[WF Contest] ]ล่ากวางทมิฬ - [WF Contest] ]ล่ากวางทมิฬ นิยาย [WF Contest] ]ล่ากวางทมิฬ : Dek-D.com - Writer

    [WF Contest] ]ล่ากวางทมิฬ

    สงครามกินรกระชั้น เจ้าชายสองคนจึงออกล่ากวางทมิฬ เพื่อปรุงเป็นเสบียงให้แก่กองทัพตามคำสั่งของราชินี เมื่อเจ้าชายคนหนึ่งตาบอด อีกคนแขนใช้ไม่ได้ การล่าสัตว์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    73

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    73

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ม.ค. 58 / 05:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องทุลักทุเลต้องเกิดขึ้น เมื่อเซอร์แห่งคอร์นวอลล์ กับเซอร์แห่งเฮยส์ต้องต่อสู้กันเพื่อจะได้แต่งงานกับราชินีเอนอรา...

    ราชินีเอนอราผู้สามารถชดใช้หนี้ในอาณาจักรเฮยส์ให้หมดสิ้น และผู้เป็นที่รักของคริสโตเฟอร์แห่งคอร์นวอลล์เมื่อครั้งยังเยาวฺ์

    เรื่องราววุ่นเมื่อสองคนต่อสู้กันไม่มีใครแพ้ชนะ คนนึงแขนซ้ายพัง อีกคนตาบอดไปชั่วครู่ ทั้งคู่ต้องแข่งขันกันในการเดินทางข้ามผ่าแม่มด เพื่อล่ากวางทมิฬ ผู้ใดที่สามารถปรุงอาหารเลี้ยงกองทัพจนสงครามจบได้

    เดินทางไปในอาณาจักรเอนอรา ป่าแม่มด และทุ่งหญ้าทมิฬ เพื่อพบกับแฟนตาซีสุดหฤหรรษ์ได้ ณ บัดนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ฝนกำลังตกกระหน่ำลงมา

      เซอร์ คริสโตเฟอร์ คอร์นเวลล์แผดเสียงคำราม หวังให้คู่ต่อสู้ยำเกรง เสียงของเขาไม่อาจสู้เสียงฟ้าคำรน อีกทั้งยังแหบแห้งด้วยความเมื่อยล้า เขารู้สึกถึงเสื้อเกราะทองผสมอันเป็นที่เลื่องชื่อของเขาหนักอึ้งขึ้นทุก ครั้งที่ตวัดดาบ ควันขาวโรยออกจกลมหายใจของนักรบฉกรรจ์ ซี่โครงของเขาปวดแปลบจากการหายใจที่เร็วถี่ น้ำซึมเต็มหนวดสีดำสนิท จนหายใจแล้วมีน้ำเข้าไปด้วย ที่ปลายจมูกเหนือผ้าปิดปากมีรอยมีดเฉือน เลือดนั้นแห้งกรังไปแล้ว แต่แผลยังบวมเป่งน่ากลัว ดวงตาสีสนิมของเขาเต็มไปด้วยความคั่งแค้น

      “ตายซะ แฮ่ก... ไอ้เจ้า... เฟอร์เร็ตหน้าโง่”

      เซอร์คอร์นเวลล์ตวัดดาบสองมือเป็นรัศมีมรณะด้วยกำลังที่แผ่วล้าลง แต่ใจยังไม่ยอมแพ้

      คู่อริของ เขา เซอร์ทริสทัน เฮยส์นั้นสวมเกราะถักจากเส้นหนังกวาง ยามหลบหลีกจึงคล่องแคล่วพลิ้วไหว หากก็ช้าลงทุกขณะเช่นกัน เมื่อตีลังกาหลบ ปลายดาบใหญ่ของเซอร์คอร์นเวลล์นั้นเฉือนชายเกราะหนังขาดปลิวลงสู่พื้นที่ เปียกชุ่ม ร่างเพรียวบางและคล่องแคล่วของเขาคล้ายกับหนูคอยาวดังที่เซอร์คอร์นเวลล์ได้ ปรามาสไว้ไม่มีผิด ผมสีทองบัดนี้เลอะโคลน มีน้ำรินไหลแนบหน้า ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้มีรอยช้ำจากด้ามดาบที่ฟาดเข้าใส่โหนกแก้มหมายปลิดชีวิต มีดคู่ที่ถืออยู่ในมือเป็นประกายในแสงสลัวรางเหมือนเขี้ยวงูเห่า

      “แฮ่ก... อึ่ม... ท... ท่านนั่นแหละ ท่านหมีควาย ยอมแพ้ซะที แล้วยกเอนอราให้เป็นคู่หมายของข้า”

      เสียงของทริสทันเฮย์นั้นแข็ง เนื่องจากริมฝีปากและลมหายใจของเขาได้เป็นน้ำแข็งไปแล้วในสายฝนเย็นเยือก

      เซอร์ คอร์นเวลล์และเซอร์เฮยส์นั้นได้ต่อสู้กันเพื่อมือของราชินีเอนอราตั้งแต่ ตะวันรุ่งจนบ่ายคล้อย ยามนี้หากฝนไม่ตกกระหน่ำ ตะวันก็คงราแรงแล้ว ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะระหว่างนักรบทั้งสอง ผู้ได้ฉายา อสูรทองคำ และเงาอสรพิษ ราชินีจำต้องเดินทางกลับวังไปสะสางงานเมืองที่คั่งค้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาหารขาดแคลนในต้นฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็นเกินธรรมดา และเหล่ากินรที่บุกมาเช่นนี้

      “อากาศ... ฮั่ก... ชักเย็นเสียแล้ว เจ้า...สวมเพียงเสื้อถัก ไหนเลยจะสบายตัว ย-ยอมแพ้เถอะทริสทัน เฮยส์ เจ้าจะหน-หน-หน-หนาวตาย”

      มือของเซอร์คอร์นเวลล์ชักปวดปลาบจากการถือดาบยักษ์เป็นเวลานาน แขนในเสื้อเกราะสั่นกึงกัง ดาบบ้านั่นหนักเท่าหญิงสาวสักสองคนได้

      “อากาศหนาวเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาของ... ของ... ฮัดเช้ย!” เซอร์เฮยส์พูด รู้ตัวว่าชักพูดไม่ได้ความเสียแล้ว จึงหยุดเสีย ในหน้าของเขาแดงขึ้นในความหนาว

      “ตาย” เขาตัดสินใจพูดอีกคำหนึ่ง ก่อนควงมีดทั้งสองข้าง พุ่งปราดเข้าสู่ร่างล่ำสันของเซอร์คอร์นเวลล์ เมื่อเซอร์คอร์นเวลล์เห็นเช่นนั้น เขาก็เหวี่ยงดาบทิ้ง แล้วม้วนถุงมือเหล็กเป็นกำปั้น

      ฉึก ผัวะ!

      ดาบซ้าย เสียบผ่านช่องว่างในเกราะเฉียดข้อศอกของเซอร์คอร์นเวลล์ไปเล็กน้อย กำปั้นเหล็กเหวี่ยงจากสองข้างใส่กระหม่อมของเซอร์เฮยส์เข้าเต็มที่ ร่างเพรียวบางของเซอร์หนุ่มจึงพับอ่อนลงในทันใด

      “ข-ข-ข -ข้าช-ช-ช-ชนะแล้ว” เจ้าชายแห่งคอร์นเวลล์โห่ร้องด้วยความดีใจ แต่ภาพตรงหน้าเขากับพร่ามัวขึ้นทุกขณะ ไอ้เฟอร์เร็ตขี้โกงนั่นคงใส่อะไรไว้ในมีด

      ยาพิษ

       

      “เซอร์คอร์นเวลล์ฟื้นแล้วค่ะ ขอบคุณพระผู้สร้าง”

      คริสโตเฟอร์ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ทุกอย่างที่เขามองเห็นกลายเป็นภาพหมุนวนใต้น้ำ เตียงที่เขานอนอยู่ก็โคลงเคลงไปมา เขารู้สึกอยากอาเจียน แต่แขนขาก็หนักเหมือนตะกั่ว

      นางพยาบาลชรายิ้มให้เขา วางผ้าเย็นๆ ลงบนหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน “พักผ่อนก่อนนะคะ”

      “การประลอง...” คริสโตเฟอร์พึมพำ “ข้าชนะ ข้าชนะการประลองใช่ไหม” เขาถาม “ข้าจะได้แต่งงานกับราชินีเอนอรารึเปล่า”

      เสียง หัวเราะสดใสดังมาจากข้างๆ เตียงของคริสโตเฟอร์ เจ้าชายหนุ่มพยายามฝืนกำลังยกหัวขึ้นอย่างลำบาก เมินอาการเจ็บแปล๊บราวกับมีคนแคระมาทุบกึงๆ อยู่ในหัว เพื่อจะเห็นเจ้าเฮยส์นอนอยู่ผมสีทองสลวยถูกโกนออกไปบางส่วน บนหัวมีผ้าพันรอบ เมื่อดวงตาสีฟ้าใสหันมาพบกับคริสโตเฟอร์ เฟอร์เร็ตขี้โกงก็พูด

      “ราชินีตัดสินให้เสมอกันต่างหากเล่า เพราะเราต่างก็สลบไปทั้งคู่”

      เจ้าชายจากคอร์นเวลล์ขมวดคิ้ว “แต่ข้าสลบไปทีหลังเจ้า”

      เจ้าชายจากเฮยส์ยิ้มรับ “นั่นสินะ นี่ออกจะต่างกับการประลองทั่วไป เอนอราต้องมีใจให้ข้าแน่ๆ”

      “เจ้านี่ มัน...” คริสโตเฟอร์เคี้ยวฟัน เขาพยายามยันตัวลุก แต่ก็รู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กๆ หลายร้อยเล่ม ทิ่มไปทั่วแขนและปลายนิ้ว “มีดของเจ้าอาบยาอะไร”

      “ยาลดกำหนัด ต่อไปนี้เจ้าจะแสดงความรักกับหญิงใดไม่ได้อีกต่อไป”

      คริสโตเฟอร์อ้าปากหวอ ใบหน้าเผือดซีด และค่อยๆ แดงก่ำเมื่อเจ้าชายแห่งเฮยส์หัวเราะเสียงใส ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อเจ็บแผล

      “ท่าน เชื่อ” ไอ้เฟอร์เร็ตว่าหน้าตายิ้มระรื่น “พระผู้สร้าง ท่านเชื่อ ท่านจะบ้าหรือยังไง เฮยส์มีแต่ทองกับถั่ว กำลังทหารน้อยจะตาย ขืนข้าไปเที่ยวตัดทายาทโจรคนนั้น ดยุคคนนี้ เจ้าชายอวดดีคนโน้นไปทั่ว มีหวังปราสาทของพ่อข้าได้กลายเป็นกองอิฐ มีแต่เด็กเล็กๆ กับคนไม่รู้จักคิด ที่เชื่อเรื่องเหลวไหล”

      “ไอ้...” อสูรทองคำหน้ามืดด้วยความโกรธ “ฉันจะบิดแขนนายให้ขาดสักข้าง กลายเป็นงูเขี้ยวหักไปซะ”

      เซอร์ทริสทัน เฮยส์เงยหน้ามองเพดานนิ่งๆ “ทำไปแล้ว”

      ความเย็น วิ่งไปตามสันหลังของเจ้าชายหนุ่ม “เจ้าหมายความว่ายังไง” เจ้าชายแห่งคอร์นเวลล์ลุกจากเตียงท่ามกลางเสียงประท้วงของพยาบาล ชุดคนป่วยสากระคายบนอกของเขา เขาเดินกะเผลกไปกระชากผ้าห่มของฝ่ายตรงข้ามออก

      มือทั้ง สองข้างของเจ้าชายทริสทันวางอยู่อย่างสงบในเตียง ไอ้เฟอร์เร็ตเงยหน้ามองเขายิ้มๆ ก่อนจะใช้มือขวาอ้อมไปหยิบมือซ้ายออกมาให้คริสโตเฟอร์ดู มันอ่อนปวกเปียกราวกับใบไม้

      “แรงกระแทกจากกำปั้นทองคำของท่าน... ทำให้แขนซ้ายของข้าขยับไม่ได้เสียแล้ว ก็ไม่ต่างจากการบิดแขนให้ขาดเลยนี่”

      คริสโตเฟอร์ รู้สึกถึงเหงื่อที่ผุดออกมาจากหน้าผากของเขา เจ้าชายถอยไปนั่งที่เตียงของตัวเอง แม้จะนึกประหัติประหารอีกฝ่ายเพื่อมือของราชินี เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาทำร้ายคนคนหนึ่งไปเสียแล้ว

      เสียง หัวเราะน่ามั่นไส้ยังดังมาอีก “พยาบาลบอกแล้ว ว่าข้าจะหายในสองสามสัปดาห์ หรือเมื่อเส้นประสาทกลับไปเลี้ยงมือเพียงพอ เช่น เมื่ออยู่ในสถานะเสี่ยงตาย” ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายหยอกล้อ “ท่านหมีควายทำเหมือนเป็นห่วงข้า”

      ในขณะนั้น เอง ทหารคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องพักออกมา ดวงตายาวชั้นเดียวของเธอประกาศ “ราชินีต้องการพบพวกท่าน เรื่องของการเลือกคู่ ณ บัดนี้”

       

      ห้องโถง ของราชินีเอนอราทอดยาว ประดับด้วยธงสีม่วงขลิบทอง แสงตะวันส่องออกมาที่พรมลาดสีม่วงสลับเขียวราวกับโถงนี้ลาดไปด้วยทุ่งลาเวน เดอร์ แม้ในยามปลายหนาวย่างเข้าใบไม้ผลิ ที่ข้างนอกมีแต่หิมะและโคลน

      เอนอรา อยู่ในอาภรณ์อันงดงาม นั่งอย่างสง่า อยู่ที่บรรลังก์ทับทิมสุดปลายโถง เธอมีเส้นผมเป็นลอนคลื่นสีน้ำตาล ต้องแสงตะวันเหมือนน้ำลำธารในป่า

