fic hight scool วันท่องเที่ยว
ผู้เข้าชมรวม
52
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตื้ด ตื้ด
เสียงโทรศัพท์จากบนหัวเตียง ผมงัวเงียคว้ามันมาเปิด หน้าจอของไอโฟนขึ้นชื่อคนว่า “นุ” ผมกดรับสายอย่างไม่ลังเล
“ไง ตื่นหรือยัง” เสียงจากปลายสายดังเข้ามา ผมหาวแรงๆครั้งหนึ่งเพื่อไล่ความง่วงที่อยู่ในโสตประสาท แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยนะ “ จะไปรับที่บ้าน เตรียมตัวด้วยล่ะ”
“อืม---”
ผมลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า อาปวดไปทั้งตัวเลย วันหยุดทั้งทีง่ารู้สึกอยากนอนต่ออีกจัง แต่ก็นะ…….กว่าจะลากสังขารเข้าห้องได้ก็ทำเอาลำบากแน่ะ
“อืม-----” ออกจากห้องน้ำแล้วเปิดดูตู้เสื้อผ้าก็เจอกับอะไรที่ไม่อยากใส่ มีแต่เสื้อที่ดูไม่ดีซะเลย(แถมอัดยังกับปลากระป๋อง)แบบนี้จะทำยังไงดี เฮ้อ…..ผ่านไปราวสิบนาที ผมก็ได้เชิ๊ตสีขาวกับยีนส์ธรรมดาๆเท่านั้น ทุกอย่างพอดูรวมกันแล้วมันธรรมดามาซะจน….
“เพื่อนมาหาแล้วนะ รีบๆหน่อยสิ” อา แย่จัง แม่เรียกซะแล้ว ผมทำกิจวัตรช้าขนาดนี้เลยหรอ
“ทำหน้าเหมือนกับเพิ่งตื่นงั้นแหละ” เจอกันก็ทักทายด้วยการขยี้หัวเลยหรอ อ๊ากก ทรงผมเสียหมด จะว่าไปมันก็ยุ่งอยู่แล้วแบบนี้มันกว่าเดิมไม่ใช่หรือไง ว่าแต่ง่วงจัง หาวว---- “อย่าแสดงท่าทีเหมือนไม่อยากไปแบบนั้น นานๆครั้งพวกเราจะเจอกัน”
“ขอโทษ เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย”
“เห คิดถึงหรอ” ก็โทรมาทุกวันจนผมเขินแล้วนอนไม่หลับไงล่ะ
“อืม------” หมวกกันน็อกถูกยัดใส่มือผม พอขึ้นนั่งซ้อนท้ายปุ๊บ รถก็ออกปั๊บ แถมเร่งความเร็วแบบสุดๆต่าง อา ความง่วงที่มีหายปลิดทิ้งไปเลย แต่ก็มึนๆอยู่นา “เพื่อนมากันครบแล้วหรอ”
“ตื่นแล้วสินะ นึกว่าจะทำหน้าแบบนั้นจนไปที่หมายซะอีก” เสียงทักมาจากด้านหน้า อันที่จริงถ้าตัดสินใจอยากรวบตัวให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันต่างหากล่ะ แต่วันนี้มีงานรวมเพื่อนนี่นาเลยต้องมาแบบเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งใครก็ไม่รู้เป็นเจ้างานจัด “ก็คงกำลังจะทยอยกันไปถึงนี่แหละมั้ง”
