คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : เมืองในม่านเมฆสีเขียว A Town of Green Cloud [ตอนปลาย2]
ราตรีในนารีโญเคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้า หมู่ดาวซ่อนตัวอยู่ที่ตำแหน่งเดิมแต่ถูกกลบด้วยแสงที่เจิดจ้ากว่า แสงดวงตะวันไล่เฉดสีที่เหนือทิวเขาทางตะวันออกดั่งคำที่เอ่ยกันว่า
‘แสงสีทองจับที่ขอบฟ้า’
ในที่พักของพวกเรย์ทุกคนตื่นขึ้นแต่เช้าเพื่อเตรียมการสำหรับงานใหญ่ในคืนนี้ การลอบเข้าจู่โจมเฮล่าหนึ่งในความตายทั้งสี่ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นเรื่องของครั้งนี้ และที่สำคัญดูเหมือเธอจะรู้ว่าจะต้องมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมเยียนในไม่ช้า เหล่านีเมซิสจำนวนมากจึงถูกสั่งให้มารวมตัวกันที่อิเพียเลสเมืองแห่งเมฆสีเขียว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้คิ้วของแคลร์ขมวดเป็นปม เนื่องจากกริฟฟินเพิ่งบอกเมื่อเย็นวานว่าโทรศัพท์ของเขาอันตรายหากจะใช้ แต่เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมา ชื่อที่ปรากฏอยู่กลับเป็นชื่อของแซ็ก
“พี่แซ็ก!” หญิงสาวร้องทักเมื่อกดรับสาย
“เฮ้แคลร์...เป็นไงกันบ้าง” เสียงชายหนุ่มร้องทักมาจากต้นสาย “กริฟฟินให้พี่จัดการเรื่องพาหนะที่จะพาพวกเธอไปที่วิหารลาส ลาจาสในคืนนี้”
“พี่จะมาที่นี่รึ” เธอถามอย่างสงสัย
“ตอนนี้พี่ไปเองไม่ได้ ในซิลฟ์ตอนนี้เกิดเรื่องหลายอย่าง แต่ไม่ต้องห่วงพี่ส่งคนที่เก่งเรื่องพาหนะไปให้แล้ว เรื่องฝีมือไม่ต้องห่วงเลย” แซ็กพูดตามด้วยเสียงหัวเราะ “แต่เจ้านี่ค่อนข้างจะไม่เหมือนชาวบ้านเขาสักเท่าไรนะ”
“ไม่เหมือนชาวบ้าน?” แคลร์ทวนคำขณะใช้มือปาดผมที่ตกลงมาด้านหน้า
“เจอแล้วก็รู้เองล่ะ เดี๋ยวจะส่งสถานที่นัดพบเจ้านั่นให้ทางอีเมล คงจะจัดการเรื่องเครื่องยนต์ให้เสร็จก่อนช่วงเย็นเพราะเขาต้องไปจัดการงานให้ซิลฟ์ต่อที่บราซิล” เสียงจากต้นสายว่าก่อนจะมีทีท่าว่าจะตัดสายไป แต่ก็มีเสียงเขาเอ่ยขึ้นเหมือนกับเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นได้
“เจ้านั่นชื่อคิทนะ คริสเตียน สไตรค์เกอร์” เสียงแซ็กดังมาจากต้นสายก่อนจะวางสายไปขณะที่แคลร์ยังแนบหูฟังอยู่ และเมื่อเสียงแซ็กถูกตัดไปเธอจึงอธิบายเรื่องต่างๆ ให้ทุกคนได้ฟัง
“ถ้าคิทมาด้วยสบายใจเรื่องพาหนะได้เลย” ไนล์ที่ยืนพิงผนังสีเหลืออ่อนอยู่ว่า
“คิท?...คิท...คิท...เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน” เรย์ตีหน้าครุ่นคิดขณะเอนตัวลงบนโซฟา
“ทิชาไง” แคลร์เอ่ยเตือนความจำ
เรย์เลิกคิ้วสูงสีหน้าตกใจ “เฮ้ย!” เขาตะโกน “คนที่แต่งมอเตอร์ไซด์ให้ยายห้าวนั่นใช่ไหม!”