      บัดนี้ เจ้าชายทั้งสองยังอยู่ในชุดผู้ป่วย ผ้าทูนิคหลวมๆ เย็บอย่างง่ายคลุมจากไหล่และยาวเรี่ยเข่า ทั้งสองไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะทหารคนนั้นนำตัวมาในทันที

      “ท่านเซอร์ทั้งสองยืนขึ้นเถิด”

      คริสโตเฟอร์ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ด้วยความสูงใหญ่ ทำให้เสื้อพยาบาลนั้นคับ และคลุมเพียงแค่ครึ่งต้นขาของเขาเท่านั้น เมื่อไม่มีเกราะทองคำคอยคุ้มครอง เขารู้สึกโล่งเปล่าและอ่อนแอยิ่งนัก

      “สดุดีราชินี” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

      “เรามี ธุระจะให้ท่าน” ราชินีเอ่ยด้วยเสียงใสเสนาะ เรียบเรื่อย หากเย็นไม่แพ้อากาศข้างนอกในเวลานี้ “เป็นธุระที่สำคัญต่ออาณาจักรยวดยิ่ง หากผู้ใดสามารถทำได้ดีกว่าอีกฝ่าย...” ราชินีทอดตาสีอำพันมองบุรุษทั้งสอง และคริสโตเฟอร์รู้สึกหนาวเหน็บเมื่อถูกพิจารณาจากราชินีคนงาม... เขารู้สึกเหมือนเป็นสินค้าชิ้นหนึ่ง “เราจะยอมแต่งงานด้วย เพราะจะแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นวีรบุรุษที่สามารถกอบกู้อาณาจักรของเราได้”

      นี่ไม่ใช่เอนอราที่เขารู้จัก เด็กหญิงจากวัยเยาว์ของเขาช่างร่าเริงและสดใสเหมือนฤดูร้อน

      “เป็นสิ่งใดที่น้องหญิงต้องการ พี่จะหามาจงได้” ไอ้เฟอร์เร็ต ทริสทัน กล่าวขึ้น

      “เราไม่ ชอบให้ท่านเรียกเราเช่นนั้น” ราชินีตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แม้พวกท่านแลดูเหมาะสมที่จะผลิตรัชทายาทให้แก่เรา แต่อย่าคิดบังอาจเถลิงอำนาจขึ้นเป็นราชา หนึ่งในพวกท่านจะเป็นเพียงสามีของราชินีเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งจะเป็นชายผู้ปราศจากความสำคัญเช่นเดิม”

      เซอร์ คอร์นเวลล์เม้มปาก เศร้าใจที่เด็กหญิงคนนั้นหายไปแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องการแต่งงานกับราชินี เพื่อปลุกเด็กหญิงคนเดิมให้กลับคืนมาเป็นเพื่อนเขาอีกครั้งหนึ่ง

      “เราจะให้ ท่านไปล่ากวางมาให้เราตัวหนึ่ง” ราชินีพูด และเซอร์เฮยส์แย้มยิ้ม สายตาสีฟ้าบ่งบอกความมั่นใจเต็มที่ ราชินีเอ่ยต่อไป “กวางตัวนี้คือกวางทมิฬ เราอยากให้ท่านนำมาเป็นเสบียงให้กองทัพ”

      คริสโตเฟอร์มองเห็นร้อยยิ้มละลายร่วงลงจากใบหน้าเฟอร์เร็ตจอมเจ้าเล่ห์ เขาเองก็มองกลับไปยังราชินีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

      กวางทมิฬ คือกวางปิศาจที่อยู่ในทุ่งหญ้าพ้นป่าแม่มดออกไป มีแต่นายพรานน้อยคนที่รอดชีวิตกลับมาเท่าถึง กวางทมิฬแต่ละตัวสูงเท่ายอดไม้ มีเขี้ยวบดที่สามารถบดต้นไม้ใหญ่ให้แหลกลงได้ ขาทั้งสี่ทรงพลัง และยังมีเขาแหลมคม การจะฆ่าสักตัวถือว่ายากแล้ว แต่การนำกวางทมิฬทั้งตัวกลับมาปรุงอาหารให้กับคนทั้งกองทัพนั้นแทบจะเป็น เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

      “ท่านจะ ปรุงมันในวิธีใดก็ได้” ราชินีเอนอราเอ่ยต่อ เพิกเฉยต่อสีหน้าตกตะลึงของเจ้าชายทั้งสอง “ขอให้เนื้อกวางนี้เก็บได้นานและเป็นอาหารให้กองทัพจนกว่าจะชนะสงครามกินร ไม่บูดเสียไปก่อน เราขอเพียงเท่านี้ ได้หรือไม่”

      “ได้” ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วค้อมลง

      “เซอร์เฮยส์ แขนของท่านเป็นอะไร” ราชินีถามขึ้น

      “ในการ ประลองกับท่านเซอร์คอร์นเวลล์ ข้าพ่ายถ้าจนเส้นประสาทได้รับบาดเจ็บ อีกสัปดาห์ก็หาย ท่านราชินี” เฟอร์เร็ตพูด แกว่งแขนอ่อนแรงไปมาให้ดู “กว่าจะถึงทุ่งหญ้าทมิฬ ข้าก็คงสามารถใช้แขนได้แล้ว”

      เอนอรานิ่งไปอึดใจหนึ่ง

      “เช่นนี้ การแข่งขันก็ไม่ยุติธรรม ข้าต้องการให้เจ้าไปถึงกวางทมิฬเร็วกว่านั้นด้วย เราจะต้องทำให้เซอร์คอร์นเวลล์ใช้แขนข้างหนึ่งไม่ได้เช่นกัน”

      พระผู้ สร้างช่วยด้วย อาจจะเป็นเพราะยาพิษของเฟอร์เร็ต แต่คริสโตเฟอร์รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หากเขาใช้แขนข้างหนึ่งไม่ได้ ดาบสองมือคู่ใจของเขาก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

      “ทำอย่างนั้นยังไม่ยุติธรรมนะฝ่าบาท” เขาพูดเสียงก้อง “อาวุธของข้าต้องใช้สองมือ อาวุธของ—ของเซอร์เฮยส์ ใช้มือเดียวก็ถือได้”

      “ถ้าอย่างนั้น” เอนอรากล่าว “เจ้าจะต้องถูกลดความสามารถอย่างหนึ่งแทน จะเป็นอะไรดี เซอร์คอร์นเวลล์”

      ร่างกายใน ผ้าฝ้ายของคริสโตเฟอร์สั่นเทิ้ม ไม่มีรอยยิ้มสมใจจากเฟอร์เร็ตเลย เจ้าชายแห่งเฮยส์มองหน้าเขากับราชินีสลับกันด้วยท่าทางสยดสยองแทบปิดไม่อยู่

      เขาไม่สามารถเสียความรู้สึกที่มือหรือขาข้างใดข้างหนึ่งไปได้ เพราะถ้าเช่นนั้นอาวุธก็จะใช้ไม่ได้เลย ถ้าเช่นนั้น...

      “เร็วสิ เรามีธุระอื่น” เอนอรากล่าวอย่างเฉียบขาด

      “ข้าขอสละ สายตาของข้าเจ็ดวัน เท่ากับวันที่คาดว่าเซอร์เฮยส์จะสามาถใช้งานแขนได้” คริสโตเฟอร์ตอบ พยายามไม่ให้เสียงของเขาสั่น เจ็ดวันที่ตาบอดในป่าแม่มด เขาอาจจะไม่รอดชีวิต แต่เมื่อตอนฝึกสอนเป็นอัศวิน คริสโตเฟอร์ก็เคยถูกครูฝึกใช้ผ้าปิดตา เพื่อฝึกประสาทสัมผัสด้านอื่นๆ ของเขา เวลาทั้งวันในวันนั้น เขาถือดาบเปลือย ปิดตาเดินไปมาในปราสาท ทั้งกินอาหาร สามเสื้อเกราะ ฝึกซ้อม อาบน้ำ จวบจนเข้านอน วันต่อมา ครูฝึกจึงอนุญาตให้นำผ้าปิดตาออก

      วันนั้น เป็นวันที่ยาวที่สุดในชีวิตเจ้าชายหนุ่ม หากล้มหรือพลาดแม้แต่นิดเดียว ดาบที่ทั้งหนักทั้งคมอาจจะฟาดใส่ใครเข้าจนบาดเจ็บหรือทำลายข้าวของเสียหาย

      นั่นก่อนที่เขาจะรู้ว่าครูฝึกผู้นั้นตาบอด ดวงตาสีครามไร้ความรู้สึกของครูดูปกติทุกประการ

      เอนอราอาจจะรู้หรือไม่รู้ในเรื่องนี้ แต่ดวงหน้าสลักเสลาของราชินีสาวไม่บ่งบอกสิ่งใด เธอร้องเรียกแม่มดของวังออกมา

      แม่มดในชุดคลุมสีขาวคนนั้นสูงแค่อกของคริสโตเฟอร์ และชรามาก ผมและคิ้วของเธอถูกโกนจนล้านเลี่ยน ดวงตาของเธอแฝงแววเศร้าระคนรำคาญ

      “หนุ่ม แน่น มีความสามารถ ทำไมถึงต้องมาเสี่ยงชีวิต นำไปสู้กับเหล่ากินรก็ได้แท้” หญิงชราพูด เธอจับมือที่ดูใหญ่โตของเขาเอาไว้ “ไว้ใจฉันไหมพ่อหนุ่ม”

      “ข้าไว้ใจท่าน จอมเวท” คริสโตเฟอร์พูด

      หญิงชราส่ายหน้า ยิ้มจนเห็นเหงือกสีชมพู “คิดผิดแล้วล่ะ”

      โลกของ คริสโตเฟอร์มีแต่ความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างหรือสีสันได้อีกต่อไป รู้สึกถึงมืออันเล็กและเหี่ยวย่นของแม่มด ที่ค่อยๆ ละจากมือของเขา จนเหลือเพียงความว่างเปล่ารายล้อม

      ===

      นี่มันไม่ยุติธรรมสิ้นดี เซอร์ทริสทัน เฮยส์คิด

      หากว่าเขา ชนะการแข่งขันครั้งนี้ ก็เท่ากับว่าเขาชนะคนตาบอด ถ้าเขาแพ้จากการแข่งขัน... ก็เท่ากับเขาแพ้คนตาบอด เท่ากับว่ามีแต่เสียกับเสีย

      แต่ก็ต้อง ยอมรับ ท่านหมีข้าวโพดเก่งจริง แม้จะดูมึนงง และเดินเปะปะเข้ากรอบประตูสักครั้งสองครั้ง แต่เมื่อได้ไม้เท้าคนตาบอดมาจากคนใช้ของเอนอรา เจ้าชายร่างยักษ์ก็เดินกลับมาที่ห้องพยาบาลได้อย่างปลอดภัยพลางบ่นพึมพำ เขาหลีกเลี่ยงผู้คนได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อเช้าขึ้น ทริสทันก็เห็นเซอร์คอร์นเวลล์ในชุดเกราะทองคำอันมีชื่อเสียงนั่งอยู่บนหลัง ม้าพร้อมดาบคู่ใจ และไม้เท้านำทางแล้ว

      ดวงตาของ คอร์นเวลล์มีหมอกสีขาวหมุนวนอยู่ ดูราวกับต้องคำสาป แต่จะว่าอย่างไรได้ ในเมื่อคอร์นเวลล์ถูกสาปจริงๆ แต่กระนั้นใบหน้าดุดันก็ยิ่งดูน่ายำเกรง แทนที่จะอ่อนแอ

      หนวดดำครึ้ม นั่นคงช่วย น่าเสียดาย ทริสทันเองไว้หนวดไม่เคยสำเร็จเอาเสียเลย

      ทริสทันสง สารคอร์นเวลล์ไม่น้อย เขารู้ว่าคอร์นเวลล์และราชินีนั้นเคยเป็นเพื่อนเล่นสนิทสนมกันมาแต่เด็ก แต่เขาต้องการกองทัพจากเอนอรามาช่วยเสริมการป้องกันต่อกินรจากทางฝั่งเขา ทองของตระกูลเฮยส์ร่อยหรอไปกับการสร้างประการสูงหนา จนกระทั่งได้เรียนรู้ทีหลังว่า เหล่ากินรนั้นบินได้ เพราะเจ้าที่ปรึกษาหน้าโง่นั่นแท้ๆ

      เพราะฉะนั้น เขาจะต้องชนะการแข่งขันครั้งนี้ ถึงเขาจะกลัวผู้หญิงอย่างเอนอรามากแค่ไหนก็ตาม

      “ข้าไม่ นึกว่าท่านจะรอข้าไปด้วยกันอย่างสหาย” ทริสทันร้องทักออกไปก่อน และเจ้าชายแห่งคอร์นวอลล์ก็หันมายิ้มให้เขา ดวงตาสีขาวขุ่นนั้นเหมือนมองมาถูกทาง

      “ข้ามองไม่เห็นทาง จะไปรู้ได้อย่างไร ว่าจะไปถึงป่าแม่มด ข้าก็ต้องรอเจ้าอยู่แล้ว”

      ทริสทันกระโดดขึ้นม้า และกวดม้าสุดฝีเท้า ขยับแส้ ม้าด้วยมือเดียวไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา หวังว่าชายตาบอดจะตามเขาไม่ทัน หากเมื่อออกจากเมือง ข้ามบ่อโคลน ทะเลสาบ แม่น้ำ จนถึงทุ่งหญ้าแคบๆ ชายป่า เขาก็ยังได้ยินเสียงควบฝีเท้าม้าตามมาติดๆ

      ขี่ม้าโดย ไม่ได้หยุดพักมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ในอรุณรุ่ง พวกเขาก็ถึงชายป่าแม่มด ป่านั้นรกจนม้าไม่สามารถไปต่อได้ ทริสทันจึงได้จูงม้าไปยังโรงนาใกล้ๆ เขาฝากม้าเอาไว้ที่นั่น และทานเสบียง ที่มีแอปเปิ้ลและชีสก้อนหนึ่ง สังเกตเมื่อคอร์นเวลล์ร้องหาผู้คุมโรงนา และฝากฝังม้าไว้อย่างดี

