ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Whisperer เนตรสะกดวิญญาณ [จบ]

    ลำดับตอนที่ #33 : เมืองในม่านเมฆสีเขียว A Town of Green Cloud [ตอนปลาย]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 312
      0
      12 ก.พ. 56

    ห้องโถงใหญ่ซึ่งปกติจะใช้ในการประชุมทางธุรกิจถูกใช้เป็นห้องประชุมในครั้งนี้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องมารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว เพราะขณะออกจากซิลเวอร์เลคมาแคลร์โทรศัพท์บอกกับฮาคานพ่อบ้านวัยชราที่อยู่มาตั้งแต่สมัยพ่อของเธอ เมื่อแคลร์เข้ามาถึงและตามมาด้วยเรย์ กริเซลด้า อีริก และไนล์ก็อยู่ในห้องก่อนแล้ว เธอตรงไปที่ลำโพงเพื่อต่อสายโทรศัพท์ของเธอเข้า ก่อนจะกดโทรหากริฟฟิน ซึ่งเสียงสัญญาณเรียกถูกกดตอบรับตั้งแต่การเรียกครั้งแรก

    กริฟฟินนี่ฉันเองหญิงสาวปาดผมสีทองของเธอทัดเข้าที่ใบหูขณะพูดสาย

    อย่างที่บอกไป ฉันได้ข้อมูลที่เมืองอิเพียเลสแล้วเสียงกิฟฟินดังออกมาทางลำโพงทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน

    ทุกคนฟังอยู่นายว่ารายละเอียดของนายมาเลยแคลร์ว่า

    เสียงกรอบแกรบเหมือนกระดาษกระทบกันดังเข้ามาในลำโพง กริฟฟินคงค้นหาอะไรสักอย่างในกองเอกสารทางด้านเขา

    ฉันเช็คจากข้อมูลการตรวจคนเข้าเมืองของโคลัมเบียในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา มีรายชื่อของพวกที่น่าสงสัยว่าจะเป็นนีเมซิสไม่ต่ำกว่าร้อย และในจำนวนนั้นกว่าครึ่งตอนนี้ยืนยันแน่นอนแล้วว่าอยู่ในนารีโญกริฟฟินหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    และในรายชื่อทั้งหมดที่ได้มารวมกับที่ฉันแฮกค์เข้าไปในระบบฐานข้อมูลของนิกส์ทำให้ได้รู่ว่า...เขาเล่ามาถึงตรงนี้และกำลังจะเล่าต่อไป แต่ก็มีเสียงหนึ่งโวยวายขึ้น

    นี่นายแฮกค์ระบบของนิกส์ด้วยรึ!” เสียงเรย์ดังขึ้น

    มันจำเป็นนะ ว่าแต่ถ้าอยากได้ข้อมูลก็ฟังเงียบๆ ไม่งั้นจะให้ไปหาข้อมูลกันเอาเองเสียงที่ส่งมาแสดงถึงความไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด

    และเมื่อไม่มีเสียงใดแย้งขึ้นมาอีกเขาก็แจ้งข้อมูลที่เขาได้ต่อมา รายชื่อที่เป็นอันตรายที่ฉันเจอมีอยู่สี่ชื่อเขาว่า คริสเตียน เลน นักเขียนชาวอังกฤษ ออคตาเวีย โรมานอฟสกี้ ดาราสาวของรัสเซีย คิม เรอิล นักเทควันโด้ทีมชาติเกาหลีใต้ และสุดท้าย ดอล์แมน คอร์ฟ นายพลแห่งกองทัพปลดปล่อยของซิมบัพเวย์กริฟฟินเอ่ยรายชื่อที่เขาได้มา

    มากันครบเลยงานนี้เสียงอีริกว่า

    สายตาของไนล์ เรย์และแคลร์หันไปยังหนุ่มน้อยที่นั่งอยู่บนโต๊ะแทนที่จะเป็นเก้าอี้ทันที ในขณะที่กริเซลด้ายังมีสีหน้านิ่งสงบ

    แกรู้จักไอ้พวกนี้รึ เรย์ถามเสียงเข้ม

    รู้จักดีเชียวละครับ พวกนี้เป็นมือดีที่สุดของท่านเดเนฟ ดรรชนีแห่งความเศร้าอีริกตอบ

    ดรรชนีแห่งความเศร้า?” ไนล์เอ่ยด้วยสีหน้าสงสัย

    อีริกทำท่าครุ่นคิดก่อนที่จะเดินไปหยิบน้ำมาดื่มแล้วจึงหันมาพูดต่อ กริฟฟอน คิเมร่า ไนติงเกล แล้วก็มิโนทอร์ ถ้าชื่อนี้คงพอจะคุ้นหูบ้างไหมครับคุณเรย์ คุณกริฟฟิน