ไนล์ที่ยืนมองอยู่แตะยิ้มบนใบหน้า “นั่นละคิทล่ะ” เธอว่า
ชายหนุ่มดีดตัวจากท่ากึ่งนอนขึ้นมานั่ง “ถ้าเป็นไอ้หมอนั่นล่ะก็ผมเชื่อว่ามันอัจฉริยะ” เรย์ว่า
หลังจากที่พูดคุยกันอีกพักใหญ่อีเมลบอกจุดนัดพบระหว่างคิทกับพวกเรย์ก็ถูกส่งมา มันไม่ใช่จุดใกล้กับวิหารแต่อย่างใด แต่กลับไกลออกจากตัวเมืองไปอีกราวห้าสิบกิโลเมตร โดยแซ็กให้เหตุผลว่าป้องกันการเป็นจุดสังเกตที่เมืองนี้ และเวลานัดหมายก็คืออีกหนึ่งชั่วโมงจากนี้
ท้องทุ่งกว้างสีเขียวขจีวางตัวแนบสองข้างทางที่รถยนต์แล่นผ่าน สีฟ้าใสที่แซมด้วยเมฆจางๆ จรดกับท้องทุ่งที่เส้นขอบฟ้า ล้อยางบดไปกับพื้นถนนเป็นเวลาหลายสิบนาที ก่อนที่จะเห็นทางแยกเล็กๆ ที่พาลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้าที่ผู้คนเบาบางหรืออาจเรียกได้ว่าไร้ผู้คน ทิวสนหลายสิบต้นห้อมล้อมพื้นที่เบื้องหน้า เมื่อเพ่งสายตาดูแล้วปรากฏภาพเฮลิคอปเตอร์สีฟ้าขาวจอดสงบอยู่ เรย์ซึ่งเป็นผู้ขับรถมองจุดบนแผนที่บริเวณที่แคลร์ชี้ เขามั่นใจว่าเป็นที่นี่อย่างแน่นอน ครั้งนี้มีเพียงเรย์แคลร์และกริเซลด้าเท่านั้นที่ออกมาพบคิท ทิ้งให้ที่เหลืออยู่ตรวจเช็คความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
รถยนต์แล่นเข้าใกล้เฮลิคอปเตอร์ลำนั้น และเมื่อคนที่โดยสารมาด้วยมองเห็นรถยนต์ของเรย์ก็ลงมาจากตัวเครื่อง ชายหนุ่มผิวขาวผมสั้นสกินเฮด พร้อมด้วยเสื้อยืดลายวงดนตรีร็อคและกางเกงยีนเก่ามอซอลงมายืนรอด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับลูกมืออีกสองคน เมื่อเครื่องยนต์รถเงียบเสียงลงพวกเรย์ลงจากรถพร้อมกับกล่าวทักทาย
“คิท?” เรย์เอ่ยเมื่อพบหน้าชายหนุ่มสกินเฮท
ชายตรงหน้ายิ้มหน้าบาน แต่ดูแล้วสายตาเขาจะสนใจสองสาวที่อยู่ด้านหลังเรย์เสียมากกว่า “ผมคิทครับ คุณคงจะเป็นคุณเรย์ คุณแซ็กแจ้งเรื่องมาแล้วครับ” เขาทักทายเรย์อย่างรวดเร็ว และเมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เดินปรี่ไปที่กริเซลด้าและแคลร์ทันที
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ครับที่ผมจะมีโอกาสอย่างนี้ อาจเป็นปาฏิหาริย์ของมหาวิหารลาส ลาจาสก็เป็นได้ที่ทำให้ผมได้พบกับความงามที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้” คิทเอ่ยประโยคถนัดของเขาพร้อมกับยื่นมือไปจับมือกับทั้งสอง พร้อมกับแนะนำตัวเองและถามชื่อหญิงสาวตรงหน้า โดยที่เมื่อจับมือแคลร์เขาพยายามจับไว้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อเขาสัมผัสมือกริเซลด้ารอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่ม
“คุณกริเซลด้าอายุยังน้อยแถมเป็นสาวบอบบางอย่างนี้ คิทเมก้านิคแห่งซิลฟ์คนนี้จะดูแลคุณเองนะครับ” เขาว่า