      เจ้าชาย หนุ่มแห่งคอร์นเวลล์เอียงหูฟังเสียง ขยับใบหน้าเข้าใกล้สิ่งต่างๆ และใช้ไม้เท้าประกอบกัน ดูคล่องแคล่วราวกับมีดวงตาเสียเอง ทริสทันได้แต่มองอย่างทึ่ง

      หลังจากฝากม้าแล้ว คอร์นเวลล์คว้าห่อเสบียง เดินช้าๆ มาที่ทริสทัน “เราจะไปกันรึยัง” เขาพูดพลางหยับขากระต่ายออกมาเคี้ยว

      “ข้าไม่ได้รอท่าน เซอร์คอร์นเวลล์ เราไม่ใช่ผู้ร่วมเดินทางกัน” ทริสทันตอบ

      หมีข้าวโพดส่งยิ้มน่าสยอง มีซากกระต่ายติดหนวดให้ “เรียกซะยาวเชียว ข้าไม่ได้ยินอย่างอื่น” เขาพูด “ข้าคริส”

      “ทริส”

      มือหนาหนักในเสื้อเกราะตบแขนขวาทริสทันเบาๆ ทำเอาเขาแทบทรุด

      “ไปกัน ทริส” ว่าแล้วคริสก็เดินใช้ไม้เท้านำเข้าป่าไป

                      ทริ สทันถอนหายใจยาวๆ ตั้งใจจะเดินไปอีกทาง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเขาไม่อาจปล่อยให้นักรบหนุ่มที่อาจกลายเป็นสามีราชินี เดินตกน้ำตายได้ ต่อให้หมีข้าวโพดที่เขตแดนไม่ใกล้น้ำเลยเกิดปาฎิหารย์ว่ายน้ำเป็น ก็คงจะโดนเกราะทองคำถ่วงจมน้ำตายอยู่ดี

                      ร่างเพรียวเดินตามหมีข้าวโพดตัวยักษ์ไป โดยมีแขนซ้ายห้อยต่องแต่งแกว่งตามไปติดๆ

       

                      ทริ สทันเดินมองอสูรทองคำอย่างละเหี่ยใจ เจ้าชายนักรบใช้ไม้เท้าเคาะรากไม้ก๊อกๆ แก๊กๆ ไม่ค่อยเป็นทิศเป็นทาง เดี๋ยวไหล่ในเกราะก็เกี่ยวพันเถาวัลย์ เดี๋ยวรองเท้าเหล็กก็ติดโคลน แต่ก็งึมงำ “นี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ ลมก็ย่อมพัดจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุ่งหญ้านั้นอยู่ทางทิศเหนือ เราก็เดินตรงกันข้ามกับลม”

                      เขามาถูกทางเรื่อยๆ ทริสทันที่เดินตามมีแผนทิศ ย่อมรู้ดี

                      เจ้า ชายแห่งเฮยส์เคยคิดจะประหารคริสมาก่อน หากเห็นเช่นนี้ก็ทำไม่ลง เขาเองก็ยังคิดโจทย์ที่เอนอราให้มาไม่แตกอีก... การนำกวางทมิฬตัวใหญ่ยักษ์ลากข้ามป่าแม่มดมาออกจะเป็นไปได้ยาก การทำไม่ให้มันบูดเสียนั้นยิ่งยากขึ้นอีก แล้วเรื่องของการทำให้กวางเป็นอาหารได้จนจบสงคราม นั่นก็เรื่องใหญ่อีกเรื่อง

                      กวาง ทมิฬตัวหนึ่ง เมื่อเก็บรักษาให้ถูกวิธี สามารถเลี้ยงคนคนหนึ่งได้สองปี ข้อนั้นทริสทันไม่ขัดแย้ง แต่หากเป็นทั้งกองทัพ เดือนหนึ่งจะถึงหรือไม่เขาก็ยังไม่แน่ใจ

                      ลมหยุดพัด เจ้าชายหมีบอดเริ่มใช้ทิศทางของแสงตะวันรำไรเป็นตัวบอก ด้วยการยื่นแขนซ้ายขวาออกแล้วตัดสินว่าทางไหนอุ่นกว่ากัน

                      นี่มันน่าอนาถสุดๆ

                      ป่า แม่มดนั้นไม่ทึบอย่างที่ทริสทันกังวล ไม้สูงแผ่กิ่งก้านพรางแสงแดดเบื้องบนไม่มีใบอยู่เนื่องจากฤดูกาล พื้นนั้นเป็นโคลนชื้นๆ มีหิมะปกคลุมเป็นหย่อมๆ กิ่งก้านคงพุ่มไม้หนามแผ่ออกหนาทึบ เว้นไว้แต่ทางเดินรางๆ ที่คงมีคนหรือสัตว์ถางเอาไว้ก่อนหน้า ลมหายใจของทริสทันกระจายเป็นไอขาว แสงตะวันเช้าสาดกระจายเป็นจุดเล็กๆ บนพื้นหิมะปนโคลน

                      “เรา โชคดีนะ ที่ยังเดินทางตอนนี้” เจ้าชายตาบอดเอ่ยมาจากข้างหน้าเขา “ถ้าเป็นหน้าร้อนละก็ เหล่าหมีตัวจริง... ไม่ใช่หมีควายมนุษย์อย่างข้า คงออกมาล่าสัตว์เป็นแน่ ไม่จำศีลอยู่ในถ้ำ”

                      ทริสทันทนไม่ไหว จึงถามไปจนได้ “นี่ท่านมีตาที่สามรึยังไง”

                      “ข้ามีครูสอนดาบตาบอด เขาฝึกข้าให้มองด้วยเสียง ลม และความร้อน...” ชายร่างยักษ์ตอบ ก้าวเอาๆ ไม่ระย่อต่อเกราะหนักเลยแม้แต่น้อย

                      “แดนคอร์นเวลล์คงรวยยิ่งนัก จึงสามารถซื้อตัวครูฝึกที่มีวิชาเก่งกาจเช่นนี้ได้”

                      “จนกรอบเลยต่างหาก ไม่อย่างนั้นคงหาครูฝึกที่ตาไม่บอดและสมประกอบกว่านี้ ทริส... เจ้าล่ะท...”

                      คริ สหยุดกลางคัน เขายืนอยู่กับที่ หันมาเอานิ้วจรดปากบอกให้ทริสทันเงียบ แล้วชี้ออกไป ดวงตาสีขาวขุ่นดูจริงจัง แต่ก็เลื่อนลอยและว่างเปล่า

                      ทริ สทันมองไปในทิศที่คู่แข่งชี้ ก็เห็นเพียงกองหญ้าแห้งใต้ร่มต้นเพลน ต้องประกายแดดเป็นสีเงินและทองดูสวยงาม แต่เมื่อจ้องดูอีกนิด ก็พบกับหมาป่าตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ ตัวของมันสูงประมาณตักของทริสทัน ดวงตาสีเงินจับจ้องมาที่พวกเขา

                      เขายิ้มให้คริสอย่างง่ายๆ “ท่านเจ้าชายช่างกล้าหาญ หมาป่าตัวเดียวก็หยุดท่านได้เสียแล้วหรือ”

                      เจ้าชายหนุ่มตัวหนักกว่าหมาสักสามเท่าหน้าเผือดสี รีบเอานิ้วแตะริมฝีปากแล้วส่ายหน้ารัวๆ

                      ทริ สทันหัวเราะเบาๆ กับท่าทางตื่นกลัวของอสูรทองคำ ตัวเขาเองผิวปากหวีดหวิว ควงมีดด้วยมือที่ถนัดช้าๆ “เข้ามาเลยหมาน้อย จุ๊ๆ หมาน้อย...”

                      หมา ป่าตัวนั้นร้องขึ้น เสียงร้องของมันแหลมสูง สั่นระรัว ฟังแล้วเหมือนเสียงหัวเราะของหญิงชรา เสียงร้องนั้นสะท้อนมาจากดงไม้ คาคบต้นไม้ใหญ่ แผงหญ้า และช่วงพุ่มไม้หนาทึบ ราวกับมีแม่มดนับร้อยพันกำลังหัวเราะเยาะเขา

                      “หมาป่าแม่มดไม่เคยมาทีละตัว ไม่เคยอ่านตำราเรอะ” คริสพูดขณะชักดาบยักษ์ออกจากฝัก

                      “ข้า มัวแต่อ่านตำราทูต การหว่านล้อม และการบริหาร ไม่อ่านนิยายปรำปราไร้ประโยชน์หรอกน่ะ” ทริสทันคิดถึงแขนซ้ายของเขาขึ้นมาจับใจ มือขวายกมีดในท่าเตรียมพร้อม กลืนน้ำลายเมื่อเห็นเขี้ยวเหลืองๆ เปียกสีแดงๆ ของพวกสัตว์

                      “ไหนบริหารไอ้พวกนี้ที่ซิ เจ้าชายเนี้ยบ” คริสกระซิบ

                      ราว กับส่งสัญญาณให้ เจ้าหมาป่าแม่มดตัวที่กล้าที่สุดก็พุ่งเข้าใส่ตัวที่มันคิดว่าอ่อนแอกว่า ก็คือทริสทัน... หมาป่าผู้น่าสงสาร ทริสทันตวัดมีดทีเดียวมันก็กระโจนกลับไปร่วมกับฝูง

                      แล้วหมาป่าอีกประมาณสิบหกตัวก็ตัดสินใจโจมตีพร้อมๆ กัน

                      “โธ่ เว้ย เพราะท่านแท้ๆ ข้าเลยมีแขนข้างเดียว” ทริสทันคำราม ออกแรงฟาดฟันหมาป่าให้ถอยไปห่างๆ โดยพยายามจัดตำแหน่งแขนข้างที่ขยับไม่ได้ให้อยู่ไกลๆ ปากคมๆ ของเจ้าหน้าขนพวกนี้

                      “การมีแขนข้างเดียวช่างลำบากยิ่งนัก เจ้าคงจะได้... เห็น... แขน แกว่งไปแกว่งมาแต่ไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ น่าสงสารเหลือเกิน” หมีข้าวโพดคำรามกลับ ดังกว่า หมาป่าสองตัวกำลังงับขาในเกราะทองผสมของเขา คริสจึงสะบัดมันออกไปอย่างไม่ไยดีแล้ววาดดาบเป็นรัศมีกว้าง แต่เจ้าพวกนี้กลับหลบได้คล่องแคล่ว การที่หมอนั่นมองอะไรไม่เห็นก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นมากนัก

                      ทริสทันหันกลับมาสังเกต หมาป่าแม่มดฝูงนี้มีประมาณสิบหกตัว เขาค่อยๆ ก้าวถอยหลัง หาจังหวะโจมตี จนหลังของเขาสัมผัสกับโลหะเย็นเฉียบ

                      ทริสทันจึงสังเกตว่าตอนนี้เขาและคริสหันหลังชนกันแล้ว ปกป้องกันและกันอยู่ในที

                      “ขอบใจนะ ที่ระวังหลังให้” คริสพูด เขาคงรู้จากความเบาของสัมผัส ว่าไม่ใช่หมาป่า

                      “ไม่ได้อยากช่วยหรอกนะ แต่ทำแบบนี้แล้วรอดง่ายกว่า” ทริสทันพูด เขาใช้ด้ามมีดทุบหมาอีกตัวจนถอยกลับไป  “ท่าทางมันจะโกรธนะ มีทางหนีจากมันโดยไม่ฆ่ารึเปล่า”

                      “ว่าอะไรนะ” คริสร้อง ฟาดดาบลงอีกที มันปักลงบนพื้นโคลนดังหนึบ “จะบ้าเหรอ พวกนี้ไม่หยุดสู้หรอกจนกว่ามันจะตาย”

                      หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ใช้เวลาอีกนิดหน่อยเพื่อจัดการเหล่าหมาป่า

                      แม้ การเหวี่ยงดาบจะช้าเกินสำหรับหมาป่า แต่คริสก็เสียบดาบลงกับพื้น เตะและต่อยหมาป่าใกล้ตัวในเกราะเหล็ก หมาตัวที่ทริสทันหันไปเห็นนั้นกระโหลกแบะไป ทริสทันเหวี่ยงมีดใส่ใต้คอหมาป่าแม่มดทีละตัวสองตัวจนหมด

                  ทริสทันมี แผลเพิ่มในแขนข้างที่ใช้ไม่ได้ เลือดออกพอซึมๆ ส่วนคริสนั้นไม่ถูกแตะต้องเพราะมีเสื้อเกราะ แต่ก็เหงื่อไหลท่วมด้วยความเหนื่อย การแกว่งดาบแต่ละทีของเขานั้นคงต้องใช้พลังมหาศาล

                  “ข้าได้ กลิ่นเลือด เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” คริสถาม เมื่อเตะหมาป่าตัวสุดท้ายเข้าที่กะโหลก หมาตัวนั้นร้องเสียงหลงแล้วกระเด็นกลิ้งไปนอนนิ่ง

                      ทริ สไม่ตอบ แต่หลับตา พึมพำว่า“ขออภัยในการฆ่าล้าง ขอให้หมาป่าเหล่านี้ได้มีวัตจักรวนเวียนไป มิได้โกรธแค้นต่อกันในชาติภพหน้า ขอให้เนื้อหนังเหล่านี้เป็นอาหารแก่พงไพร” น้ำตาอุ่นๆ มาจากไหนก็ไม่รู้ เอ่อคลอสองตาสีฟ้าของเจ้าชายแห่งเฮยส์ ไหลผ่านแก้มเย็นจัดของเขา

                      คริสนิ่งไปด้วยสักพัก แล้วถาม “เจ้าคงฆ่าไม่บ่อย”

