คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Dead or Alive [อยู่หรือตาย]
***Chapter 5 Dead or Alive [อยู่หรือตาย]***
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าตนเองได้เดินทางมาถึงบ้านโพรงกระต่ายแล้ว เด็กสาวก้าวออกมาจากเตาผิงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยวางสัมภาระของเธอไว้ข้าง ๆ โต๊ะไม้ขัดมันในครัว เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้น และก็พบนางวีสลีย์กำลังยืนอยู่ตรงธรณีประตู
“สวัสดีจ๊ะ เฮอร์ไมโอนี่!” นางยิ้มกว้างพร้อมกับคว้าร่างของเฮอร์ไมโอนี่ไปโอบกอด
“สวัสดีค่ะคุณนายวีสลีย์” เฮอร์ไมโอนี่กล่าว ขณะที่นางวีสลีย์กำลังกอดรัดเธออยู่
“เธอสบายดีไหมจ๊ะ ดูเหมือนเธอจะผอมไปนะเนี่ย” นางวีสลีย์กล่าวพลางหรี่ตาลงอย่างสงสัย
“ไม่นี่คะ” เฮอร์ไมโอนี่ปฏิเสธ นางวีสลีย์มองเธออย่างสงสัยจนกระทั่งเสียงปึงปังที่ดังมาจากเตาผิงเรียกความสนใจของเธอไปจากเด็กสาว
รอนก้าวออกมาจากเตาผิงอย่างลำบากเพราะความสูงของเขา ผงฝุ่นสีขาวเปรอะเต็มศีรษะสีแดงเพลิงของเขา
“ตายจริง!” นางวีสลีย์กล่าวพลางสะบัดไม้กายสิทธิ์หนึ่งครั้ง เพื่อกำจัดฝุ่นรวมทั้งใยแมงมุมออกจากผมของรอน
“ขอบคุณครับแม่” รอนพูด
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ แล้วพ่อของลูกล่ะรอน แม่นึกว่าเขาจะหายตัวกลับมาแล้วเสียอีก” นางถามอย่างสงสัย และเพราะเกรงว่านายวีสลีย์จะพยายามยืดเวลาอยู่ที่บ้านพวกเกรนเจอร์ต่อ
“พอดีพ่อเพิ่งนึกได้ว่าพ่อมีธุระที่กระทรวงน่ะครับ เลยให้ผมกลับมาก่อน” รอนตอบพลางเดินมานั่งที่โต๊ะ
“อ้อ อย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นลูกช่วยยกของของเฮอร์ไมโอนี่ไปที่ห้องของจินนี่หน่อยสิ เธอคงไม่ว่านะจ๊ะที่ต้องนอนกับจินนี่ไปก่อนน่ะจ๊ะ” นางวีสลีย์หันมาพูดกับเฮอร์ไมโอนี่
“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ หนูยังไงก็ได้” เธอตอบไปอย่างนั้น แต่ในใจก็นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องไปนอนกับจินนี่ ในเมื่อตอนนี้ห้องของบิลกับชาลีน่าจะว่างอยู่ แต่ไม่ทันที่เธอจะได้อ้าปากถามอะไรคำตอบก็มาปรากฏกายให้เธอเห็น
เด็กสาวคนหนึ่งเยื้องย่างเข้ามาในห้อง เธอมีใบหน้าที่สวยจนชวนตะลึง ดวงตาสีฟ้าทอประกายสดใส ผมสีเงินของเธอซึ่งยาวสยายถึงกลางหลังนั้นพลิ้วไหวไปมาอย่างงดงาม ในมือของเธอถือถาดบรรจุของว่างเอาไว้
เฟลอร์ เดอลากรูว์ เดินมายังโต๊ะทานอาหารอย่างเชื่องช้าและสง่างาม เธอค่อย ๆ วางถาดใส่คุกกี้ในมือลงบนโต๊ะ ผมสีเงินของเธอทิ้งตัวลงอย่างงดงาม รอนมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทีเคลิ้มฝัน
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องยกอะไรมา นี่ยังไม่ถึงเวลาอาหารเลยนะ” นางวีสลีย์พูดขึ้นด้วยท่าทีไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่เฟลอร์กลับยิ้มให้เธออย่างงดงามจนรอนนั้นตาค้าง