“งั้นหรอ” ผมซบแผ่นหลังนุ อืม ไม่ว่าครั้งไหนก็ยังอบอุ่นเหมือนเคย ปกติพวกเราจะติดต่อกันทางข้อความแชท และโทรศัพท์ ได้เจอกันครั้งสุดท้ายคงเป็นงานปัจฉิมนิเทศน์ม.ต้นล่ะมั้ง นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วนานจังเลยนะที่รู้สึกเหงาขนาดนั้น “งืม---”
ซักพักใหญ่พวกเราก็ถึงที่หมาย น้ำตกใสแจ๋วที่รายล้อมด้วยป่า และดอกไม้ ซึ่งมีคนที่คาดว่าเป็นเจ้างานรออยู่แล้วดูเหมือนเรามานั่งกลางดินกินกลางทรายสินะ ที่จริงป่าบริเวณนี้เป็นที่ที่มีคนเดินผ่านออกบ่อยเลยไม่เปลี่ยวเท่าไหร่ แต่สำคัญกว่าคือเจ้างานที่บอกว่าจะมาปิกนิก…….ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่าง
“โทษทีๆพวกกูเตรียมมาแต่ขนม เออ จริงด้วยใช้อาร์ตไปซื้อดิ ง่ายดี” เล่นใช้คนที่ไม่รู้ประสีประสาเกี่ยวกับงานไปหาบข้าวหาบน้ำมาวางตรงหน้าหรือไง เจ้างานควรจะไปซื้อเองจิ เฮ้อ “เนอะ อาร์ต” เจมส์กระแทกสีข้างคนตัวผอมบางเพื่อให้อีกฝ่ายร่วมด้วย ซึ่งอาร์ตก็ตกลง แต่กลับพ่วงยะไปด้วย(พวกนี้ห่างกันไม่ได้หรือไงกันนะ)
โครก----ไอ้ท้องดันร้องผิดที่ผิดเวลา แหงล่ะตอนเช้าไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา
“ใครทานข้าวเช้ามาแล้วบ้าง” นุไล่ถามทีละคน ซึ่งเพื่อนๆพยักหน้าเรียงตัวเลย แง แค่ผมน่ะสิที่ยังไม่ได้กินมาเลย “งั้นเดี๋ยวพาวุฒิไปกินข้าวก่อน เออ พออาร์ตกลับมาก็เปิดวงกันก่อนเลยแล้วกัน”
“มึงนี่น๊า ก่อนจะพาเค้ามาก็จัดการให้เรียบร้อยก่อนสิ” บาสบอกอย่างเอือมๆ ซึ่งนุยิ้มแหยรับ ผมเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นนะ “รีบไปรีบนะ อ้อ หรือว่าพวกมึงจะไปจู๋จี๋กันก็ตามสบาย ”ทะ ทำไมถึง เอ๋ นุจับมือผมอยู่นี่นา แบบนี้ก็..
พอมาถึงตรงนี้ผมบีบนุแน่นอัตโนมัติ และรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด ปกติเวลาแบบนี้เราจะกลบเกลื่อนด้วยอารมณ์ขำขันนี่นาแต่ครั้งนี้ควบคุมนิสัยและความรู้สึกตัวเองได้ยากจัง หรือว่าเราจะคุยกับนุบ่อยไป มะ ไม่น่าจะเกี่ยวก็แค่คุยผ่านข้อความนี่นาไม่เห็นหน้าซักหน่อย หรือเพราะไม่เห็นเลยวางตัวได้ยากกว่าเดิม อ๋า แย่จังเป็นแบบนี้ ช่วงที่คุยกับนุบ่อยๆรู้สึกว่าใจมันสั่นคลอนกว่าครั้งที่เจอในวันจบการเรียนซะอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”นุมองผมจากมุมด้านล่าง หวาย แบบเค้าก็ยิ่งเห็นหน้าแดงๆของเราน่ะสิ ต้องปรับสีหน้าให้ปกติที่สุด “หือ ?”
