาเอื้อมเข้าไปใกล้หมายจะเข้าไปช่วยเหลือ “คุณลุกขึ้นไหวหรือเปล่า?”
“ไหวค่ะ” เจ้าของเสียงนั้นตอบ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มปากคอสั่น ใบหน้าเรียวซีดเผือดขาว
“อ้าว.... คุณ”
ดวงตาสีดำขลับคู่สวยก็เบิกกว้างขึ้นทันใดเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่มาช่วยเหลือตัวเองได้ถนัด
“คุณช่างกล้องนี่เอง”
“ผมเอง” เขาตอบ ยื่นมือให้หล่อนจับเพื่อพยุงตัวเองขึ้นมาจากอาการนั่งอยู่กับพื้น “นี่เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“โชคดีที่คุณช่วยฉันไว้” เสียงตอบยังคงสั่น “ฉันเดินลงมานั่งที่ชายหาด แล้วฝรั่งคนนั้นเดินมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามาฉุดข้อมือฉัน”
“คุณเดินไหวไหม?”
“ไหวค่ะ” ยืนยันเช่นนั้นแล้วเดินด้วยขาตัวเองแม้จะซวนเซ ค่อยๆ ก้าวไปบนผืนทรายพลางสูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกขวัญและสติกลับคืนมา
“วันหลังกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ คุณอย่าลงมาเดินตามลำพังเลย มันอันตราย”
“ค่ะ”
“ทำไมคุณไม่ลงมาพร้อมกับเพื่อนล่ะ?”
“ฉันมาคนเดียวค่ะ”
ตุลาขมวดคิ้ว เอียงหน้า
“ผู้หญิงอย่างคุณไม่ควรเดินทางคนเดียว”
‘ผู้หญิง’ ที่เขาว่า เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หัวเราะในลำคอเป็นเสียงเจือความสดใส
“ฉันชอบเดินทางคนเดียว ชอบไปไหนมาไหนคนเดียว”
“ผมก็ชอบ” ร่างสูงก้าวเดินขึ้นไปตามบันไดอิฐที่ลาดเป็นทางเข้าสู่ตัวรีสอร์ท “แต่ผมเป็นผู้ชาย ไม่เหมือนคุณ”
“ฉันกำลังเดินเตะฝุ่นอยู่ด้วยกระมังคะ เพิ่งเรียบจบ ถ้าได้มีงานทำก็คงจะไม่มีเวลาว่างให้เดินทางเล่นคนเดียวแบบนี้อีก”
“คุณชื่ออะไร?”
“อ๋อ” เจ้าหล่อนคลี่เรียวปากยิ้ม “ฉันชื่อเกนหลงค่ะ...เกนหลง”
“ชื่อไม่ค่อยคุ้นเลย”
“แม่ฉันตั้งตามชื่อเพื่อนของพระเอกในนวนิยายที่แม่ของดิฉันชอบ คุณเคยอ่านไหม เรื่อง อย่าลืมฉัน ของคุณทมยันตี”
ตุลาส่ายหน้า
“ถ้าเป็นนิยายผู้หญิงผมคงต้องขอบาย แต่ผมเคยอ่านเพชรพระอุมาของพนมเทียน”
“สนุกมาก” เสียงเสริมดังพร้อมกันตามด้วยเสียงหัวเราะคิกของหญิงสาวเจ้าของนามเกนหลง “ถ้ามีผู้ชายอย่างรพินทร์ ไพรวัลย์ อยู่ในโลกนี้จริงก็คงดี”
“ไม่มีผู้ชายคนไหนสมบูรณ์แบบเหมือนในนิยายหรอกครับ”
“นั่นสิคะ”
การสนทนานั้นสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่ต่างเดินมาถึงห้องล็อบบี้ของรีสอร์ท เกนหลงหยุดเดินและหันกลับมายังชายหนุ่มที่เพิ่งเป็นหนี้บุญคุณไปหมาด พลางค้อมศีรษะ
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉันไว้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ตุลาตอบ และโบกมือร่ำลา ก่อนที่อนุสติหนึ่งของตัวเองจะบอกให้รีบวิ่งตามร่างที่กำลังจะเดินไปกดลิฟท์ เพื่อจะถาม
“ผมขอถ่ายรูปคุณได้ไหม?”
เจ้าของใบหน้าสะสวยหันกลับมา เลิกคิ้ว ครุ่นคิดเพียงชั่วอึดใจก่อนจะถาม
“เมื่อไหร่คะ?”
“เมื่อไหร่ก็ได้ครับ ที่คุณว่าง”
“ได้สิคะ เป็นพรุ่งนี้ตอนเช้าได้ไหม เพราะว่าฉันจะเช็คเอาท์กลับกรุงเทพพรุ่งนี้แล้ว”
“ที่คอฟฟี่ชอปนะครับ”
รอยยิ้มละไมปรากฏขึ้นบนใบหน้าแทนคำตอบตกลง ก่อนที่ลิฟต์จะลงมาถึงและประตูอัตโนมัติเปิดออกให้หญิงสาวเดินเข้าไปด้านใน
“พรุ่งนี้เจอกันค่ะ”
++++++++++++++++++++++++++++++++
คืนนั้น กว่าตุลาจะข่มใจให้นอนหลับลงได้ก็เป็นเวลาค่อนดึก หลังจากลุกขึ้นมาเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการถ่ายภาพ ‘ครั้งสำคัญ’ ในวันพรุ่งนี้อยู่หลายครั้ง และเมื่อยามเช้ามาถึง ก็ลุกขึ้นอย่างกระปรี้กระเปร่าหยิบอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ขึ้นมาสะพายขึ้นหลังแล้วเดินออกจากห้องพัก ลงลิฟต์ไปยังจุดนัดหมาย อย่างรวดเร็วที่สุด
เกนหลงนั่งรออยู่แล้วเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาในคอฟฟี่ชอปขนาดเล็กของรีสอร์ท ข้างกายมีกระเป๋าเดินทางใบย่อมวางอยู่ใกล้ เป็นเครื่องหมายบอกว่าหล่อนกำลังจะจากรีสอร์ทแห่งนี้ไปอีกในไม่ช้า
“รอนานไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ” ตอบพลางยิ้มแย้ม “เพิ่งลงมาได้เมื่อสักครู่ ยังไม่ได้สั่งกาแฟเลย คุณทานกาแฟไหมคะ?”
“สักแก้วก็ดีครับ”
“ให้ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงนะคะ ตอบแทนที่คุณกรุณาช่วยฉันไว้เมื่อวาน”
และโดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวหันไปเรียกหาบริกรเพื่อนำเมนูมาเลือกหารายการเครื่องดื่มที่ต้องการ เลื่อนอีกเล่มหนึ่งส่งให้อีกฝ่าย
“เอสเปรสโซ่ครับ”
“ของฉันขอเป็นแลตเต้แล้วกัน” รอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าสวยหวาน ส่งเมนูคืนให้บริกรแล้วหันมาให้ความสนใจกับคนร่วมโต๊ะ
“รู้ไหมคะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครขอถ่ายรูปฉันเลยค่ะ”
“ผมยินดีที่ได้เป็นคนแรกครับ” ตุลาตอบ หยิบกล้องขึ้นมาจากในกระเป๋า “คุณจะรังเกียจไหม ถ้าผมขอถ่ายตอนนี้เลย”
“ตอนนี้เลยเหรอคะ?” เกนหลงกลั้นยิ้ม “ฉันยังไม่ได้เตรียมตัว”
“โธ่ คุณ ผมถ่ายภาพธรรมชาติครับ ไม่ต้องเตรียมตัวก็ได้”
ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เดินอ้อมเก้าอี้ที่วางขวางอยู่ระหว่างกลางมายังด้านหนึ่งของโต๊ะแล้วจัดแจงสั่ง
“คุณนั่งตรงนี้นะ หันหน้าไปด้านขวา”
“ค่ะ”
นางแบบจำเป็นจัดท่าทางตามที่ช่างกล่องคนเก่งบอกอย่างว่าง่าย แสงแดดยามเช้าทอประกายส่องลอดแผ่นกระจกใสเข้ามาอาบใบหน้าสวยหวานเป็นประกาย ตุลายิ้มอย่างพึงพอใจ
“นึกถึงเรื่องที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุดนะครับ...”
“ค่ะ”
เกนหลงอมยิ้ม ผ่อนลมหายใจยาวแล้วพยายามตั้งสมาธิให้อยู่กับท่าทางที่เขาบอก
“คุณถ่ายรูปมานานแค่ไหนแล้วคะ?”