“ไม่เป็นไรค่า นี่เป็นแค่ของว่างเฉย ๆ ฉันคิดว่าพวกเด็ก ๆ คงจะหิวกัน” หล่อนพูดพลางมองไปยังรอนและเฮอร์ไมโอนี่ ก่อนจะเคลื่อนกายผ่านโต๊ะไม้ขัดมันมายังเด็กสาว “ยินดีที่ได้พบเธออีกครั้งนะ” เฟลอร์จับมือเฮอร์ไมโอนี่เขย่า เธอยิ้มบาง ๆ ตอบ
“เธอไม่รู้รึว่าฉันกำลังจะทำอาหารเย็นน่ะ” นางวีสลีย์พูดขึ้น “แล้วเธอจะให้พวกเขาทานของว่างอะไรตอนนี้” หล่อนกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ ผมกำลังอยากทานพอดี” รอนพูดขึ้นทันควัน นางวีสลีย์ส่งสายตาคมกริบมาให้เขา แต่รอนกลับไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะสิ่งเดียวที่กำลังอยู่ในสายตาของเขาตอนนี้ก็คือภาพเฟลอร์ที่กำลังสะบัดผมสีเงินเงางามของเธอ
“คุณกำลังจะทำอาหารเย็นหรือคะ ถ้าอย่างง้านฉันช่วยนะคะ” เฟลอร์พูดพลางส่งยิ้มที่สวยจนเหลือเชื่อมาให้นางวีสลีย์ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“รอนช่วยเฮอร์ไมโอนี่ยกของขึ้นไปบนห้องสิ” นางกล่าว “ส่วนเธอถ้าอยากช่วยก็ตามมา วันนี้เราจะทำสตูกัน” นางกล่าวก่อนจะเดินนำเฟลอร์เข้าไปในครัว รอนมองตามแผ่นหลังของเด็กสาวไปด้วยอาการมึน ๆ
“ถ้าเธอยังไม่ดีขึ้นงั้นฉันยกของขึ้นไปเองก็ได้นะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางคว้ากระเป๋าสัมภาระของเธอขึ้นมาจากพื้น พร้อม ๆ กับถุงหนังสืออีกหลายใบ
“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” รอนแย้งก่อนจะเดินเอียง ๆ ไปหยิบถุงหนังสือของเด็กสาวขึ้นมาจากพื้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามนต์สเน่ห์ของเฟลอร์นั้นยังคงอยู่แม้ว่าเจ้าตัวจะเดินจากไปแล้ว
.
รอนเดินนำเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นบันไดแคบ ๆ ไปจนถึงห้องของจินนี่ เด็กหนุ่มเคาะประตูเบา ๆ
จินนี่เป็นคนเปิดประตู เธอตรงเข้ามากอดเฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เห็นว่าเป็นเธอ “พี่เฮอร์ไมโอนี่ ดีใจจังที่ได้เจอพี่!” ส่วนเฮอร์ไมโอนี่นั้นก็กอดจินนี่ตอบอย่างทุลักทุเลเพราะในมือถือของไว้มากมาย
“พี่ก็ดีใจที่ได้เจอเธอจินนี่ ว่าแต่ว่าทำไมถึงไม่ไปรับพี่ฮึ” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“ก็เพราะเธอมัวแต่เขียนจดหมายรักถึงดีน โทมัสอยู่น่ะสิ” รอนตอบขึ้นทันควัน ก่อนจะเดินก้าวผ่านสองสาวไปในห้อง และวางสัมภาระของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ข้าง ๆ เตียงของจินนี่
“ฉันจะขอบคุณมากเลยนะถ้าพี่จะหยุดพูดถึงเรื่องของฉันกับดีนให้คนอื่นฟังเสียที!” จินนี่พูดพลางเดินท้าวสะเอวเข้ามาหารอนซึ่งแลดูเหมือนนางวีสลีย์มาก รอนก็ได้แต่ยักไหล่ราวกับต้องการพูดว่า ‘ ก็มันเรื่องจริงนี่นา ’
“ว่าแต่ว่าพี่พบยายคุณเฟล็มหรือยัง” จินนี่หันไปพูดกับเฮอร์ไมโอนี่หลังกับจัดการกับรอนเสร็จแล้ว โดยเธอเอาชื่อเฟลอร์มาแปลงเป็นเฟล็มที่แปลว่าเสมหะ
“อ๋อ ได้เจอแล้วล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางหัวเราะคิก
“นี่ เมื่อไหร่เธอจะเลิกเรียกเขาอย่างนั้นเสียทีนะ” รอนพูดขึ้น
