จะยกโทษให้ฉันได้ไหม - จะยกโทษให้ฉันได้ไหม นิยาย จะยกโทษให้ฉันได้ไหม : Dek-D.com - Writer

    จะยกโทษให้ฉันได้ไหม

    ความรักลำเค็ญแห่งอนาตค แนวไซไฟ

    ผู้เข้าชมรวม

    339

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    339

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 มิ.ย. 48 / 13:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      “ ที่ดาวดวงนี้เราขายสินค้าของบ.เราไม่ได้เลย  เราคงต้องกลับไปสนง.ใหญ่ที่แพรนเทีย ดาวของเรา  ”  ผู้จัดการร้านคนที่มีไฟทำงานแม้จะต้องเจอกับเหตุการณ์แย่ๆยังพูดด้วยอาการเซ็งสุดขีด  แต่ฉันช็อคกับประโยคนี้มาก

      “ เมื่อไหรค่ะ ”  มิทราเพื่อนสนิทและคู่หูในการทำงานของชั้นถาม  ขณะที่ฉันได้แต่นิ่งเงียบ

      “ ศุกร์หน้า ”  ผู้จัดการตอบ

      ‘ เร็วเหลือเกิน  อีกแค่ 2 วันเท่านั้น  แล้วฉันจะทำยังไง ’  ฉันอึ้ง





      ติ๊งต่องๆ
      ฉันกดเครื่องอินเทอร์โฟนที่หน้าบ้านเช่า 2 ชั้นหลังแคบๆ  รออยู่ไม่นานก็มีเสียงพร้อมกับใบหน้าของเขาโผล่อกมาที่เครื่อง เป็น 3 มิติ

      “ อ้าว  มาแต่เช้าเขียว ”  วูลฟทักเมื่อเขาเห็นฉัน

      เครื่องอินเทอร์โฟนปิดไป  แล้วประตูหน้าบ้านก็เปิดออก  เขาเดินมาเปิดประตูรั้วรับฉันเข้าบ้าน  เขาจูงมือฉันมานั่งที่โซฟา

      “ วันนี้คุณหยุดใช่ไหม  ไปเที่ยวกัน  พรุ่งนี้ด้วย ”  ฉันพูดออกไป

      “ ทำไมคนที่อยากจะไปเที่ยวถึงทำท่าซึมยั่งงี้ละ  ดูซิตาโหลเชียว ”  เขาพิศดูหน้าฉัน

      “ มีอะไรให้คิดนิดหน่อยน่ะ ”  

      “ มีเรื่องอะไรที่ร้านหรือเปล่า “

      “ ร้านเจ๊งน่ะ  แทบไม่มีคนซื้อเลย ”  ฉันตอบความจริงไปแค่ครึ่งเดียว

      “ อ้าว  แล้วจะทำยังไงล่ะ ”

      “ ไม่รู้ซิ  แต่ว่า ... ว่างแล้วไปเที่ยวกันดีหว่า  ไปเที่ยวให้ฉ่ำปอดซะ  วันหยุดเราไม่ค่อยตรงกันเลยนี่ ”  ฉันยิ้ม

      “ โทษทีๆ  วันนี้ไปไม่ได้  วันนี้จะทำโอทีน่ะ  เดี๊ยวจะออกไปแล้ว ”

      เขาคงเห็นฉันทำท่าซึมไปอีกละมั๊ง  เขาเลยพูดต่อไปอีกว่า

      “ นี่เป็นโครงการที่ดีมากเลยนะ  ถ้าทำงานนี้สำเร็จ  ผมอาจจะได้เลื่อนงานก็ได้นะ ”  เขามองตาฉันและกุมมือฉันเอาไว้

      “ เรเน่  จำได้ไหมที่ผมบอกกับคุณว่าถ้าผมได้เป็นผู้จัดการฝ่ายเมื่อไร  ผมจะขอคุณแต่งงาน ”  ฉันก็พยักหน้า

      “ เพราะฉะนั้น  อดทนหน่อยนะ  แต่ว่าพรุ่งนี้คงไปได้  ไป ... เดี๊ยวออกไปด้วยกัน  ขอผมไปอาบน้ำก่อน ”

      เขาเดินขึ้นไปข้างบน เพื่อไปอาบน้ำ  ส่วนฉันเอนตัวลงพิงกับพนักโซฟานั่งน้ำตาไหล

      ‘ ฉันคงพาเขาไปไม่ได้  คราวนี้คงต้องแยกจากกันตลอดกาล ... ’

      เวลาผ่านไปไม่นาน  ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินลงมา  ฉันรีบป้ายน้ำตาทิ้งและทำเหมือนปรกติ  

      ฉันมองดูเขาก้าวลงบันไดมา  ถึงแม้เขาจะแต่งกายด้วยชุดฟอร์มของบ.  เขาก็ดูแตกต่างจากคนอื่นๆในบ.  รัศมีของความโดดเดี่ยวปกคลุมรอบตัวเขา  ถึงแม้มันจะจางลงกว่าตอนที่ฉันเจอเขาครั้งแรก





      ฉันพบเขาครั้งแรกตอนที่ฉันเพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ใหม่ๆ เมื่อ 1 ปีก่อน  ดาวดวงนี้เพิ่งเปิดให้มีการติดต่อและการเดินทางระหว่างดาวดวงอื่น  เพราะต้องปรับปรุงดาวให้ดีขึ้นหลังจากที่มีสงครามภายใน  สงครามที่เกิดจากผู้มีเวทย์กดขี่พวกที่ไม่มีเวทมนตร์  จนต้องลุกขึ้นต่อต้าน  สงครามระหว่างเวทมนตร์กับเทคโนโลยีคร่าชีวิตผู้คนไปถึง 3 ใน 4 ของจำนวนประชากรทั้งหมด  หากแม้นในปัจจุบันก็ยังมีประชาชนที่ไร้เวทมนตร์ไปรับจ้างทำงานกับผู้มีเวทย์จะดีขึ้นก็เพียงแค่พวกเขาไม่ถูกทำร้ายทารุณเช่นแต่ก่อน

      วูลฟช่วยชีวิตฉันไว้จากพวกผู้ใช้เวทย์ที่ต้องการจะทำร้ายร่างกายของฉัน  เหตุการณ์นั้นทำให้เรา 2 คนสนิทกันจนกลายเป็นความรักในไม่ช้า  

      เขาเกลียดผู้ใช้เวทย์ทุกคนเพราะพวกนั้นใช้เวทย์ทำให้ทรัพย์สมบัติที่ดินของครอบครัวเขาไปเป็นของพวกมัน  และพ่อแม่ของเขาต้องทำงานหาเลี้ยงเขากับน้องสาวจนตาย  เขาต้องพาน้องสาวเข้าเมืองมาหาที่เรียน  และหางานทำ  แม้บัดนี้น้องสาวของเขาจะแต่งงานอยู่กินอย่างมีความสุขกับผู้ใช้เวทย์คนหนึ่ง  แต่นั้นก็ไม่ได้ลดความเกลียดชังต่อผู้ใช้เวทย์ของเขาลงเลย

      เขาคิดว่าฉันมาจากเมืองอื่นมาหางานทำที่นี่  เขาคิดว่าฉันเป็นลูกจ้างชาวต่างดาวเหมือนอย่างที่คนอื่นๆนิยมทำให้ขณะนี้  โอ้! ถ้าเขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดมันไม่ใช่  ฉันไม่เคยบอกเขา ...ไม่เคยกล้าบอกเขาตั้งแต่ฉันรู้ว่าเขาเกลียดผู้ใช้เวทย์  เราคงจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ... หากเขารู้ว่าฉันเป็นคนต่างดาว   ดาวที่มีแต่ผู้ใช้เวทย์  ใช่! ฉันก็เป็นผู้ใช้เวทย์คนหนึ่ง  เขา ... คงจะต้องเกลียดฉันแน่ๆ





      เช้าวันรุ่งขึ้น  ฉันไปหาเขาที่บ้านแต่เช้าเหมือนเดิม

      “ วันนี้จะไปเที่ยวไหน  คิดโปรแกรมมาหรือยัง  เจ้าหญิง ”   เขาโค้งคำนับล้อเลียนฉัน  “ วันนี้กระหม่อมจะไปทุกทีๆเจ้าหญิงบัญชา ”

      “ เอาจริงนะเหรอ  ไปทุกที่ๆ ฉันอยากไปเลยนะ ”

      “ ขอรับ ”

      “ งั้นรับรองว่าวันนี้ต้องเหนื่อยแน่ๆ ”  ฉันทำตาเจ้าเล่ห์

      มนต์ที่ฉันร่ายใส่ตัวเองนี่ได้ผลดีจริงๆ  หน้าฉันยิ้ม  ปากฉันยิ้ม  ตาฉันยิ้ม  แต่ใจฉันน่ะซิ... เฮ้อ...