กริเซลด้ายิ้มพลางส่ายศีรษะ “เจ้าหนูนี่ตลกดี” เธอหันไปพูดกับแคลร์ ซึ่งคิทเองมีสีหน้าสงสัยไม่เข้าใจที่เธอพูด แต่ก็พากันขึ้นเครื่องเพื่อบินขึ้นยอดเขาที่อยู่ห่างจากวิหารลาส ลาจาสไปทางใต้ราวห้าร้อยเมตร
ใบพัดเริ่มหมุนด้วยความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดตัวเครื่องก็ลอยขึ้นเหนือพื้น ใบหญ้ารอบบริเวรพลิ้วเอนไปตามแรงลมจากใบพัดขณะเครื่องยกตัว คนขับเบนหน้าเฮลิคอปเตอร์ไปยังแนวเขาที่เห็นอยู่ที่ลิบตา ก่อนจะพาเครื่องมุ่งสู่ยอดสูงที่ปรกคลุมด้วยแมกไม้สีเขียวขจี
เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลงจอดที่ยอดเขาได้ นักบินต้องบังคับเครื่องให้ลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินไม่สูงมากนัก บันไดอเนกประสงค์ถูกทอดลงมายังพื้นเพื่อให้ทั้งหมดลงสู่ยอดเขา และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเฮลิคอปเตอร์ลำนั้นก็บินจากไป และจะกลับมารับทุกคนในเวลาที่นัดหมายกันไว้
เมื่อลงมาถึงพื้นคิทพาทุกคนเดินไปอีกประมาณสองร้อยเมตร
‘พารามอเตอร์’ เครื่องร่อนติดเครื่องยนต์ใบพัดสี่เครื่องถูกซ่อนหลบสายตาอยู่บนยอดเขา
“นี่คือพารามอเตอร์ที่คุณแซ็กสั่งผมไว้ครับ” คิทที่เดินนำพูดขึ้น “ผมปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่อยู่ในระยะใกล้จริงๆ เสียงของมันจะไม่ทำให้ใครสังเกตเห็น” ใบหน้าชายหนุ่มขณะนี้ต่างกับยามพบเขาครั้งแรก เพราะขณะนี้สายตาเขาไม่มีแววที่จะล้อเล่นหรืออะไรทั้งสิ้น มันเหลือแต่ความจริงจังในแววตา
“แล้วจะบังคับมันยังไง” แคลร์ที่ยืนกอดอกอยู่ตีน้าสงสัย
“ไม่ยากเลยครับ” ชายหนุ่มว่าขณะเอามือที่เปื้อนน้ำมันเครื่องเช็ดลงบนเสื้อตัวเอง “อันนี้เป็นสวิตย์สตาร์ท แค่บิดตรงนี้ใบพัดด้านหลังก็จะหมุน และเมื่อความเร็วในการหมุนมากพอมันจะพาพวกคุณบินไปที่จุดหมาย”คิทบอกกับทุกคน
“เอาล่ะครับ วิธีง่ายที่สุดคือทดสอบการใช้เจ้าเครื่องนี้กัน ผมกับลูกน้องจะสอนพวกคุณสามคนเองครับ” เขาพูดต่อ พร้อมกับเรียกลูกน้องอีกสองคนเข้ามาเพื่อสอนทั้งสาม
พวกของเรย์ใช้เวลาอยู่ไม่น้อยเพื่อจะฝึกการใช้พารามอเตอร์ซึ่งมีลักษณะเหมือนเครื่องร่อนที่ติดเครื่องยนต์ใบพัด จุดหมายการร่อนคือยอดเขาที่อยู่คนละด้านกับวิหารลาส ลาจาส แต่ระยะทางหรือความสูงนั้นใกล้เคียงกับยอดเขาที่เป็นจุดหมายในค่ำคืนนี้ หลังจากเสร็จงานเรียบร้อยคิทและพวกขอตัวจากไป แต่เวลานัดหมายในค่ำคืนนี้นักบินคนเดิมจะมาพบพวกของเรย์ที่จุดนัดพบเดิม จุดที่ห่างจากเมืองนารีโญไปห้าสิบกิโลเมตร
เวลา 22 นาฬิกา 37 นาที ยอดเขาในเมืองอิเพียเลสห่างจากมหารวิหารลาส ลาจาสไปทางใต้ประมาณห้าร้อยเมตร