“ฉันจะเลิกเรียกเขาว่า ‘ เฟล็ม ’ ก็ต่อเมื่อพี่เลิกหลงเขาหัวปักหัวปำสักที” จินนี่เถียงเขาทันควัน “นี่ขนาดว่าพี่กับเขาจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่พี่ยังทำท่าเหมือนโดนคาถามึนงงทุกครั้งที่เจอเขา” เธอพูดต่อ
“เธอหมายความว่ายังไงน่ะจินนี่” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น เมื่อได้ยินคำว่า ‘ ครอบครัวเดียวกัน ’
“อ้าวนี่พี่รอนยังไม่ได้บอกพี่อีกเหรอ” จินนี่ถามเฮอร์ไมโอนี่ เธอส่ายหน้าเบา ๆ จินนี่เห็นเช่นนั้นจึงเล่าต่อ “ก็พี่บิลกำลังจะแต่งงานกับยายคุณเฟล็มน่ะสิ และที่หล่อนมาอยู่ที่บ้านเราตอนนี้ก็เพราะพี่บิลอยากให้หล่อนมาทำความรู้จักกับครอบครัวเรา อย่างกับว่าเราอยากสนิทสนมกับเธอตายเลยล่ะ” จินนี่พูดพลางทำหน้าเหยเก เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงดีใจสิรอน ที่จะได้เจอหล่อนทุก ๆ วันน่ะ” เฮอร์ไมโอนี่แหย่เขาโดยไม่ทันได้คิดอะไร
“แหงสิ เพราะตอนนี้รอนน่ะกลายเป็นคนสติหลุดทุกครั้งที่เจอยายคุณเฟล็มเลยล่ะ” จินนี่ช่วยสบทบอีกแรง จากที่ดูแล้วรอนคิดว่าเขาคงสู้ฝีปากสองสาวคนนี้ไม่ได้แน่
“ฉันไม่อยากเถียงกับพวกเธอแล้ว ฉันไปดีกว่า” รอนพูดพลางเดินออกจากห้องไป และทิ้งพวกเธอให้อยู่กันตามลำพัง โดยที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้เลยว่าคนที่รอนอยากให้มาอยู่ร่วมบ้านที่สุดนั้นไม่ใช่เฟลอร์
*************************************************
เดรโก มัลฟอยกำลังเหม่อมองออกไปยังสวนของคฤหาสน์ที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดผ่านทางหน้าต่างข้าง ๆ เก้าอี้ที่เขากำลังนั่งอยู่ ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็ละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกมายังแขนซ้ายที่กำลังร้อนไหม้ของเขาแทน มัลฟอยจ้องมองภาพหัวกะโหลกสีดำที่มีลิ้นเป็นงูปรากฏอยู่บนท้องแขนของเขาอย่างสับสน อาจจะเป็นเพราะแสงจากตะเกียงทำให้ดูราวกับหัวกะโหลกนั้นกำลังแสยะยิ้มมาให้เขา
ตอนนี้เขาเป็นผู้เสพความตายแล้วสินะ เดรโกคิดพลางหลับตาลง เขายังคงรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องแขนอยู่ตลอดราวกับมีคนเอาเหล็กที่ยังไม่เย็นดีมานาบเนื้อ แต่มัลฟอยก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ใช่ อดทน เพราะมันเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที้เขาสามารถทำได้ในตอนนี้
เด็กหนุ่มเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้มันไม่มีอะไรให้มองนอกเหนือจากความมืด ภาพใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากที่เป็นเพียงรอยแยกบาง ๆ กำลังแสยะยิ้ม และดวงแดงก่ำโชนแสงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวสมองของมัลฟอยราวกับภาพฉาย เสียงหัวเราะแหลมสูงและเยือกเย็นของจอมมารยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้อยคำสุดท้ายที่จอมมารพูดกับเขา
“ส่วนภารกิจที่เจ้าจะได้รับมอบหมายก็คือ สังหารอัลบัส ดัมเบิลดอร์!”