      “ เช้านี้ไปกินที่ร้านอาหารร้านดังใกล้ๆ สวนสาธารณะ  ฝั่งน้ำพุ  แล้วก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนะ  ตอนบ่ายไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ  แล้วก็กินกลางวันที่นั่นเลย  ตอนเย็นไปจ่ายตลาดกัน  มื้อเย็นเจ้าหญิงจะทำให้กินเองจ๊ะ ”  ฉันสาธยายโปรแกรมวันนี้

      “ งั้นรีบไปกันเลย  จะได้รีบกลับมากินอาหารฝีมือเจ้าหญิง เอ๊ ... พรุ่งนี้จะไปทำงานไหวไหมเนี่ย  น่าหวั่นใจ ”

      “ ทำไมล่ะ  รายการที่คิดไว้มันน่าเหนื่อยเกินไปเหรอ ”

      “ เปล่า  กลัวว่าท้องจะเสียน่ะ  ให้หุ่นยนต์ทำน่ะดีแล้ว ”  พูดจบเขาก็รีบเดินหนีไปที่รถ

      “ บ้า ”  ฉันก็เดินตามไปทุบเขาในรถ





      หลังจากทานอาหารเช้าชุดใหญ่เสร็จ  เราก็รีบไปพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทันที  ฉันเลือกที่นี่ก็เพราะมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่เขาเกลียด  และฉันก็ไม่ค่อยได้เห็นสิ่งประดิษฐ์จากวิทยาศาสตร์มากนัก

      เราไปถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็เกือบบ่าย  เรารีบไปหาอะไรทานที่ร้านอาหารในบริเวณพิพิธภัณฑ์  เขารู้ว่าฉันชอบพวกสัตว์  สัตว์ที่ดาวของฉันสามารถสื่อสารกับคนได้  แต่ที่ดาวนี้ไม่มีตัวอะไรคุยกับฉันได้เลย

      เราเดินที่นี่กันจนเหนื่อย  จนเย็นแน่ะจึงออกไป  เขาชวนฉันแวะร้ายขายของฝาก  แต่ฉันปฏิเสธและบอกเหตุผลว่า

      “ วันนี้คุณออกเงินเลี้ยงฉันไปเยอะแล้ว  ไม่ต้องซื้อของอะไรหรอก  อีกอย่างเดินเลือกของน่ะมันนาน  เดี๊ยวจะอดอาหารฝีมือเจ้าหญิงนะจ๊ะ ”  ฉันจูงมือเขากลับไปที่รถจะได้ไปจ่ายตลาดกัน

      ความจริงแล้ว  ถ้าเราไปเที่ยวกันเหมือนปรกติ  ฉันคงจะขอให้เขาซื้อให้  แต่ในเมื่อคืนนี้เราจะจากกันแล้ว  ของที่ทำให้นึกถึงความรักของเรา ... ก็ไม่จำเป็น ...





      กว่าเราจะกลับมาถึงบ้านเขาก็ 6 โมงเย็นแล้ว  ฉันรีบเข้าครัวไปอาการโดยที่มีวูลฟเป็นลูกมือ  ฉันทำทั้งอาหารของดาวดวงนี้และที่ดาวของฉัน  ฉันอ้างกับเขาว่าที่ร้านฉันทำกินกันบ่อย  ฉันเลยจำมาทำบ้าง  แต่จริงๆแล้ว มีอาหารบางจานหรอกที่ฉันจำมา  นอกนั้นก็เป็นอาหารที่แม่ทำให้ฉันทานบ่อยๆ  เวทมนตร์น่ะเสกของกินได้  แต่มันก็เป็นของปลอม  ทานเท่าไรยังหิว

      เรานั่งที่โต๊ะทานข้าวตัวเล็กๆด้วยกัน  พูดคุยพร้อมกับทานข้าวไปด้วยกันอย่างมีความสุข  หลังจากทานอาหารเสร็จ  เราก็ช่วยกันเก็บจานไปล้าง  แล้วไปนอนดูทีวีด้วยกัน  บรรยากาศแห่งความสุขอบอวลไปจนทั่ว  ภาพนี่เป็น 1 ในหลายๆ ภาพที่ฉันเคยคิดฝันว่ามันจะเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันแต่งงานกับเขา  วันนี้ ... ฝันก็ได้เป็นจริง ... แม้เพียงสิ่งหนึ่ง

      “ 4 ทุ่มแล้วนะ  ยังไม่กลับเหรอ  เดี๊ยวเข้าหอไม่ได้หรอก ”  เขาพูดกับฉัน

      “ ไม่เป็นไร  เข้าหอไม่ได้  ค้างนี่ก็ได้ ”  ฉันอิดออด  เวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดลง

      “ ไปเถอะ  คืนนี้ผมต้องเตรียมงานไปพรีเซนต์กับหัวหน้า ”  เขาดันหลังให้ฉันลุกขึ้นจากท่านอนเอกเขนกบนโซฟาหน้าทีวี

      ฉันจำใจลุกขึ้น  เดินไปหยิบกระเป๋า  และสวมรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้หน้าบ้าน  เขาเดินตามมาส่งฉันที่หน้าบ้าน

      “ จูบลาฉันหน่อยซิ ”  ฉันเขย่งตัวขึ้นจูบเขาโดยที่ไม่ต้องรอให้เขาตอบ

      เขาคงแปลกใจที่ฉันทำแบบนี้  แต่เขาก็กอดและจูบตอบฉัน  ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้  เขาก็ดันตัวฉันออก

      “ ไป  กลับไปได้แล้ว ”

      “ ลาก่อน ... บอกลาฉันด้วยซิ ” ฉันเซ้าซี้

      “ ลาก่อน ”

      “ วันนี้เป็นอะไรไป  ว่าง่ายจัง ”  ฉันยิ้มให้เขาแล้วโบกมือลา

      ฉันเดินออกประตูไป  เลี้ยวขวาไปตามทางเดิน  ฉันหันกลับไปมองบ้านของเขา ... บ้านที่เราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน ... ฉันหันหลังกลับมา  เดินต่อไปที่ด้านหลังสวนสาธารณะ  ระหว่างทางฉันก็ถอนมนต์ที่ทำให้ฉันยิ้มแย้มไปด้วย





      ฉันเดินเข้าไปในสวนสาธารณะที่ไม่มีคน  ทั้งมืดทั้งเงียบเหงา  ฉันเดินไปหยุดยังลานกว้างๆ  ด้านในลึกๆ ที่จะไม่มีคนเห็น

      ฉันเรียกถุงผ้าที่บรรจุทรายเวทมนตร์จากห้องของฉันที่หอมาไว้ที่มือ  แล้วเทมันกับพื้นเป็นรูปวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เมตร  ฉันเดินเข้าไปยืนข้างในวงแล้วร่ายมนต์เพื่อกางเขตแดน  