“ปะ เปล่า ไปกินข้าวกันเถอะ ร้านเดิมตรงนั้นดีมั๊ย”
“ก็ดีนะ อ้าว ใส่หมวกกันน็อกสิ” นุใสหมวกแข็งๆให้ผม ก่อนเสียบกุญแจรถและสตาร์ทเครื่อง กะ กลิ่นน้ำหอม รู้สึกดีจังเลย
มาถึงร้านอาหาร----
“นี่…เป็นอะไรหรือเปล่า” ขวดเย็นแตะที่ข้างทำให้สะดุ้งเล็กน้อย อ่ะ นี่เรา เหม่อหรอเนี่ย แย่จัง “ปกติจะคอยกวน แล้วก็ทำให้ปวดประสาท วันนี้มาแปลกนะ” นุเทของเหลวสีน้ำตาลลงแก้วที่มีน้ำแข็ง ไอเย็นปะทะกันจนเกิดเป็นควัน แก้วหนึ่งในสองใบถูกส่งมาทางผม
อันที่จริงก็อยากจะบอกกันตรงๆหรอกนะว่า ความเข้มแข็งของผมได้หายไปตั้งแต่ตอนที่ร้องไห้ออกมาให้นุเห็นครั้งแรก ตอนนั้นกำแพงจิตใจผมก็พังทลายลง เริ่มคุมนิสัยตัวเองไม่อยู่ อารมณ์ก็หวั่นไหวง่าย ซึ่งปกติผมก็วางเฉยกับเรื่องแบบนี้มาตั้งนานแล้วแท้ๆ ยิ่งคุยกันบ่อย ความรู้บางอย่างก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้น
“ข้าวผัด 2 ที่ได้แล้วค่ะ”
“อ้าว ข้าวมาแล้ว วันนี้สั่งข้าวผัดที่ชอบให้ด้วยนะ” รอยยิ้มอ่อนโยนของเค้าส่งมาทางผม ช่วงนี้เราเห็นบ่อยมาเลย
“อื้ม” ผมหยิบช้อน และตักข้าวสีเหลืองเข้าปากด้วยความเร็วสง ผลที่ตามมาคือ…. “หวา ร้อน” มันลวกลิ้นจนชาไปหมดเพราะรีบร้อนจนไม่ได้ดูก่อนว่าข้าวผัดมันร้อนมากขนาดนี้ แถมยังสำลักออกมาอีก น่าอายจังเลย นุส่งน้ำให้ผมดื่มพลางลูบหลังหายหายใจโล่งขึ้น “แย่จัง”
“ทีหลังก็เป่าก่อนสิ ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้”กระดาทิชชู่เช็ดที่มุมปากผมเบา บะ แบบนี้ หน้าเราก็ยิ่งแดงน่ะสิ ผมรีบปัดมือนุออกอย่างเนียนๆเพื่อไม่ให้เค้าเข้าใจผิด “ครั้งหน้าระวังหน่อยนะ”
“อื้ม--”
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จพวกเราก็ออกจากร้าน และกลับไปสถานที่ปิกนิก เอ๋ แต่ว่าทางที่นุกำลังขับไปข้างหน้ามันไม่ใช่นี่นา
“เราจะไปที่ไหนกันหรอ”
“เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ” เพราะหมวกกันน็อกบังอยู่ทำให้ผมอ่านสีหน้านุไม่ออก
เอี๊ยด---
รถมอเตอร์ไซต์หยุดหน้าสวนสาธารณที่คุ้นเคย พอลงจากรถนุก็ดึงตัวผมเข้าไปข้างในซะก่อน เดินไปตามทางซีเมนต์ที่มีต้นไม้รายล้อม ผมจำได้ว่าซุ้มไม้ตรงนี้เป็นที่ที่เคยมาด้วยกัน ถ้าเป็นนุล่ะก็จะต้องพาไปตรงนั้นแน่…….เนินดินเล็กๆที่มีมุมนั่งชมวิวใต้ยางนาอันร่มรื่น
“ตรงนี้แหละ” เพราะการหยุดกะทันหันทำให้เสียการทรงตัวจนเกือบล้ม แต่แขนแกร่งของนุก็คว้าตัวผมเข้าอ้อมกอดของเค้า หน้าใกล้กันแค่นิดเดียวเอง “เอาล่ะ มาถึงตรงนี้อยากจะพูดอะไรหรือเปล่า”
“คือว่า……”มาที่นี่เพราะแบบนี้เองหรอ “จะว่าก็ มีอยู่หรอก” จู่จะให้บอกเลยมันก็….
“หือ?”นุเอียงคอเล็กน้อย และลูบหัวผม “ปกติไม่เคยทำหน้าแบบนั้นนี่นา”
“หน้าแบบนั้น?” ผมทำหน้าแบบไหนกันนะ ตอนนี้
“หน้าแดงๆแล้วเหมือนสับสนอะไรสักอย่าง มีอะไรไม่ต้องปิดบังแล้วพูดออกมาก็ได้ หรือว่า…” นิ้วเรียวดีดหน้าผากผมเบาๆ อ๋า เจ็บนิดๆ “กลัวงั้นหรอ ที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
“มันก็มีส่วนอยู่หรอก” แต่อีกเรื่องนึงก็มีอยู่…. นุกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเล็กน้อย และซุกหน้ากับไหล่ผม กลิ่นหอมของเค้า มัน….ทำเอาเคลิ้มเลยล่ะ “อีกเรื่องมะ มันก็คือ….”