“ตั้งแต่อยู่มัธยมครับ” เขาตอบ กดชัตเตอร์เก็บรูปอย่างรวดเร็ว “แต่ถ้าถามว่าเริ่มสนใจถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ตั้งแต่ยังเด็กโน้น เวลาพ่อพาไปเที่ยวที่ไหนก็ชอบเอากล้องมาถ่ายเล่น ชอบเก็บรูปพวกนี้ไว้”
“ไม่เหมือนฉัน... ฉันชอบเก็บไว้ในความทรงจำ”
“ความจำ...บางครั้งมันก็ชัด บางครั้งมันก็เลือน ผมก็เลยเก็บไว้เป็นรูปพวกนี้แทน”
ใบหน้าสะสวยนั้นหันกลับมามองหน้าเจ้าของคำพูด แย้มริมฝีปากยิ้ม ก่อนจะบอก
“ถ้าเป็นความทรงจำที่สำคัญของเรา ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน มันก็ยังชัดอยู่เสมอ ไม่เสื่อมคลาย”
รถตู้คันเล็กเอนไปเอียงมาตามความลาดโค้งของถนนที่ผ่านในหุบเขา ช่างภาพหนุ่มนั่งชิดขอบริมหน้าต่าง ทอดสายตามองต้นเต่าร้างต้นใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายอยู่บนภูเขาสูง ในมือกำกระดาษแผ่นเล็กที่จดชื่อ และที่อยู่ของสตรีที่ยังมีความลึกลับค้างคาอยู่ในใจของเขาแน่น
ฟิล์มที่บันทึกรูปของหล่อนในร้านคอฟฟี่ชอปยังคงนอนอุ่นอยู่ในกระเป๋า เมื่อกลับไปถึงกรุงเทพแล้วค่อยเอาออกมาล้างและเก็บลงใส่อัลบั้ม
สินธรคงประหลาดใจ ที่คราวนี้เขามีรูปผู้หญิงติดมือกลับไปด้วย หลังจากที่ทุกครั้งมีเพียงแต่รูปทัศนีภาพของธรรมชาติหรือฝูงชนกลุ่มใหญ่ ยากจะหารูปเดี่ยวของใครมาเก็บไว้เป็นของตัวเอง
และหลังจากนั้นคงจะได้ถกเถียงกันอีกยาวนาน เรื่องของความเชื่อ ... สินธรจะเชื่อไหม หากเล่าความรู้สึกแปลกประหลาดยามที่ได้เห็น ‘หล่อน’ ให้ฟัง ... อาจจะหัวเราะขบขันและล้อเลียนว่าเป็นความรักแรกพบ แต่สินธรจะเข้าใจไหม ว่าอะไรบางอย่างในหัวใจ ... ในความทรงจำ...ที่กระซิบบอกเตือนว่า ‘เธอ’ ไม่ได้เป็นเพียงแค่นั้น
ความทรงจำที่แม้ตัวของเขาเองก็จำไม่ได้เช่นเดียวกัน
สุดท้ายตุลาก็มายืนอยู่หน้าประตูห้องสูทของตัวเองอย่างอ่อนล้า ไขกุญแจเข้าไปด้านในแล้ววางสัมภาระทั้งหมดไว้บนพื้น ทิ้งตัวลงบนที่นอนฟูกนวมใหญ่แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศให้อากาศเย็นกระจายไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว
อีกกว่าชั่วโมงต่อมา เขาถึงจะตื่นจากการหลับไหลเพราะเสียงเคาะประตูดังลั่น
“นึกแล้วเชียวว่าต้องกลับมาแล้ว” เจ้าของชื่อสินธรทักทาย พลางถือวิสาสะที่เคยคุ้นกับเจ้าของห้องเป็นอันดีเดินเข้ามาโดยไม่ต้องให้เพื่อนอนุญาต
“เป็นไงบ้างวะ คราวนี้ ที่ใต้อากาศดีหรือเปล่า?”
“ดี...ดีกว่าในกรุงเทพมาก”
“แล้วได้รูปพระอาทิตย์ตกดินรูปที่ร้อยสิบแปดของแกมาแล้วหรือเปล่า หือ?”
“แน่นอน...” ตุลาตอบ “มีมากกว่านั้นด้วยนิดหน่อย”
“อะไรวะ?”
“เดี๋ยวก่อนเว้ย เดี๋ยวล้างเสร็จแล้วจะเอาให้ดู ให้แกช่วยคิดด้วย”
“ช่วยคิด?” สินธรตบหมอน นั่งขัดสมาธิลงบนปลายเตียง “ถ่ายรูปกลับมาแล้วทำไมต้องให้ช่วยคิด คิดอะไร? แกถ่ายรูปอะไรมา รูปหินปู่หินทวดเรอะ?”
“ตลกน่า” เจ้าของเรื่องไม่นึกสนุก “รูปผู้หญิง”
“ผู้หญิง?”
“สนใจขึ้นมาทันทีล่ะซี” คำถามดังตามมาอย่างรู้เท่าทัน
“แน่” ฝ่ายนั้นก็ไม่ปฏิเสธ “อยากรู้นัก ว่าจะสวยแค่ไหนนายตุลาถึงได้ขอถ่ายมาลงอัลบั้มของตัวเอง”
“สวย...แต่ที่ถ่ายรูปมาไม่ใช่เพราะแค่นั้นหรอก”
ใบหน้าคนฟังเต็มไปด้วยความพิศวง ด้วยเพิ่งสังเกตเห็นความจริงจังที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงของเพื่อนสหาย
“ทำไม?”
“ฉันจะให้แกช่วยดู ว่าเคยรู้จักเขามาก่อนหรือเปล่า”
“อ้าว” สินธรร้อง “อะไรของแก ฉันชักงงไปใหญ่แล้ว”
ช่างภาพหนุ่มถอนหายใจ ค่อยๆ เปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วเอาอุปกรณ์ถ่ายรูปออกมาเช็ดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อยทีละชิ้น พลางบอก
“ที่จะให้ดูเผื่อว่าแกอาจจะรู้จัก เพราะแกมันพวกกว้างขวาง รู้จักใครเขาไปทั่ว”
“เวรแล้วไหมล่ะ วกเข้ามาหลอกด่ากัน” คนเป็นเพื่อนโวยวาย “แล้วทำไมแกถึงนึกว่าฉันจะรู้จักล่ะ? ผู้หญิงในประเทศไทยมีตั้งกี่ล้านคน ฉันรู้จักไม่หมดหรอก”
ตุลาค่อยๆ วางกล้องถ่ายรูปตัวเก่งของตัวเองลงบนโต๊ะ แล้ววางผ้าเช็ดเลนส์ไว้ใกล้ๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนรัก ที่บัดนี้ในใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยที่ทวีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ที่คิดว่าแกรู้จัก เพราะว่าตอนที่ฉันเจอผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก ....ฉันรู้สึก ‘คุ้น’ หน้าของเธอเหลือเกิน แต่ฉันก็นึกไม่ออก ว่าเธอเป็นใคร เราเคยพบกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สำคัญ... อะไร...ที่ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น”
“วะ...” อาการที่เขานึกไว้แต่แรกตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “แกไปเกิดรักแรกพบกับผู้หญิงที่ริมชายหาดมาเรอะ?”
“นั่น .. นึกแล้วไม่มีผิด” เจ้าของห้องถอนหายใจ “แกต้องหาว่าฉันเป็นอะไรทำนองนั้น ...แต่...ไม่หรอก แกคิดว่าฉันจะตกหลุมรักใครขนาดรุนแรงได้ตั้งแต่แค่แว่บแรกที่เห็นหน้าเลยหรือ? มันไม่ใช่นิยายน้ำเน่านะเว้ย แล้วความรู้สึกแรกที่ฉันเห็นเขา...มัน...ไม่ใช่”
“แล้วมันเป็นยังไง?”
“ไม่รู้...” คราวนี้น้ำเสียงตอบแผ่วอ่อนค่อยลง “มันเหมือน...เราเคยได้เจอกันมาก่อน แต่ฉันกลับนึกไม่ออกว่าเราเคยเจอกันที่ไหน เมื่อไหร่ ยังไง”
สินธรขมวดคิ้วมุ่น ครั้งแรกตั้งใจขยับปากจะล้อ แต่เมื่อฟังจนจบสิ้นกระบวนความแล้วกลับเปลี่ยนใจ
“แกแน่ใจเหรอ?”