                      ทริสทันมองเขา “ข้าฆ่าสัตว์เพื่อความจำเป็น ข้าเสียใจต่อการฆ่าทุกครั้ง”

                      ดวงตาสีขาวขุ่นเลิกขึ้นน้อยๆ ด้วยความแปลกใจ “เจ้ามีฉายาว่า เงาอสรพิษแห่งเฮยส์นะ เจ้าเข้าสู่สงคราม ฆ่าคนมาต่อเท่าไหร่”

                      “ท่าน ไม่เข้าใจหรอก” เงาอสรพิษพูด ค่อยๆ โอบซากหมาป่าตัวหนึ่งขึ้นด้วยแขนที่ดี ตัวของมันยังอุ่น ขนของมันนุ่มเหลือเกิน เขาพามันมาวางไว้ใต้ร่มไม้ “สัตว์พวกนี้ทำสิ่งต่างๆ เพราะธรรมชาติของมัน พวกมันเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ไร้ความผิดบาปในใจ... มนุษย์มีทางเลือกเสมอ และข้าเสนอทางเลือกทุกครั้ง ข้าเสนอให้ท่านเช่นกัน”

                      “ไอ้... ถ้าไม่ถอยจากเอนอราจะเจ็บตัว ของเจ้าเนี่ยนะ คำเตือน” อีกฝ่ายเชิดจมูกสูงทำเสียงเย็นๆ ล้อเลียนเขา ดูเหมือนกระทิงมีหนวดไม่มีผิด “เจ้านี่แปลกคน เซอร์ทริสทัน เฮยส์”

                      ทริ สทันคุกเข่าลงข้างหมาป่าอีกตัว มีรอยมีดของเขาอยู่ใต้คอของมัน เลือดแดงอาบขนใต้ท้องของมันจากสีขาวสะอาดให้กลายเป็นสีแดง เขาเอื้อมมือไปปิดเปลือกตาให้หมาตัวนั้นอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ออกแรงดึงหมาตัวนั้นมาวางเรียงกัน

                      เสียง เหล็กขยับขึ้นดังโกร่งกร่าง แล้วเจ้าชายแห่งคอร์นวอลล์ก็คลำๆ พื้น ฉวยได้หมาป่าแม่มดสองตัวก็ลากมาที่ทริสทันยืนอยู่ สีหน้าสีตารังเกียจอย่างน่าขัน

                      “เอ้า ช่วยๆ กันทำให้เสร็จ จะได้เดินทางต่อ ข้าขี้เกียจเดินคนเดียว คนตาบอดอย่างข้าหลงทางก็แย่เลย”

                      เมื่อ ทำงานเรียงศพหมาป่าอย่างสงบได้สักพัก ทริสทันก็อดสงสัยไม่ได้ “ท่านคริส ท่านไม่กลัวเลยหรือ ที่จู่ๆ ก็ถูกพรากการมองเห็นไป ท่านดูยังเหมือนเดิม สามารถมองได้และเคลื่อนไหวได้ราวกับไม่มีอะไรแตกต่าง”

                      “ข้า มองไม่เห็น... ก็แค่นั้น ข้ายังจับการเคลื่อนไหวได้และได้ยินเสียง ไม่เห็นเป็นไร หมวกเหล็กที่ข้าสวมออกรบก็ทำให้มองอะไรแทบไม่เห็นอยู่แล้ว” คริสอุ้มหมาอีกตัวหนึ่งมาวางข้างๆ หมาป่าตัวอื่นๆ “ถ้าจะมีอะไร... ข้าก็แค่เสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าป่าแม่มดงดงามแค่ไหน... ข้าคิดถึงความงามของโลก”

                      “อสูรทองคำนี่คิดถึงความงามของโลกด้วยหรือ” ทริสทันถามยิ้มๆ

                      “คิดว่าข้าผสมทองลงในชุดเกราะเพื่อความทนทานรึไงกัน” คริสถามกลับ

                      “ถ้าได้กวางทมิฬมา ท่านจะทำอย่างไร” ทริสทันเปลี่ยนเรื่อง

                      “ข้าก็ยังไม่รู้ รมควันก็คงจะเก็บได้นานที่สุด แต่จะเก็บได้จนสงครามจบหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เจ้าล่ะ”

                      “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ต้องออกมาดีกว่าท่าน ข้าต้องได้แต่งงานกับราชินี ท่านก็เหมือนกันนี่”

                       สายตาบอดของคริสแลดูเหม่อลอย “เอนอราแต่ก่อนไม่ใช่แบบนี้”

                      “ท่านนี่รักของท่านจริงนะ” ทริสทันละมือจากหมาป่าตัวล่าสุด มองไปยังร่างสูงใหญ่

                      “ด้วยชีวิตและวิญญาณของข้า” คริสพูดขึงขัง จริงจัง

                      “ข้าก็อยากแต่งงานกับราชินีเช่นกัน” ทริสทันพูด “คงต้องให้ผลของการค้นหาครั้งนี้ตัดสิน”

                                     

                      กว่า หมาป่าทั้งสิบหกตัวจะเรียงกันเสร็จ ตะวันก็ขึ้นตรงหัวแล้ว ทริสทันดื่มน้ำจากถุงหนัง และคริสก็ทำเช่นกัน พวกเขานั่งพักในดงหญ้าเงียบๆ พลางทำแผลที่เกิดจากหมาป่า

                      “เจ้าจะฆ่ากวางทมิฬได้หรือ กับหมาป่าแม่มดยังร้องไห้” คริสเอ่ย ทำท่าเหมือนทริสทันขยับผ้าลินินให้แน่นรอบปากแผล

                      “เพื่อราชินี ข้าทำได้” ทริสทันตอบ

                      “เจ้ารักเอนอราเหมือนข้าหรือเปล่า” คริสถาม

                      ทริสทันยักไหล่ “ข้ารักอาณาจักรแห่งนี้ และข้าอยากร่วมปกครองกับราชินี”

                      “ทำไมเจ้าถึงไม่เอ่ยชื่อของเอนอรา”

                      “มีราชินีองค์อื่นด้วยหรือ” ทริสทันย้อน เขาเริ่มรู้สึกอับอายกับการแต่งงานเพื่อเงิน... แต่เขาจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้

      คริสลุกขึ้นยืนและคงตัดสินใจเดินทางต่อ เขาช่วยพยุงให้ทริสทันยืนในพื้นหิมะ

                      ตะวัน มืดทันควัน ลมหนาวพัดสะบัดรุนแรงจนทริสทันเซและต้องนั่งลงอีกครั้ง เสียงหัวเราะแหลมสูงดังก้อง ชวนให้นึกถึงหมาป่าแม่มด แต่ตัวนี้คงใหญ่มากแน่ๆ เพราะเสียงดังจนน่ากลัว

                      “บังอาจ ดียังไงมาทำร้ายสัตว์เลี้ยงที่รักของข้า” เสียงนั้นกรีดแหลม สะท้อนไปมาท่ามกลางเสียงแกรกกรากของกิ่งไม้แห้งที่ถูกสายลมโบยตี “เจ้าต้องชดใช้”

                      เงาสูงในผ้าคลุมปรากฏท่ามกลางสายฟ้าผ่า ทริสทันรู้สึกถึงพลังที่จู่โจมเขาอย่างรุนแรงเหมือนพายุหมุน ทุ่งอย่างกลายเป็นภาพเลือนรางไป

      ===

                 

                      คริสโตเฟอร์ได้กลิ่นไฟ

                      แม้ สายตาจะยังตกอยู่ใต้คำสาป ความรู้สึกเบาในเนื้อตัวบอกให้รู้ว่าเกราะท่อนบนของเขาถูกถอดออก เหลือเพียงเสื้อแขนยาวเก่าๆ ข้อมือของเขาถูกมัดไขว้หลังเอาไว้ เมื่อเขาลองขยับ ก็พบว่าปลายเชือกผูกกับข้อเท้าทั้งสองข้าง ดาบยักษ์ของเขาหายไปไหนไม่รู้

                      เสียงครางเบาๆ อย่างคนเพิ่งรู้สึกตัวดังมาจากทางซ้าย บอกให้รู้ว่าทริสก็ถูกจับมาเช่นกัน         

                      “ทริส เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” เขาถาม “เราอยู่ที่ไหน”

                      “ข้าไม่รู้ นางแม่มดจับตัวเรามา” ทริสตอบ น้ำเสียงร้อนรน “ท่านเซอร์คอร์นเวลล์ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ชอบที่แคบ”

                      มี อะไรแปลกๆ จากน้ำเสียงของทริส คริสโตเฟอร์คิด แต่เขาก็พูดต่อไป “คงเป็นนางแม่มดที่ทำให้ป่านี้ได้ชื่อว่าป่าแม่มด ทริส ท่านมองเห็น บอกข้าได้ไหมว่านางแม่มดรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร”

                      “นาง สวยมาก ผมสลวยราวเส้นไหมทองคำ ดวงตาเป็นประกายสีมรกต แต่นางก็มีอำนาจน่ากลัว ก่อนที่ท่านจะตื่น นางได้ทรมานข้าโดยไม่ต้องแม้แต่จะยกนิ้ว พวกเราคงหนีนางไม่พ้นเป็นแน่”

                      “เจ้า คิดอย่างนั้นหรือ” คริสโตเฟอร์นึกขอบคุณที่แม่มดที่จับกุมเขามาที่ไม่ได้ถอดเกราะท่อนล่างของ เขาออก โดยเฉพาะที่เท้าที่มีเงี่ยงแหลมคมประดับอยู่ “เราต้องหนีออกไปได้สิ”

                      “ท่าน... ท่านบอกแผนให้เรารู้ได้ไหม แขนของเราเจ็บปวดเหลือเกิน”

                      คริสโตเฟอร์ได้ยินเสียงขยับแขนทั้งสองข้าง เสียงถอนหายใจด้วยความทรมาน

                      ...แขนทั้งสองข้าง...

                      “เรา ก็จะต้องหาโอกาสเมื่อแม่มดเข้ามาหาเรา แล้วข้าก็จะใช้พละกำลังมหาศาลที่ข้ามีดึงเชือกเปื่อยๆ นี่ให้ขาดออกแล้วก็รวบตัวแม่มดไว้ ในนิทานเกี่ยวกับแม่มดป่า เมื่อถูกรวบแขนแนบตัวแล้วก็ไม่อาจใช้มือร่ายคาถาได้”

                      “ท่านเซอร์คอร์นเวลล์ช่างรอบรู้ มีแผนการที่ร้ายกาจ มองอนาคตได้ไกลยิ่ง”

                      คริสโตเฟอร์ได้ยินเสียงหัวเราะภายใต้น้ำเสียงอันสั่นกลัว... ยังกับว่าทริสไม่รู้ว่าเขาตาบอดงั้นแหละ

                      “หน้าต่าง!

      คริสโตเฟอร์ ตะโกนด้วยความตกใจมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กะจังหวะและได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีจากการขยับไหว งัดเชือกกับเงี่ยงบนเกราะ จับการเคลื่อนไหวของอีกคนในห้อง แล้วลุกขึ้นไปรวบร่างที่บางกว่าเซอร์แห่งเฮยส์ไว้ มืออีกข้างตะบบปากเหี่ยวย่นไว้แน่น  

                      ต้องปิดปากไว้ ไม่ให้ร้อยเรียงคาถาได้... ดังที่แม่เคยพร่ำสอน

                      มือของเขาสั่น ยังอ่อนแรงจากคาถาของแม่มด หากน้ำหนักตัวและส่วนสูงยังมีประโยชน์กับการกดแม่มดให้อยู่กับที่และมีปากที่ปิดสนิท

                      “แม่ มดรู้ไหม เรื่องที่ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับตระกูลคอร์นเวลล์... ว่าสะใภ้คนล่าสุดของตระกูล อามาริธา คอร์นเวลล์ มารดาของข้า ก็เป็นแม่มด”

                      ร่าง บางเล็กนั้นดิ้นรน ขยับมือยุกยิก พยายามจะท่องคาถาผ่านฝ่ามือหยาบกระด้างนั้น คริสโตเฟอรฺจึงออกแรงกดหนักขึ้น รู้สึกได้ถึงฟันทุกซี่ของแม่มด

                      “ถ้า ให้เดา ทริสคงใจอ่อน สลบไสลไปที่ไหนสักที่ ข้าอาจจะดูโง่ แต่ไม่ใจอ่อน... ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าท่องคาถาทำร้ายใครอีกแน่” เขาอ้าปาก ท่องคาถาที่แม่เคยสอน “อุเทเม อิชเว...”