อุณหภูมิขณะนี้อยู่ที่สิบเอ็ดองศาเซลเซียสต่ำกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่บ้าง แมกไม้บนยอดเขาปลิวตามลมกรรโชก แต่นับว่าเป็นสายลมที่เป็นมิตรต่องานในครั้งนี้ เนื่องจากมันพัดขึ้นไปทางเหนืออย่างเช่นที่กริฟฟินคำนวณไว้ จำนวนนีเมซิในครั้งนี้หลังจากเขาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดแล้วคิดว่าน่าจะมีอยู่ประมาณหนึ่งร้อยสามสิบตน ซึ่งปกติแล้วนั้นเหล่าความตายทั้งสี่จะมีนีเมซิสใต้อาณัติไม่ถึงหนึ่งร้อยตน แต่ครั้งนี้น่าจะเกิดจากเป็นนีเมซิสที่ขึ้นตรงต่ออนูบิสมาร่วมด้วย
เฮลิคอปเตอร์ถอนตัวออกจากยอดเขาแล้ว หากงานนี้สำเร็จพวกของเรย์จะใช้พารามอเตอร์หนีกลับลงสู่พื้นดิน หรือหากเกิดเหตุฉุกเฉินกริฟฟินจะส่งเฮลิคอปเตอร์มารับตัวพวกเขาออกไปจากบริเวณวิหาร ทั้งห้าขึ้นสู่พารามอเตอร์แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์ ใบพัดหมุนทวีความเร็วขึ้นทุกขณะจนในที่สุดความเร็วนั้นก็ถึงจุดที่จะพาเครื่องพร้อมกับกลุ่มชายหญิงในชุดสีดำสนิทร่อนสู่มหาวิหารกลางแมกไม้ที่เปรียบดั่งหมู่เมฆสีเขียว
“ไปกัน!” เรย์กรอกเสียงใส่วิทยุสื่อสารพร้อมกับหยิบแว่นกันลมแบบรัดศีรษะลงมาสวมใส่
เมื่อสิ้นเสียงนั้นพารามอเตอร์สามเครื่องลอยตัวออกจากยอดเขาที่มืดสนิท มุ่งตรงไปยังขุนเขาที่มีแสงไฟส่องมาจากทางด้านเหนือ มุ่งสู่ขุนเขาที่มหาวิหารลาส ลาจาสวางตัวอยู่อย่างสงบ
สายลมพัดปะทะมะจากด้านหน้า สีดำของราตรีระบายทั่วท้องฟ้า เครื่องยนต์เสียงเงียบมากอย่างที่คิทว่าไว้ ถนนทางขึ้นสู่ตัววิหารมีดวงไฟส่องให้เห็นเป็นแนว ส่วนตัววิหารเองนั้นมีแสงไปส่องสว่างกระทบกับศิลาสีดำและเทวรูปสีขาวทำให้ความงดงามเผยตัวออกมาอย่างเด่นชัด
‘ลาส ลาจาส’ มหาวิหารของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอริกที่สร้างอยู่บนหน้าผาสูง ถูกสร้างอยู่เหนือแม่น้ำไกวยตาราโดยความเชื่อในปาฏิหาริย์ของพระแม่มารี เล่ากันว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนมีมารดาและเด็กหญิงหัวหนวกเดินทางมาที่แห่งนี้เพื่อหนีจากพายุ และเมื่อสายฟ้าฟาดผ่านผืนฟ้าเด็กหญิงนั้นก็เอ่ยขึ้นว่าเธอเห็นภาพของพระแม่มารีอุ้มทารก ณ ที่แห่งนี้ ทำให้เกิดศรัทธาของชาวเมืองสร้างวิหารขึ้นในที่แห่งนี้เพื่อบูชาองค์พระแม่มารีผู้เมตตา
เครื่องร่อนทั้งสามใกล้ยอดเขาเข้าไปเรื่อยๆ ถึงจะแทบไม่มีวีแววร่างของผู้ใดอยู่เลยแต่เมื่อใกล้เข้าไปกลับปรากฏร่างสองร่างที่ยอดเขาในจุดที่จะร่อนลง
“ไนล์เปิดมิติ” เรย์ว่า
หญิงสาวที่นั่งมากับเขาพยักหน้ารับรู้ เพชรเม็ดงามถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับการกล่าวคำวิงวอนของเธอ
“จิตแห่งบรรพกาล ดวงเนตรแห่งพื้นพิภพ โปรดเบิกทางแห่งห้วงมิติ!”