      “ ในนามแห่งข้า เรเน่ แห่ง เซเรีย  แผ่นดินเอ๋ย  จงปันพื้นที่ส่วนเล็กๆนี้แก่ข้า  เวลาเอ๋ยจงเพิกเฉยต่อพื้นที่นี้  ความมืดเอ๋ยช่วยผิดบังข้าและการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในเขตแดนนี้  อย่าให้ผู้ใดเห็น ”

      กำแพงสีดำเกิดขึ้นตามรอยทรายเวทมนตร์ที่ฉันได้เทไว้  หากมองจากด้านนอก  จะมีผู้ใดมองเห็นว่าฉันทำอะไร  แล้วฉันก็ร่ายเวทมนตร์ต่อ

      “  ความง่วงเอ๋ยจงคลอบงำชาวพื้นพิภพนี้ที่รู้จักข้าให้หลับใหล  ความทรงจำเอ๋ยข้าวอนขอเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาเมื่อใด  จงลืมตัวข้าไปให้หมดสิ้น  ความทรงจำเอ๋ย  ช่วยลบการมีอยู่ของข้าจากสิ่งของและสถานที่ๆข้าเคยไปเคยสัมผัส  สรรพสิ่งที่สามารถระลึกถึงข้าที่เป็นของข้าและวูลฟ   แลนกัสได้จงมารวมกัน ณ ที่นี่ ”

      สิ่งของต่างๆมากองรวมกันอยู่ตรงหน้า  รูปถ่าย 3 มิติที่เคยถ่ายกับเขา  ของที่เขาซื้อให้  ของขวัญที่ฉันให้เขา ฯลฯ  อยู่ตรงหน้าฉันทั้งหมด  ฉันหยิบของแต่ละชิ้นขึ้นมาและนึกไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ได้มันมา  ทุกเรื่องยังอยู่ในความทรงจำ  ฉันหยิบรูปของเรา ... รูปที่เขากำลังกอดฉันขึ้นมาไว้ในมือ  จากนั้นจึงร่ายมนต์ต่อ

      “ ไฟเอ๋ย  โปรดฟังคำขอร้องของข้า  โปรดเผสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าอย่าเหลือเพียงเศษเสี้ยวเดียว ”

      กองไฟสีฟ้าลุกโพลงขึ้น  แผดเผาสิ่งของแต่ละชิ้นทีละเล็กละน้อยไปพร้อมกับหัวใจของฉัน  ฉันมองรูปที่ฉันกำไว้อยู่ครู่หนึ่ง  แล้วต้องตัดใจ  โยนมัน ... สู่กองไฟ

      ฉันทำลายเขตแดนแล้วหายตัวกลับไปยังห้องพักที่พักกับมิทรา  พอฉันถึงห้องพัก  ฉันก็ทรุดลงนอนกับเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการร่ายมนต์ยาวๆ  และใช้กับคนหลายคน

      “ นี่เธอใช้เวทย์ลบตัวเองงั้นเหรอ  ผู้ดูแลหอถึงไม่รู้จักเธอ  บ้าจริงๆ ”  มิทราต่อว่าทันทีที่เห็นชั้นเข้ามาในห้อง

      “ อืม  ไม่ไหวแล้ว  เหนื่อยจะตาย  เธอห่อชั้นขึ้นยานไปด้วยนะ  ชั้นจะจำศีล ”

      “ ยัยบ้านี่  หาเรื่องจริงชัดๆ ”  มิทราบ่นฉันมากมาย  แต่ฉันก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเสียแล้ว

      แสงสีเขียวอ่อนแผ่รอบร่างกายเป็นเกราะป้องกันและเป็นสัญลักษณ์ว่าบุคคลผู้นี่กำลังจำศีลฟื้นฟูร่างกายตนเองอยู่





      ฉันตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่ในยานขนส่งแล้ว  มิทราบ่นฉันทันทีที่ฉันเดินออกมาจากห้องพัก  หากฉันไม่ได้ฟังที่เธอพูดเท่าไรนัก  ใจของฉันกลับไปที่ดาวดวงนั้น ... ดาวที่เขาอยู่  เมื่อเธอเห็นว่าฉันไม่ได้ฟังที่เธอพูด  เธอจึงผละไป

      ฉันรู้   มิทราหงุดหงิดกับท่าทางของฉันที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวเงียบๆ  หรือถ้าเธอลากฉันออกไปจากห้อง  ไปจับกลุ่มคุยกับคนอื่นๆในยาน  ฉันก็ไม่ได้พูดกะคนอื่นมากนัก  มิทราพยายามให้ฉันรู้สึกสดชื่น  แต่ก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด

      สิ่งที่เพิ่มความหงุดหงิดให้มิทรา  คือ  การเดินทางด้วยยานขนส่ง  ไม่เพียงแต่มิทราหรอก  คนอื่นๆก็ด้วย  คนที่เคยเดินทางด้วยการหายตัวไป สามารถย่นระยะเวลาในการเดินทางได้  แต่เมื่อมีของต้องขนไปด้วยมากจึงไม่สามารถทำได้  ถึงแม้ยานลำนี้จะเป็นยานรุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถแล่นได้เร็วที่สุดในทางช้างเผือกแห่งนี้  และมีการวาร์ฟเอ๊าท์เป็นระยะๆ  แต่ระยะการเดินทางเกือบ 7 ปีแสงในเวลา 1 เดือนก็ยังไม่เพียงพอ

      สำหรับฉัน  ถึงแม้ฉันจะจำศีลไป 15 วัน  ฉันยังรู้สึกถึงความยาวนานของวันมากกว่าคนอื่น  เพราะฉันคอยคิดถึงแต่เรื่องของเขาตลอดเวลา

      เมื่อฉันจะอาบน้ำ  ฉันก็ปลดตะขอเสื้อที่ข้อมือเพื่อถอดเสื้ออกเพื่อไปอาบน้ำ  แล้วฉันก็ต้องสะดุดกึกทันทีที่ฉันสัมผัสความเย็นของโลหะที่ข้อมือ  ฉันดึงแขนขึ้น  ก็พบกับกำไลเงิน  ฉันถอดมันออกแล้วหัวเราะตัวเอง  ฉันลืมมันไปเสียสนิท  เพราะคาถาไม่ครอบคลุม  เพราะมันอยู่กับตัว  อยู่ในเขตแดนแล้ว  กำไลเงินที่เขาให้ฉันเป็นของขวัญวันเกิด  ที่ด้านในสลักชื่อของเขากับฉันไว้  พอฉันอ่านชื่อของเขา  ฉันก็ร้องไห้ ... ร้องไห้กับกำไลที่ถืออยู่ในมือ





      2 ปีผ่านไป ...
      “ พวกเธอ 2 คนจะต้องไปเปิดร้านที่ดาวลีท  ลูกน้องไปด้วย ซัก 10 นะ ” หัวหน้าเรียกฉันกับมิทราเข้าไปหาที่ห้องเพื่อแจ้งข่าวการเดินทางไปเปิดสาขาที่ดาวอื่น

      “ ที่ไหนนะคะ ”  ฉันไม่แน่ใจว่าได้ยินถูกหรือไม่

      “ ลีท  ดาวที่พวกเราเคยไปเปิดร้านแต่ขายไม่ออก  เมื่อ 2 ปีก่อนไง ”

      “ แต่ว่าครั้งก่อนเราไปกับหัวหน้าแล้วยังขายไม่ได้  ถ้าเราไปกันเองจะขายได้หรือคะ ”  ฉันถาม

      “ ครั้งก่อนเขาเพิ่งเปิดดาวคงยังไม่พร้อมที่จะซื้อสินค้านำเข้า  แต่ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา  สินค้าจากดาวอื่นก็ขายได้มากแล้ว ”

