สองเวลา สองยาม สองเรา
แทน ชายหนุ่มวัยเบญจเพศผู้พบการเรื่องแปลกประหลาดในบ้านเช่าหลังใหม่ กับปรากฎการณ์เหลือเชื่อที่ "เกือบ" จะเปลี่ยนชีวิตของเขาทั้งชีวิต
ผู้เข้าชมรวม
622
ผู้เข้าชมเดือนนี้
9
ผู้เข้าชมรวม
ผมก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ สองสามขั้นนั้นขึ้นไปบนนอกชาน เจ้าของบ้านเช่านี่ก็แปลก ส่งกุญแจให้ผมแล้วก็หายหน้าไปเลย ปล่อยให้ผมเข้ามาดูบ้านคนเดียว อาจเป็นเพราะค่าเช่าถูกๆ จึงทำให้หล่อนไม่สนใจนัก ผมเองก็พอกันกับหล่อน ยังไม่ทันเห็นตัวบ้านผมก็ตกลงเช่าทันทีเหมือนกัน
ผมรู้ดีว่าค่าเช่าที่แสนถูกนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ผมตัดสินใจเช่าบ้านหลังนี้ แต่มันเป็นความรู้สึกต่างหาก ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้กลับมาที่บ้านตัวเองอีกครั้ง
ผมนึกไปถึงสัปดาห์ก่อน มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นกับผม เจ้าวีระเดชเพื่อนที่ทำงานมันบอกผมว่าอาจเป็นเพราะผมกำลังย่างเข้าวัยเบญจเพศ ถึงได้มีแต่เรื่อง อันเริ่มตั้งแต่ถูกขโมยขึ้นบ้านถึงสองครั้งสองครา โทรทัศน์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผมสู้กัดฟันเก็บเงินซื้อถูกกวาดไปซะเกลี้ยง อีกสองวันต่อมาผมทอดไข่อยู่ดีๆ ผมก็ทำไฟไหม้กำแพงครัว ถ้วยชามแก้วน้ำผมก็ทำแตกแทบจะทุกวัน และวันหนึ่งผมก็สะดุดขาตัวเองหล่นลงมาจาบันไดจนขาแพลง และนั่นคือจุดสิ้นสุดที่ผมจะทนอยู่บ้านหลังนั้นต่อไป
นอกจากตัวบ้านแล้ว สิ่งของทุกอย่างในบ้านเช่าหลังใหม่ก็ดูคุ้นตาผมไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียงหรือแม้แต่โต๊ะ เจ้าของบ้านให้เช่ารวมด้วย ของใช้ทุกอย่างในบ้านคงจะมีอายุพอๆ กับตัวบ้าน ซึ่งผมคะเนเอาเองว่าคงจะราวๆ ยี่สิบสามสิบปีได้แล้ว มันเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีห้องโล่งๆ เพียงห้องเดียว แต่ก็เหมาะสำหรับคนโสดที่อยู่ตัวคนเดียวอย่างผม
คืนแรกของบ้านใหม่ กว่าผมจะได้อาบน้ำนอนก็ดึกโขแล้ว เพราะมัวแต่จัดของซึ่งที่จริงผมก็มีสมบัติไม่มากนัก แต่หนักไปทางทำความสะอาดบ้านเสียมากกว่า ฝุ่นและหยากไย่มากมายราวกับว่าบ้านนี้ร้างคนอยู่มาเนิ่นนานแล้วอย่างนั้น
ตอนอาบน้ำผมง่วงนอนมาก แต่พอล้มตัวลงนอนจริงๆ ตากลับสว่าง หลังจากพลิกตัวไปมาหลายตลบ ผมก็ตัดสินใจว่าควรจะออกไปเดินตากลมข้างนอกเสียหน่อย เพราะพัดลมเก่าๆ ที่ครางหึ่งๆ อยู่เหนือศีรษะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูออกไป เสียงระฆังจากที่ไหนก็ไม่รู้ดังแว่วมา คงจะบอกเวลาสองยามแล้ว ผมถอดกลอนผลักประตูออกไป ลมเย็นวูบใหญ่พัดปะทะเข้ามาจนผมต้องหลับตา