มวลอากาศสีดำบิดเกลียว เสียงความถี่สูงดังในโสตสัมผัสก่อนที่จะค่อยๆ จางลง มิติเบื้องหน้าฉีกออกเป็นแนวให้เครื่องของเรย์และพวกลอดเข้าสู่มิติเบื้องหลัง แม้นจะเข้าสู่มิติเบื้องหลังแล้วร่างที่เห็นสองร่างเมื่อครู่ก็ยังไม่หายไป นั่นหมายความว่าพวกเขาน่าจะเป็นนีเมซิสแน่นอน
“แคลร์จัดการเป้าหมายสองตนที่ด้านล่างด้วย” เรย์สั่งการ
“ทราบแล้ว” แคลร์ที่นั่งอยู่ที่เครื่องที่ขับโดยอีริกตอบกลับ พร้อมกับหยิบคันศรออกมาก่อนที่จะส่งศรแห่งจิตสองดอกไปที่ร่างทั้งสองที่เบื้องร่าง
‘แม่นเหมือนจับวาง’ ใช้คำนี้น่าจะถูกต้องเพราะศรที่ส่งไปนั้นปักเข้าที่ศีรษะของเป้าหมายอย่างแม่นยำและไรเสียงใด นอกจากเสียงร่างสองร่างล้มลงแนบกับพื้นและคืนสู่ร่างนีเมซิส เมื่อสองร่างนั้นล้มลงแล้วพารามอเตอร์สามเครื่องก็ร่อนลงที่ยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารที่เป็นเป้าหมายในครั้งนี้
“ทุกคนพร้อม” เสียงเรย์ที่ลงจากเครื่องเรียกไปทางวิทยุสื่อสารถึงทุกคน และที่สำคัยมันถูกส่งไปยังกริฟฟินด้วย
“พร้อม” เสียงตอบกลับมาจากแคลร์ ไนล์ กริเซลด้าและอีริก
“ทางนี้พร้อมแล้ว” เสียงกริฟฟินตอบกลับมา
“ปฏิบัติการ” เรย์สั่งการพร้อมกับหยิบโซลไนฟ์และดาบเฟรย่าออกมา แสงจากโซลไนฟ์เป็นสีขาวขุ่นในขณะที่ดาบเฟรย่านั้นส่งแสงสีเขียวจางๆ ออกมา
ค่ำคืนเงียบสงัด แต่ก็ยังมีเสียงบทสวดดังแผ่วๆ มาตามสายลมในความมืด จากความสูงจากระดับน้ำทะเลมิใช่น้อยและลมกรรโชกแรง ทำให้ฝุ่นละอองปลิวในยามจันทร์ดับแสง เรย์และทีมของเขามุ่งหน้าลงจากยอดเขาสู่มหาวิหารลาส ลาจาสที่อยู่ต่ำลงไป เส้นทางสายเล็กที่คดไปมานำทางกลุ่มคนในชุดดำในมิติเบื้องหลัง เรย์ค่อยๆ ย่างฝีเท้าขณะใช้ไนท์วิชชั่นก็อกเกิ้ลสำหรับมองในที่มืด
“แคลร์” เขาเรียกชื่อหญิงสาวขณะมองเห็นนีเมซิสด้านหน้าอีกหนึ่งตน
หญิงสาวเดินออกมาเคียงข้างเขา เธอความลูกศรที่สะพายอยู่ด้านหลังมาแทบกับคันธนู ก่อนที่จะรั้งมันไปที่ด้านหลัง และสุดท้ายก็ปล่อยมันพุ่งฝ่าความมืดไปที่ร่างนีเมซิสเบื้องหน้า ร่างนั้นล้มลงแนบพื้นอย่างไม่ทันรู้ตัวก่อนจะคืนร่างเป็นนีเมซิสรูปร่างคล้ายแมลง
จากนั้นเรย์พาทั้งหมดมุ่งหน้าสู่ถนนสายเล็กที่พาดผ่านด้านหลังวิหาร เขาค่อยๆ พาทีมของเขาที่ประกอบด้วย ไนล์ แคลร์ กริเซลด้า และอีริกเข้าใกล้ตัววิหารขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็ทาถึงประตูหลังของวิหารลาสราส
รูปปั้นเทวทูตที่ด้านบนหน้าต่างแตกต่างกันไปแต่ละตน รูปปั้นสีขาวอยู่รายล้อมวิหารราวจะเป็นผู้พิทักษ์ ก้อนหินสีเข้มก่อตัวกันจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่รวมจิตใจของผู้ศรัทธา วิหารสูงที่แนบตัวอยู่กับขุนเขาอยู่ที่เบื้องหน้า บันไดหินทอดยาวลงมาที่ตัววิหาร ประตูกลางด้านข้างมีแสงไฟส่องสว่างไม่มากนัก กระจกสีประดับอยู่เหนือซุ้มประตู ก่อนที่เรย์จะเปิดเข้าไปเข้าถามเสียงไม่ดังนักใส่วิทยุสื่อสาร