      “ แล้วทำไมต้องเป็นเรา 2 คนด้วยคะ ”  ฉันถาม

      “ เพราะ หนึ่ง  พวกเธอเคยไปดาวนั้นมาแล้ว  จะต้องรู้ดีว่าควรใช้กลยุทธ์แบบไหน  และสอง เรเน่ผลงานของปีกว่าที่ผ่านนี้ดีมาก  เธอขยันทำงานนะ  ฉันเชื่อว่าพวกเธอสามารถขายสินค้าชองเราที่นั่นได้  ฉันให้เวลา 1 ไตรมาสจะต้องขายได้มากกว่า 5 หมืนชิ้น  ถ้าขายได้น้อยกว่านั้นต้องถูกส่งกลับและลดเงินเดือน  เอาละ ไม่มีข้อคัดค้านแล้วใช่ไหม  ไปเตรียมตัว  อีก 3 3วันออกเดินทาง  นี่ตั๋ว ”  

      ตั๋วปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเรา  พวกเราหยิบเก็บใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทด้านใน  แล้วหายตัวออกจากห้อง

      “ ตายแน่ๆ  คราวนี้ฉันคงจะแตกสลายไปจริงๆ ”  ฉันพูดกับตัวเองเบาๆในห้องน้ำที่ฉันเพิ่งเข้ามาหลังจากแยกกับมิทรา





      “ สินค้านำเข้าจากดาวแพรนทียค่ะ  เสื้อผ้าลงคาถา  มีประโยชน์  มีหลายแบบให้เลือกค่ะ  เข้ามาดูก่อนได้  ไม่ซื้อไม่ว่า ”  คำโฆษณาดังซ้ำๆ กันมาจากเครื่องเสียงที่ซ่อนไว้พร้อมกับมีดนตรีจังหวะร่าเริงประกอบ ดังหลายที่ในเมืองท่า

      เรามาเปิดบูธเล็กๆอยู่ตามที่ต่างๆทั้งใกล้ท่าเรือ  ในย่านการค้า  กลางเมือง  ใกล้โรงเรียน ฯลฯ  ตามที่มิทราเสนอว่าให้ตั้งบูธเล็กๆกระจายทั่วเมืองให้มีคนรู้จัก  ถ้าขายได้เยอะจะได้ไปเช่าตึกและเปิดร้านใหญ่

      เรามาตั้งบูธได้ครึ่งเดือนแล้วและลูกค้ามากกว่าที่เราคิด  ทั้งๆ ที่ครั้งแรกที่เรามาตั้งร้านเมื่อ 2 ปีก่อน  แทบจะไม่มีลูกค้าเลย  คงจะจริงอย่างที่หัวหน้าบอก  ต่อไปเราคงจะขายได้ตามเป้าที่หัวหน้ากำหนด

      พอมีเวลาว่างจากการค้าขาย  ฉันก็เผลอตัวมองหาแต่วูลฟ  ฉันเคยคิดจะไปแถวบ้านของเขาแต่ก็เปลี่ยนใจ  

      ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมที่เขาจะขอฉันแต่งงานถ้าเขาได้ตำแหน่งสูงกว่านี้  และฉันก็ตอบรับเขาไปแล้วด้วย  ผู้ใช้เวทย์เห็นคำพูดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เมื่อสัญญาสิ่งใดไปจะต้องทำตาม  แล้วฉันจะทำอย่างไร  ในเมื่อเขาลืมฉันไปแล้ว


      แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้เห็นเรื่องที่น่าหวั่นใจที่สุด  วันนั้นฉันเดินออกมาซื้อของที่ร้านค้าใกล้ๆหอ  ฉันเดินชนกับเขาที่ตรงมุมตึก  ฉันได้กลิ่นเหล้าลอยมาจากตัวเขา  เขามากับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง  แค่มองผ่านๆ ฉันก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของเขา  เขาพึมพำขอโทษเบาๆ และเดินจากไป  ฉันได้แต่มองตามหลังเขา  จะทำไงได้ล่ะ  ฉันเป็นคนทำตัวเองนี่  นี่ฉันจะทนอยู่ที่นี่แล้วเห็นเขากับคนนั้นเดินด้วยกันไปได้นานแค่ไหนกัน





      สินค้าร้านเราขายได้ดีมาก  ภายใน 1 เดือน  เราขายได้เกือบ 3 หมื่นชิ้นในเมืองเดียว  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ้าพันคอช่วยบินและเข็มขัดลดแรงเสียดทานขายได้มากจนมีใบสั่งจองเข้ามามากมาย  พวกเราวุ่นกันจนไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่น  

      ตอนนี้มิทราเป็นผู้จัดการสาขาดาวลีท  และฉันได้เป็นรองผู้จัดการ  เราต้องติดต่อหาเช่าอาคารที่จะตั้งเป็นสำนักงานที่ชั้นบน  และร้านค้าที่ด่านล่าง  เราต้องจ้างแรงงานในพื้นที่มาขายของ  ต้องติดต่อไปที่สนง.ใหญ่ให้ส่งคนและสินค้ามาเพิ่ม  ต้องควบคุมการจัดแต่งภายในสนง.ให้ดูดี  ราแบ่งหน้าที่กันทำ  ฉันยกงานที่ติดต่อกับบ.โฆษณาให้มิทรา  ขณะที่ฉันดูแลเรื่องภายในสนง.

      “ พรุ่งนี้เธอพอจะว่างไหม ”  มิทราเดินเข้ามาถามขณะที่ฉันกำลังเช็คสินค้า

      “ นิดหน่อย  ทำไมละ ”  

      “ ชั้นนัดบ.โฆษณาเอาไว้  เธอต้องไปช่วยชั้นนำเสนอสินค้าของบ.  เธอจะได้เสนอได้ว่าเธออยากให้โฆษณาออกมาแบบไหน ”  ซึ่งฉันก็ตอบตกลง

      ฉันน่าจะถามเธอก่อนว่าเธอติดต่อบ.ไหนไว้  ฉันจะได้ให้เธอไปคนเดียว  ฉันคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นไปได้  จะเรียกมันว่าความผิดพลาดได้หรือเปล่านะ  แต่นั้นทำให้ฉันทั้งรู้สึกดีใจและเสียใจ





      ที่ชั้น 5 ชั้นสูงสุดของอาคารให้เช่าซึ่งบัดนี้บ.สิ่งทอลงคาถากำลังเป็นผู้เช่าอยู่  ได้มีแขก 2 คนเดินทางมาพบผู้จัดการเพื่อติดต่อทางธุรกิจ

      เด็กขายของในร้านจึงพาชายทั้ง 2 ขึ้นไปด้านบน  เธอเคาะแระตูของอนุญาตจาคนในห้อง

      “ คุณมิทราคะ  มีคนมาขอพบค่ะ  จากบ. ซีดีเอ ค่ะ ”

      “ ให้เข้ามาจ๊ะ ”

      เมื่อสิ้นเสียงมิทราประตูก็เลื่อนเปิด  ชาย 2 คนในชุดสูทเดินตามกันเข้ามา  ฉันช็อคไปทันทีเมื่อเห็นคนหลังที่เดินตามมา  ฉันโทรจิตพูดกับมิทราทันที

      ‘ มิทรา  เธอรู้เรื่องนี้มาก่อนใช่ไหม  มิทรา ... มิทรา! ’ ฉันพยายามเรียกเธอแต่เธอก็ไม่ตอบ

      ‘ อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป  เขาจำไม่ได้หรอก ’ ฉันได้แต่บอกตัวเองอย่างนั้นและตั้งสติให้สงบ

      มิทราและฉันยืนต้อนรับฝ่ายที่เดินเข้ามาพร้อมทั้งกล่าวคำทักทายและแนะนำตัวเธอเองและแนะนำฉันให้ผู้มาใหม่ทั้ง 2 ได้รู้จัก  

      “ สวัสดีค่ะ  ดิฉันมิทราที่ติดต่อไป  เป็นผู้จัดการสาขานี้ค่ะ  ส่วนทางด้านนี้คือเรเน่  เซเรีย  รองผู้จัดการค่ะ ” มืทราผายมือมาที่ฉัน