                      ก่อน ที่เวทมนต์คาถาใดๆ จะออกฤทธิ์ขึ้น นางแม่มดชราก็กรีดเสียง กัดมือของเขา คริสโตเฟอร์ปล่อยมือ แล้วนางแม่มดก็ร่ายคาถาด้วยเสียงแหลมสูง

                      เขา รู้จักคาถานั้นดี แต่ไม่มีเวทพอที่จะทำได้... คาถาสลายคำสาปแบบเร่งด่วน... มันสามารถสลายคำสาปใดๆ ที่อยู่รอบผู้ออกคำสั่งได้ แม้ต้องใช้พลังเวทย์มนต์มหาศาล แต่ได้ผลเสมอ

                      คริสโตเฟอร์ยิ้มเห็นฟันขาว เมื่อเริ่มมีแสงเข้าตาเลือนราง “ขอบคุณนะที่ถอนคำสาปให้ อ๊ากกก”

                      แสง ตะวันที่ส่องหน้าเขาเต็มๆ ก็ทำให้เขาแสบตาไปหมดจนต้องยกมือบังไว้ เขามองอะไรแทบไม่เห็น แต่มือก็ยังเหนียว รีบคว้าร่างแม่มดมาแล้วปิดปากเอาไว้อีกครั้ง

                      แม่ มดร่ายคาถาอู้อี้ แปลงร่างเป็นงูเหลือม มังกร นกยักษ์ ม้า ทุกร่าง คริสโตเฟอร์กอดแม่มดเอาไว้แน่น และปิดปาก ไม่ให้ใช้คาถาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

                      จนกระทั่งแม่มดป่านั้นตัวอ่อนปวกเปียกในแรงรัดของเขานั่นแหละ เขาจึงปล่อยตัวหล่อน

                      “เพื่อนของข้าอยู่ที่ไหน” คริสโตเฟอร์ถามคาดคั้น สายตาของเขาปรับให้เข้ากับการมองเห็นแล้ว

                      กระท่อม หินหลังนี้ถูกเรียงอย่างเรียบง่าย ที่หน้าต่างกำลังมีอาทิตย์อัสดง ฉายให้เห็นหญิงชราร่างเล็กบางตรงหน้า ใบหน้าเหี่ยวย่นและซูปตอบ

                      นิ้ว สั่นระริกของเธอชี้ไปที่มุมห้อง ตรงที่มีหมาป่าแม่มดขนสีเหลืองอ่อนราวกลีบดอกไม้ถูกล่ามโซ่อยู่ ดวงตาของมันเป็นสีฟ้า... คุ้นๆ เท้าซ้ายหน้าของมันกะเผลก เหมือนรับน้ำหนักไม่ได้ หูมันตก มองมาที่เขาอย่างหงอยๆ มีกระทั่งรอยโกนขนที่ขมับสองข้าง

                      หรือว่า... เซอร์ทริสทัน ออร์เดอริก เฮยส์ เงาอสรพิษ ถูกสาปกลายเป็นหมาป่าไปเสียแล้ว

                      “เฮ้ย” คริสร้อง เขารีบคว้าชายเสื้อคลุมแม่มดทันที “แก้คำสาปเดี๋ยวนี้นะ นั่นคู่แข่งของข้า”

                      “หมด พลังเวทย์แล้ว” ภาพนางแม่มดตรงหน้าพร่าเลือน กลายกลับเป็นผู้หญิงสาวหน้าตาจืดชืดคนหนึ่งในผ้าคลุมสีม่วงสด “เจ้าทำให้ข้าหมดพลังเวทย์ไปเอง ข้าจะทำยังไงได้”

                      “ถ้าฆ่าเจ้า คำสาปก็คลายสินะ” คริสโตเฟอร์เข่นเขี้ยว

                      “แล้ว แต่ชนิดคำสาปนะ คำสาปบางชนิด ถ้าไม่มีคนถอน ก็จะกลายเป็นอย่างนั้นตลอดกาล... อีกอย่าง คนอะไรทำร้ายผู้หญิงสาวผู้บอบบาง เจ้าต้องเป็นตัวโกงผู้ชั่วช้าแน่ๆ มีหนวดอีกต่างหาก” หญิงสาวกระถดไปที่มุมกระท่อม ช้อนตามองเขายังกับนางเอกในละครหุ่นที่พวกละครสัตว์ชอบเล่นมองปิศาจ ร้ายอย่างนั้นแหละ

                      “เจ้าเปลี่ยนคนเป็นหมา ยังมาหาว่าฆ่าเป็นตัวโกงผู้ชั่วช้าอีกเรอะ” เขาโกรธจนรู้สึกว่าหนวดเต้นริกๆ ด้วยความโมโห

                      “เจ้า ทำร้ายสัตว์เลี้ยงของข้า หมาป่าน้อยผู้น่ารัก ทั้งอุปซี่ เดซี่ เชอรี่ บริทนี่...” นางแม่มดสาธยายชื่อหมาป่าออกมายาวเหยียด แต่ละชื่อน่าเวียนหัวกว่าชื่อก่อนหน้า “...บียองซี่ ลัคกี้ ปุ๊กกี้ แบ๊งบี้ สเตซี่ มูนี่ เอกกี้...”

                      “พอ แล้ว” ชายหนุ่มตวาด ก่อนที่จะฟังชื่อที่ไม่เหมาะกับหมาป่าแม่มดครบทั้งสิบหกชื่อ “สัตว์เลี้ยงของเจ้ามันจะฆ่าพวกข้า ข้าก็ต้องป้องกันตัวสิ”

                      “เจ้าทำพวกมันสลบ”

                      “พวกข้าฆ่ามันต่างหาก” เขาเถียง

                      “สัตว์ เลี้ยงของข้าดื่มกินพลังชีวิตจากเวทย์ของข้า มันไม่ตายหรอก เดี๋ยวก็ฟื้น” นางแม่มดหัวเราะ แล้วข้าก็ได้หมาป่าแม่มดตัวใหม่มาด้วย “ทริสซี่...” แม่มดเดินไปลูบหัวหมาขนฟูเอาไว้ “ใครเป็นเด็กดี ฮึ ใครเป็นเด็กดี โอ๋ๆ ทริสซี่” นางกอดคอหมาแน่นจนหมาป่าตาเหลือก พยายามดิ้นให้หลุดจากการโอบกอดนั้น

                      คริ สรู้สึกอยากหัวเราะ วิ่ง เป็นลม และร้องไห้พร้อมๆ กัน... ทริสซี่... ดูตาหมาสีฟ้าเหลือกลานแล้วเขาก็นึกขอบคุณที่นางแม่มดหมดพลังไปแล้ว

                      “เจ้า มันวิตถาร ที่เจ้ากอดอยู่นะ มันเซอร์ทริสทัน เฮยส์ ฉายางูอสรพิษ อายุก็มากจนแต่งงานแต่งการได้แล้ว อย่าไปเรียกว่าเด็กดี ฟังดูพิลึก”

                      “ทริสซี่เค้าอายุสามขวบของชีวิตหมาเองนะ แก่อะไร พูดไม่รู้เรื่อง” เธอร้องใส่

                      “มันชื่อทริสทัน”

                      “ทริสซี่”

                      “ทริส ทัน”

                      “ทริส ซี่”

                      “ทริสทันทริสทันทริสทัน”

                      “ทริสซี่ซี่ซี่ซี่ซี่”

                      “ทำอะไรกันอยู่น่ะพวกท่าน” เสียงที่สามดังมา มันฟังดูเรื่อยๆ เย็นๆ กวนๆ เท้าคุ้นหูคริสโตเฟอร์อย่างประหลาด

                      “อย่าเพิ่งมายุ่ง เพื่อนข้ากลายเป็นหมา” คริสโตเฟอร์พูดโดยไม่มองแล้วหันไปตะโกนใส่แม่มด “ทริสต้านนนนนน”

                      “เค้าไม่ยอมเรียกทริสซี่ว่าทริสซี่นะ” แม่มดตอบ แล้วตะโกนใส่คริสโตเฟอร์ “ทริสซี่อี้อี้อี้อี้อี้อี้”

                      “เรียกหมาว่าทริสทัน แล้วจะเรียกข้าว่าอะไรล่ะ” เสียงที่สามนั้นถาม และคริสโตเฟอร์หันไปมอง

                      ทริ สยืนอยู่ตรงนั้น สบายดีทุกประการ เกราะท่อนบนถอดออก ดูสบายๆ อวดเสื้อผ้าไหมชั้นเลิศ แผลที่เจ็บถูกล้างและทำแผลเรียบร้อยแล้ว แววตาสีฟ้าออกแววดูถูกกวนประสาทเช่นเดิม

                      คริสโตเฟอร์ก้าวยาวๆ ไปหาชายหนุ่มรูปร่างเล็กและบางกว่า พลางยื่นมือไปจับบ่าสองข้างเอาไว้แน่น

                      “เจ้า...เจ้า”

                      เขาเฮดบัททริสทันลงไปพอดีๆ เสียงดังโป๊กใหญ่

                      “อ๊ากกกกก” ทริสทันร้องโหยหวน เอามือข้างดีกุมหัวที่แดงปูดขึ้นมาทันตาเห็น

                      “จะบ้าเหรอ ข้านึกว่าเจ้า... นึกว่าเจ้า...”

                      แม่มดหัวเราะเสียงแหลมดังลั่น “ฮ่าๆ โอย... เพื่อนของเจ้าคนนี้ตลกดีจริงๆ ด้วย ทริส เก่ง แต่หลอกง่ายเหมือนอย่างที่เจ้าพูดไว้เลย”

                      “ล...” คริสโตเฟอร์ยังหน้าแดงก่ำ “แล้วหมาตัวนั้น”

                      “ข้าตั้งชื่อให้เอง” ทริสบอก “เป็นที่ระลึกให้ท่านเพอร์เซโฟเนคิดถึงข้า”

                      อย่างนี้นี่เอง คริสโตเฟอร์แห่งคอร์นวอลล์คิด อับอายเสียยิ่งกว่าอะไรดี เขายืนกอดอกแน่น

                      “เนื่อง ด้วยการแสดงตลกครั้งนี้ เป็นข้อแลกเปลี่ยนในการคลายคำสาปของพวกเจ้า ข้าก็ถือว่าการแลกเปลี่ยนสำเร็จผล” นางแม่มดเพอร์เซโฟเน่ปรบมือสองที แล้วผ้าพันแผลของทริสก็ม้วนเกลียวคลายออก ทริสชูมือขึ้นมาขยับให้ดูอีกครั้ง

                      “ยอดเยี่ยม” ทริสยิ้มน่าถีบ

                      “เดี๋ยว...แขนของเจ้าขยับไม่ได้เพราะข้านี่” คริสโตเฟอร์พูดด้วยความสับสน

                      “เพราะ คำสาปต่างหาก” เพอร์เซโฟเนโบกมือ แล้วประกายสีทองระยิบระยับก็ลอยออกมาจากผ้าพันแผลและหน้าผากของคริสโตเฟอร์ “คำสาปจากแม่มดคนเดียวกันด้วย”

                      ...แม่มดประจำสำนักราชินีเอนอรา... เขาคิดในใจ น้องเอนอรา เจ้าทำอะไรอยู่

                      “ข้าว่า ท่าทางราชินีคงไม่อยากแต่งงานกับพวกเราเท่าไหร่นะท่าน” ทริสสัพยอก แต่คริสโตเฟอร์ใจเสียเกินกว่าจะขำไปด้วย

                      “ยังไงข้าก็จะทำตามที่เอนอราขออยู่ดี” คริสโตเฟอร์พูด “ข้าอยากจะให้สงครามกินรจบสิ้น จะหากวางทมิฬมาทำอาหารให้กองทัพ”

                      เพอร์ซิโฟเนเบิกตาขึ้น มองเขา “ข้าช่วยท่านได้นะ ข้ารู้เส้นทางลัดไปหากวางทมิฬ”

                      “พวกเราต้องจ่ายอะไรอีกล่ะ”

                      “ทริสจ่ายแล้วด้วยการมอบชื่อให้หมาป่าของข้า” แม่มดสาวมองเขาอย่างพินิจ “ข้าอยากได้หนวดของเจ้า”

                      คริสโตเฟอร์ ยกมือขึ้นปิดหนวดของเขาโดยสัญชาตญาณทันที ตระกูลคอร์นวอลล์นั้นไว้หนวดกันตั้งแต่ไว้ได้ หนวดงาม ลงน้ำมันอย่างดี แสดงถึงฐานันดรและความงามแบบเชื้อเจ้าชาย

                      “เอาผมของข้าไม่ได้เหรอ ข้าโกนให้” เขาถาม

                      “ไม่ ได้... หนวดมีความสำคัญสำหรับท่านมาก ข้ารู้ และสงครามกินรก็ยิ่งใหญ่” นางแม่มดพูด “ถ้าอยากชนะสงครามกินร ก็ต้องแลกกับหนวด ไม่ใช่แค่หนวดครั้งนี้ แต่เป็นหนวดในครั้งต่อๆ ไป ท่านจะไว้หนวด หรือแม้แต่ใช้เวทเสกภาพหนวดบนใบหน้าไม่ได้อีกเลย”

                      ความภาคภูมิใจของเขา กับสงครามกินรและความรักจากน้องเอนอรา... ความภาคภูมิใจของเขา กับสงครามกินรและความรักจากน้องเอนอรา...

                      เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ตกลง”

                      เพอร์ซิโฟเนดีดนิ้ว แล้วคริสโตเฟอร์ก็รู้สึกคันยุกยิกที่หนวด

                      “ฮัดเช้ย” เมื่อเขาจามออกมา หนวดของเขาก็กระเด็นออกมา กลายเป็นขนนกเล็กๆ นับร้อยพัน ประกายสีฟ้างดงามค่อยลอยละลิ่วมาสู่มือของนางแม่มดป่า

                      ทริสมองเขาตาค้าง

                      “มีอะไร หน้าตาข้าตลกมากรึไง” คริสโตเฟอร์ถามอย่างอึดอัด เขาไว้หนวดมาตั้งแต่อายุสิบห้า ตอนนั้นหน้าตาเขาคงไม่เห็นเดิมแม้แต่นิดเดียว

                      “เจ้ารูปงามมาก...” เพอร์ซิโฟเนตอบให้ หล่อนโบกมือให้กระจกบานหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

                      กระจก นั้นสะท้อนให้เห็นชายร่างสูงใหญ่ในเกราะทองท่อนล่าง ท่อนบนนั้นก็ยังดูใหญ่โต หากดวงหน้าดูอ่อนเยาว์ คิ้วเข้มและจมูกเป็นสันไม่อาจข่มดวงตาโตและริมฝีปากอ่อนบางไปได้ กระจกนั้นแสดงให้เห็นครู่เดียวก็กลายเป็นอณูสีฟ้ากระจายลงสู่พื้น

                      “พ...” เขาพูดอย่างอ้ำอึ้ง “พระผู้สร้าง น่าเกลียดอะไรอย่างนี้ ข... ข้าดูเหมือนถั่วงอกไม่มีผิด”

                      “ท่านคิดว่าท่านน่าเกลียดหรือ” ทริสถาม

                      “เออสิ ข้า... ข้าไม่มีหนวดอีกแล้ว เอนอราต้องเกลียดข้าแน่”

                      “งั้น ท่านก็ดูน่าเกลียดจริงๆ ด้วย น่าเกลียดมาก เหมือนถั่วงอกเลย ตัดใจจากราชินีเถอะ ส่งจดหมายไปก็พอ อย่าเอาหน้านี้ไปให้ราชินีเห็นเป็นอันขาดเชียว”

      ด้วยเหตุใดก็ตาม เพอร์ซิโฟเนตีแขนทริสดังฉับแล้วมองเจ้าชายแห่งเฮยส์ด้วยสายตาขบขัน... มุกตลกที่เขาไม่เข้าใจ
                      คริสโตเฟอร์ถอนใจแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าจ่ายราคาไปแล้ว แม่มด ทีนี้บอกข้ามาที ว่าจะไปหากวางทมิฬได้อย่างไร”

      “อย่าง นี้” นางแม่มดบอกแล้วดีดนิ้ว พลันเขาก็ได้ยินเสียงประตูไม้เปิดออก เมื่อเงยหน้าเบื้องบนก็เห็นสายน้ำพุ่งลงมาจากหลังคา มาสู่พวกเขา

      ซ่า...