พอลืมตาขึ้นเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปก็ชะงักกึก ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้ผมถึงกับตะลึงอ้าปากค้าง ก็เบื้องหน้าของผมซึ่งจริงๆ มันควรจะเป็นนอกชานบ้านและมีบันไดเตี้ยๆ ลงไปข้างล่าง มันกลับกลายเป็นห้องของผมเอง มีทุกอย่างเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นตู้หรือเตียง
ผมหันกลับไปมองข้างหลังทันที แล้วผมก็ต้องกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ห้องของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นแล้วไอ้ที่อยู่ข้างหน้านี่มันอะไรกัน ก่อนที่ผมจะทันคิดอะไรต่อไอ้เท้าเจ้ากรรมก็ดันพาผมก้าวเข้าไปในห้องนั้นเสียแล้ว ผมมองไปรอบๆ ตัว จึงได้สังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้ว ของใช้ในห้องนี้ถึงแม้จะเหมือนกับที่ห้องของผมแต่มันก็ยังอยู่ในสภาพใหม่ ตัวบ้านก็ยังดูใหม่อยู่ โดยเฉพาะไอ้เจ้าพัดลมที่ครางหึ่งๆ อยู่ในห้องผมก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี
ผมยืนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็คิดว่าตัวเองคงจะฝันไป แต่ไม่ว่าจะทั้งหยิกทั้งขยี้ตาอย่างไร ทุกอย่างก็ยังปรากฏอยู่อย่างเดิม ผมยืนนิ่งเหมือนถูกตรึงอยู่กับที่ภาพเดิมปรากฏอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูไม้ซึ่งผมเปิดคาเอาไว้ ค่อยๆ แง้มเหมือนใครเอื้อมมือมาปิด ผมรีบตะกายไปจะคว้ามันเอาไว้ แต่ก็ช้าเกินไป ประตูบานใหญ่ปิดสนิทลงเหมือนไม่เคยเปิดมาก่อนอย่างนั้น ไม่ว่าผมจะดึงจะทึ้งอย่างไร มันก็ไม่มีท่าว่าจะเขยื้อนสักนิด
แล้วสิ่งหนึ่งก็ดึงความสนใจของผมไป ผมเพิ่งสังเกตว่าแสงสว่างในห้องนี้ไม่ใช่แสงไฟ แต่เป็นแสงที่ส่องมาจากหน้าข้างหัวนอน ผมรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ข้างนอกสว่างโล่ง แดดแรงๆ แยงตาผมอยู่นี่ รับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นกลางวันแสกๆ
ผมเกือบจะลืมหายใจก่อนที่จะละสายตามาเห็นของที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหน้าต่างก็ไม่ใช่ของๆ ผม เพราะผมจำได้ว่าตอนที่จัดของ ผมวางหนังสือสองสามเล่มไว้บนโต๊ะ แล้วยังบรรดาของกระจุกกระจิกซึ่งผมยังไม่ได้จัดให้เข้าที่เข้าทางอีกหลายอย่าง แต่บนโต๊ะตอนนี้มีโคมไฟเก่าๆ แบบที่เคยใช้กันในสมัยก่อนซึ่งมันอาจจะดูเก่าในสายตาผม แต่จริงๆ แล้วตอนนี้มันยังใหม่เอี่ยมอยู่
ผมแน่ใจแล้วว่าห้องนี้ไม่ใช่ห้องของผมแน่ แล้วมันเป็นห้องของใครกัน ในเมื่อมันเหมือนกับห้องของผมอย่างนี้ ผมสะบัดหน้าแรงๆ ด้วยความงุนงง แต่แล้วภาพที่ปรากฏอยู่ที่หน้าต่างก็เกือบจะทำให้ผมหายงงแต่กลายเป็นบ้าไปแทน