      “ สวัสดีครับ  ผมเจเรม โทม  หัวหน้านักออกแบบที่รับผิดชอบงานโฆษณาบ.ของคุณครับ  ทางด้านนี้คือวูลฟ  แลนกัส  ผู้จัดการผ่านการออกแบบของบ.ครับ  ยินดีที่ได้รู้จัก ”

      เจมเรมจับมือมิทราก่อนแล้วจังหันมาจับมือฉัน  และวูลฟเป็นคนต่อมา  เมื่อวูลฟจับมือฉันก็เกิดกระแสไฟฟ้าแรงจนทำให้เขาสะบัดมือออกและทรุดตัวลงนั่งกับพื้น  คนอื่นๆในห้องต่างก็รีบเข้ามาดูอาการเขา

      เจเรมพยุงตัววูลผไว้และเรียกชื่อเขาเสียงดังด้วยความตกใจหลายครั้ง  จนวูลฟตอบกลับมาเบาๆ ว่า

      “ ไม่เป็นอะไร  แค่หน้ามืด  ไม่ต้องห่วงหรอก ”  วูลฟยืนตัวลุกขึ้นยืน  “ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ ”

      ขณะที่เจเรมอธิบายว่าคงเพราะหัวหน้าของเขาทำงานหนักมาตลอด  เลยทำให้หน้ามืดไป  แต่วูลฟกลับมองตรงมาที่ฉัน  ดวงตาของเขาบอกอะไรได้มากมายและสิ่งที่ชัดเจนที่สุด ... เขาจำฉันได้ ... ภายในไม่กี่นาทีความสับสนในดวงตาของเขาก็หายไป  เหลือไว้แต่ความโกรธ

      ฉันผงะถอยหลังลงทรุดนั่งกับเก้าอี้  ไม่ใช่เพียงเพราะความโกรธในสายตาของเขาพุ่งตรงมาที่ฉันเพียงอย่างเดียว  แต่ฉันได้รับผลกระทบอันนั้นด้วย  ฉันได้แต่โทรจิตบอกมิทรา

      ‘ มิทรา  เขาจำฉันได้แล้ว ... เวทมนตร์ล้มเหลว  มันสะท้อนกลับมาที่ฉัน ... ’  

      ฉันตัวสั่นไปด้วยความเจ็บปวดจากผลสะท้อนของเวทมนตร์  ร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ไม่กี่วินาทีความเจ็บปวดก็บรรเท่าลง  ฉันเห็นเส้นใยเวทมนตร์สีขาวๆออกมาจากร่างของมิทรามาสู่ร่างของฉัน  มันช่วยฉันได้มากทีเดียว

      “ ไปนั่งพักที่เก้าอี้ก่อนก็ได้ค่ะ  เรเน่เคยเรียนมนต์แห่งการรักษามา  คงพอช่วยอะไรคุณได้บ้าง ”  มิทราพูดกับวูลฟ  ทำให้ฉันหันไปมองหน้ามิทราทันที

      “ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้อง ” เขาพูดกับมิทราอย่างสุภาพ

      “ ที่ดาวของเรา  ทุกคนเป็นผู้ใช้เวทย์ ... คุณก็คงพอทราบมาบ้าง ... คุณไม่ต้องกังวลว่าจะรักษาไม่ดีหรอกค่ะ ” มิทรารับรองด้วยความหวังดี  แต่เจเรมพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า

      “ คุณวูลฟเข้าไม่ชอบเรื่องเกี่ยวกับพวกเวทมนตร์หรอกครับ ”  แล้วทั้งห้องก็เงียบไป

      วูลฟบอกให้เจมเรมคุยกับพวกเราว่าต้องการให้โฆษณาออกมาแบบไหนโดยไม่ต้องสนใจอาการของเขา  บรรยากาศระหว่างฉันกับวูลฟค่อนข้างจะอึดอัดจากท่าทางของเขา  เขาไม่พูดกับพวกเรามากนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฉันแล้ว  เขาไม่แม้จะเหลือบแลสายตามามองทางฉันเลย

      หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วฉันถามมิทราถึงเหตุผลที่บอกเขาเรื่องพวกเราเป็นผู้ใช้เวทย์กับวูลฟ

      “ ก็ในเมื่อเขาจำเธอได้แล้ว  เขาก็ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาลืมเธอ  ทำไมรูปเธอถึงหายไป  สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว  ตอนนั้นเธอกลัวเขาเกลียดเธอ  แต่ตอนนี้เขาโกรธเธอไปแล้ว  อีกอย่าง  ดาวเราก็มีแต่ผู้ใช้เวทย์เรื่องนั้นที่ไหนๆ ก็รู้กันทั้งนั้น  ถ้าเขารักเธอจริง  เขาก็ต้องรับสิ่งที่เธอเป็นได้ซิ  แล้วไม่ต้องยกเอาเรื่องที่พ่อของเธอถูกพวกโจรสลัดที่มาปล้นยานขนส่งอาหารฆ่าตายหน่อยเลย  มันไม่เหมือนกัน ”

      มิทราใส่เป็นชุดและเหตุผลทั้งหมดนั้นฉันเถียงไม่ได้ซักข้อเดียว





      ฉันพยายามจัดการงานให้เสร็จตั้งแต่กลางวัน  เพราะต้องรีบออกจากที่ทำงาน  ฉันต้องไปคุยกับเขา  ไปขอโทษเขา  กิจการของร้านกำลังไปได้ดี  ฉันคงยังไม่ต้องกลับไปสนง.ใหญ่  แต่ฉันจะทนอยู่ที่นี่ ... ทำงานกับบ.ที่เขาทำงานอยู่โดยที่เขาไม่แลฉันไม่ๆไหวแน่

      ฉันมักจะไปยืนรอที่ใกล้ๆบ้านของเขาจนดึกดื่นทุกวันก็ยังไม่เห็นเขากลับบ้าน  บางครั้งผู้หญิงคนรักของเขา ... ก็มาที่บ้านเขา  ทำให้ฉันต้องหลบไปทันที  ฉันไม่อยากเจอหน้าเธอเลย





      คืนหนึ่งฉันมารอเขาที่เดิม  ฉันมองเข้าไปในบ้านก็เห็นรถจอดอยู่  แต่ไฟในบ้านกลับมืดสนิท  ฉันมองดูดวงจันทร์เพื่อกะเวลา  

      ‘ ยังเร็วเกินไปที่เขาจะกลับถึงบ้าน  คงออกไปกับคนอื่นๆละมั๊ง ’ ฉันคิด

      ฉันรอจนเกือบจะเปลี่ยนใจกลับห้องชุด  แต่ทันใดนั้น  ฉันก็เห็นรถคันหนึ่งลอยมาจอดหน้าบ้านเขา  และเขาก็ก้าวลงจากรถ  แล้วโบกมือลาคนในรถ  รถคันนั้นก็จากไป

      ฉันก้าวสู่แสงสว่างของถนนและเรียกชื่อเขา  เขาชะงัก  แต่เขาก็ไม่สนใจเสียงเรียก

      เขากำลังสแกนดวงตาของเขาเพื่อเป็นกุญแจเข้าบ้าน  ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้และเรียกชื่อเขาอีกครั้ง

      “ วูลฟ  ...  ฉันอยากจะคุยกับคุณ  ได้โปรดเถอะ ... ”

      เขาเงียบไปครู่หนึ่งแต่ก็นานเหมือนเป็นชั่วโมง  แต่แล้วเขาก็พูดออกมา

      “ คุณควรไปคุยกับเจเรมทที่ทำงานหรือจะเรียกเขาไปที่ทำงานคุณก็ได้  เขาเป็นผู้รับผิดชอบ  ไม่ใช่ผม ”  ท่าทางของเขาห่างเหินเป็นอย่างยิ่ง