    ตรงตามที่ฉันได้ข้อมูลมาเสียงกริฟฟินดังออกมาจากลำโพงอีกครั้ง

    ไอ้พวกนี้มันตัวแสบเลยนี่ ขนาดนิกส์ล่ามันมานานยังไม่สามารถเก็บมันได้เลย พลังมันไม่น่าจะด้อยกว่าเบลเฟกอลเรย์ว่า

    ไม่ด้อยกว่าแน่นอนอยู่แล้วครับ เบลเฟกอลมันดีแต่ปาก ถ้าจะให้เทียบก็น่าจะร้ายกว่าไททันที่พวกคุณพบมานิดหน่อยอีริกเสริม

    ไททัน?” แคลร์ถามอย่างสงสัย

    อ่องจ่าที่พวกคุณพบที่รัฐฉานไงครับเด็กหนุ่มเฉลยข้อสงสัยให้ทันที

    จะบ้ารึ! ต้องเจออย่างไอ้บ้านั่นสี่ตัวพร้อมกันนี่มันจะไหวได้ยังไงเรย์บ่นอย่างหงุดหงิด

    กริเซลด้าที่นั่งเงียบอยู่นานส่ายศีรษะไม่ใช่สี่...จำนวนของพวกนั้นตามที่บอกนั่นล่ะดรรชนีแห่งความเศร้า นิ้วทั้งห้า มันมีกันห้าตน เธอว่า และที่สำคัญตัวหัวหน้ามันนี่ละที่พลังเหนือกว่าตนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ขนาดอีริกยังเกือบไม่รอดตอนเจอกับนาง ถ้าจะว่ากันตรงๆ ก็น่าจะพลังด้อยกว่าเดเนฟเท่านั้น

    สิ่งที่ได้ยินทำให้ทุกคนมีสีหน้าตกใจ ในขณะที่อีริกส่ายศีรษะเหมือนไม่ยอมรับบางอย่าง เคซ่า เดอะบลูชาโดว์เขาพึมพำ

    ไม่เคยได้ยินชื่อเรย์ว่า

    ผมก็ไม่เคยรู้จักชื่อนี้กริฟฟินเสริมขึ้น

    ไม่แปลก นางหลบซ่อนตัวอย่างเป็นปริศนาตามชื่อ นางเป็นเสมือนเงาของเดเนฟแห่งความเศร้าสีน้ำเงิน งานของนางจะทำตามคำสั่งเดเนฟโดยตรงเท่านั้นกริเซลด้าพูดขณะทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง

    ฉันเตรียมแผนให้พวกนายแล้วที่โคลัมเบีย สิ่งต่างๆ ที่จำเป็นฉันให้คนออกไปจัดการให้พวกนายแล้ว ที่เหลือก็รอทำตามแผนที่ฉันจะส่งไปให้ก็แล้วกัน ครั้งนี้เราต้องลอบไปให้ถึงตัวเฮล่าให้ได้เร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการปะทะพวกนีเมซิส ฉันมีแผนดีๆ และเตรียมเซฟเฮ้าส์ไว้ให้พวกนายในอิเพียเลสแล้ว พอพวกนายไปถึงฉันจะติดต่อไปอีกทีเสียงกริฟฟินตัดสายดังขึ้นหลังเขาพูดจบ พร้อมๆ กับเสียงแคลร์ตะโกนสั่ง

    วิคเตอร์! เตรียมเครื่องบิน เราจะไปโคลัมเบียกัน!”

     

     

     

    บทที่ 12

    Green Cloud

    เมฆาสีเขียวขจี

     

    เครื่องบินของตระกูลวิลคอร์ฟพาพวกของเรย์มายังทวีปอเมริกาใต้ สู่โคลัมเบียที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป เครื่องร่อนลงที่สนามบินในเมืองหลวงโบโกต้า แล้วจึงเดินทางต่อสู่เมืองนารีโญซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอันมีชายแดนติดกับประเทศเอกวาดอร์