ผู้หญิงสองสามคนที่เดินอยู่ข้างนอกนั่น เหมือนหลุดออกมาจากภาพในหนังไทยสมัยก่อนที่ผมเคยดูตอนเป็นเด็ก ทั้งเสื้อผ้าและทรงผม กางเกงยีนส์ขาบานอย่างนั้น เสื้อเชิ้ตสีแสบตาที่รัดแสนรัดอย่างน่าอึดอัดแทน หล่อนทั้งสองแต่งตัวคล้ายกัน คงจะเป็นแฟชั่น แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวนี้เขานิยมแต่งตัวย้อนยุค หล่อนอาจเป็นพวกบ้าตามแฟชั่นก็ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมหาเหตุผลมาแย้งกับตัวเองไม่ได้คงจะเป็นสภาพรอบๆ บ้าน
แถวนี้ไม่มีตึกสูง แต่ก็เป็นตึกแถวไปหมดแล้ว ผมยังจำได้ว่าเมื่อตอนเย็นผมยังเข้าไปซื้อยาสีฟันในร้านสะดวกซื้ออยู่เลย แต่ตอนนี้แทนที่ร้านขายของสมัยใหม่นั้นกลับเป็นร้านขายของชำเล็กๆ แบบที่ผมเคยวิ่งไปซื้อขนมกินตอนเป็นเด็ก ถุงขนนานาชนิดถูกแขวนเรียงรายอยู่หน้าร้าน ซึ่งของพวกนี้สมัยนี้เขาเลิกนิยมกันไปแล้ว
และที่ร้ายที่สุดเห็นจะเป็นถนนที่ผ่านหน้าบ้านผม มันไม่ใช่ถนนกว้างสี่เลนเหมือนที่ผมเห็นตอนลงจากรถเมล์เมื่อตอนเย็น แต่เป็นถนนเล็กๆ มีรถสวนกันไปมาแค่สองเลน แล้วก็ดูเหมือนว่าจะหารถทำยาได้ยากจริง ถนนว่างจนเกือบจะออกไปนอนเล่นได้
ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้อย่างเดียวคือยกมือขึ้นกุมหัว บางทีผมอาจจะฝันไป มันคงจะเป็นฝันที่เหมือนความจริงมากไปหน่อยเท่านั้น แต่ถึงจะฝันผมก็ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ผมเดินกลับไปที่ประตูอีกครั้ง คราวนี้ผมจะออกแรงให้ถึงที่สุด ถึงจะต้องพังประตูออกไปผมก็ยอม แต่พอมือผมจับเข้าที่ลูกบิดประตูเท่านั้น ยังไม่ทันได้ออกแรง ประตูก็เปิดผลัวะออกมา
ผมเงยหน้าขึ้นมอง ประตูมันไม่ได้เปิดออกเองหรอก แต่คนที่ทำให้มันเปิดนั่นสิที่ทำให้ผมอยากจะตื่นจากความฝันเสียเร็วๆ
“คุณเป็นใคร...” เสียงที่ถามนั่นก็เป็นเสียงของผมเอง ผมจำได้
“เข้ามาได้ยังไง”
ผมว่าเขาก็คงจะมีความรู้สึกเดียวกับผม เพราะผมมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังส่องกระจกอยู่ยังไงยังงั้น
เมื่อผมยังยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอย่างนั้น เขาก็แทรกตัวเข้ามา และผมเห็นว่าภาพที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นไม่ใช่ห้องเก่าของผมที่ผมเดินเข้ามา แต่เห็นนอกชานและบันไดเตี้ยๆ สองสามขั้นนั้น ผมผวาออกไปทันที เขายืนมองผมหมุนไปหมุนมาอย่างงงๆ เราสองคนต่างพูดอะไรกันไม่ออกไปพักใหญ่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เขาถามอีก
แต่มันทำให้ผมรู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงตัวเองออกมาจากปากของคนอื่น