“เรามาถึงจุดหมายแล้วกำลังจะเข้าสู่ด้านใน” ชายหนุ่มว่า
เสียงตอบกลับมาเจือเสียงซ่าของความไม่ชัดเจนอยู่เล็กน้อย “ห้องโถงปลอดภัยไม่มีการขยับตัวในห้องนั้น คาดว่าเป้าหมายอยู่ที่ชั้นสามบริเวณทางขึ้นหอคอย” กริฟฟินตอบกลับ
“ทราบแล้ว ขณะนี้กำลังมุ่งไปที่เป้าหมาย” เรย์ตอบกลับ พร้อมกลับหันไปส่งสัญญาณให้แคลร์ก่อนที่เขาจะผลักประตูเปิดออก คันธนูที่ประดับด้วยเพชรนามดวงดาวแห่งฤดูการที่มีลูกศรพร้อมยิงเล็งไปยังด้านในประตูที่เปิดออก แต่สุดท้ายห้องนั้นก็ว่างเปล่าอย่างที่กริฟฟินว่า มีเพียงแสงไปจากเปลวเทียนที่วิบไหวอยู่ให้เกิดเงา
เรย์มองหาบันไดที่จะทอดตัวสู่ชั้นสอง แต่ก็เป็นอีริกที่มองเห็นก่อน เขาชี้ให้เรย์เห็นและให้เดินนำขึ้นไป บันไดหินสีขาวพื้นผิวนั้นเย็นยะเยียบ ม้านั่งยาวที่วางตัวเป็นสองแถวว่างเปล่าไร้ผู้ใช้งาน ห้องโถงมีเพียงความเงียบสงบและความศรัทธาแห่งพระคริสต์เท่านั้นที่คงอยู่ พวกของเรย์ขึ้นสู่ชั้นสองได้ในที่สุด
ห้องเรียงรายอยู่ทั้งซ้ายขวา แต่เพื่อมุ่งสู่ชั้นสามห้องพวกนั้นก็ไม่สำคัญสำหรับวันนี้ ชายหนุ่มนำทีมของเขาเดินขึ้นบันได้ต่อไปอีกชั้น บันได้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นจากชั้นหนึ่ง อีริกรั้งท้ายเพื่อคุ้มกันที่ด้านหลัง มาถึงขณะนี้ก่อนขึ้นสู่ชั้นสามเหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง เขาชักมีดสั้นสองเล่มออกมาจากด้านหลัง มันเป็นมีดที่คล้ายกับโซลไนฟ์เพราะเมื่อใช้มันแล้วจะมีคมมีดที่ถูกห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณสีขาวขุ่น
“กำลังจะถึงชั้นสาม” เรย์พูดกับกริฟฟิน
“ระวังด้วยชั้นนี้น่าจะเป็นที่พักของเฮล่า” กริฟฟินว่า
ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นเขาระวังทุกฝีก้าวที่เคลื่อนตัว ห้องที่อยู่ติดทางขึ้นหอคอยอยู่ที่เบื้องหน้า เรย์ค่อยๆ พาทีมเคลื่อนตัวสู่จุดหมาย แต่ไม่ทันที่จะถึงบริเวณนั้นประตูห้องทั้งหมดของชั้นนี้ก็เปิดออกทันที และปรากฏร่างนีเมซิสหลายตนที่เบื้องหน้า
“แย่แล้วเราติดกับดัก!” เรย์ตะโกนพร้อมกับส่งสัญญาณให้ถอนตัวออกจากที่นี่
อีริกรีบนำทางลงสู่ชั้นสองเพื่อจะผ่านสู่ชั้นล่าง แต่ขณะนี้ประตูที่ชั้นสองก็เปิดออกเช่นกัน เด็กหนุ่มรีบหนีลงสู่ชั้นหนึ่งที่ห้องถึงทันที แต่ขณะนี้ห้องที่เคยปราศจากเงาร่างใดๆ กลับปรากฏร่างชายผิวเหลืองที่เบื้องหน้าพร้อมนีมีซิสอีกเกือบสิบตน
“คิเมร่า?” เสียงอีริกเอ่ยขึ้นขณะที่เขาเหลือบมาเห็น
“ไม่ผิดหรอกอีริก นั่นคือคิเมร่าที่ขณะนี้ใช้ชื่อว่าคิม เรอิล” กริเซลด้าเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะดังมาจากชายที่อีริกและกริเซลด้าเอ่ยถึง “เป็นเกียรติที่อิซานามินั้นรู้จักข้า” ร่างนั้นเอ่ยขึ้น “แต่คงจะให้พวกเจ้าอยู่นานกว่านี้ไม่ได้แล้วเพราะเป็นคำสั่...”