    การเดินทางจากเมืองหลวงมายังนารีโญใช้เวลามิใช่น้อย แต่ก็แลกด้วยการสามารถเข้าสู่เมืองนี้ได้อย่างไม่เป็นที่สะดุดตา ท้องฟ้าในนารีโญ่วันนี้มีสีคราม เจือด้วยสีขาวของปุยเมฆที่แซมอยู่จางๆ อากาศบริสุทธิ์จากป่าไม้และทุ่งราบที่เขียวขจีส่งกลิ่นผ่านมาทางเครื่องปรับอากาศ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณสิบเก้าองศาเซลเซียส ซึ่งก็เป็นอุณหภูมิปกติของที่นี่ รถยนต์ของพวกเรย์แล่นผ่าน พลาซ่า เวนเต้ เดอ จูลี่ รูปปั้นเทพีเสรีภาพสีขาวสะอาดตาตั้งเด่นตระหง่านกลางจัตุรัส รายล้อมด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอันวิจิตร

    นารีโญกรีน ที่พักในเมืองนารีโญที่กริฟฟินเตรียมไว้ให้อยู่บริเวณชานเมือง สายธารเล็กๆ ที่ไหลผ่านด้านหลังและหมู่แมกไม้ที่ค่อนข้างจะหนาทึบทำให้ดูหลบหลีกจากสายตา กว่าที่ทั้งหมดจะเข้าพักเวลาก็ล่วงเลยไปจะเกือบบ่ายสามโมง นาฬิกาที่ผนังเรือนรับรองส่งเสียงติ๊กต๊อกตลอดเวลาจะบางครั้งทำให้ผู้ได้ยินเกิดความรำคาญ แต่มันก็ลดความหงุดหงิดลงได้เมื่อเสียงนั้นได้ยินพร้อมกับเสียงน้ำไหลที่ไกลออกไปไม่มากนัก

    เรือนพักสีส้มอมแดงสูงสองชั้น ซึ่งเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่ถูกใช้เป็นที่พักของพวกเรย์ และมีเรือนสีเหลืองหม่นหลังข้างๆ อีกหนึ่งหลังที่ถูกจองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน และมันก็ได้ใช้งาน เพราะกริเซลด้านั้นขอแยกออกไปพักที่บ้านหลังนั้น หลังจากจัดการกับสัมภาระของแต่ละคนทั้งหมดก็ลงมารวมตัวกันที่ชั้นล่างของเรือนพักหลังใหญ่

    แคลร์หยิบแผนที่ของนารีโญขึ้นมากางบนโต๊ะไม้กลางห้อง ถ้าพวกเราจะไปยังอีเพียเลสต้องขึ้นเขากันเธอว่า ขณะที่ใช้มือจัดแผนที่ให้อยู่กึ่งกลางโต๊ะ

    เส้นทางขึ้นเขาเป็นยังไงบ้างเรย์ที่อยู่ข้างๆ เธอถามขึ้น

    แคลร์ปั้นหน้าเครียดพร้อมส่ายศีรษะ ดูแล้วไม่เป็นประโยชน์กับพวกเราเลยหญิงสาวว่าทางขึ้นลงมีแค่ทางเดียว ถ้าขึ้นไปตรงๆ คงไม่รอดสายตาพวกนีเมซิสที่ตอนนี้น่าจะเฝ้าอยู่ที่ทางขึ้นแล้วก็ระหว่างทาง

    ถ้าใช้เฮลิคอปเตอร์ได้ไหมไนล์ที่นั่งอยู่ถามเสียงเรียบ แต่ใบหน้าเธอครุ่นคิด

    แคลร์ส่ายศีรษะอีกครั้ง พวกนั้นจะรู้ทันทีว่าเป็นพวกเรา เพราะเสียงเฮลิคอปเตอร์จะทำให้พวกนั้นรู้ตัวเธอพูด

    แบบนี้คงต้องรอเจ้ากริฟฟินแล้วละว่าจะเอายังไงเรย์พูดก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาหนังสีดำ ในขณะที่คนอื่นๆ ยังพูดคุยกันเรื่องอื่นๆ และความเป็นไปได้ในการมุ่งสู่วิหาร ลาส ลาจาส ที่อยู่เหนือขุนเขาที่มีแม่น้ำไกวตาราไหลผ่าน วิหารที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ม่านเมฆสีเขียวขจี...