“แน่ๆ...ถึงอยากให้แกเห็นรูปไง เผื่อแกจะได้ให้คำตอบฉันได้ ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เพราะถ้าฉันเคยเห็นมาก่อน แกก็น่าจะเคยเห็นด้วย ถูกไหม?”
“ถูกต้อง ถ้าอย่างนั้น ก็รีบล้างฟิล์มสิวะ ฉันจะได้ช่วยแกดูไง”
นาฬิกาบนฝาผนังเดินผ่านไปช้าๆ สินธรรออยู่ด้านนอกห้องมืดที่เพื่อนเพิ่งเข้าไปจัดการล้างฟิล์มเพื่อนำรูปของสตรีที่เป็นประเด็นถกเถียงพลางหยิบนิตยสารเกี่ยวกับรถที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา อีกนานต่อมา กว่าที่ประตูห้องนั้นจะเปิดผาง ตามด้วยสีหน้าเครียดเคร่งของตุลา
“เฮ้ย ทำไม เป็นอะไรวะ?”
“เป็นสิวะ...เป็น” ช่างภาพหนุ่มตอบ ชูให้เห็นฟิล์มที่กลายเป็นสีดำสนิทโทนเดียวกันหมดทั้งแผ่น “รูปเสียหมดทุกรูปที่ถ่ายมา!”
“บ้าแล้ว” เจ้าของร่างสูงดีดตัวลุกขึ้นจากท่านอนเอกเขนกอันแสนสบาย แล้วดึงฟิล์มในมืออีกฝ่ายเข้ามาดู “เป็นไปไม่ได้น่า แกถ่ายภาพมากี่ปีแล้ว ไม่เคยเป็นแบบนี้สักม้วน”
“ก็นี่ไง มันเป็นไปแล้ว บ้าจริง ... มันไปโดนแสงตอนไหน”
“นั่นสิ แบบนี้อัดออกมาก็เป็นสีขาวหมดทั้งแผ่นแน่ แกจะบ้าหรือเปล่าวะ หรือว่าตอนถ่ายแกเบลอไปกับความสวยของแม่ผู้หญิงคนนั้น”
“เปล่า”
“แล้วฟิล์มม้วนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า?”
“ไม่เป็น”
“อาถรรพ์แล้วแก”
“เดี๋ยวนะ” ตุลาส่งฟิล์มที่เหลือให้เพื่อน แล้ววิ่งไปยังกระเป๋าสตางค์ที่เก็บชื่อและที่อยู่ของเกนหลงไว้ และพลันที่เขาเปิดขึ้นมา ในกระเป๋าก็มีเพียงแต่ธนบัตร บัตรเอทีเอ็มและบัตรประชาชน กระดาษแผ่นนั้นอันตรธานหายไป
“ที่อยู่ของเธอก็หาย”
“แกทำหล่นไว้ที่ไหนหรือเปล่า?”
“ไม่รู้....ไม่น่า....” ช่างภาพหนุ่มหยุดคิดอยู่เนิ่นนาน กวาดกระเป๋าใบอื่นเข้ามาค้นหาทุกซอกทุกตารางนิ้วที่เขาคิดว่ากระดาษใบนั้นจะไปแอบซ่อนอยู่ได้ หากแล้ว ก็ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอย
ไม่มีทั้งรูปถ่าย...และที่อยู่ที่เขาสามารถจะติดต่อกลับไปได้....
+++++++
ทำไมฟิล์มจึงเสียหมดทั้งม้วน
ตุลานอนก่ายหน้าผาก ครุ่นคิด กังขา ...
เป็นไปได้หรือว่า จะเกิดจากความผิดพลาดของเขา
เขา...ผู้ไม่เคยทำฟิล์มเสียเลยแม้แต่สักภาพเดียวมาตลอดเวลาเกือบสิบปีให้หลัง นอกเสียจากว่าภาพที่
ถ่ายได้มาจะมีความสวยไม่ค่อยน่าพึงพอใจเท่านั้น
แล้วอะไรทำให้ภาพของเกนหลงกลายเป็นสีขาวทั้งม้วนเล่า ในเมื่อฟิล์มก็ไม่ได้ถูกแสง หรือสารเคมีอะไรเลย และที่อยู่ของหล่อน....ก็ไม่รู้หล่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้ว.... เขาจะได้เจอ ‘เธอ’ ผู้นั้น อีกได้อย่างไร?
แล้ว.... ปริศนา ที่ยังคงค้างอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
จะได้รับคำตอบเมื่อไรกัน?
.............
........
“เกนหลง.... ชื่อประหลาดไม่มีใครเหมือน”
“ก็ดีกว่าใครบางคน คิดชื่อไม่ออกจนต้องเอาชื่อเดือนมาตั้งเป็นชื่อ”
“ใครบอกว่าคิดไม่ออก เพราะเกิดเดือนตุลาคมต่างหากเล่า พ่อกับแม่เขาถึงอยากให้คนอื่นเรียกว่าตุลา”
“โธ่เอ๋ย” น้ำเสียงหวานใสหยอกเย้า “ชื่อเชยอย่างกับอะไร นายตุลา”
“ชื่อกระผมมันไม่วิลิศเลิศมาหราเหมือนคุณผู้หญิงเกนหลงหรอกขอรับ กระผมขอยอมแพ้แต่โดยดี”
“อะไรกัน ไม่ทันไรก็ยอมแพ้เสียแล้วหรอกหรือ ไม่เห็นจะเก่งเลย”
“ยอมแพ้เพราะกลัวคนเถียงจะร้องไห้แงแงเวลาแพ้ต่างหาก คร้านจะหาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดตาให้”
“ใครจะบังอาจเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดตาให้ฉัน” เจ้าของเสียงกระเง้ากระงอด “สกปรกน่ะซี”
“อ้าว...ก็ใครว่าสะอาดเล่า”
“นายตุลา!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งตื่นทันใดที่เสียงแผดแง่งอนนั้นหยุดสิ้นลง ความมืดสนิทปกคลุมอยู่รอบกายคล้ายในความฝัน หากก็ต่างกันตรงที่ในความมืดนั้นมีเงารางเลือนของสิ่งของที่อยู่รอบกาย มิใช่เป็นความมืดมิดและมีเพียงเสียงสนทนาคุ้นหูนั้นดังอยู่เพียงลำพัง
มือหนาควานหานาฬิกาปลุกที่อยู่ใกล้ เปิดไฟในหน้าปัดให้มีแสงสว่างก่อนจะปิดลงเช่นเดิมเมื่อเห็นเวลายังเป็นตีสามกว่า หากเมื่อจะข่มตาให้หลับลงอีกครั้งกลับไม่สามารถทำได้ เพราะเสียงสนทนาหวาน แจ่มใส นั้นยังคงดังอยู่ในศีรษะ
บทสนทนาของเขากับผู้หญิงที่ชื่อเกนหลง ... เธอผู้นั้น?
เกนหลง ... ใช่...ชื่อของเธอ....และเสียงของเธอ ชัดเจน ไม่ผิดเพี้ยน
ในฝันนั้น เกนหลงเรียกเขาว่านายตุลา ... นายตุลา
....ชื่อเชยอย่างกับอะไร...นายตุลา...
เหมือนเขาเคยได้ยิน ... เคยได้ยินมาก่อน
เสียงที่คุ้นเคย บทสนทนาหยอกเย้าเหมือนคนใกล้ชิดสนิทสนม
มันเคยถูกพูดขึ้น เมื่อครั้งหนึ่งครั้งใด ในอดีต มันต้องเคยถูกพูดขึ้นอย่างแน่นอนแน่
แต่....อดีตนั้น นานแค่ไหน
ปี.... สองปี... สิบปี....ยี่สิบปี....หรือนานกว่านั้น?
เกนหลง คุณเกี่ยวข้องอะไรกับผม?
“แกจะบอกว่า มันเป็นเรื่องกลับชาติมาเกิด อะไรทำนองนั้น แล้วยายคุณเกนหลงเนี่ย เป็นคู่ของแกในชาติที่แล้วเหรอวะ?” สินธรถาม หยิบฟิล์มที่กลายเป็นสีดำสนิทขึ้นมาดูซ้ำใหม่อีกครั้ง “แกจะบ้าหรือเปล่า หรือว่าเกนหลงคนนี้สวยมากจนแกเก็บมานอนเพ้อ”
“ไม่รู้” เจ้าของเรื่องตอบ หมุนรูปพระอาทิตย์ที่ชายทะเลของตัวเองไปมาอย่างครุ่นคิด
“แกฝันมากี่วันแล้ว?”