ยังไม่ทันที่เปลี่ยนร่าง หรือต้องบอกว่าจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ ร่างนีเมซิสในร่างชายหนุ่มก็เกิดบางอย่างขึ้น ร่างนั้นไม่ทันจะได้แม้นพูดต่อก็ถูกกริเซลด้าที่ไม่รู้ไปอยู่ตรงหน้ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ตัดเป็นชิ้นกองอยู่ที่พื้น จนทำให้นีเมซิสที่มอพร้อมกันถึงกับตะลึง
“ข้าเกลียดนามนั้น” นางพูดพร้อมกับสะบัดมือที่เปื้อนเศษซากของนีเมซิสตนนั้นออก
และเพียงพริบตาหลังจากนั้นร่างของนีเมซิสที่อยู่รอบกายกริเซลด้าก็ถูกคมมีดจากมืออีริกเชือดเฉือนล้มลงกับพื้นด้วยไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่อีริกจะไปยืนข้างกริเซลด้า
“นายหญิงอย่าวู่วามครับ อาการท่านยังไม่ทุเลาโปรดอย่าใช้พลังของท่านอีกเลย” อีริกว่าพร้อมกับเข้าไปประครองร่างของกริเซลด้า
“นี่รึพลังของกริเซลด้า ขนาดหนึ่งในห้าสมุนเฮล่ายังถูกจัดการง่ายดายขนาดนี้” เรย์พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ
“พวกที่อยู่ชั้นบนตามลงมาแล้ว!” เสียงไนล์ร้องบอก
แคลร์หันไปทางบันไดทันที ใอเห็นว่าเหล่านีเมซิสกำลังจะลงมาเธอแนบคันศรไว้กับหน้าอก ก่อนจะเอ่ยปลุกอราคเน่ให้ตื่นจากนิทรา
“สายลมจงหยุดนิ่ง นภาจงร่ำร้อง พันธนาการแห่งบาปจงปลดปลง อราคเน่จงลืมตาตื่น”
คันศรสีเงินเปล่งแสงโยเฉพาะเพชรเม็ดงามที่อยู่ที่กลางคัน แคลร์ง้างศรสีขาวขุ่นมาด้านหลังก่อนที่จะปล่อยมันพุ่งตรงไปยังบันได ลูกศรนั้นคลายตัวออกกลายเป็นร่างแหขนาดใหญ่ปิดทางออกจากบันไดไว้ เมื่อเห้นว่านีเมซิสเหล่านั้นยังถูกตรึงไว้อยู่เธอหันไปบอกเรย์และคนในทีม
“คงตรึงได้ไม่นาน หนีไปตรงสะพานหน้าวิหารเร็ว!” เธอว่า
เรย์พยักหน้ารับรู้พร้อมกับมุ่งไปที่ประตูสู่สะพานขนาดใหญ่ที่เป็นทางเข้าหลักของโบสถ์แห่งนี้ สะพานที่ถูกสร้างเหนือหุบเหวที่มีแม่น้ำไกวยตาราไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง ชายหนุ่มเปิดประตูออกแล้วมุ่งหน้าออกจากโบสถ์ แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึงครึ่งสะพานก็ต้องชะงักลง เงาร่างนีเมซิสมากมายดักอยืที่ด้านหน้า!
ความคิดเห็น