      ประตูลั้วเลื่อนเปิดออกและเขาก็ก้าวเข้าไปข้างใน  ฉันได้แต่เดินตามไปที่หน้าประตู

      “ วูลฟ  ได้โปรดเถอะ  ขอโอกาสให้ฉัน ... ”  แต่เขาก็ปิดประตูใส่หน้าฉันแล้วเปิดประตูก้าวเข้าบ้านโดยไม่เหลียงหลังกลับมามองฉันเลยแม้แต่นิดเดียว





      หลังจากวันนั้น  ฉันก็ไปอีกเจอบ้างไม่เจอบ้าง  แต่เขาก็ไม่ต้อนรับฉันเลย  ฉันเคยเดินเข้าไปใกล้ๆและแตะแขนเขาเพื่อให้เขาหยุด  แต่เขาก็สะบัดแขนแรงจนฉันกระเด็นล้มลงกระแทกพื้น  เขาเดินเข้ามาใกล้ๆฉันและยื่นมือมาเหมือนจะช่วยฉันลุก  เขาแสดงท่าทางเป็นห่วงและเสียใจกับสิ่งที่เขาทำออกมาชัดเจน  แต่พอฉันยกมือขึ้นจะจับมือเขา  เขาก็ลดมือลงและเดินหนีเข้าบ้าน  ปล่อยฉันนั่งอยู่กับพื้นเพียงลำพัง

      ช่วง 3 – 4 วันมานี้  ฉันไม่ได้ไปรอเขาเลย  เพราะฉันได้ยินจากเจเรมว่าที่บ.งานยุ่งมาก  จนหลายๆตน  รวมทั้งวูลฟต้องนอนค้างที่บ.

      เจเรมกลายเป็นคนส่งข่าวของวูลฟให้ฉันโดยไม่รู้ตัว  วันหนึ่งที่ฉันไปทานอาหารค่ำกับเจเรมหลังจากที่เราตกลงเรื่องงานเสร็จ  เขาเล่าเรื่องต่างๆของบ.  ตัวเขา  และวูลฟมากมาย  ท่าทางเจเรมจะชื่นชมวูลฟไม่น้อยเลยทีเดียว  เขายังเผลอเล่าเรื่องคนรักของวูลฟให้ฉันฟังอีกด้วย

      “ ช่วง 2 ปีมานี่ผู้จัดการผมเขาชอบผู้หญิงผมยาวประบากับบุคลิกคล้ายๆ คุณนั่นแหละ  พอเขาไปเดินตามถนนก็ชอบมองแต่สาวๆ แบบนี้  บางทีเขาก็เข้าไปทักเลย  ผมเคยถามว่าทำไมเขาชอบผู้หญิงแบบนี้   เขาก็บอกว่าเหมือนเขาจะรู้จักคนที่มีลักษณะอย่างนี้แต่จำไม่ได้แล้ว  คนรักของเขาคนนี้ก็เหมือนกัน  แต่ทำไมเขาไม่สนใจคุณนะ  ”

      “ สงสัยเพราะฉันผมยาวมั๊งคะ ”

      ใช่ตอนนี้ฉันผมยาวจนถึงเอว  แต่เมื่อก่อนผมของฉันก็ยาวประบา  แต่บุคลิคของฉันตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ไม่เปลี่ยนไปเลย  ฉันไม่เคยรู้เลยว่าคาถาลบความจำจะมีผลข้างเตียงด้วย





      บ่ายวันหนึ่ง  ฉันกำลังสำรวจพื้นที่ๆ เมืองอื่นเพื่อจะขยายสาขากับลูกน้องอีก 2 คน  พวกเรากำลังจะกลับเพราะเมืองนี้ไม่เปิดสาขา  เพราะประชาชนเกือบทั้งหมดเป็นผู้มีเวทย์และยังมีพวกอันธพาลเยอะทีเดียว  ยิ่งได้ยินเสียงคนกำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทใกล้ๆ  พวกเราก็ยิ่งระแวง  ฉันตัดสินใจกลับบ.  ตอนที่ฉันเกือบจะหายไปออกจากสถานการณ์ตรงนั้นแล้วเชียว  ถ้าฉันไม่ไปเห็นคนที่ถูกรุมทำร้ายอบู่กลางวงเสียก่อน

      ‘ วูลฟ! ’ ฉันตกใจมาก  ฉันบอกให้พวกลูกน้องกลับไปก่อน  ฉันต้องพยายามช่วยเขาออกมาให้ได้

      ฉันหายตัวจากตรงที่ยืนอยู่ไปอยู่ข้างกายวูลฟที่ใกล้จะหมดสติอยู่แล้ว  ฉันจับตัวเขาพร้อมกับสร้างเกราะป้องกันล้อมรอบเรา 2 คน  เพื่อป้องกันลูกไฟที่พุ่งตรงมาแล้วหายตัวไปจากตรงนั้นทันที

      ฉันต้องพาเขาหนีเพราะฉันไม่มีความรู้เรื่องการต่อสู้  ฉันไม่เคยฝึกเวทย์แบบนี้  ฉันมีแค่คาถาไว้ป้องกันตัวนิดหน่อยเท่านั้น

      ฉันหายตัวไปในระยะทางสั้นๆ ไปโผล่หน้าสถานีตำรวจ  แต่คงเพราะจู่ๆ ฉันโผล่เข้ามาแล้วพาตัวเขาออกไปล่ะมั๊ง  จึงไม่มีใครตามสักคน  ฉันจึงต้องหายตัวอีกครั้งไปที่บ้านของเขา

      หุ่นยนต์ในบ้านของเขาตรวจพบเราได้ในทันทีที่ฉันหายตัวเข้าไปในห้องนอนเขาแล้วใช้พลังจิตยกเขาขึ้นวางไว้บนที่นอน  มันถามเพื่อตรวจสอบเรา  ฉันเรียกวูลฟให้ตื่นขึ้นมา

      “ วูลฟ  ลืมตาหน่อย  เดี๊ยวหุ่นยนต์คุณจะโทรไปเรียกตำรวจให้มาทีนี่ ” ฉันเขย่าตัวเขา  เขาพยายามลืมตาที่มีบาดแผลให้หุ่นยนต์ตรวจม่านตา

      “ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน  คุณวูลฟ ”  หุ่นยนต์พูด  “ แล้วอีกคนหนึ่งคือใคร ”

      “ เรเน่  เซเรีย  ลูกค้าของบ. ”  วูลฟพยายามตั้งสติพูดกับหุ่นยนต์

      ถึงสิ่งที่เขาพูดกับหุ่นยนต์จะเป็นความจริงแต่ก็ฉันก็อดเจ็บกับคำพูดนั้นไม่ได้

      “ บันทึกไว้ในรายชื่อแขกเรียบร้อย  คุณบาดเจ็บ ต้องการแพทย์ไหม ”

      “ ไม่ต้อง ... ออกไปได้แล้ว ”  หุ่นยนต์จึงเคลื่อนตัวออกไป

      “ คุณบาดเจ็บหนักขนาดนี้ไม่เรียกหมอมารักษาได้ยังไง ”

      “ คุณด้วย ... กลับไป ” เสียงของเขาเบาลง

      “ วูลฟๆ  ” สติของเขาลางเลือนลงทุกทีๆ “ ในเมื่อคุณไม่เรียกหมอ  ฉันคงต้องจัดการด้วยตัวฉันเองแล้วล่ะ  ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณตาย ”

      ฉันเปิดหน้าต่างออกทุกบานแล้วจึงตรวจร่างกายเขาโดยพุ่งพลังจิตไว้ที่ฝ่ามือแล้วไล้ไปตามตัวเขา  เขาบาดเจ็บภายในหนักเสียจนฉันตกใจ  กระดูกซี่โครงหัก 3 ซี่  ช้ำใน  กระดูกแขนหัก  เลือดออกภายใน  และแผลทั้งเล็กใหญ่อีกหลายแห่งด้านนอก  