มัลฟอยหลับตาลงอย่างสับสน หน้าที่ที่จอมมารมอบหมายให้เขานั้นช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก และมันก็เกินกำลังความสามารถที่เขาจะทำได้ ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการประทับตรามารแล้วก็ตาม แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กอายุ 16 เท่านั้น แล้วเขาจะเอาอะไรไปต่อกรกับพ่อมดที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้เล่า ขนาดจอมมารเองก็ยังเกรงกลัว อัลบัส ดัมเบิลดอร์ไม่ใช่รึ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเป็นคนที่สังหารดัมเบิลดอร์ได้
................................................
“เจ้าไม่ต้องกลัวหรอกเดรโกว่าข้าจะให้เจ้าทำภารกิจนี้เพียงลำพัง” จอมมารพูดขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าของมัลฟอย หลังจากที่เขาได้รับรู้ว่างานชิ้นแรกที่เขาได้รับมอบหมายคืออะไร
“ข้าได้คัดเลือกผู้เสพความตายอีกหลายต่อหลายคนที่จะมาคอยช่วยเหลือเจ้า พวกเขาจะฟังคำสั่งของเจ้าเป็นอย่างดีทีเดียว แต่ก่อนอื่นเจ้าจะต้องหาทางพาพวกเขาเข้าไปในโรงเรียนให้ได้เสียก่อน โดยไม่ให้ใครรู้” จอมมารเน้นประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน
“แต่...แต่ข้าจะทำได้อย่างไรกันเจ้านาย ในเมื่อฮอกวอตส์มีการคุ้มกันที่แน่นหนา บางทีหลังจากที่ข้ากลับเข้าไปที่โรงเรียน ดัมเบิลดอร์อาจจะเพิ่มการคุ้มกันภายในปราสาทอีกเป็นเท่าตัวก็ได้” มัลฟอยแย้ง
“ถึงจะมีการคุ้มกันมากกว่านั้นเป็นสิบเท่า เป็นร้อยเท่า แต่นั่นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องพาลูกสมุนของข้าเข้าไปในโรงเรียนเพื่อสังหารดัมเบิลดอร์” จอมมารพูด
“แต่เจ้านาย ข้าคิดว่า.....”
“ไม่มีคำว่าแต่ทั้งนั้น!” จอมมารตวาดก้อง นัยต์ตาสีแดงก่ำจับจ้องที่ใบหน้าของมัลฟอยก่อนจะแสยะยิ้ม
“ข้ามอบหมายงานสำคัญขนาดนี้ให้เจ้าแล้วนะเดรโก” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงละมุนละม่อม ต่างกับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “การสังหารดัมเบิลดอร์เป็นงานสำคัญที่ผู้เสพความตายทุกคนต่างแย่งชิงกันเพื่อจะได้รับหน้าที่นี้ แต่ข้ากลับเสนองานนี้ให้เจ้าง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่มีผู้เสพความตายคนอื่นที่เก่งกาจกว่าเจ้า มีฝีมือเหนือกว่าเจ้า และมีประสบการณ์มากกว่าเจ้า....”