“ตลอดทั้งสัปดาห์เลย นับตั้งแต่วันที่กลับมาจากใต้โน่น”
แขกผู้เป็นเพื่อนสนิทมุ่นคิ้ว สีหน้ายุ่งยากลำบากใจ
“ในฝันแกเห็นอะไรบ้าง นอกจากเสียง?”
ตุลาส่ายหน้า
“ไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างมันเป็นสีดำมืดไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงของเกนหลง กับเสียงของตัวฉันเองคุยกัน”
“คุยกันเรื่องอะไรบ้างวะ?”
“ก็เรื่องทั่วไป”
“แล้วแกรู้หรือเปล่าว่าในฝัน แกเป็นใคร แล้วเกนหลงเป็นใคร?”
คนถูกถามส่ายหน้าเป็นครั้งที่สอง
“ไม่รู้ ในฝันไม่ได้บอกอะไรฉันเลย นอกจากว่า...เขา สนิทกับฉันมากๆ เขาชอบเรียกฉันว่านายตุลา แล้วฉันก็จะเรียกเขากลับว่า คุณผู้หญิงเกนหลง”
สินธรเกาคางเบาๆ ระหว่างครุ่นคิดทุกวิถีทางที่คิดว่าน่าจะเป็นคำอธิบายที่พอใช้ได้สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าคมสันยับยุ่ง
“ฉันว่านะ...มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะยังไง โอกาสที่แกจะเจอกับเกนหลงอีก มันก็แทบเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ ที่อยู่ก็หายไป แล้วไม่รู้อีกต่างหากว่าเธอเป็นคนที่ไหน ที่สำคัญ ประเทศไทยมันกว้างนะโว้ย ไอ้เรื่องที่แกฝันๆ ไปเนี่ย อีกสักพัก แกก็คงจะเลิกฝันเอง”
“นั่นสิ” ช่างภาพหนุ่มถอนหายใจ “ฉันก็ภาวนา....ว่าอีกสักพัก ฉันคงเลิกได้ยินเสียงในความฝันนี้สักที”
ตุลาไม่เคยคิดเลยว่า คำว่า ‘อีกสักพัก’ นั้น จะใช้เวลานาน.... นาน...มากจนเขาไม่แน่ใจว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร ในเมื่อทุกคืนที่หลับตา เสียงเหล่านั้นก็จะกลับมาดังอยู่ในห้วงความฝัน...เสียง...ที่เริ่มเคยคุ้นไปทีละน้อยโดยไม่รู้สึกตน เสียง ที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึก ‘สนิทสนม’ กับหล่อนผู้นั้น
หากในอดีตชาตินั้นเป็นจริง เขา ‘มั่นใจ’ ว่าชายหนุ่มที่มีนามว่าตุลานั้น หลงรักปักใจกับหล่อนอย่างแนบแน่น เช่นเดียวกับความรู้สึกของผู้ได้ยินเพียงแค่เสียงในยามนี้
“คุณคือดวงตะวันของผม รู้ไหม คุณเกนหลง”
“จะเป็นดวงตะวันได้ยังไง ตัวก็ไม่ร้อนสักหน่อย หน้าของฉันมันกลมนักหรือไง หือ นายตุลาหน้ายาว?”
“พุทโธ่ ผมหมายถึงคุณสำคัญมากสำหรับผม”
“แน่ใจนะ?”
“คุณรู้ไหม ผมชอบพระอาทิตย์ ชอบมองพระอาทิตย์เวลาตก...เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีที่สวยที่สุด”
“มิน่าเล่า ชอบหนีงานออกไปนั่งอยู่ริมทะเลบ่อย”
“แล้วใครให้คุณหนีงานบ้านออกมานั่งเป็นเพื่อนผม?”
“อ๋อ พูดนี่จะไล่ให้เขากลับไปใช่ไหม ดี... วันหลังจะไม่มานั่งเป็นเพื่อนอีก”
“พูดเท่านี้ก็งอน...ไม่เอาล่ะ...ตั้งนาน กว่าผมจะได้มีโอกาสมานั่งตรงนี้กับคุณ”
“วันหลังไม่มาแล้ว”
“คนดี....” คนในฝันทอดเสียง อ่อน “จะมีสักวันไหมที่คุณไม่รวนหาเรื่องผมก่อน”
“นั่นไง! ใครหาเรื่องใครก่อน”
“คุณเกนหลง”
“นายตุลา!”
“ก็ได้....ก็ได้... ผมยอมแพ้ นายตุลาผิด ผิดตลอดเลย ส่วนคุณผู้หญิงเกนหลงเขาถูกตลอด ถูก ถูก ถูก ถูกไปหมด”
“ประชดกันนี่”
“ใช่น่ะสิ” แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้แสดงแผลงฤทธิ์อะไร เสียงเขาคนเดิมก็ชิงบอกขึ้นมาก่อนว่า “โน่น! พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว วันนี้อดดูเลยเพราะมัวแต่ทะเลาะกับคุณหญิงเกนหลง”
“บ้า บ้า บ้า .... นายตุลาลืมเองแล้วมาเกี่ยวอะไรกับเกนหลงด้วยเล่า ถนัดนักล่ะสิเรื่องโบ้ยความผิดให้คนอื่น อะไรโน่นนี่ก็มาโทษกัน.... ว่าแต่ว่า....มันตกไปแล้ว....เสียดายจังเลย”
“ทำยังไงได้ ก็มันตกไปแล้วนี่ คุณหญิงเกนหลงจะทำยังไงล่ะ?”
“ค่อยมาดูใหม่พรุ่งนี้”
“ใครเขาอยากให้มา”
“ฮื้อ!!!”
........................
สินธรยกสองมือขึ้นสอดประสานเหนือหน้าอก นิ่วคิ้วคมเข้าหากันเบาๆ อย่างใช้ความคิด ในขณะที่เก้าอี้สีแดงตัวเล็กถูกเพื่อนรักจับจอง ด้วยอาการนั่งที่ไม่แตกต่างกัน
“สามเดือนแล้วแกยังไม่เลิกฝันอีกเหรอ?”
“ใช่” ช่างภาพหนุ่มตอบ เสียงเลื่อนลอย “สามเดือนที่ผ่านมาฉันฝัน ทุกคืน ทุกครั้งที่หลับตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แล้วฉันก็รู้สึก ว่าภาพอดีตนั้นมันเข้าใกล้มาทุกวัน...ทุกวัน”
“แกแน่ใจเหรอว่ามันใช่อดีตของแก”
“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมเกนหลงเรียกฉันว่าตุลา ทำไมฉันถึงฝันทุกคืน แล้วทำไมมันถึงเป็นเรื่องเป็นราวได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่สามเดือนฉันควรจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำไป”
ร่างสูงของสินธรขยับจากโต๊ะตัวที่เอนพิงหลังอยู่กลับมายังโซฟาข้างเก้าอี้ตัวที่ช่างภาพหนุ่มกำลังนั่ง มือหนาเอื้อมไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณและอดีตชาติที่ค้นได้จากห้องสมุดเก่าของยายทวดขึ้นมาเปิดพลิกผ่าน แล้วปิดพับเก็บไปด้วยเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ
“อย่างเดียวที่ฉันเห็นว่าเข้าท่าที่สุดสำหรับฝันของแก ก็คือที่ผู้ชายคนนั้นชอบดูพระอาทิตย์ตก เหมือนกับที่แกชอบถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกจนกระทั่งล้นแกลลอรี่”
“ถูกของแก” ตุลาพยักหน้า “ฉันชอบพระอาทิตย์ตก ...ชอบมอง ชอบถ่ายรูปเก็บไว้ ชีวิตของฉันเดินทางไปเรื่อย ไม่เคยหยุด แกจำได้ไหม ที่ฉันเคยบอกแกว่า ฉันไม่รู้ว่าทำไมชะตาชีวิตของฉันมันถึงกำหนดให้อาชีพของฉันมันต้องเดินทาง แต่อย่างเดียวที่ฉันรู้ตัวมาตลอด คือ ‘อะไร’ บางอย่าง บอกให้ฉันเดินทาง เดินทางไปเรื่อย เพราะชีวิตของฉันมันยังไม่ถูกเติมเต็ม และฉันต้องเดินทางเพื่อค้นหาส่วนที่ขาดหายไปนั้น”
“หาผู้หญิงคนนั้นเหรอวะ? แกจะบ้าหรือเปล่า ฉันว่าตอนนี้ที่แกควรจะไป ก็คือไปหาจิตแพทย์”
“แต่ฉันสังหรณ์.... ว่าฉันควรจะกลับไปที่เดิม”
ชายหาดนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเหมือนวันแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามาไม่มีวันผิด....