“ผมก็ไม่รู้” ผมเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก
“ผมรู้ว่าคุณคงจะคิดอย่างเดียวกับผม แต่ผมก็ตอบคุณไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น บางทีผมอาจจะกำลังฝันอยู่” ผมพูดอย่างปลงๆ
“ฝันได้ยังไงนี่มันกลางวันแสกๆ เพิ่งจะเที่ยงกว่าเอง” เขาพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ผมมองตาม นาฬิกาของเขาเหมือนรุ่นที่พ่อผมใส่อยู่เลย
ผมกลืนน้ำลายมองหน้าเขาอีกครั้ง นึกไม่ออกว่าถ้าผมบอกเขาว่าอยู่ดีๆ พอผมเดินออกมาจากห้องของผมก็มาเจอห้อง ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นห้องของเขา เขาจะว่ายังไง ผมเห็นแต่เครื่องหมายคำถามลอยอยู่เต็มหน้าเขา ผมเดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วก็หันกลับมาสบตากับเขา
“เที่ยงเหรอ ตอนที่ผมออกมามันสองยามแล้วนี่”
“เที่ยง...” เขายืนยัน “ไม่เชื่อคุณดูนาฬิกาสิ”
ผมหมดแรงจะโต้แย้งกับเขา ได้แต่ทรุดลงไปนั่งลงบนเตียงที่ผมเพิ่งจะปูผ้าปูที่นอนเสร็จเมื่อครู่นี้เอง แต่มันไม่ใช่ผ้าปูที่นอนของผมแน่
“ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน” ผมส่ายหน้า แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง
“คุณเป็นใคร” เขาถามในที่สุด
“ผมชื่อแทน ถ้าคุณจะถามว่าผมมาจากไหน ผมไม่ได้มาจากไหนหรอก ก็นี่บ้านของผม”
“แต่นี่ก็บ้านผมเหมือนกัน” เขาเถียง
“ผมรู้ บ้านของเราทั้งคู่ คุณกับผมก็หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ ยังกะเป็นคนเดียวกันอย่างนั้น”
“นั่นสิ...แล้วคุณชื่ออะไร” ผมถามเขา
“ผมชื่อจำนงค์”
ชื่อเชยจัง ผมนึกอยู่ในใจ แต่ก็นึกดีใจที่ไม่ได้ชื่อเดียวกัน แสดงว่าเขาไม่ใช่ตัวผมในอดีตแบบที่ผมแอบคิดเอาไว้
“เรื่องมันแปลกจริงๆ แต่ปัญหาคือคุณมาได้ยังไง แล้วจะกลับไปได้ยังไง”
“นั่นน่ะสิ” ผมว่าพลางเกาหัวอย่างจนปัญญา
“คุณอยู่บ้านนี้มานานหรือยัง ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่วันนี้เอง”
“ผมก็เหมือนกัน ผมเพิ่งได้งานใหม่ เพิ่งขนข้าวของเข้ามา ผมจัดของเสร็จก็ออกไปหาอะไรกิน” จำนงค์ตอบ
“คุณทำงานอะไร” ผมถามเขา
“ผมเป็นเซลส์ขายยา”
“ผมก็เป็นเซลส์เหมือนกัน แต่ผมขายเครื่องคอมพิวเตอร์” ผมตอบ
“ขายอะไรนะ”
“คอมพิวเตอร์”
“มันคืออะไร” จำนงค์ทำหน้างง แต่ผมงงกว่า
“คุณไม่รู้จักหรือ” ผมถาม พยายามปั้นหน้าไม่ให้ดูเหมือนผมกำลังดูถูกเขา แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ ผมจ้องหน้าเขา ถามเบาๆ ว่า
“ตอนนี้ยังไม่มีเครื่องคอมฯ ใช่ไหม”
“คงจะใช่ เพราะผมยังไม่เคยเห็นเลย”
“ถ้างั้นช่วยบอกผมหน่อยว่านี่มัน พ.ศ.อะไร?”