“แต่ที่ท่านมอบหมายงงานชิ้นนี้ให้ข้าก็เพราะมีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปที่ฮอกวอตส์ได้อย่างเปิดเผย” มัลฟอยพูดขึ้น ผู้เสพความตายที่ยืนรายล้อมอยู่ต่างมองเขาอย่างตกใจ ไม่มีผู้เสพความตายคนไหนกล้าพอที่จะมาต่อปากต่อคำกับจอมมารเฉกเช่นเด็กหนุ่มคนนี้
แต่น่าแปลกที่จอมมารกลับไม่โกรธเกรี้ยวอย่างที่เขาควรจะเป็น แต่เขากลับแสยะยิ้ม! และมันก็เป็นยิ้มที่เยือกเย็นที่สุดเท่าที่เดรโก มัลฟอยเคยเห็นมา
“เจ้าคงลืมไปสินะว่าข้ามีลูกสมุนคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ภายในกำแพงฮอกวอตส์ ความจริงคน ๆ นั้นก็ว่างเว้นจากการเป็นลูกสมุนของข้ามานานทีเดียวตั้งแต่ข้าหมดอำนาจไป” จอมมารพูดอย่างเป็นปริศนา มัลฟอยขมวดคิ้วอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ
“เจ้านาย ท่านหมายถึง....เขา”
“ใช่แล้วเดรโก แล้วเขาก็จะเป็นคนคอยช่วยเหลือเจ้าระหว่างที่เจ้าอยู่ที่ฮอกวอตส์”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านจึงต้องมอบหมายงานนี้ให้กับข้า ทำไมถึงไม่ให้เขาเป็นคนทำในเมื่อเขาอยู่ข้างกายดัมเบิลดอร์ตลอด เขาสามารถลงมือได้ง่ายกว่าข้านับร้อยเท่า” มัลฟอยถามอย่างสงสัย
“ทำไมน่ะรึ” จอมมารทวนคำพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก “ก็เพราะว่าเจ้าคือลูกชายคนเดียวของลูเซียสน่ะสิ เดรโก” จอมมารเอ่ย “ที่พ่อของเจ้าทำงานของข้าพังนั่นน่ะ ข้ายังไม่ลืมมันไปง่าย ๆ หรอกนะ และพ่อของเจ้าก็โชคดีมากด้วยที่ถูกจับไปเข้าคุกเขาจึงรอดพ้นจากโทษทัณฑ์ของข้าไปได้” จอมมารพูดอย่างโหดเหี้ยม
“แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ลูเซียสก็อยู่ในคุกแล้ว เขาไม่อาจทำงานรับใช้ข้าไปอีกต่อไป แต่เจ้าที่เป็นลูกชายของเขาสามารถรับใช้ข้าแทนเขาได้”
“ถ้าพ่อของข้าไม่ถูกจับเข้าคุก เขาจะได้รับโทษทัณฑ์อันใดหรือเจ้านาย” มัลฟอยถาม แต่จอมมารกลับไม่ตอบ เขาเพียงแต่จ้องมองเด็กหนุ่มก่อนจะพูดขึ้นมา
“สำหรับบรรดาลูกสมุนของข้านั้น งานที่ได้รับมอบหมายให้ทำถือว่าสำคัญยิ่งชีวิต ยิ่งงานนั้นมีความสำคัญต่อข้ามากเพียงไร ความดีความชอบที่จะได้เมื่องานสำเร็จก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในกรณีของเจ้า เดรโก ถ้าเจ้าทำงานที่ข้ามอบหมายสำเร็จด้วยดีเจ้าก็จะได้รับความชอบมากกว่าที่ลูกสมุนของข้าคนไหนเคยได้รับมา” สิ้นเสียงของจอมมารผู้เสพความตายทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองเดรโก มัลฟอยอย่างตกตะลึง แววตาทุกคู่ที่จ้องมองเด็กหนุ่มนั้นล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
“แล้วถ้าข้าทำไม่สำเร็จล่ะ” มัลฟอยถามเสียงแผ่ว
“ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ............ข้าก็จะตอบแทนเจ้าด้วยความตาย” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม มัลฟอยมองสบดวงตาสีแดงราวกับเลือดของจอมมารอย่างหวาดหวั่น เด็กหนุ่มรู้สึกถึงเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลอาบแผ่นหลัง
จอมมารยิ้มมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าของมัลฟอย
“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกเดรโก” เขาแสร้งทำท่าทีอาทร “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายไปอย่างเดียวดายหรอกนะ หลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าแล้ว ข้าล่ะส่งคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเจ้าตามเจ้าไปด้วย เจ้าและพ่อแม่ของเจ้าจะได้ไปอยู่พร้อมกันในโลกหน้ายังไงล่ะ” พอจอมมารเอ่ยจบเสียงที่ดังขึ้นตามมาก็คือเสียงหัวเราะที่แหลมสูงและเยือกเย็นจนมัลฟอยขนลุก!