      น้ำนั้นมี น้ำหนักมหาศาล มันออกแรงกดลงสู่หลังไหล่ของคริสโตเฟอร์จนเขาต้องทรุด คุกเข่าลง หลับตาและกลั้นหายใจเมื่อสายน้ำจะไหลเข้าสู่จมูกและปากของเขา

      ===

       

      “เฮือก” ทริสทันอ้าปากหอบเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด

                      เขาลืมตาขึ้นพบกับท้องฟ้าสว่าง หญ้าสีเขียวระบัดใบใต้กายเขา มองเห็นภาพเลือนรางของหมู่ไม้ที่เส้นขอบฟ้า นี่คือทุ่งหญ้าทมิฬ

                      “คริส ท่านคริส ตื่น เรามาถึงแล้ว” เขาเขย่าร่างในเกราะเหล็กเบาๆ

                      “จม จมแล้ว ว้ากกกก” คริสร้อง เขากระเด้งลุกขึ้นนั่ง ซึ่งเป็นเรื่องประทับใจเมื่ออยู่ในเกราะเหล็กน้ำหนักเท่าทริสทัน “โอ้ เอิ่ม... เซอร์เฮยส์ เราอยู่ที่ไหน” เขาเชิดหน้าที่ไม่มีหนวดใส่ทริสทัน พยายามกู้หน้าเต็มที่

                      ทริ สทันสำรวจดูสักครู่ก็พบว่าเขาทั้งสองอยู่ในเกราะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาวุธประดับข้างกาย แม้จะเปียกโชก แต่พวกเขาก็อยู่บนหญ้า ไม่ใกล้แหล่งน้ำเลย

                       “ที่นี่คือทุ่งหญ้าทมิฬแล้ว” ทริสทันบอกเขา แม้คริสจะรู้เรื่องภูมิศาสตร์มากกว่า แต่ทริสทันรู้ว่าเพอร์ซิโฟเนคงไม่ส่งพวกเขาไปที่อื่น

                      ทริ สทันก็ยังไม่ไว้ใจเพอร์ซิโฟเนอยู่ดี นางให้พรพวกเขาง่ายๆ รักษาคำสาปและส่งเขาถูกที่ นางแม่มดคนนั้นมีจุดประสงค์อะไร เขาไม่เชื่อว่าแค่ละครตลกและหนวดสามารถพาไปสู่การจบสิ้นของสงครามกินร มันไม่ใช่ราคาที่เท่าเทียมกันเลย

                      พวกเขาลุกขึ้นและเดินไปตามทุ่งหญ้ากว้าง มองหาฝูงกวางทมิฬ

                      “กวางทมิฬจะอยู่ใกล้แหล่งน้ำ” คริสว่าอย่างนั้น ทริสทันก็คงไม่ขัดหมีในการล่ากวาง

                      พวก เขาเดินลงเขาไปเรื่อยๆ จะมีน้ำอยู่ที่ต่ำ ข้อนี้ทริสทันผู้ไม่เคยล่าสัตว์ยังรู้ดี เขามองผืนหญ้าสีเขียวขจีด้วยสายตากระตือรือร้น เผื่อจะพบกับฝูงกวาง

                      ทริ สทันยังไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะสามารถพรากชีวิตบริสุทธิ์เพื่อเงินทองได้จริง หรือ กวางทมิฬเหล่านี้ไม่เคยมีเรื่องเจ็บแค้นใดๆ กับเขา แต่ถ้าเขาต้องการเงินทองจากอาณาจักรของเอนอรา

                      “ข้านึกออกแล้ว” คริสพูดขึ้น “ถ้าเราขี่กวางทมิฬผ่านป่ากลับไปที่อาณาจักร เนื้อของมันจะไม่เสีย”

                      “แต่ป่านั้นรกและทึบมากนะ” ทริสทันแย้ง

                      “กวางพวกนี้แข็งแรงมาก มันคงเปิดป่าเป็นทางเลยล่ะ นั่นไง”

      คริสเห็น ฝูงมันก่อน ทริสทันมองตามไปก็เห็นพวกมัน จากไกลๆ มันช่างดูไร้พิษสง เขาดำสนิทของมันเป็นประกายในแสงแดดราวกับทำจากเพชร ขนของมันแวววาว

      แต่เมื่อเข้าไปยิ่งใกล้ ความสวยงามก็ยิ่งชัดเจนเช่นเดียวกับความอันตราย ตัวของมันใหญ่มาก ความคมกริบของเขา ขน และกีบเท้าเริ่มชัดเจน

      “เราจะจับมันยังไงดี” ทริสทันถามคริส

      “ข้ามี เชือก” คริสตอบ ตบอกที่มีเกราะของเขาเบาๆ “เราก็เอาเชือกคล้องกวางสักตัว แล้วขึ้นไปขี่หลังมัน หลังจากนั้นเราก็ควบคุมมันให้วิ่งผ่านป่า

      “คาปอยได้ ยินท่าน” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นในผืนหญ้าข้างทริสทัน มันเบาและไพเราะพวกเขาสองคนต้องหยุดนิ่งฟัง “ท่านจะขโมยสิ่งสำคัญที่สุดของคาปอย คาปอยย่อมไม่ยอม”

      หญ้าเขียว นั้นแตกหน่ออย่างรวดเร็วกลายเป็นริบบิ้นเหนียวสีเขียว มันเอื้อมมายึดข้อมือข้อเท้าของทั้งสองไว้ คริสนั้นมีเกราะ จึงทำให้ขยับตัวได้ช้าและถูกดึกจนนอนแนบพื้นเป็นแพนเค้ก ทริสทันขยับหลบ หากไม่ทัน เชือกหญ้าก็ม้วนพันข้อเท้าของเขาแล้วพลิกเขาหงายหลัง พันข้อมือและข้อเท้าของเขาเช่นกัน

      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์” เสียงอื่นๆ ร้องประสานขึ้นรอบตัวเขา “คาปอยไม่ชอบมนุษย์”

      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ เราต้องมายืดให้สุด”

      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ ดึงแขนขามันให้หลุด”

      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ เอาหญ้าตัดคอหัวกุด”

      เหล่าเด็ก ตัวเล็กๆ สีเขียว นุ่งใบไม้ กระโดดโลดเต้นมาจากไหนไม่รู้ ยิ้มยิงฟันคมๆ ใส่เขา รอบตัวพวกมันมีหมอกสีเขียวที่ดูเหมือนเวทมนต์รายล้อม

      “ว้ากกก” คริสร้อง เขาดิ้นจนด้ายที่ข้อมือขาด แล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง “ทริส หนีไป คาปอยมันจะกินมนุษย์ที่มันคิดว่าเป็นจ่าฝูงเท่านั้น”

      ทริสทันประทับใจ แต่ก็อดคิดอย่างฉุนๆ ไม่ได้ ว่าเขาก็ดูเป็นจ่าฝูงเหมือนกันนะ

      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ พวกเราบอกว่าให้หยุด” สิ้นคำร้อง หญ้าจำนวนมากก็เลื้อยเข้าไปใต้เสื้อเกราะทองของอสูรทองคำ

       “เจ้าจะทำ...” คริสร้องได้เท่านั้นเขาก็ต้องงอตัว “อ๊าก ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ โอ๊ย นี่มันอะ ฮ่าๆๆ หยะ ฮ่าๆ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

                       หญ้าคงเข้าเสื้อเกราะ เลื้อยพันไปในรอบส่วนต่างๆ ที่อ่อนแอที่สุดของนักรบหนุ่มเสียแล้ว

                      “อ๊า ฮ่าๆ หยุด แฮ่ก ฮ่าๆ ช่วย... ฮ่าๆ... ด้วย”

                      ไม่ กี่นาทีต่อมา เจ้าชายนักรบหนุ่มผู้มีดาบยักษ์อันไร้ประโยชน์อยู่ข้างหลังก็นอนตาเหลือก หายใจหอบถี่ น้ำลายย้อย มีหญ้าพันข้อมือข้อเท้ายึดไว้แน่นเหมือนเดิม

                      “ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะ เราอยากระงับสงครามกินร” ทริสทันใช้วิธีที่ต่างออกไป “เจ้าไม่ชอบกินรหรอกใช่ไหม”

                      “เราคาปอยเป็นกินอย เหมือนกินอย” พวกมันพูด ออกเสียงคำว่ากินรต่างออกไป “คาปอยมีถิ่นของคาปอย กินอยเป็นญาติคาปอย”

                      เหมือนสัตว์กลุ่มนี้จะมีใจเดียวกัน จึงพูดพร้อมกันแม้จะเคลื่อนไหวไม่ตรงกันสักที

                      “ถ้ากินรตัวอื่นๆ จะมาแย่งอาหารของคาปอยล่ะ” ทริสทันถาม

                      “เรา คาปอยจะบิด เราจะบิด เราจะบิด” ขาดคำนั้น หญ้าที่ปลายเท้าเขาก็เลื่อนจนเอวของเขาบิดไป แต่มันก็ยังบิดร่างของเขาต่อจนแทบเป็นเกลียว

                      “โอ๊ย” ทริสทันร้อง แต่พยายามไม่แสดงความเจ็บปวดออกมามากกว่านั้น เหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผากของเขา “แต่เรากำลังช่วยคาปอย ช่วยกันกินรตัวอื่นเข้ามานะ เราต้องใช้กวาง แค่สองตัว”

                      “ตัวเดียว” มันบิดแรงขึ้น

                      “อึก... ก็ได้ ต... ตัวเดียว ปล่อยพวกเราที”

                      เหล่า คาปอยยืนนิ่งเหมือนพิจารณา แล้วหญ้าก็คืบคลานของจากร่างของทริสทันและคริส “ได้ตัวเดียวนะ” คาปอยบอก แล้วพวกมันก็จมหายไปในทะเลสีเขียว

                      “ไปกันเถอะ” คริสบอก ดึงเชือกออกมาจากเสื้อเกราะ “ใช้การทูตแก้ปัญหาได้ดีนี่ ทริส”

                     

                       พวก เขาเดินอีกสักพักก็ถึงฝูงกวาง ยิ่งเมื่อยืนใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่ากวางทมิฬนั้นตัวสูงใหญ่มาก มันม่สนใจพวกเขาด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเทียบกับมัน ทริสทันก็มีขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่ง

      คริสผูกตุ้มเหล็กเล็กๆ ไว้ที่ปลายเชือก เขาเล็งไว้ที่กวางตัวใหญ่ที่สุดแล้วโยน

                      ทริสทันรู้สุกทึ่งกับการเคลื่อนไหวของคริส ยิ่งเมื่อเชือกนั้นคล้องกวางตัวใหญ่ พันรอบเขาของมันอย่างรวดเร็ว

                      กวาง ตัวนั้นส่งเสียงร้องอย่างตระหนก มันพยายามสะบัดหัวให้เชือกหลุดออก และคริสใช้โมเมนตัมนี้เอง ดึงร่างทั้งชุดเกราะของเขาลอยขึ้น เขาตีลังกากลางอากาศอย่างคนในชุดเกราะไม่น่าจะทำได้ แล้วขึ้นขี่กวางตัวนั้นอย่างแม่นยำ

                      กวาง ตัวนั้นไม่ยอมแพ้ มันสะบัดเต็มที่ คริสเหนี่ยวเอาไว้ ทริสทันเห็นร่างใหญ่ถูกสะบัดปลิวไปมาเหมือนตุ๊กตา เมื่อกวางตัวใหญ่ถูกโจมตีเช่นนั้น กวางตัวที่เหลือจึงหันมามองสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกับผู้โจมตี... คือทริสทัน

                      กวาง รุ่นหนุ่ม ตัวเล็กกว่าที่คริสขี่อยู่มาก แต่ก็ตัวใหญ่พอที่จะทอดเงาใส่ทริสทันก้าวมาเผชิญหน้ากับเขา มันย่อเขาลงให้ปลายแหลมชี้ไปข้างหน้าเพื่อโจมตี

                      ...ซวยละ

                      ทริสทันอาศัยจังหวะที่กวางตัวนั้นพุ่งใส่เขา กระโดดถอยหลังให้สูงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขารู้สึกถึงเขาอันมีขนาดใหญ่เท่าลำต้นไม้พุ่งเขามาใส่ และกอดมันไว้ เขาก้มลงไปมองและพบว่าถ้าเขากระโดดได้ต่ำกว่านี้อีกนิดเดียว เป้ากางเกงที่ไม่มีเกราะของเขาคงเกี่ยวเข้ากับเงี่ยงเขาคมกริบแน่ๆ

                      มันสะบัดเขาขึ้น และเหวี่ยงทริสทันขึ้นไปบนอากาศ กวางพวกนี้คงเรียนรู้ช้า เพราะมันไม่รู้เลยว่า ทันทีที่ทริสทันเป็นอิสระ เขาก็ตีลังกาขึ้นยืนบนหลังของมันได้

                      “ฮ่า เก่งนี่” คริสร้องทัก ตัวเขาสะเทือนไปมาอยู่บนหลังกวาง เชือกนั้นพันรอบเขากวางสองข้าง กลายเป็นบังเหียนได้อย่างดี