ตุลาคิดพลางลากเท้าไปบนผืนทรายอย่างเอื่อยอ่อน สองตามองฝ่าฝูงนักท่องเที่ยวที่ต่างพากันเล่นระเริงอยู่ริมชายหาดอย่างสนุกสนาน สอดส่ายมองหาเผื่อว่า ‘หล่อน’ จะซ่อนตัวอยู่ภายใต้คนแปลกหน้ามากมายเหล่านั้น หากแล้วสิ่งที่เขาเห็นก็เป็นเพียงแต่คนไม่คุ้นตา
หรือลางสังหรณ์ของเขาจะไม่เป็นความจริง?....
ทุกอย่างไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงอะไรเลย เสียงของหล่อนเป็นความฝัน และทุกอย่างเป็นความรู้สึก
ความรู้สึก ที่สร้างขึ้นมาจากภายในของจิตใจ
อดีตชาติจะเป็นเรื่องจริงหรือ?
ร่างสูงกลับมาหยุดยืนตรงหน้าเค้าเตอร์เช็คอิน ดวงตาจับจ้องภาพแกะสลักของนางอัปสราแสนสวย แล้วนึกถึงครั้งแรก ที่เงาของหล่อนผู้นั้นพาดผ่านเข้ามาในเลนส์กล้อง นึกถึงเมื่อเขาลดกล้องลงเพื่อให้ภาพของหล่อนฉายเข้ามาในเลนส์ของดวงตา ภาพจริงเป็นเนื้อแท้ นึกถึงใบหน้าเรียวสวยที่เคลื่อนไหวหัวเราะขบขัน นึกถึงกลิ่นหอมของแป้งเด็กอ่อน ที่ลอยเข้ามากระทบโสตนาสิก
หล่อนมีจริงไหม?....
เวลาเย็น.... เวลาที่ท้องฟ้าสีสวยที่สุดของวัน
พระอาทิตย์ดวงกลมใหญ่สีส้มสดลอยห่างจากผืนน้ำเพียงนิด นกทะเลบินผ่านกลายเป็นเส้นประกอบสีสวยเมื่อผสานรวมกับก้อนเมฆสีทอง หากตุลาก็ไม่หยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมาบันทึกภาพไว้ดั่งเช่นทุกครั้ง กลับนั่งชันเข่าอยู่บนโขดหิน และซึมซับภาพเหล่านั้นไว้ในความทรงจำของตัวเอง
อยากรู้นักว่า ตุลาคนนั้น จะรู้สึกเช่นไร ยามเมื่อได้มีเกนหลงมานั่งอยู่เคียงข้าง เพื่อมองพระอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ตกลงน้ำไป
“คุณ....”
ตุลาหลับตาแน่น....
ไม่... เขายังไม่ได้นอน ยังไม่ได้หลับฝัน
“คุณช่างภาพ”
คราวนี้เจ้าของสรรพนามนั้นเปิดตาของตัวเอง แล้วค่อยๆ หันกลับไปมองยังที่มาของน้ำเสียง ‘คุ้นหู’ และประหลาดใจเป็นล้นพ้น เมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าเรียวไข่สวยหวาน เจ้าของนาม ‘เกนหลง’ ยืนอยู่บนผืนทราย สะพายกระเป๋าเป้ใบย่อม และส่งรอยยิ้มตรงมายังตัวของเขาเอง
“ดูพระอาทิตย์ตกน้ำหรือคะ ทำไมมานั่งอยู่คนเดียว”
“เกนหลง”
“คะ?” เจ้าหล่อนเอียงหน้า “ฉันขอนั่งกับคุณด้วยคนได้ไหม?”
ตุลาขยับร่างโดยอัตโนมัติแทนคำตอบ เหลือที่ว่างให้หล่อนก้าวขึ้นมาและนั่งลงบนโขดหินใหญ่โขดเดียวกัน
“คุณมาได้ยังไงกัน” เขาถาม หลังจากหาเสียงของตัวเองเจอ
“ฉันมาอยู่หลายวันแล้วค่ะ ฉันกำลังจะกลับไปสอบสัมภาษณ์ บริษัทโทรมา แต่ว่ารถทัวร์ที่จะเข้ามารับเขาเข้ามาสาย อีกประมาณเกือบชั่วโมง ฉันเบื่อ ก็เลยเดินลงมาที่หาดทราย พอดีเห็นคุณนั่งอยู่คนเดียว”
“ยินดีด้วย ที่คุณกำลังจะได้งาน”
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงตอบนั้นไม่สดใสนักในความรู้สึกของคนฟัง และยังมีความเศร้าสร้อย ที่สัมผัสได้จากส่วนลึกของน้ำเสียง และดวงตาที่ตุลาสงสัยนัก ... เหตุใดจึงดูแกมโศก?
“คุณไม่ดีใจเหรอ กำลังจะได้งาน”
“ดีใจ ถึงต้องรีบกลับ แต่ก็ดีใจเหมือนกันที่เจอคุณอีก”
“ทำไม?”
“คุณลืมบอกชื่อฉัน คุณช่างภาพ”
“อ๋อ” ตุลาหัวเราะในลำคอ มองพระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงจนใกล้จะสัมผัสกับผิวน้ำ “ผมไม่บอก ให้คุณเดาเอง”
หากคุณคือเธอคนนั้น ... คุณน่าจะรู้จักชื่อผม
หรือไม่ ทุกอย่าง ผมก็ฝันเพ้อไปอยู่เพียงลำพัง
เกนหลง ... นายตุลาคนนี้ละเมอเพ้อพกไปเองหรือเปล่า?
คุณทายซี.... เผื่อลางสังหรณ์ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกิดกับผมตลอดเวลา จะดลบันดาลให้คุณตอบชื่อผมถูกเช่นเดียวกัน
“ธนาภพ?”
ใจที่มีความหวังดับสิ้นไปทันตา ยามที่ชื่อแปลกประหลาดนั้นหลุดพ้นออกมาจากริมฝีปากหญิงสาว
แน่แล้ว ... นายตุลา ... แน่แล้ว ว่าทุกอย่างคือแกฝันและละเมอไปเองเพียงลำพัง
“ถูกไหมคะ คุณธนาภพ?”
“ผิด” เขาหัวเราะ... ขื่นขมขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนจะชี้ไปยังภาพเบื้องหน้า “โน่น คุณดูโน่น พระอาทิตย์ตกลงไปในน้ำแล้ว”
ดวงตาสีนิลขลับมองไปตามปลายมือที่เขาชี้ ดวงอาทิตย์สีส้มแสดเข้มกำลังสัมผัสกับผิวน้ำ จะค่อยๆ จมหายลงไปทีละนิด โดยมีก้อนเมฆสีทองขลิบท้องฟ้าสีครามอมส้มลอยอยู่ใกล้ดุจจะโบกมือลา นกทะเลบินผ่านกลับรัง มือหนาวางทาบทับลงบนมือบางโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของแต่ละคนต่างจับจ้องอยู่ที่สิ่งก่อสร้างที่สวยงามที่สุดของธรรมชาติ ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
ในความฝัน นายตุลาคนนั้น จะรู้สึกดื่มด่ำ และเป็นสุข เหมือนนายตุลาคนนี้ไหม?
ในที่สุด ดวงอาทิตย์ดวงนั้นก็จมหายลับไป เหลือไว้เพียงแต่แสงสีส้มที่สาดส่องทอประกายเป็นลำอยู่บนท้องฟ้าแทนคำร่ำอำลา
“ฉันต้องไปแล้ว” หล่อนบอกแทรกขึ้นมาในความเงียบ แม้นน้ำเสียงนั้นจะฟังดูธรรมดา หากตุลาก็ใจหาย
“รถทัวร์มารอแล้วล่ะค่ะ โน่นไง คนอื่นขนกระเป๋าขึ้นกันหมดแล้ว ฉันต้องรีบไปก่อน”
“เดี๋ยวก่อน เกนหลง”
ร่างบางหันกลับมาตามเสียงเรียก
“ผม... เรา... จะเจอกันได้อีกเมื่อไหร่?”