     

    หลายชั่วโมงผ่านไปยังไม่มีการติดต่อมาจากกริฟฟิน แคลร์เริ่มกระวนกระวาย เธอพยายามโทรหาเพื่อนลึกลับคนนี้อยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่มีแม้สัญญาณโทรศัพท์ ดวงตะวันคล้อยตัวลงจนใกล้กับทิวเขา แสงสีส้มผสมกับสีแดงอีกหลายเฉดส่องกระทบผืนหญ้าและแมกไม้ แต่แล้วเสียงเมลที่แล็ปท็อปของแคลร์ก็ดังขึ้น และเมื่อเธอเปิดมันขึ้นก็เป็นกริฟฟินที่ติดต่อเข้ามา

    โทรศัพท์ในนารีโญตอนนี้อันตรายเกินกว่าจะใช้ และตอนนี้ฉันเองก็อยู่ไม่ไกลจากพวกนายข้อความที่ส่งมาทางอีเมลลับเฉพาะระหว่างแคลร์กับกริฟฟินว่าไว้

    หญิงสาวอ่านข้อความนั้นให้ทุกคนได้ฟังก่อนจะใช้นิ้วเรียวงามของเธอพิมพ์ตอบกลับไป

    แล้วจะทำยังไง ทางขึ้นเขามีทางเดียว ไม่รู้ว่านีเมซิสมีมากขนาดไหนถ้าต้องฝ่าเข้าไป แคลร์พิมพ์ข้อความส่งกลับไป

    ตอนนี้ยืนยันว่านีเมซิสที่อยู่ที่อีเพียเลสมีเกินกว่าร้อย เราจะไม่ใช้เส้นทางขึ้นเขา เราจะใช้เส้นทางบนฟ้ากริฟฟินตอบกลับมา

    แคลร์ เรย์และไนล์ที่อ่านอยู่ขมวดคิ้วสงสัย

    เฮลิคอปเตอร์น่าจะหลบสายตาพวกนั้นไม่ได้ แคลร์ตอบกลับ

    เมื่อข้อความของหญิงสาวถูกส่งไป ไม่กี่วินาทีต่อมาคำตอบก็ส่งกลับมา

    ผมไม่ได้โง่นะ เราจะไม่ใช้เฮลิคอปเตอร์ แต่ครั้งนี้เราจะใช้พารามอเตอร์บินไปยังยอดเขาที่อยู่ด้านหลังของวิหาร แล้วค่อบุกเข้าตัววิหาร คิดว่าพวกมันคงไม่ได้ระวังตัวที่ด้านนี้ น่าจะเป็นทางที่ต้องเจอพวกนีเมซิสน้อยที่สุด

    และก่อนที่แคลร์จะถามอะไรต่อไป ข้อความถัดมาก็ถูกส่งตามมาทันที

    เราจะเริ่มงานกันช่วงค่ำพรุ่งนี้ พารามอเตอร์ที่เราจะใช้ร่อนไปยังวิหารลาส ลาจาสจะถูกจัดไว้ที่ยอดเขาที่ไกลออกไปทางทิศใต้ แรงลมและความมืดจะช่วยพวกเราในการลอบเข้าไป แล้วเรื่องสถานที่และเวลาแน่นอนฉันจะแจ้งมาอีกครั้ง ประโยคสุดท้ายถูกส่งมาก่อนที่กริฟฟินจะเงียบหายไป

    เมื่อรู้เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ของวันพรุ่งนี้แล้วทุกคนต่างแยกย้ายไปจัดการเรื่องของตน เรย์ใช้เวลาอยู่ในห้องของตนเองเพื่อสื่อสารกับฮาเดสพักใหญ่ ส่วนแคลร์นั้นออกไปอยู่ที่บ้านพักของกริเซลด้าเพื่อสื่อสารกับอราคเน่ ซินแมงมุมที่ถูกผนึกอยู่ในคันศรของเธอ โดยที่อีริกเป็นผู้เฝ้าสังเกตการณ์ถึงความผิดปกติต่างๆ

     

    ค่ำคืนในนารีโญเงียบสงบ ท้องฟ้าไร้หมอกควันดั่งเช่นเมืองใหญ่ หมู่ดวงดาราพรายแสงบนท้องฟ้าสีดำสนิท วันนี้ดูเหมือนแสงเดือนจะจางกว่าที่แล้วมา สายลมแผ่วเบาพัดพาพอให้ใบไม้ไหว กลิ่นหญ้าลอยตามลมมาให้ได้กลิ่น เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งแหงนหน้ามองดาวที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ไม่นานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง

    ไม่น่าเชื่อนะว่าคุณจะชอบดูดาวหญิงสาวร่างโปร่งกับผมสีดำสนิทราวราตรีเอ่ยขึ้น

    ชายหนุ่มที่นั่งเอนกายพิงกำแพงหันกลับไปมองก่อนจะแตะยิ้มบนใบหน้า

    อ่าวไนล์...เขาร้องทัก ผมชอบมองดูดาวบนฟ้าน่ะชายหนุ่มว่า

    ไนล์อมยิ้มก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา กรีนิชก็ชอบดูดาวบนฟ้า เธอชอบดวงดาวเธอเอ่ยขึ้นขณะที่ดวงตาฉายแววว่าคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา

    ผมไม่ได้ดูแลเธอเลย ผมเอาแต่หนีเรย์ส่ายศีรษะไม่พอใจตนเอง

    ไม่หรอกค่ะเธอว่า คุณเองก็เสียสละหลายอย่าง การที่ต้องจากครอบครัวไป การที่ต้องไปฝึกหลายๆ อย่างที่เสี่ยงอันตราย ฉันมั่นใจว่าที่คุณทำไปก็เพื่อวันหนึ่งคุณจะกลับมาช่วยกรีนิชใช่ไหมคะ

    ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ใช่...ผมต้องช่วยเธอเสียงเขาแสดงเจตจำนงที่แน่วแน่

    หญิงสาวมองไปที่ดวงตาสีทองที่มีความเศร้าเจืออยู่จางๆ แล้วจึงกุมไปที่มือของเขา และแต้มรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

    ฉันเชื่อว่าคุณทำได้ และฉันเองก็จะช่วยคุณเต็มที่ไนล์ยืนยัน

    ผมสัญญา ผมรับปากทิชาไว้ ผมจะไม่ให้คุณต้องพบกับสิ่งที่ไม่ดีอีก ต่อจากนี้ผมจะปกป้องคุณเองเขาหันไปพูดกับไนล์ ดวงตาสีน้ำทะเลของเธอบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในคำพูดของเรย์

    ขอบคุณค่ะเธอพูดขณะหลับตาลง ก่อนจะเงยหน้าและเปิดดวงตาออก พร้อมกับทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง เราคงมีโอกาสได้มองท้องฟ้าด้วยกันกับกรีนิชอีกครั้งฉันมั่นใจไนล์ว่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินจากไป

    ท้องฟ้ายังคงสงบเงียบเช่นเดิม เรย์ปล่อยอารมณ์ให้ลอยไปกับความเงียบ แต่แล้วเสียงเปิดประตูห้องกริเซลด้าที่อยู่ไกลออกไปไม่มากนักก็ดังขึ้น แคลร์เดินออกจากห้องของกริเซลด้าพร้อมคันศรของเธอ

    เฮ้...สาวน้อย!” เรย์โบกมือพร้อมกับตะโกนเรียก

    แคลร์ก้มตัวเล็กน้อยเพ่งสายตามองมาที่เขา ก่อนจะบ่นพึมพำกับตัวเอง มานั่งทำอะไรอีกล่ะอีตานี่...

    แต่แล้วเธอก็เดินตรงมาที่เขา เธอยืนอยู่ตรงหน้าเรย์ที่นั่งเหยียดขาอยู่กับพื้น แล้วจึงใช้เท้าเตะไปที่ขาของเขาสองครั้ง

    เรียกทำไมแคลร์เอ่ยเสียงเข้ม

    เรย์ส่ายศีรษะพร้อมกับเบ้หน้า ผมนึกว่าเราดีกันแล้วเขาว่า

    หญิงสาวหัวเราะในลำคอ ก็แล้วแต่ความประพฤติเธอพูดเสียงเข้ม

    แล้วต้องทำยังไงถึงดีล่ะชายหนุ่มขมวดคิ้ว

    รักษาสัญญา...ดูแลฉันให้ดีแคลร์ว่า

    เรย์ยืนขึ้นตรงหน้าหญิงสาว สองมือจับไปที่ไหล่ของเธอ ผมจะดูแลคุณเอง...ผมสัญญาเขาพูดเสียงหนักแน่น ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหน้าของแคลร์ สายลมพัดมาเอื่อยๆ พอให้ฝุ่นละอองปลิวเหนือพื้นดิน ดวงดาวกระพริบแสงเป็นจังหวะ ชายหนุ่มโน้มตัวลงเข้าหาใบหน้าขาวนวลที่แต้มด้วยดวงตาสีฟ้าใส่ และสุดท้ายจมูกของเขาก็ถูกศีรษะของแคลร์โขกเข้าใส่เต็มแรง!

    อย่ามาทำได้ใจ! ให้เป็นคนพึ่งได้กว่านี้ก่อนค่อยมาว่ากันเธอพูดใส่เรย์ที่กำลังใช้มือกุมจมูกของตนเอง ที่โดนการโจมตีกะทันหัน ไปนอนล่ะราตรีสวัสดิ์หญิงสาวกระแทกเสียงก่อนเดินจากไป ทิ้งให้เรย์ยืนกุมจมูกส่ายศีรษะอยู่คนเดียว โดยที่มีสายตาของอีริกที่อยู่ยามมองอยู่ตลอดเหตุการณ์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×