สายลมพัดพลิ้ว เงาของต้นยางนาซ้อนทับพวกเรา นุกอดผมอยู่นานเหมือนรอฟังคำตอบ ไม่อยากเลยที่จะต้องให้เขามารออยู่แบบนี้น่ะ เราเองก็อยากบอกความรู้สึกออกไปเหมือนกัน ถ้าจะมีความกล้ากว่านี้อีกสักนิด ถ้าเราจะกลับเป็นเราคนเดิมเมื่อครั้งม.ต้น แล้วบอกความรู้สึกออกไป คงจะดี
“ไม่เป็นไร ถ้าลำบากที่จะพูด” นุคลายอ้อมกอด และมองหน้าผมในระยะใกล้แทน ดวงตาที่สบกับดวงตา แต่กระนั้นภายในใจผมก็ยังว้าวุ่นและประหม่าอยู่ดี ไม่กล้าที่สบตากับเค้าด้วยซ้ำ
‘ต้องกล้ามากกว่านี้อีก
เราไม่อยากให้เค้าต้องลำบากใจ’
“มะ ไม่ผมจะพูด..” ความรู้สึกของเรา “ผม…รัก…..นุที่สุดเลยนะ”เสียงแผ่วๆแบบนี้ น่าอายจังเลย แถมรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าแดงมากด้วยสิ
“ทำหน้าเหมือนลูกมะเขือเทศเลย เดี๋ยวก็กินซะหรอก”นุเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ และทาบริมฝีปากกับผมลิ้นที่รุกล้ำเข้ามาไม่ได้ดูซาดิสม์เหมือนแต่ครั้งก่อน แต่อ่อนโยนและหอมหวานซะจนแทบละลาย ผมตอบรับความรู้สึกนั้น ลมหายใจของสองเราสอดประสานกันจนได้ฝ่ายผมเริ่มหอบก่อน เข้าจึงปล่อยให้เป็นอิสระ “จะบอกเรื่องที่รู้ๆกันทำไมล่ะ หืม?”
“กลัวว่า จะโกรธนี่นา ทั้งๆที่นุเป็นฝ่ายบอกก่อนแท้ๆ ว่า….” เค้าสารภาพผมก่อน แต่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเลย เสียมารยาทเอามากๆเลยใช่มั๊ยล่ะ ถึงนุจะบอกว่าไม่ต้องใส่ใจกับคำพูดเค้า แต่ผมจริงจังนะ “งือ---” หน้าแดงจนละลายน้ำแข็งได้แล้ว
“จะโกรธแฟนน่ารักๆแบบนี้ได้ยังไงกัน” พูดจบนุก็จุ๊บหนึ่งรอบ แบบไม่ทันตั้งตัว หวาย เผลอตัวไป “ถ้างั้นที่ซึมอยู่เมื่อเช้าเพราะเรื่องนี้เองหรอ”
“อ่ะ อืม”
“ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” อันที่จริงก็ไม่ได้มีเจตนาหรอกนะ ตั้งแต่การสารภาพรักเลยวางตัวไม่ถูกเลย กลัวที่จะเผชิญหน้าตรงๆด้วยสิ ทำให้เค้าเป็นห่วงตลอด เรานี่แย่จังเลย “ขอโทษนะ ไม่คิดเลยว่าจะทำให้คิดหนักขนาดนั้น”
“มะ ไม่หรอกผมก็ผิดเหมือนกัน”
“หืม…..งั้นอยากรับการลงโทษน่ะสิ”
“เอ๋……”
“ก็ที่ทำให้เป็นห่วง แล้วเหมารวมตอนไม่ตอบกลับข้อความที่ส่งไปเมื่อคืนด้วย”
“อันนั้นผมก็ตอบกลับวันนี้ เมื่อกี้แล้วไงครับ หวา..”ผมใช้ความรู้สึกชั่ววูบผละออกจากอ้อมกอดนุ แต่เพียงชั่วครู่เค้าก็จับผมได้ทัน “ปะ ปล่อยนะ..” ตอนนี้เรากำลังอยู่ในอ้อมกอดของนุและตอนนี้หน้าของเค้ากำลังคลอเคลียผมอยู่
“บอกอีกที่สิ แล้วถึงจะหายโกรธ”
“คำพูดนั้น…..” ให้พูดอีกงั้นหรอ “ผะ ผมรักนุครับ” เสียงแผ่วอีกแล้ว