                      “คาปอยให้พวกเราเอากวางไปได้ตัวเดียว”

                      “ช่างหัวคาปอยมันปะไร” คริสร้องตอบ เขาควบกวางของเขาไปข้างหน้า ทริสทันพยายามควบกวางตาม แต่เขาไม่มีบังเหียน เขาพยายามเอามีตีก้นกวางวัยรุ่นตัวนั้นเหมือนที่เห็นคาวบอยทำในงานโชว์ที่ ปราสาท แต่มือเขาบนหลังกวางนั้นคงมีพลังและผลลัพธ์พอๆ การที่เด็กทารกพยายามตีแตงโมให้แตก     

                       เขาลองจับเขาของกวางด้วยมือขวา เหนี่ยวสุดแรง กวางก็ถลาร่อนไปทางขวาทันที

                      “บังคับได้ละ” ทริสทันพึมพำ

                      คริสและทริสทันควบกวางมุ่งตรงไปสู่ชายป่า แต่เมื่อขยับเข้าใกล้หมู่ต้นไม้ที่สูงทึบนั้นอีกแค่เพียงนิดเดียว กวางของทริสทันก็สะดุดอย่างแรง ทริสทันลอยหวือไปกลางอากาศ

                      “เฮ้ย เอามือมา” คริสร้อง เขาชะลอกวางจนขนานกับร่างของเจ้าชายร่างผอมที่ลอยละลิ่ว มือในเกราะเหล็กจับมือที่ไขว่คว้าอากาศเอาไว้ได้

                      “มือของท่านอุ่นจั... แอ้ก” ทริสทันแซว เขาลอยอยู่กลางอากาศ แล้วกระแทกตัวกวางดังอึก ซี่โครงเจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที

                      “ปีนขึ้นมาเร็วๆ เถอะเจ้า อย่ามัวกวนประสาทอยู่”

                      “มนุษย์ ผิดสัญญา คาปอยไม่ชอบ” คาปอยพูดเสียงกระหึ่ม มันบินตามพวกเขามาติดๆ ทริสทันไม่เห็นยักรู้ว่าคาปอยมีปีกด้วย

                      “นายรู้ว่าไอ้พวกนี้บินได้ด้วยเรอะ” เขาตะโกนฝ่าเสียงอากาศใส่คริส

                      “ฮื่อ” คริสตอบ

                      “แล้วนายคิดว่ามันจะหนีมันพ้นเรอะ”

                      “ฮื่อ”

                      “นายโง่ขนาดไหนรู้ตัวไหม ฮะ”

                      “ฮื่อ”

                      หญ้าในทุ่งยาวไสว ระบัดใบโดยไม่มีลม มันยืดยาวอย่างรวดเร็วและน่ากลัว กวางของทริสทันคงโดนใบหญ้ามัดไว้อยู่เบื้องหลังเป็นแน่               

                      “มนุษย์ มนุษย์ มนุษย์ เราล่าจนกว่ามันทรุด”  

                      เสียงเด็กมีเวทมนต์และปีกหลายคนร้องด้วยจิตใจเดียวกัน มันบินโฉบเฉี่ยวอยู่รอบๆ พวกเขาแล้ว

                      ทริสทันลุกขึ้นยืนบนหลังกวาง คิดนิดหน่อยว่าอาจจะยืมดาบของคริสมาใช้เพื่อระยะ แต่ว่าคิดไปคิดมา เขาคงยกไม่ไหวหรอก อาจจะทำให้ช้าเปล่าๆ

                      คริสควบคุมกวางทมิฬได้ดีใช้ได้ ไม่กระเทือนจนเขาร่วงหล่น เมื่อมีกำแพงหญ้าขึ้นมา เขาก็ชะลอให้กวางเตะหญ้าให้ขาดเข้าไปได้

                      คาปอยยังร้องเพลงซ้ำไปซ้ำมา ตัวหนึ่งโฉบเข้าหาทริสทัน เขาถีบมันกระเด็นไป

                      เขาจะเกลียดการฆ่าสัตว์ ทริสทันต้องคิดว่าภูตเหล่านี้มีจิตใจเหมือนมนุษย์ มันมีทางเลือกที่จะปล่อยพวกเขาให้จากไปตามที่ตกลง แม้เขาจะเกลียดตัวเองเมื่อนึกว่าเขามาบุกรุกถิ่นฐานของมันก็ตาม

                      คาปอยอีกตัวกรีดเสียงแหลม ครั้งนี้ทริสทันตวัดดาบคู่เป็นกากบาทใส่ภูตผู้น่าสงสาร เลือดสีเขียวสาดกระเซ็นใส่เขา แต่เจ้าชายหนุ่มมันสนใจ เขาปาดเลือดของมันออกจากตาแล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง

                      เมื่อตัวหนึ่งตาย อีกตัวบอบช้ำจากแรงเตะ แต่ยังมีอีกนับร้อยตัว ค่อยๆ บินมาจากทั่วทุ่งหญ้า

                      ทริสทันฟันคาปอยไปอีกหลายตัว แต่เขาอ่อนแรงลงทุกที ชายป่าใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว

                      “คริส ช่วยหน่อยก็ดี”

                      “เทอิคเนย์ เทคอมบุเซ” คริสร้อง แล้วลูกไฟยักษ์ก็ระเบิดตูมออกมาล้อมรอบตัวพวกเขา แต่ทริสทันไม่รู้สึกร้อน คริสยังควบกวางผ่านไม้หนาทึบ ถีบต้นไม้เล็กๆ ให้กระเด็นไป ความทึบของป่าและลูกไฟทำให้คาปอยไม่ตามมา

      ===

                  สิ่งแรกที่ทริสทำต่อคริสโตเฟอร์เมื่อพวกเขาปลอดภัยในแนวป่าอีกข้าง คือการต่อยไหล่เขาเต็มแรง

                      คริสโตเฟอร์ไม่เจ็บหรอก ได้ยินแต่เสียง กึง ของเสื้อเกราะ แล้วก็หันไปเห็นทริสทันสะบัดมือเร่าๆ

                      “เทอิคโนเนเทเลคอม” ทริสร้อง ท่าทางหัวเสียทีเดียว “เจ้าใช้คาถาได้ เจ้าเป็นพ่อมด ทำไมเพิ่งมาใช้คาถาเอาตอนนี้”

                      “แม่ของข้าเป็นแม่มด” คริสโตเฟอร์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง “ข้าไม่ค่อยชอบแม่”

                      “โอ้ ท่านเซอร์คอร์นเวลล์” ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าทริสกลอกตาอยู่ “โอ้ท่านผู้สูงศักดิ์ ท่านไม่ชอบแม่... ไม่นึกเลยเหรอว่าการไม่ชอบแม่ของท่านมันทำให้เป็นปัญหาใหญ่โตน่ะ”

                      “ข้าไม่ชอบเวทมนต์” คริสโตเฟอร์ควบให้กวางเดินเหยาะๆ ไปเบื้องหน้า ไม่ต้องรีบอีกแล้ว

                      “เดี๋ยว”ทริสพูดขึ้น “อย่างนั้นท่านก็สามารถถอนคำสาปตาบอดได้ทุกเวลาน่ะสิ”

                      “ไม่หรอก...”

                      “ท่านโกหก ข้ารู้เวลาคนโกหก” ทริสทันยืนยัน

                      “ก็ได้” คริสโตเฟอร์เห็นว่าปิดเป็นความลับต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ต้องยอมรับ “ข้าพยายามทำให้มันแฟร์ ข้าต้องการให้เราเท่าเทียมกันในการล่ากวางทมิฬ”

                      “นี่ท่าน...” ทริสเงียบไป คริสโตเฟอร์นึกยิ้มว่าเขาคงทำให้อีกฝ่ายสลดไปได้ แต่ไม่มีทางเสียหรอก “ท่านดูถูกข้าว่าไม่มีฝีมือขนาดท่านต้องยอมอ่อนข้อให้ขนาดนี้ นับว่าดูถูกกันมากนะ”

                      “นี่เจ้าช่างไม่รู้บุญรู้คุณเอาซะเลย”

                      “ก็... ข้าก็ต้องขอบคุณที่พลังของท่านช่วยข้าได้ในยามคับขัน” ทริสตอบอย่างนึกได้ว่าเป็นมารยาทที่เหมาะสม “แต่ว่าในเรื่องของการทำอาหารให้เก็บไว้ได้นานที่สุด ข้าไม่แพ้ท่านแน่ๆ”

                      คริสโตเฟอร์โคลงหัว “แล้วก็รู้กันเองละน่า” เขาพูด

       

                      ในโถงที่ตกแต่งเหมือนฤดูร้อน คริสโตเฟอร์รู้สึกหนาวเย็นกว่าที่เคย ราชินีเอนอราไม่ได้อยู่ในชุดกระโปรงอีกต่อไปแล้ว เธออยู่ในชุดทำศึกเพื่อรบกับสงครามกินร

                      “พวกเราได้เนื้อกวางมาสำหรับทำอาหารเลี้ยงกองทัพแล้ว ท่านราชินี” ทริสพูด เขาโค้งลงต่ำ

                      “ดีมาก ใครเป็นคนหาได้” ราชินีเอนอราถาม สายตาไร้ความรู้สึกเช่นเคย

                      “เราทั้งสองหาได้ร่วมกัน ราชินี” คริสโตเฟอร์ตอบ

                      “จะให้เรามีสามีสองคนอย่างนั้นหรือ”

                      “หากนั่นเป็นความประสงค์ของราชินี ข้ายอมเป็นสามีฤดูร้อน เซอร์คอร์นวอลล์คงยอมเป็นสามีฤดูหนาว” ทริสตอบราวกับไม่รู้ว่าเป็นคำประชด คริสโตเฟอร์จึงแอบกระทุ้งสีข้างคู่แข่งและสหายเบาๆ ก่อนจะหัวกุด

                      “เซอร์คอร์นวอลล์ ท่านโกนหนวด” ราชินีพูดอย่างใจลอย “ดูไม่เหมือนเดิม เซอร์เฮยส์ ท่านผิวเข้มขึ้นนิดหนึ่ง ทำให้ตาสีฟ้าของท่านเป็นประกายต่างจากเคย”

                      ทั้งสองแทบจะตัวลอยติดเพดานด้วยคำชมที่หาได้ยากยิ่ง

                      “แต่เราจะมีสามีสองคนไม่ได้ คงต้องตัดสินที่อาหาร ถ้าหากวางมาได้ตัวเดียว ก็แบ่งกันตามจะเห็นสมควรก็แล้วกัน”

                      ราชินีกล่าวเช่นนั้นเสร็จก็เตรียมจะเดินจากไป

                      “น้องเอนอรา ทำไมเจ้าถึงได้ให้พวกเราไปทำเรื่องเช่นนี้” คริสโตเฟอร์ถาม “ทั้งๆ ที่เราอาจจะช่วยรบในสงครามกินรได้”

                      “พวกท่านหมายมือเรา ทั้งๆ ที่เป็นยามสงคราม” ราชินีตอบเสียงเย็น “ทั้งๆ ที่พวกท่านควรจะช่วยเรารบ ไม่ใช่มาเกี้ยวเราอยู่เช่นนี้ เลี้ยงกองทัพเราให้สงครามสงบด้วยอาหารแสนอร่อยของพวกท่าน แล้วเราจะคิดเรื่องการแต่งงาน”

                     

                      หลังจากการตกลงกันแล้ว การประลองทำอาหารของเซอร์หนุ่มทั้งสองจะจัดกลางสนามรบ และมีการสงบศึกหนึ่งวันเพื่อเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ไปในตัว

                      ทั้งสองฝ่ายมีอุปกรณ์การทำครัวมากมาย หม้อแต่ละใบมีความสูงเท่ากับตัวคน วัตถุดิบอื่นๆ กองเป็นภูเขาใบย่อมๆ ข้างโต๊ะ

                      ข้างหนึ่งของลาน ราชินีเอนอราในเกราะเพชรเป็นประกายบาดตานั่งอยู่ อีกข้างก็เป็นขุนพลมัทเทกา กินรครึ่งคนครึ่งสิงห์ ที่สวมชุดหนังกวางนั่งเชิดไม่แพ้กัน

                      กวางทมิฬนอนอยู่ตรงกลาง คริสโตเฟอร์ได้ผ่ามันเป็นสองท่อนเมื่อก่อนเริ่มพิธีการนี่เอง ทริสไม่ได้อยู่ดู และก็ดีแล้ว ไม่งั้นหมอนั่นต้องร้องไห้อีกแน่ๆ

                      เหล่ากินรมองอยู่อย่างสนใจ กินรนั้นคือครึ่งสัตว์ครึ่งคน มีสัตว์นานาชนิดมาผสมกัน ส่วนใหญ่แล้วกินรที่เห็นในสนามรบมักผสมสัตว์กินเนื้อดุร้าย ก้าวร้าว

                      “เลดี้ส์ เจนเทิ้ลเมน แอน์ บีสท์ส เอนอราแลนด์ ขอเสนอออออ” พิธีกรแม่มดชราร้องเสียงกึกก้องชวนให้ครึกครื้น “ขอเชิญพบกัน การแข่งขันทำอาหาร ระหว่างเจ้าชายผู้ไม่เคยทำอาหารเองสองท่าน ได้แก่...” เธอลากเสียงเมื่อชี้มาทางคริสโตเฟอร์ “...เซอร์คริสโตเฟอร์ แห่งคอร์นวอลล์ ฉายาอสูรเกราะทอง ที่สามารถผ่ากวางได้ด้วยการฟันฉับเดียว แต่เรื่องการทำอาหารเป็นยังไงไม่รู้ และ...”