      ‘ขนาดมีอุปกรณ์สร้างเกราะป้องกันยังบาดเจ็บขนาดนี้ ’

      ฉันยกมือทั้ง 2 ขึ้นแล้วจับที่มือเขา  ปล่อยเวทย์แห่งการรักษาเข้าไปภายในตัวเขา  ปล่อยให้มันค่อยๆรักษาการบาดเจ็บภายใน  และแบ่งพลังชีวิตให้เขาอีกนิดหน่อย  การทำอย่างนี้ทำให้ฉันเหนื่อยแต่ไม่เป็นอะไร  อีกไม่นานฉันก็สร้างมันขึ้นมาได้อีก  จากนั้นฉันก็ยื่นฝ่ามือไปแตะที่บาดแผลภายนอกเพื่อรักษา  บาดแผลภายนอกรักษาหายหมดแล้ว  แหลือแต่บาดแผลภายในที่ต้องใช้เวลา

      ฉันอยากอยู่ดูแลเขาจนกว่าเขาจะหาย  แต่เขาไม่อยากเห็นหน้าฉัน  ฉันก็คงต้องกลับไปก่อน

      ฉันเรียกหุ่นยนต์ให้โทรศัพท์ไปที่บ.เขาขอลางาน 2 วัน  และบอกให้มันบันทึกข้อความเสียงของฉันไว้  แล้วฉันก็หายตัวออกไป





      วูลฟตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยอาการปวดหัว  เขาคิดว่าเขาฝันเรเน่ช่วยเขาจากโจรและใช้เวทย์รักษาเขา

      หุ่นยนต์เคลื่อนเข้ามาในห้อง  และพูดกับเขา

      “ ฉันโทรไปขออนุญาตลางานให้กับคุณ 2 วัน  ตามคำสั่งของคุณเรเน่  ขออนุญาตให้ฉันตรวจอาการบาดเจ็บภายในร่างกายคุณด้วย ” หุ่นยนต์เคลื่อนมาอยู่ใกล้ๆ เขาและตรวจร่างกายของเขาด้วยคลื่นรังสี  “ อาการบาดเจ็บภายนอก 0 %  อาการบาดเจ็บภายใน 14.92%  บาดแผลกำลังสมานตัวอยู่  มีข้อความจากคุณเรเน่ด้วยจะฟังไหมครับ ”

      “ อืม ” เขาไม่ค่อยอยากจะฟังนักหรอก แต่...

      “ ... ฉันขอโทษที่ฉันใช้เวทมนตร์รักษาให้คุณ  แต่คุณไม่ยอมเรียกหมอและร่างกายของคุณบาดเจ็บสาหัสมาก  ถ้าฉันปล่อยคุณไว้  คุณอาจจะตายก็ได้นะ  ฉัน ... ฉันไม่อยากให้คุณตาย ” เสียงในเครื่องบันเสียงสั่นเล็กน้อยและหายเงียบไปครู่หนึ่ง  “ ฉัน ... ฉันยังรักคุณอยู่นะ  ถ้า ... ถ้าเป็นไปได้  ฉัน ... ฉันอยากจะปรับความเข้าใจกับคุณ  แต่ไว้ให้คุณหายดีเสียงก่อนเถอะ  พักผ่อนเยอะๆ นะคะ  สภาพร่างกายคุณยังไม่สมบูรณ์  การรักษาไม่สมบูรณ์  นอนพักเถอะ ”

      ช่วงประโยคท้ายๆ เสียงของเรเน่ฟังแล้วรู้สึกว่ามันเบาและก้อง  แต่ขณะเดียวกันก็อ่อนหวานและอ่อนโยน  ความง่วงเข้าครอบคลุมเขาไว้ เขารู้สึกเคลิ้มและหลับไปในที่สุด





      วันนี้ฉันก็มายืนรอเขาที่หน้าบ้านอีกแล้ว  ฉันซื้อผลไม้อย่างที่เขาชอบมาฝาก  ฉันได้ยินมาจากเจเรมว่าเขาหายดีและไปทำงานได้แล้ว  เขาฝากเจเรมมาขอบคุณที่ช่วยรักษาเขาด้วย

      ‘ เขาไม่อยากเห็นหน้าฉันจริงๆ ด้วย  แค่มาขอบคุณด้วยตัวเองยังมาไม่ได้ ’  ฉันคิดอย่างขื่นใจ

      เขาเพิ่งหายแท้ๆยังทำงานจนดึกดื่น  ปานนี้แล้วเขายังไม่ถึงบ้าน  แต่แล้วฉันก็เห็นเขาเดินมาแต่ไกล

      ‘ แปลก ... วันนี้รถเขาไปไหน  ทำไมเขาไม่ขับกลับมาด้วย  ที่ๆ จอดรถในบ้านก็ไม่มี ’ ฉันสงสัย

      ฉันเดินเข้าไปจะทักเขาเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้หน้าบ้าน  ฉันรู้ว่าเขาเห็นฉันแต่เขาก็เดินผ่านฉันเหมือนกับฉันไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น  ฉันสะดุดกึกยืนค้างอยู่เพียงเสี้ยววิฯ

      ‘ ฉันต้องคุยกับเขาให้ได้  ฉันทนกับความเย็นชานี้ไม่ไหวแล้ว ’ ฉันตัดสินใจ

      “ วูลฟ  คุณเพิ่งหายไม่ควรทำงานดึกนะ  แล้วรถของคุณไปไหนล่ะ ... ”  ฉันพูดยังไม่ทันจบเขาก็สวนขึ้นมาทันที

      “ ถ้าคุณมาเพราะห่วงอาการของผมล่ะก็ ... ผมหายดีแล้ว  ขอบคุณ  แล้วเทียร์เขาจะซื้อของตรงปากซอยผมก็เลยให้รถไว้ขับกลับเพราะมันมืดและก็อันตราย  อ้อ  เทียร์คือคนรักของผม  มีอะไรสงสัยอีกไหม  ถ้าไม่มีก็กลับไปได้แล้ว ”  เป็นคำพูดที่ยาวที่สุดที่ฉันได้ยินจากเขาในเวลาไม่กี่เดือนมานี้  แต่ .. ก็ช่างตัดเยื้อใยเหลือเกิน

      “ ฉันซื้อผลไม้มาฝากคุณ ” ฉันยื่นถุงให้เขาด้วยเสียงและแขนที่สั่น  “ ฉันทำให้คุณรำคาญซินะ  ฉันขอโทษ ... อย่าโกรธฉันเลย ”

      เขารับถุงใส่ผลไม้ไว้และยังทำท่าเย็นชา  ฉันพยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น  พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล  ฉันมองตาเขาและพูดด้วยคำที่ฉันไม่อยากพูดที่สุด ... คำที่ฉันไม่อยากนึกถึง

      “ คุณ ... คุณ ... คงไม่ได้ ...กะ ...เกลียดฉัน ...ใช่ไหม ... ” เขาเงียบ

      “ ได้โปรด ... บอกว่าคุณไม่ได้เกลียดฉัน ” น้ำตาของฉันรินอยู่ที่ขอบตาทำให้ฉันไม่เห็นอาการหวั่นไหวที่ดวงตาของเขา  แต่ ...