“อะไรนะ…ไม่ได้ยินเลย” นุขบติ่งหูผมเบาๆ อ๋า รู้สึกสยิวนิดหน่อยแฮะ
“รักนุที่สุดเลยยยยยยยยย”
“ผมก็รักวุฒิครับ….”แล้วเขาก็จูบผมอีกรอบ วันนี้รอบที่ 2 แล้วนะ ทำเอาผมละลายจะเป็นน้ำอยู่แล้ว นุผละริมฝีปากก่อนเลื่อนลงมาเป็นต้นคอและเม้มรอยแดงไว้ “นี่เป็นคำสัญญา…”
“แต่สักวันมันก็ต้องหายไป ”เราพูดอะไรออกไปเนี่ย “………”
“เห…..” มือของนุล้วงกระเป๋ากางเกง สิ่งที่ออกมาคือ มีดเล่มเล็กขนาดพกพา ผมจับมือเขาที่ถือสิ่งมีคมอย่างสั่นเทา
“มะ ไม่เป็นไรหรอกผมเป็นคนขอร้องนุเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วนี่นา” รู้สึกจุกจัง
“……….” มีดเล่มเล็กสร้างรอยแผลให้แผ่นอกข้างซ้ายของจนเป็นเส้นสีแดง เลอะเสื้อสีขาวดูสวยงาม “ทีนี้คำสัญญาก็เสร็จแล้วนะ”
“ถ้าพวกเรารวมกันได้ก็…..” ผมลูบบาดแผลที่พึ่งได้รับมา รวมกันก็คงดีสินะ ความเจ็บแล่นเข้าสู่โสตประสาท นานครั้งรูสึแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน “คงจะ…”
“ถ้าแบบนั้นก็ ไม่มีความหมายหรอกนะ” นุจับมืออันสั่นเทาของผมก่อนประทับจุมพิตลงบนคราบเลือด “เป็นแบบนั้นก็จะไม่ได้คุยกัน จับมือกัน มันเหงานะ”
“…….” ผมร้องไห้ออกมาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะว่า………พวกเราใจตรงกันเป็นหนึ่งเดียว
กลับมาที่ปิกนิก---
“เฮ้ย พวกมึงไปทำอะไรมา เลือดโชกเลยนี่” อาร์ตเข้ามาดูอาการผม พวกเราก็หายไปแต่เช้ากลับมาก็เกือบเที่ยง เลือดที่เปราะเสื้อยังไม่ได้ซักมาเลย จะมีคนสงสัยก็ไม่แปลกหรอก นุตอบปัดแทนผมว่ากิ่งไม้ระหว่างทางมันข่วน (คิดคำตอบได้ห่วยมากเลย)แม้จะดูไม่ขึ้น ยะกันเออออตอบแทนแฟนสุดที่รักของตัวเองแล้วบอกให้ผมไปล้างแผลก่อนติดเชื้อ
“ขอบคุณนะ” ความแสบตอนล้างแผลนี่แสบจังถึงจะเป็นน้ำเปล่าก็เถอะ
“อืม---” แวบนึงผมเห็นว่านุหน้าแดง “มีของจะให้น่ะ หลับตาก่อนสิ”
ผมหลับตาตามที่บอก รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างอยู่นิ้ว เพราะแบบนี้เลยฝ่าฝืนคำพูดคนที่บอก
“ขี้โกงนี่นา” นุหน้าขึ้นสีเล็กน้อย “เป็นแฟนที่ใจร้อนซะจริง”
“ขะ ขอผมแต่งงานหรอ”
“เอาไว้โตกว่านี้อีกหน่อย”
“ง่อ---” มือของเราสอดประสานกัน นุจุมพิตที่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างแผ่วเบา
“หมั้นไว้ก่อนนะครับ” ตอนนี้ผมร้อนจน….ละลายแล้ว
“อื้ม”
จะรอจนกว่าจะถึงวันนั้นนะครับ S ของผม
ผลงานอื่นๆ ของ ปากกาขนนกแห่งความหวัง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ปากกาขนนกแห่งความหวัง
ความคิดเห็น