เมื่อเห็นหญิงสาวยืนเงียบ อีกนาน .... เขาจึงพูดแก้เก้อ
“เผื่อวันไหนผมอยากถ่ายรูปคุณอีกไง วันนั้นฟิล์มเสียหมดเลย ที่อยู่ของคุณ ผมก็ทำหล่นหายไปตอนไหนก็ไม่รู้”
“มัน...อาจไม่สำคัญอะไรนี่คะ”
“ผมมีหลายอย่างอยากจะพูดกับคุณ”
ในดวงตาคู่งามมีประกายบางอย่างเต้นริก หากเสียงตะโกนเรียกที่ดังมาจากตัวรีสอร์ทด้านในทำให้เกนหลงรู้สึกตัว รีบดึงกระดาษ และปากกาในกระเป๋าเป้สะพาย แล้วเขียนชื่อและที่อยู่ลงไปอย่างรวดเร็ว
“สัญญาได้ไหมว่าคุณจะติดต่อกลับไปหาฉัน”
“ผมสัญญา”
เสียงเรียกชื่อหล่อนดังขึ้นมาอีก
“ฉันต้องไปแล้ว ในนั้นมีเบอร์โทรศัพท์ของฉัน คุณติดต่อทางโทรศัพท์น่าจะดีกว่า”
“คุณน่าจะให้เบอร์โทรศัพท์กับผมตั้งแต่แรก”
“อย่าลืมนะคะ... ติดต่อกลับไป”
ตุลาขยับปากจะตอบ หากร่างนั้นก็วิ่งหายไปแล้วอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแต่แผ่นหลังและเส้นผมที่ปลิวกระจายขึ้นรถทัวร์คันใหญ่ไป ช่างภาพหนุ่มกำแผ่นกระดาษในมือแน่น ก่อนจะคลี่มันออกมาดู และบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของหล่อนไว้ในเครื่องโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
รีบร้อนจนลืมบอกชื่อจริง ยิ่งประโยคย้ำข้างท้ายนั่น ฟังดูน่าสงสัยนัก
สัญญาได้ไหมว่าคุณจะติดต่อกลับไปหาฉัน
เหตุใดหล่อนถามเช่นนั้น?
เหตุใดจึงร้องขอ ‘สัญญา’ ?
ช่างเถิด คราวนี้...ไม่พลาดเหมือนคราวที่แล้วแน่
ตอบตัวเองพลางหมุนร่างกลับไปยังพื้นน้ำกว้างใหญ่ ที่บัดนี้ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาอย่างแช่มช้า แสงสีบนท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นโทนสีเทา ก้อนเมฆแต่ละก้อนที่เป็นประกายสีทองสว่างกลับกลายเป็นสีคล้ำทะมึน และทันใด ความรู้สึกสังหรณ์บางอย่างก็แล่นเข้ามาจับใจทันที แล้วยิ่งเพิ่มทวีขึ้นจนกลายเป็นความรู้สึกร้อนรุ่มอย่างรวดเร็ว
อะไรบางอย่างที่บอกให้เขารีบตามรถทัวร์คันนั้นไป!
“คุณครับ มีรถที่จะออกจากรีสอร์ทเข้าไปในเมืองตอนนี้เลยไหม”
รีเซฟชั่นสาวมองอาการกระหืดกระหอบของแขกที่เพิ่งเข้ามาพักได้ไม่ถึงวันด้วยความสงสัย หากก็ยังคงรักษามารยาทที่งดงามนุ่มนวล ด้วยการตอบว่า
“รถประจำทางไม่มีแล้วค่ะ คุณน่าจะมาเร็วกว่านี้สักนิด เพราะว่ารถของบริษัททัวร์ที่เข้ามารับคนเขาเพิ่งจะออกไป เที่ยวสุดท้ายพอดี แต่ถ้าคุณอยากออกไปเดี๋ยวนี้เลยคุณก็เช่ารถของรีสอร์ทได้นะคะ”
บอกราคาที่แพงลิบ หากตุลาก็หยิบเงินในกระเป๋าออกมาตั้งบนโต๊ะรวมถึงค่าห้องที่เขายังไม่ได้พักอาศัยหลับนอน แล้วรีบวิ่งออกไปยังรถลิมูซีนที่จอดอยู่ด้านนอกอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงตะโกนบอกของพนักงานที่ดังไล่หลัง
“ตามรถทัวร์คันเมื่อสักครู่ไปครับ ไปให้ทันให้เร็วที่สุด!!”
เครื่องปรับอากาศในรถคันยาวส่งกระไอเย็นเฉียบมาปะทะใบหน้า หากไม่สามารถดับความร้อนรุ่มในใจของชายหนุ่มได้ ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจนเขาแทบจะเป็นบ้าไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล
“คุณขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหม ยังไม่ทันรถทัวร์อีกเหรอ เขาออกไปก่อนแค่ไม่กี่อึดใจ”
“เร็วแล้วครับ แต่ช่องเขามันหักศอกบ่อยน่ะคุณ รีบมากเดี๋ยวรถจะแหกโค้ง”
ตุลาหันหน้าหนี มองออกไปนอกกระจกหน้าต่างอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะเย็นวาบไปจรดปลายเท้าเมื่อได้ยินเสียงบอกของคนขับรถ
“นั่นไงคุณ แหกโค้งอยู่ตรงหน้า ตายล่ะ รถทัวร์คันที่คุณบอกไง”
“จอด!” เสียงสั่งสั่นระริก “จอดเดี๋ยวนี้!!!”
ร่างสูงวิ่งลงจากลิมูซีนทันทีที่ล้อรถหยุดสนิท วิ่งฝ่ารถหลายคันที่จอดติดกันเป็นขบวนไม่สามารถไปไหนได้เพราะรถคันใหญ่ทอดขวางอยู่ตรงหน้า ... วิ่ง...วิ่ง...และวิ่ง พร้อมกับที่ความกลัวในลางสังหรณ์นั้นจะแล่นขึ้นมาจับหัวใจ
“คุณ ระวัง อย่าเพิ่งเข้าไป เจ้าหน้าที่กำลังช่วยผู้บาดเจ็บ”
“ไม่จริง!!” ตะโกนก้องด้วยความหวาดหวั่น ร่างนั้นแทรกเข้าไปในหน่วยกู้ภัยและกวาดตาหาร่างของหล่อน.... หล่อนผู้นั้น ที่เป็นปริศนามาตลอดสามเดือน...หรือแม้แต่ทั้งชีวิตด้วยซ้ำไปสำหรับเขา
“เกนหลง”
ในที่สุดตุลาก็เห็น ร่างบางนอนอยู่บนเปลผ้าใบ แม้เลือดจะไหลเปื้อนเสื้อผ้าและเป้ใบย่อมที่หล่อนสะพาย แต่กระนั้น เจ้าของใบหน้าสวยโศก ก็ค่อยๆ หันมาตามเสียงเรียก และคลี่ยิ้ม ดวงตาเต้นจนเป็นประกาย
“นายตุลา”
ใบหน้าคมซีดเผือดเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา แม้แผ่ว แต่ชัดเจน
ใช่แน่แล้ว... ในดวงตานั้นบอก ... หล่อน ‘รู้จัก’ เขา...
“เกนหลง... คุณเกนหลง” ตุลาทิ้งตัวลงนั่งแทบพื้น เขย่ามือบาง “คุณรู้จักผมใช่ไหม คุณ ‘รู้’ ใช่ไหม คุณเกนหลง ตอบผมสิ ตอบ! ตอบมาเดี๋ยวนี้!! คุณรู้เรื่องระหว่างเราใช่ไหม?”
“นายตุลา” เสียงเรียกนั้นเคยคุ้น “คุณคือตุลาของฉันจริงๆ”
“ใช่ ผมคือตุลาของคุณ... ของคุณผู้หญิงเกนหลง” เสียงห้าวแหบสั่นพร่า น้ำอุ่นๆ เอ่อขึ้นมาคลอสองตาเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลเอ่อขึ้นมาในดวงตาสีนิลใส
“คุณเป็นใคร คุณเกี่ยวข้องอะไรกับผม”
“ฉันจำคุณได้ ... จำคุณได้ตั้งแต่แรกพบเมื่อสามเดือนก่อน” เรียวปากที่เริ่มซีดขยับเป็นรอยยิ้ม “ฉันรออยู่ตลอดเวลาว่าคุณจะติดต่อกลับไป แต่ทำไมคุณไม่ติดต่อฉัน คุณไม่รู้เรื่องของเราหรอกหรือ?”