                      เธอชี้ไปที่ทริส “เซอร์ทริสทัน แห่งเฮยส์ ฉายาเงาอสรพิษ รักดอกไม้ สายลม และแสงแดด ส่วนเรื่องทำอาหาร ก็กินแต่แอปเปิ้ลกับชีสทั้งวัน”

                      “นางแม่มดนี่รู้เรื่องของพวกเราดีจัง” ทริสพึมพำพอให้คริสโตเฟอร์ได้ยิน

                      นางแม่มดประจำวังพูดต่อ “กติกาในการแข่งขัน... ขอให้ทำอาหารเลี้ยงกองทัพจนสงครามจบ รสชาดต้องอร่อยกินได้ และไม่ทำให้ป่วยแม้ในวันสุดท้ายของสงคราม กรรมการของเราคือราชินีเอนอรา และขุนพลมัทเทกา”

                      หญิงชราอธิบายกติกาอีกยืดยาว  

                      “สาม... สอง... หนึ่ง... เริ่ม” เธอร้องขึ้นในที่สุด

                      คริสโตเฟอร์และทริสสบตากันแวบหนึ่งแล้วยิ้ม ทั้งสองเริ่มทำอาหารของตัวเอง

                      เจ้าชายแห่งคอร์นวอลล์ลากหัวกวางไปทางหนึ่ง เจ้าชายแห่งเฮยส์ก็ลากท้ายกวางไปอีกทาง

                      เสียงเชียร์ดังสะเทือนลานจากฝั่งกินรเมื่อ สมองกวางถูกบดผสมกับมันเทศ กระโหลกถูกต้มทำน้ำซุป และไขกระดูกถูกนำมาทอดในน้ำมันมะกอกให้กลายเป็นวุ้นโดยคริสโตเฟอร์

                      เสียงเชียร์ดังมาจากฝั่งมนุษย์เมื่อเนื้อกวางได้รับการย่างไฟกับโรสแมรี่จนหอม หนังกวางอบจนกรอบ และซี่โครงหมักซอสส้มไว้เต็มอิ่ม

                      อาหารที่ถูกทำเสร็จ นำมาวางเรียงรายพอเลี้ยงมนุษย์ได้สองเท่าของทั้งกองทัพ แต่ที่สร้างความฉงนคือ ไม่มีอาหารชนิดใดน่าจะเก็บได้เกินสองวันเลยแม้แต่อย่างเดียว

                      “นี่มันอะไรกัน” ราชินีเอนอราร้องด้วยความขุ่นเคือง “ของพวกนี้อีกไม่นานก็เน่าเสียหมด เก็บไว้จนหยุดสงครามได้ยังไง”

                      “หอมดีนะ” มัทเทกาพูดยิ้มๆ “ข้าอยากกินซะแล้วสิ”

                      คริสโตเฟอร์ยกมือขึ้น “ท่านขุนพลมัทเทกา อันที่จริงแล้ว ข้าก็อยากให้ท่านและกองทัพได้กินอาหารเหล่านี้เช่นกัน”

                      “คอร์นวอลล์” เอนอราตวัดเสียง คำที่ซ่อนอยู่คือ... อย่าเล่นอะไรแผลงๆ

                      “สูตรอาหารที่ข้าทำเหล่านี้มาจากแม่ของข้า อามาริธา” เขาว่าต่อไป “นางเป็นแม่มดรับใช้ขุนพลกินรคนก่อนอยู่หลายปีก่อนจะแต่งงานกับพ่อ อาหารเหล่านี้ข้ารับรองว่าอร่อยแน่”

                      “ส่วนข้า เซอร์เฮยส์... ที่เจ้าว่ากินแต่แอปเปิ้ลกับชีส ก็ได้โตมากับครัวเช่นกัน” ทริสขัดขึ้น “ข้าชอบชีสที่สุด แต่ก็คุมโรงครัวตั้งแต่เป็นหนุ่มแล้วท่าน”

                      “พวกท่านกินทั้งหมดนี้ได้ แต่มีข้อแม้”

                      “อะไรล่ะ ข้าหิวแล้วนะ” มัทเทกาตวาด ส่วนราชินีเอนอรา แม้จะสงวนท่าที แต่ก็เห็นได้ว่าเห็นด้วย

                      คริสโตเฟอร์ก็คิดไม่ต่างกัน ไม่ว่าอาหารสูตรกินรหรือมนุษย์ กลิ่นที่หอมฟุ้งไปทั่วลานก็ทำให้น้ำลายสอไม่ต่างกัน ยิ่งเนื้อกวางทมิฬสดใหม่ และเครื่องปรุงจากวัง ก็ยิ่งทำให้อาหารน่ากิน และแน่นอนว่าอร่อย

                      เขากลืนน้ำลายเมื่อพูดต่อไป “พวกท่านจะกินอาหารเหล่านี้ได้ เมื่อสงบศึกต่อกัน”

                      เสียงฮือฮาดังออกมาจากทั้งสองฝ่ายทันที

      “อะไรนะ” ราชินีลุกขึ้น ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ “คริสโตเฟอร์ แอฟเวอลีน คอร์นวอลล์ เจ้าคิดจะทำอะไร”

                      เสียงหัวเราะเบาๆ ดังไปทั่วลาน กับชื่อกลางของเจ้าชายหนุ่ม แก้มของเจ้าชายคอร์นวอลล์เป็นสีชมพูด้วยความเขิน

                      “พวกข้าจะยุติสงครามกินร” ทริสตอบทันที

                      มัทเทกาหัวเราะเสียงกึกก้อง เอนอราท่าทางสับสน “ต... แต่ เหล่ากินรหวังจะยึดแม่น้ำที่ประชากรเราใช้หากินนี่”

                      “แม่น้ำเหล่านั้นเหล่ากินรก็ใช้หากินเหมือนกัน” มัทเทกาตอบ หัวเราะไม่ออกเสียแล้ว

                      “พวกท่านจะเถียงกันต่อไปก็ได้” คริสโตเฟอร์ว่า “ข้ากับเซอร์เฮยส์หิวแล้ว จะกินละนะ” ว่าแล้วก็หยิบไขกระดูกทอดในซอสพริกจากจานของเขามา โยนเข้าปากเคี้ยว “อื้อฮือ หอมหวานจริงๆ” เขาเดินถือจานไปหาทริส “กินไหม”

                      “หอมเหลือเกิน” ทริสสนองทันที “ข้าอยากจะกินให้หมด ท่านว่าข้ากินหมดเลยได้รึเปล่า”

                      “เดี๋ยวก่อน” มัทเทการ้องห้าม “เรากินเจ็ดในสิบของแม่น้ำก็ได้”

                      “เราสิจะเอาเจ็ดในสิบ” ราชินีเถียง

                      “เอาซี่โครงกวางในซอสส้มหน่อยสิท่านเซอร์คอร์นวอลล์” ทริสใช้มีดเงินหั่นกวางมาป้อนเขา

                      “อร่อย ข้าจัดการหมดถาดเลยได้ไหม”

                      ทุกคนรุมมอง การที่เซอร์เฮยส์ผู้มีรูปร่างบอบบางอ้างว่าจะกินไขกระดูกกองโตให้หมดนั้น เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกึ่งคนกึ่งยักษ์อย่างเซอร์แห่งคอร์นวอลล์ละก็... กวางทมิฬสองตัวก็อาจจะกินหมดได้

                      “หยุด คนละครึ่ง” ราชินีเอนอราร้อง

                      “คนละครึ่ง” มัทเทการ้องออกมาพร้อมกัน

                      “ประกาศที ว่าจะเจรจาสันติกัน” คริสโตเฟอร์ยกซี่โครงชิ้นใหญ่ขึ้น ทำท่าจะกัด

                      “ข้าสั่งจับเจ้าได้นะ” มัทเทกาแค่นเสียง แล้วแอบเช็ดน้ำลายที่ย้อยลงมา

                      “ท่านก็อดกินนะสิ” ทริสช่วยได้

                      มีเสียงเงียบอยู่หนึ่งอึดใจ แล้วทั้งสองก็ตกลงพร้อมกัน “ก็ได้ เจรจาสันติ”

                      เสียงโห่ร้องของทัพทั้งสองดังไปทั้งลาน เหล่าสาวใช้รีบเร่งจัดจานและช้อนส้อมให้เหล่ากินรและมนุษย์กินกันอย่างสนุก สนาน นักรับต่างๆ แทนที่จะหยิบดาบก็หยิบช้อนส้อม รอกินเนื้อกวางทมิฬอย่างใจจดใจจ่อ

                      และเนื่องจากคริสโตเฟอร์และเพอร์ซิโฟเนร่ายมนต์ รสอร่อยใส่กวางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว จะทำอาหารออกมาอย่างไรก็อร่อย กินดิบๆ ยังได้เสียอีก เพราะคาถานั้นทำให้คนนำเนื้อกวางไปเทียบกับอาหารที่ตนชอบที่สุด

       

                      ราชินีเอนอราเดินมุ่งมาหาเขา ท่าทางโกรธ ทั้งๆ ที่ซอสส้มยังเลอะแก้มสองข้าง ทริสเดินมาร่วงวงอย่างรวดเร็วคนคริสโตเฟอร์ไม่สังเกตเลยว่ามาตอนไหน

                      “สมใจแล้วใช่ไหม ทีนี้ข้าก็ต้องแต่งงานกับพวกเจ้า ใครเป็นคนต้นคิดล่ะ”

                      “ข้า” ทริสทันเอ่ยขึ้น

                      “งั้นข้าจะแต่งงานกับเจ้า”

                      “ข้าขอเป็นเงินแทนได้ไหม การเมืองดูยุ่งยาก เป็นสามีราชินีคงไม่ใช่ความสุขสำหรับข้า” ทริสมองตาหญิงสาวนิ่ง แต่คริสโตเฟอร์ไม่รู้ว่ามันสื่อความหมายใด

                      “งั้นข้าก็คงต้องแต่งงานกับท่าน” ราชินีหันมาหาเขา

                      “น้องเอนอรา” ชายหนุ่มกอดราชินีไว้ ในโลกนี้ไม่มีใครแล้วนอกจากเขาและน้องนางเมื่อยังเล็ก “ข้าไม่อยากได้ใครอื่นแล้ว นอกจากเจ้าเมื่อยามเด็กกลับคืนมา”

                      “เด็กผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้ว เซอร์คอร์นวอลล์ เมื่อข้าขึ้นเป็นราชินี”

                      ได้ยินดังนั้น คริสโตเฟอร์ก็ละอ้อมกอดจากราชินีสาว คุกเข่าลงคำนับอย่างงามที่สุด แล้วเดินจากมาอย่างไม่หันหลังกลับ

       

                      ชาวนาที่ชายป่าวันนี้หูตาแพรวพรายพิกล ชายหนุ่มสังเกตเมื่อแวะมารับม้า

                      “ข่าวว่าราชินีโดนปฏิเสธจากการแต่งงาน ตั้งสองครั้ง ใครนะเป็นคนบ้าคู่นั้น” ชาวนาทักเขา

                      “ข้าเองล่ะ” คริสโตเฟอร์ว่า แปรงขนม้าอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ว่าราชินีคงไม่มีความสุขเมื่อแต่งงานกับข้า ก็เลยบอกยกเลิกไปเอง” เขาเอามือตบจมูกม้าเบาๆ อย่างรักใคร่ “ใส่ชุดนี้ไม่น่ารักเลย เพอร์ซิโฟเน”

                      มีเสียงดีดนิ้วเบาๆ แล้วหญิงสาวหน้าตาจืดชืดก็ปรากฏตัวขึ้น คราวนี้ในเสื้อคลุมสีเขียวมะนาว

                      “ข้าน่ารักเสมอ” นางว่า “เจ้าเสียใจไหม ที่ไม่ได้เป็นราชา”

                      “สามีของเอนอราไม่มีทางเป็นราชา เป็นเพียงสามีของราชินีเท่านั้นแหละ” เขาตอบ

                      “ที่แท้ก็แค่ทนไม่ได้ที่ผู้หญิงมีอำนาจมากกว่า ผู้ชายโหลยโท่ย”

                      “โหลยโท่ย... คำนี้แปลว่าอะไร ข้าไม่รู้จัก”

                      “ช่างมันเถอะ” แม่มดป่าถอนใจ

                      คริสโตเฟอร์ยังลูบคอม้า เมื่อเขาบอกว่า “บางทีข้าก็ยึดติดกับอดีตมากไป ข้าใฝ่ฝันถึงเอนอราที่เป็นเพื่อนกับข้าในวัยเด็ก แต่เช่นที่ราชินีเตือนข้า น้องเอนอราได้จากไปแล้ว เหลือแต่ราชินี” เขาถอนใจ “บางทีข้าก็อาจต้องเริ่มต้นใหม่สักที”

                      “กับ...” นางแม่มดถามเขินๆ

                      “ยังไม่รู้” ชายหนุ่มตอบ

                      “กับข้าได้ไหม”

                      คริสโตเฟอร์หันมาสบตาเพอร์ซิโฟเนเต็มตา แม้ว่านางไม่ใช่ผู้หญิงรูปงาม แต่ก็เป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย

                      “ตกลง ข้าอยากรู้จักท่านให้ดีขึ้น”

                      เพอร์ซิโฟเนยิ้มหวาน “งั้นเริ่มจากรูปร่างหน้าตาข้าก่อนเป็นยังไง”

                      นางแม่มดโบกไม้กายสิทธิ์ แล้วตรงหน้าของชายหนุ่ม คือแม่มดสาวผู้งามเฉิดฉันด้วยเรือนผมสีทองและดวงตาสีเขียวมรกต อีกทั้งรอยยิ้มเปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน

                      “สวัสดี คริสโตเฟอร์ แอฟเวอลีน คอร์นเวลล์ อสูรถั่วงอกทองคำ”

                      คริสโตเฟอร์ยักไหล่ ยิ้มยิงฟันขาวให้แม่มดสาว

                      ฝนโปรยละอองลงมาช้าๆ ฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว ล่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว เขามองเห็นหน่อดอกเชอรี่เริ่มแตกกิ่งบนยอดไม้เป็นสีชมพูอ่อน สะพรั่งไปทั่วชายป่า

                      โลกจะไม่เหน็บหนาวอีกต่อไป

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×