..
มัลฟอยลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาใช้มืออีกข้างลูบบริเวณท้องแขนที่เพิ่งได้รับการประทับตรามาร เด็กหนุ่มรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่เคยมีนั้นเริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ความสับสนของเขานั้นยังไม่จางลงไปแม้แต่น้อย เขาไม่รู้เลยว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นที่ตรงไหนก่อน เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาจะทำงานนี้สำเร็จหรือไม่
เขาต้องทำได้สิ เขาต้องทำมันให้สำเร็จ มัลฟอยบอกตัวเอง เพราะถ้าไม่เช่นนั้นทั้งตัวเขาและครอบครัวก็คงจะต้องถึงจุดจบเป็นแน่
‘ แต่ถ้านายทำลงไปแล้วนายก็จะต้องเป็นฆาตกรนะ และเมื่อถึงตอนนั้นนายก็จะไม่มีวันวันถอยหลังกลับได้อีกแล้ว ’ เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นภายในหัวของมัลฟอย เสียงที่เตือนให้เขานึกถึงความผิดชอบชั่วดี
‘ แต่ฉันไม่มีทางเลือกนี่! ถ้าฉันไม่ทำฉันก็จะถูกฆ่า! ’ มัลฟอยเถียงกลับไป
‘ แต่ถ้านายทำไม่สำเร็จนายก็จะถูกฆ่าอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ’ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ‘ ถึงยังไงนายก็ต้องถูกฆ่าอยู่ดี เพราะนายไม่มีวันทำสำเร็จ นายไม่มีวันฆ่าดัมเบิลดอร์ได้ ’
‘ ฉันต้องทำสำเร็จสิ! ฉันต้องทำมันให้ได้ ยังไงฉันก็จะไม่ยอมให้พ่อกับแม่ต้องตายเพราะฉันหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะต้องกลายเป็นฆาตกรก็ตาม! ’ มัลฟอยเถียงกลับอย่างเด็ดเดี่ยว
‘ แล้วถ้าถึงตอนนั้นนายคิดว่า ‘ เธอ ’ จะยอมให้อภัยนายเหรอ ’ มันใช้ไพ่ใบสุดท้าย และได้ผลตามคาด มัลฟอยถึงกับนิ่งอึ้งได้ยินเช่นนั้น แววตาสีเงินที่เคยดูเด็ดเดี่ยวแปรเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดูสับสนอีกครั้ง
‘ ถ้านายฆ่าดัมเบิลดอร์ล่ะก็ เธอคงไม่มีวันให้อภัยนายแน่นอน อย่าว่าแต่ให้อภัยเลย ถ้านายทำมันลงไปจริง ๆ เธอก็จะเกลียดนายไปตลอดชีวิต ’ เสียงเล็ก ๆ นั้นย้ำที่ประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน แต่มัลฟอยไม่มีท่าทีรับรู้ถึงอะไรทั้งนั้น เขาได้แต่เหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“ช่างมันเถอะ” เด็กหนุ่มพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับต้องการให้มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
“ถึงเธอจะเกลียดฉัน หรือจะไม่ยอมให้อภัยฉันก็ช่าง......” เสียงของมัลฟอยขาดหายไปเพียงเท่านั้น ไม่มีถ้อดคำใดเล็ดรอดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มอีกเลย แต่ถึงอย่างไรมัลฟอยก็รู้ดีว่าเขาต้องการจะพูดอะไรต่อไป เพียงแต่เขาตัดสินใจที่จะไม่พูดมันออกมาเท่านั้น
‘ ถึงเธอจะไม่ให้อภัยฉันก็ช่าง......แต่ฉันก็ยังจะรักเธออยู่ดี ’
*************************************************
ความคิดเห็น