“๒๕๑๒” เขาตอบหน้าตาเฉย แต่คำตอบของเขาทำให้ผมอ้าปากค้าง เป็นไปได้อย่างไร
“เป็นไปได้ยังไง สองห้าหนึ่งสองผมเพิ่งจะเกิด วันจันทร์นี้ผมก็จะอายุยี่สิบห้าแล้ว”
“ผมก็อายุยี่สิบห้าเหมือนกัน” จำนงค์บอก
จากนั้นผมกับจำนงค์ก็นั่งลงคุยกัน สรุปได้ว่าผมอยู่ในบ้านของเขาในปีพ.ศ.๒๕๑๒ จากที่คุยกันเขากับผมไม่มีอะไรเหมือนกันเลยในชีวิตวัยเด็ก เพราะฉะนั้นตัดปัญหาเรื่องที่เราสองคนเป็นคนๆ เดียวกันไปได้เลย แต่ทำไมถึงหน้าตาเหมือนกันนั้นหาข้อสรุปไม่ได้ เลยตกลงกันว่าช่างมัน เพราผมชักนึกสนุกเสียแล้ว
จำนงค์เป็นคนคุยสนุกทีเดียว ไม่ว่าผมจะคิดอะไร หรือพูดอะไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยหมด แถมบางทีเขายังพูดในสิ่งที่ผมคิดจะพูดอยู่พอดี
แล้วเขาก็พาผมออกไปเดินเที่ยวนอกบ้าน เราสองคนคงจะเหมือนฝาแฝด เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง จนกระทั่งเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง จำนงค์ก็หยุดแล้วชี้ให้ผมดูผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาหล่อนสวยดีทีเดียว ผมสังเกตเห็นว่าจำนงค์พยายามจะไม่มองไปทางเธอ แล้วเขาก็กระซิบเบาๆ กับผม
“เธอชื่อประไพ สวยไหม”
“แอบชอบเขาล่ะสิ” ผมถามยิ้มๆ “ทำไมไม่เข้าไปทักเขาล่ะ”
จำนงค์รีบส่ายหน้า
“ไม่เอาหรอก ผมไม่กล้า ไปกันเถอะ เดี๋ยวเธอหันมาเห็นเข้า”
แล้วเขาก็รีบเผ่นอ้าวไป ผมเพิ่งรู้ว่าหนุ่มสาวสมัยก่อนนี่เขาขี้อายกันอย่างนี้เอง จำนงค์พาผมเดินเที่ยวจนค่ำ เรากลับมาที่บ้าน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปสักอย่าง เรานั่งคุยกันจนดึกอย่างออกรส เพราะหลายสิ่งที่นี่คือสิ่งที่ผมเคยแต่ได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นเลยสักอย่าง แล้วผมก็เป็นเด็กต่างจังหวัด เพิ่งเข้ากรุงเทพฯ มาไม่กี่ปีนี้เอง
“พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงานวันแรกด้วย” ผมบ่นกับจำนงค์อย่างง่วงๆ รู้สึกเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“นั่นสิ...ไม่รู้ว่าทำยังไง คุณถึงจะกลับไปได้” จำนงค์พึมพำพลางมองไปที่ประตู
“จะสองยามอยู่แล้ว” นาฬิกาใหม่เอี่ยมแต่รูปทรงโบราณแขวนอยู่ที่ข้างฝา บอกเวลาอีกสองสามนาทีก็จะเที่ยงคืน
“เมื่อคืนตอนสองยาม ผมเปิดประตูออกมาแล้วก็เจอห้องคุณ” ผมรำพัน แล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู จำนงค์นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง
ผมดึงบานประตูไม้ที่หน้าบ้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ ลมเย็นวูบใหญ่พัดมาปะทะใบหน้าอย่างแรง และก่อนที่ผมจะหันไปเรียกจำนงค์ ผมก็เซออกไปที่นอกบ้าน แล้วบานประตูก็ปิดสนิทลงทันทีราวกับมีคนผลักมันเข้ามา
ผมตะลึงนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ดึงบานประตูเปิดออก จริงอย่างที่คิดไว้ ผมเห็นชานหน้าบ้าน แล้วก็บันไดเตี้ยๆ ผมหันหลังกลับไปมองในห้อง มันเป็นห้องของผมเอง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่ตอนเที่ยงคืน ข้างนอกสว่างโล่ง ผมดูนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนเล็กข้างหัวเตียง มันบอกเวลาสิบสองนาฬิกาตรง แล้วผมก็พบคำตอบทั้งหมด เวลาของจำนงค์กับผมนั้นตรงข้ามกัน เที่ยงคืนของผมคือเที่ยงวันของที่โน่น และเที่ยงคืนของที่โน่นก็คือเที่ยงวันของที่นี่
ประตูที่จะเปิดไปสู่อีกเวลาหนึ่งจะเปิดตอนเที่ยงคืนเสมอ เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมจะลองไปหาจำนงค์อีกครั้ง ความตื่นเต้นทำให้ผมลืมความง่วง ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกไปปากซอยเพื่อโทรศัพท์ไปลางานที่บริษัท ขณะที่จะกลับเข้าบ้าน ความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามา
ผมจำบ้านผู้หญิงที่ชื่อประไพได้ อยู่ถัดไปไม่กี่ซอยเอง ถึงแม้ถนนหนทางจะแตกต่างกันมาก แต่ก็ยังมีหลายสิ่งที่ทำให้พอจำได้
บ้านหลังนั้นยังอยู่เหมือนเดิม จะผิดไปก็ตรงที่เก่าไปมากพอๆ กับบ้านของผม ผมหยุดยืนที่หน้าบ้าน บ้านปิดสนิทไม่มีใครอยู่ บางทีหล่อนอาจจะย้ายบ้านไปแล้วก็ได้ ขณะที่คิดไปต่างๆ นานา ผมก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“คุณมาหาใคร...”
ผมหันขวับไปมองทันที แล้วต่างก็ตะลึงไปทั้งคู่ ผมตะลึงเพราะคนที่ผมกำลังมองหายืนอยู่ตรงนี้แล้ว แต่สำหรับหล่อนที่ทำหน้าเหมือนกำลังเจอผีอยู่นี่ ผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน
“คุณ...!” หล่อนทักเหมือนรู้จักผม
ผมนึกขึ้นได้ทันใดว่าเพราะอะไร หล่อนคงจะแปลกใจที่เห็นจำนงค์ยังหนุ่มอยู่ในขณะที่หล่อนเปลี่ยนไปจนเกือบจำไม่ได้ ผมเห็นจะต้องกลับไปบอกให้จำนงค์เปลี่ยนใจเสียแล้วกระมัง
“คุณเป็นใคร”
“ผมจำนงค์ไง” ผมคิดจะล้อหล่อนเล่น เลยตอบไปอย่างนั้น
ผมเห็นหล่อนหน้าซีด แล้วส่ายหน้าไปมา
“เป็นไปไม่ได้ จำนงค์ตายไปแล้ว” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายหน้าซีดบ้าง
“อย่ามาโกหกฉัน คุณเป็นใคร” หน้าตาหล่อนเอาเรื่องจนผมต้องเสตอบไปว่า
“เอ่อ...ผมเป็นหลานชายของเขา”
“แล้วเธอรู้จักฉันได้ยังไง ฉันกับจำนงค์ไม่เคยพูดกันสักคำ ยังไม่ทันได้รู้จักกันเลย เขาก็มาตายเสียก่อน”
“เขาเป็นอะไรตายครับ”
“เธอยังไม่บอกฉันเลยว่าเธอรู้จักฉันได้ยังไง”