“ผม...ผมไม่รู้”
“แต่ฉันรู้...ฉันฝัน ฉันเห็นมาตลอด เห็นคุณอยู่ในความฝัน ฉันรู้ว่าคุณจะต้องกลับมาที่นี่ มาเพื่อดูพระอาทิตย์ตกน้ำไป ตุลา เลขานุการที่เก่งที่สุดของคุณพ่อ นายตุลาคนดี นายตุลาคนที่ฉันรัก” ร่างบางเริ่มสั่น เสียงบอกขาดห้วง “เรารักกันมานาน...นานมาก จนกระทั่งพ่อรู้ และฉันถูกส่งไปปีนัง ตุลา ฉันเสียใจ”
น้ำตาหยดเล็กๆ ไหลลงมาอาบแก้มนวล ลมหายใจแผ่วอ่อน กระนั้น หล่อนก็ยังพยายาม...
“ฉันขอโทษ... ชาติที่แล้ว.... มันคงเป็นกรรมที่ทำให้ชาตินี้ฉันต้องจากคุณแบบนี้ คุณยกโทษให้ฉันได้ไหม? คราวนี้ฉันทำตามที่ฉันสัญญาแล้วนะ ฉันทำตามแล้ว”
“เกนหลง พูดกันก่อน ... อย่าเพิ่งจากผมไป เกนหลง”
“ฉันมีบางอย่าง...อยากจะบอก....อาจ ตั้งแต่ชาติที่แล้ว....” น้ำเสียงท้ายแผ่วลงเต็มที ตุลากำข้อมือเรียวบางแน่น กัดริมฝีปาก “...ว่าถึงยังไง...ฉัน....ก็ยัง....รักคุณ...รักนายตุลาคนเดียว”
เกนหลง ... คุณจะเป็นอะไรไม่ได้รู้ไหม
คุณอย่าหลับไป คุณต้องตื่น ตื่นมาพบนายตุลา ผมกลับมาพบกับคุณในชาตินี้แล้ว....เหตุใดคุณถึงจากผมไปอีก
เกนหลง....
เกนหลง....
ในวัดชานเมืองกรุงเทพมหานคร ควันสีขุ่นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และแขกผู้มาร่วมพิธีไว้อาลัยต่างก็พากันทยอยเดินกลับไปทีละคน จนสุดท้าย ก็เหลือเพียงแต่ญาติสนิท และตุลา ที่ยังคงอยู่กับเพื่อนข้างกาย
“เกนหลงเขาไปพักที่รีสอร์ทนั่นบ่อยมาก ครั้งสุดท้ายที่เขาไปก็พักอยู่เกือบเดือน” สตรีวัยกลางคนในชุดไว้ทุกข์สีดำสนิท ผู้เป็นมารดาของเกนหลงบอก ซับน้ำตาบนใบหน้า “แม่ไม่เคยห้ามเขาเลย เกนหลงเขาเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อย่างเดียวที่เขาชอบก็คือไปพักผ่อนที่รีสอร์ท ที่อยู่ๆ เขาก็ไปเอง เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย ได้เกียรตินิยม แต่แทนที่จะทำงานเลย เขาก็ขอเวลาแม่หนึ่งปี ขอไปเที่ยว แม่ก็ตามใจเขา ไม่นึกเลยว่าเขาจะ...จาก...แม่ไปเร็วขนาดนี้ ชีวิตของเขาตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีความสุขเหมือนคนอื่นหรอก เหมือนเขาจะเสียใจเรื่องอะไรก็ไม่รู้อยู่ตลอดเวลา เรื่องที่แม่ก็เข้าไปไม่ถึง”
ตุลาก้มหน้ามองพื้น ปล่อยให้ญาติของอีกฝ่ายนำตัวมารดาของเกนหลงไปพักผ่อน ขณะที่ตัวเองปลีกตัวออกมาด้านนอกกับสินธร ในมือกำภาพถ่ายขนาดเล็ก ที่มีรูปของ ‘เธอคนนั้น’ แน่น
“ฉันไม่เถียงแกแล้วว่ะ ตุลา เรื่องชาติที่แล้วของแก” ชายหนุ่มเว้นเสียง ค่อยๆ เดินลงจากเมรุ “บางครั้ง พระเจ้าก็ชอบเล่นกลตลกกับชีวิตมนุษย์”
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม ... ครั้งแรกที่ฉันเห็นเกนหลง ฉันถึงรู้สึกเหมือนเคยรู้จักเขามาแล้วเป็นเวลานาน”
“ใช่... เพราะคนเพิ่งรู้จัก กับรู้จักมาแล้วตลอดชีวิต มันต่างกัน”
“แต่ถ้าอย่างนั้น ทำไมเขาถึงจากฉันไป ทำไมเขาถึงต้องขอโทษฉัน ทำไมเขาถึงต้องขอให้ฉันอภัยให้เขา ทำไม.....”
คำตอบนั้น ปรากฏกระจ่างในความฝันคืนสุดท้ายของตุลาเอง ความฝันที่ทุกอย่างแจ่มชัด ไม่ได้มีเพียงเฉพาะเสียงอีกต่อไป ภาพนายตุลา ผู้เป็นเลขานุการคนสนิทของหลวงสุริยทินกร ตกหลุมรักกับเกนหลง ลูกสาวแสนสวยคนเดียวของคุณหลวง....ดอกฟ้า...ผู้แสนสูงศักดิ์ ที่ได้โน้มช่อสวยงามของตัวเองตกลงมาบนพื้นแผ่นดิน ให้คนยากไร้อย่างเขาได้สัมผัสความสดชื่น ฉ่ำหวาน ... ดอกฟ้า...ผู้แสนรั้นและเอาแต่ใจของตัวเอง สร้างปัญหาได้อย่างไม่รู้เบื่อ แต่กระนั้นนายตุลาก็ยังคงยอมแบกรับปัญหาเหล่านั้นอย่างไม่กล้าหน่ายหนี
“เรารักกัน ก็แต่งงานกันซีไม่เห็นจะยากอะไร”
“ยาก คุณเกนหลงเป็นลูกสาวคุณหลวง ท่านรู้ขึ้นมาเมื่อไหร่คงเล่นงานผมตาย ตัวเองน่ะรอด แต่นายตุลาคนซวยคนนี้สงสัยไม่มีแม้แต่คนจะช่วยเผา”
“โธ่เอ๋ย คุณพ่อชอบออกอย่างนั้น คงไม่ใจร้ายทำอะไรนายตุลาได้ลงคอหรอก”
ถูกของแม่คนช่างสร้างปัญหา เพราะเมื่อคุณหลวงได้ทราบเรื่อง แทนที่จะ ‘ทำอะไร’ เขา อย่างที่เกนหลงคาดการณ์ กลับการเป็น ‘ลูกรัก’ ที่ถูกส่งตัวไปยังที่อื่น
“ไปเล่าไปเรียนที่ปีนัง แม่ฝ้ายลูกคุณหลวงพิสุทธิ์สุนทรก็ไป ไปพร้อมกันเสียเลย!”
“ลูกไม่ไป!” หล่อนในความฝันเถียงลั่น จนได้ยินมาถึงข้าบ่าวบริพารด้านล่าง “ลูกไม่ไป! ลูกจะอยู่ที่นี่ ลูกจะแต่งงานกับตุลา”
“ไม่ได้ แกต้องไป ไปเรียน แล้วกลับมาจะทำอะไรก็ค่อยว่ากัน”
“พ่อหมายความว่ายังไง ถ้าลูกยอมไปพ่อจะให้ลูกแต่งงานกับตุลาใช่ไหม?”