“พ่อกับแม่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องคุณครับ ลุงจำนงค์หลงรักคุณมากนะครับ” ผมว่าเข้าไปนั่น
สาวประไพของจำนงค์หน้าสลด ผมว่าหล่อนคงมีใจชอบๆ จำนงค์อยู่บ้างแน่
“คุณบอกว่าไม่เคยพูดกันสักคำ
แล้วคุณรู้เรื่องเขาได้ยังไงครับ”
“ฉันอ่านจากหนังสือพิมพ์
น่าเสียดายยังหนุ่มยังแน่น เพิ่งไปทำงานวันแรก เขาเป็นเซลส์ต้องออกต่างจังหวัด
เขายังขับรถไม่แข็ง หักหลบรถสิบล้อไปชนเอาต้นไม้ข้างทางเข้า
ฉันยังตัดข่าวเก็บไว้เลย อยากดูไหมล่ะ”
ผมพยักหน้าทันที จำนงค์ตายตั้งแต่ยังหนุ่ม เขาตายเมื่อไหร่กัน สักครู่หล่อนก็ยื่นกระดาษเก่าๆ ให้ผมดู รายละเอียดเหมือนที่หล่อนเล่าให้ฟัง แต่สิ่งหนึ่งในเนื้อข่าวทำให้ผมสะดุ้ง เขาตายวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๑๒ ตรงกับวันที่ผมเกิดพอดี ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาจะตายวันพรุ่งนี้
ผมรีบผุดลุกขึ้นทันที
“ผมต้องรีบไปแล้วครับ ผมขอยืมข่าวนี่ก่อนนะครับ”
“อ้าว...จะเอาไปทำอะไร”
“แล้วผมจะรีบเอามาคืนครับ”
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมผุดลุกผุดนั่ง เดินไปเดินมา รอเวลาให้ถึงสองยาม พอเข็มสั้นกับเข็มยาวของนาฬิกามาชนกันที่เลขสิบสอง ผมก็ผวาไปที่ประตูทันที
ประตูเปิดผลัวะโดยแรง ลมเย็นวูบใหญ่พัดมาปะทะใบหน้า เหตุการณ์เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่บ้านเงียบ และเมื่อประตูปิด ผมก็พบว่าประตูนั้นล็อคกลอนจากด้านนอก บางทีจำนงค์อาจออกไปธุระนอกบ้าน
ผมโผล่หน้าออกไปที่หน้าต่าง รอจำนงค์กลับมา มีป้าอ้วนๆ คนหนึ่งเดินผ่านมา หล่อนหยุดแวะทักผม
“อ้าว...พ่อจำนงค์ กลับมาทำไมอีกล่ะ เมื่อเช้าเห็นแต่งตัวออกไปทำงานแล้วไม่ใช่เหรอ”
แต่ผมตกใจเกินกว่าจะตอบหล่อนได้ หล่อนจึงเดินจากไป จำนงค์ไปทำงานวันนี้ วันนี้วันที่สิบสี่ไม่ใช่สิบสาม ผมหยิบกระดาษเก่าๆ นั้นขึ้นมาอ่านอีกครั้ง แล้วเพิ่งรู้ว่าผมอ่านข้ามตอนสำคัญไป
ผมเพิ่งเห็นสถานที่ที่จำนงค์ประสบอุบัติเหตุ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่แม่ชอบเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ ว่าตอนที่ผมเกิดนั้น แม่เจ็บท้องอยู่นาน แต่ผมก็ไม่ยอมคลอดเสียที จนกระทั่งเที่ยง จู่ๆ รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนต้นไม้ข้างบ้าน แม่ตกใจจนคลอดผมออกมา
ผมนึกแล้วก็ต้องถอนใจ นี่ถ้าผมมาทันและห้ามจำนงค์ไว้ โลกนี้คงจะมีจำนงค์คนเดียว เพราะคนที่ชื่อแทนคงจะไม่มีโอกาสได้เกิดมาลืมตาดูโลกแน่
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ พินธุนาถ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ พินธุนาถ
ความคิดเห็น