“ไปเรียนให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
‘หล่อน’ มาร่ำลาเขาด้วยน้ำตานองใบหน้า ท่ามกลางท้องฟ้าสีส้มแสด พระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกลงไปในผืนทะเลใหญ่
“รอฉันนะ ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด กลับมาแต่งงานกับตุลา”
“ถ้าแน่ใจว่าจะกลับแล้วจะร้องไห้ขี้มูกโป่งทำไม เขาไม่มีผ้าขี้ริ้วจะมาเช็ดให้หรอกนะ”
“บ้า... สัญญานะว่าจะรอ”
“สัญญาอยู่แล้ว คนดีของผม นายตุลาคนนี้ไม่เคยผิดสัญญากับใคร”
“แล้วฉันจะกลับมา แต่งงานกับนายตุลา คนเดียวที่ฉันรัก ตลอดไป”
เจ็ดปีนั้นยาวนานยิ่งนักในความรู้สึกของคนเฝ้ารอ ถึงแม้เขาจะเบื่อหน่าย ทดท้อ แต่ที่สุดแล้ว ตุลาก็รออย่างอดทน รับใช้คุณหลวงไปเรื่อย ขีดปฏิทินฆ่าเวลาทิ้งวันแล้ว วันเล่า แอบรอแอบหวังแต่เพียงว่า เมื่อใดดอกฟ้าคนงามของเขาจะกลับมาตามคำสัญญาเสียที
จนในที่สุด ข่าวนั้นก็มาถึง ... ข่าวการกลับมาของลูกสาวคนเดียวของคุณหลวงสุริยทินกรแพร่กระจายไปทั่วบ้านหลังใหญ่ สาวใช้คนเก่าคนแก่ในบ้านจัดเตรียมงานกันอย่างสนุกสนาน ส่วนคนใกล้ชิดตัวคุณหลวงที่สุดเล่า ต้องเก็บอาการยินดีในใจไว้ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย และนับวันที่หล่อนจะมาถึง
“คุณเกนหลงกลับมาแล้ว”
ในภาพฝันนั้นแจ่มชัด เขายืนอยู่ข้างคุณหลวงสุริยทินกร บนบันได มองรถคันสวยเข้ามาจอดเทียบลานบ้าน ในใจเต้นแรง เมื่อนึกว่าอีกไม่กี่อึดใจ ใบหน้าของสตรีที่เขารอคอยมานานกำลังจะปรากฏให้เห็น
“เกนหลง”
ร่างบางก้าวลงมาจากรถ ดูแปลกตาไป หากก็ไม่มากนักในความรู้สึกของตุลา หล่อนยังสวย สะดุดตา และยิ่งสวยมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำด้วยความสมบูรณ์มีน้ำมีนวลและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
“ลูกรักของพ่อ”
ตุลามองจากด้านหลังของคุณหลวง หมายจะส่งยิ้มให้หล่อนอย่างที่มักแอบทำเป็นประจำอย่างเช่นเมื่อก่อน หากเพิ่งสำเหนียกถึงบางอย่างที่ผิดปกติไปก็เมื่อ ‘หล่อน’ มิได้เงยขึ้นมาสบสายตาเขา หล่อน หลบหน้า และยิ่งกว่านั้น ใจเขายิ่งเหมือนถูกบิดสลายกลายเป็นเสี่ยง เมื่อร่างสูงของใครอีกคน ก้าวลงมาจากอีกฟากหนึ่งของรถ
พร้อมกับเด็กน้อยวัยหนึ่งขวบในอ้อมแขน
“นี่หรือ...หลานของพ่อ”
หลานของพ่อ...
ตุลาในความฝันกลืนน้ำลายอย่างเจ็บปวด ร่างกายชาไปทุกสัดส่วน ไม่รู้สึกแม้กระทั่งว่าตัวเองมีตัวตนยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
หลาน....
ลูก...
เกนหลง ดอกฟ้าของเขา มีลูกน้อยวัยหนึ่งขวบ กับผู้ชายที่ตามหล่อนกลับมาจากปีนัง
จริงหรือ....จริงหรือ
ในใจที่อัดอั้นจนใกล้ระเบิดของเขาตะโกนถาม ร่ำร้องไม่รู้จบอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เรียบกระด้างจนแทบจะกลายเป็นแผ่นหินไม่มีความรู้สึก
หล่อนมีลูกแล้วหรือ?
แล้วสัญญา
.....ฉันจะกลับมา แต่งงานกับนายตุลา คนเดียวที่ฉันรัก ตลอดไป....
ใช่ ... ตุลาคนนี้เฝ้ารอ ...รอความเป็นไปไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียว บัดเดี๋ยวนี้เวลานี้หล่อนมีครอบครัว มีทายาทตัวน้อยที่น่าภูมิใจให้แก่เชื้อสายวงศ์ตระกูลของเขาแล้ว บัดนี้เขาเป็นส่วนเกิน ส่วนเกินที่ไม่มีสิทธิ์ในตัวของหล่อนแม้แต่เสี้ยวเดียว .... เหมือนที่เขาไม่เคยมีมาก่อนเลย
“ฉันขอโทษ ตุลา” คุณหลวงสุริยทินกรกลับมาพูดกับเขาในห้องทำงานส่วนตัว ดวงตาคมกริบมองใบหน้าของลูกน้องในบังคับบัญชา “ฉันเสียใจ”
เถิดแม้เขาผิดหวังเพียงไร แต่ตุลาก็ยังเป็นข้าบ่าวที่จงรักภักดี และเจียมตัวรู้ตน หากจะให้เขาทนอยู่ในบ้าน...ซึ่งมีเธอผู้นั้น อยู่ร่วมกันกับสามี และ ลูก ของหล่อนต่อไปอย่างไรได้
“ถ้าคุณหลวงจะกรุณา ... ผมขอกลับไปทำงานที่บ้านเกิดของตัวเอง”
“ตามใจของเธอเถอะตุลา ฉันเข้าใจดี”
“ขอบคุณคุณหลวงมากขอรับ”
ร่างสูงหยุดก้าวต่อไปที่กำลังจะก้าวขึ้นรถของตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงเรียก แสนคุ้น จากด้านหลัง
“อย่าเพิ่งไป ... ตุลา ... นายตุลา”
แม่ดอกฟ้า ที่บัดนี้ไม่ใช่ของเขาอีกแล้วต่อไป วิ่งลงมาด้วยใบหน้าอันนองไปด้วยน้ำตา
“ตุลา ฉันขอโทษ ...ฉันขอโทษเธอที่เกนหลงคนนี้ไม่รักษาสัญญา ทำให้เธอต้องเสียใจ”
“ขอรับ”
“ตุลา อย่าโกรธฉันได้ไหม?”
ในฝันนั้น เขาเห็นตัวเองหันหลังกลับไป และยิ้ม ให้กับ หล่อน .... ยิ้ม ที่รู้สึกว่ามันบาดกลับเข้ามาในใจเหลือเกิน ที่ต้องเห็นใบหน้าที่ไม่เคยลืมได้ ที่ต้องเห็นน้ำตาของดอกฟ้าที่เขารักสุดหัวใจ
“อย่าร้อง คุณเกนหลง ไม่มีอะไรควรค่ากับน้ำตาของคุณ ... คุณเลือกทางเดินของคุณที่ถูกต้องแล้ว นายตุลาคนนี้ก็โล่งใจเสียทีที่คุณมีคนที่คอยดูแล ที่ดีกว่าตัวของเขาเอง คิดเสียว่า ชาตินี้เราไม่ได้เกิดมาเพื่อกัน ... จึงไม่มีโอกาสได้ดูพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยกันอีก”
“เธอจะไปไหน”
“คงจะเป็นตามทางของผมเอง”
“สัญญาได้ไหม ว่าถ้าชาติหน้ามีจริง นายจะกลับมาหาฉัน” ดอกฟ้าของเขาพูดทั้งน้ำตา “สัญญาสิ สัญญา”
“สัญญาอยู่แล้ว นายตุลาคนนี้ไม่เคยผิดสัญญากับใคร”
จนกระทั่งเขากำลังจะเลี้ยวรถลับห่างของจากบ้านหลังใหญ่ของคุณหลวงไป ในกระจกหลัง ตุลายังเห็นเกนหลงร้องไห้ ผ่านม่านหยาดน้ำตาของคนอ่อนแออย่างเขาเอง คนต่ำศักดิ์ต่ำต้อย ที่ควรจะรู้ และเจียมตัวเองเสียแต่ต้น
และภาพฝันของตุลาก็จบสิ้นลง เมื่อเขาเห็นภาพรถคันใหญ่เสียหลักแล่นเข้ามาปะทะกับรถของเขาเอง ความรู้สึกทั้งหมดดับวูบไป พร้อมกับที่ช่างภาพหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน
น้ำตาหยดหนึ่งหล่นไหลลงมาจากใบหน้า มือหนายังคงกำรูปภาพของหญิงผู้ซึ่งเป็นที่รักยิ่งอยู่แน่น ด้วยดวงใจที่บีบรัด ระทม
คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือขอสัญญาอะไรจากผมเลย เกนหลง .... เพราะอย่างไร ตลอดเวลา นายตุลาคนนี้ก็ยังคงรักคุณผู้หญิงเกนหลงอยู่เหมือนเดิมไม่มีวันเสื่อมคลาย....
....จบบริบูรณ์....
ผลงานอื่นๆ ของ พิณณ์อวี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ พิณณ์อวี
ความคิดเห็น