      “ ใช่  ผมเกลียดคุณ ”  เขาพูดเสียงเบา  ท่านั้นเองน้ำตาของฉันก็ไหลพรากออกมา  ฉันยืนชิ๊คอยู่ตรงนั้น

      ฉันไม่ได้สังเกตถึงแสงสว่างสีเหลืองที่ต่อยๆ ขยายขึ้นๆ จากทางด้านหลังของฉันจนได้ยินเสียงตะโกนของผู้หญิงดังมาจากข้างหลัง

      “ วูลฟ  ทำไมคุณไม่พาแขกเข้าไปคุยข้างในบ้านล่ะ ”  นั่นแหละฉันถึงได้รู้สึกตัว

      ฉันหันกลับไปมองก็เห็นผู้หญิงยื่นหัวออกมานอกรถ ... คนรักของเขา ... ฉันหันมาพูดตะกุกตะกักพร้อมกับเสียงสะอื้นกับเขา

      “ ถ้าอย่างนั้น ... ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ ... ลาก่อน ” แล้วฉันจึงหายตัวไปต่อหน้าเขา





      ฉันลาหยุดงานแบบไม่ไม่กำหนดแล้วหมกตัวอยู่ในห้อง  ไม่ก็เดินไปตามถนนไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายหรือไปนั่งอยู่ตามสวนสาธารณะ  แหล่งช็อปปิ้ง  ดูผู้คนเดินไปมาหรือคิดอะไรอยู่คนเดียว

      ฉันน่าจะรู้ตัวว่ามันสายเกินไปแล้ว  ผ่านมาตั้ง 2 ปี ถึงเขาจะนึกออกแต่ก็เขาก็มีชีวิตของเขาเอง  เขามีคนรักแล้ว  ไม่มีที่ตรงไหนว่างพอให้ฉันเข่าไปแทรกเลย  ฉัน...ไม่มีค่าสำหรับเขาอีกแล้ว ...

      ฉันเคยเดินไปตามหน้าผาสูงชานเมืองคิดอยากฆ่าตัวตาย  แต่ก็ทำไม่ได้  เวลาฉันรู้สึกแบบนั้นฉันก็ต้องหยิบล็อคเกตรูปครอบครัวขึ้นมาดู  แม่จะต้องเสียใจกับการตายของฉันและท่านต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับบ. ค่าผิดสัญญา  จำนวนเงินนั้นมันเยอะเกินไปที่ท่านจะชดใช้ได้  ฉันต้องตัดสินใจ

      “ มิทรา  นี่ก็จะครบ 3 เดือนแล้ว  ชั้นจะกลับดาวแม่นะ  ชั้นจะโทรไปที่สนง.ใหญ่ให้เค้าหาคนมาแทน  วันหยุดที่มีชั้นจะใช้ให้หมดจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา ... อีกไม่ถึงเดือนนี่เอง  แล้วฉันจะไม่ต่ออีก ” ฉันบอกมิทรา

      “ แล้วจะไปทำอะไร ” มิทราถาม

      “ ไม่รู้ซิ  ก็คงทำงานแค่ในดาวล่ะมั๊ง ” มิทรามองฉันอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นมาว่า

      “ ก็ตามใจเถอะ  ฉันจะติดต่อไปสนง.ใหญ่เอง ”

      “ ขอบใจจ๊ะ ” ฉันยิ้มเศร้าๆ ให้





      ทางด้านมิทรา ...  ถึงเธอจะฟังคำของเรเน่ด้วยอาการสงบมากกว่าที่จะเป็นก็เถอะ  แต่เธอก็มาหงุดหงิดใส่คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย

      “ ไปเก็บเพลงมาจากดาวอะไรเนี่ย  ทำไมมันถึงเศร้าอย่างนี้  แค่นี้ยังเศร้าไม่พอกันอีกเหรอไง  เปลี่ยนๆๆๆ ” มิทราพูดกับเด็กที่เปิดเพลงในร้านที่มีทำนองช้าๆ และเนื้อเพลงที่ว่า

      “ ...  ผ่านมาแสนนาน  ผ่านความเสียใจ  หากวันนี้มันยังโหดร้าย  จะอยู่เพื่อรักใคร ... ”

      เธอเดินหงุดหงิดไปทั่วทั้งในที่ทำงานและห้องชุด  ทำให้ใครๆ หลายคนขยาดไปตามๆ กัน  ตอนกลางคืนที่เธออยู่ในห้องพัก  เธอก็เดินไปเดินมาวนอยู่หลายกิโลเมตร  เธอชั่งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี

      “ เอาล่ะ  เป็นไงเป็นกัน  มันเกิดทนแล้ว  เขาจะดื้ออยู่อย่างนี้ไม่ได้  จะเกลียดเวทมนตร์หรืออะไรก็ช่าง  ถ้าไม่พอใจเรื่องที่ชั้นจะพูดด้วย  ก็โดนเสียบ้าง ”





      มิทราร่ายคาถาเพื่อหาตัววูลฟแล้วไปปรากฏตัวตรงหน้าเขา  เขาสะดุ้งเฮือกใหญ่ที่อยู่ๆมิทราก็หายตัวมาหาที่ห้องทำงานของเขา

      “ ชั้นต้องพูดกับคุณเรื่องเรเน่ ”  มิทราจู่โจมทันที

      “ ถ้าคุณมีธุระคุณก็ควรจะนัดเวลามา ”  วูลฟพูดอย่างสงบซึ่งตรงกันข้ามกับมิทรา

      “ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวและชั้น ...ต้องการพูดเดี๊ยวนี้! ”

      ก่อนที่เขาจะได้โต้แย้งได้ทัน  มิทราก็กางเขตแดนให้พื้นที่ห้องทั้งหมดเป็นของเธอ  เธอจะได้เผชิญหน้ากับเขาได้อย่างสะดวก

      “ เดี๊ยวก่อน  นี่คุณจะทำอะไร ” เขาลุกพรวดขึ้นยืน

      “ คุยธุระส่วนตัวน่ะซิ ”

      เขากดสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มาที่ห้องเขา  แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ไม่มีแม้แต่เสียงพนักงานตอบรับ

      “ โอ้  คุณคงไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้  ผู้ใช้เวทย์ที่ดาวนี้ทำไม่ได้ซินะ  ชั้นลืมไป ” มิทรายิ้มเยอะ “ อ้อ  ไอ้อาวุธที่คุณใช้เวลามีเรื่องกับพวกผู้ใช้เวทย์อันธพาลก็ใช้กับเราไม่ได้หรอกนะ  พื้นฐานมันต่างกัน  ดังนั้นคุณช่วยอยู่สงบๆ แล้วฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าได้ไหม  มันเสียเวลา ”

      “ เอาล่ะ  มีอะไรว่ามา ” วูลฟกลับลงนั่งเหมือนเดิม

      “ ดี  ฉันจะพูดเรื่องพวกนี้หนเดียว  ตั้งใจฟัง  แล้วคุณเอาไปคิดให้ดี  เรื่องเรเน่  ความคิดและความจริงทั้งหมด ”  มิทราก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานและเอามือเท้ากับโต๊ะและจ้องตาวูลฟ

      “ เรื่องต่างๆของดาวเราคุณก็คงรู้มาเยอะ  ฉันจะได้ไม่ต้องเล่าย้อนไปมากเพราะยังไงเรเน่ก็ยังเป็นขาวต่างดาวและผู้ใช้เวทย์อยู่ดี  เขาปลื้มคุณที่คุณไปช่วยเค้าทั้งๆ ที่คนอื่นทำเป็นมองไม่เห็น  เค้ารักคุณมากนะ  รายนั้นน่ะ  แล้วยิ่งเค้ารู้ว่าคุณเกลียดเวทมนตร์  เกลียดผู้ใช้เวทย์  เค้าเลยไม่กล้าบอกอะไรคุณเลย  เค้ากลัวการแยกจากคนที่เค้ารักมากนะ  เค้าคยเสียพ่อจากอุบัตติเหตุยานขนส่งระเบิดต่อหน้าต่อตาเค้า  ถ้าเค้าบอกว่าเค้ามาจากดาวอะไร  คุณก็ต้องรู้ว่าเค้าเป็นผู้ใช้เวทย์

      แล้วที่เค้าไปจากคุณเมื่อ 2 ปีก่อน  ก็เพราะที่ร้านขายของไม่ได้เราเลยต้องกลับไปที่ดาวแม่  เค้าอยากพาคุณไปด้วยนะ  เรเน่น่ะ  แต่เค้าบอกว่าคุณมีโครงการที่อยากทำ  มีอนาคตที่นี่  เค้าพาคุณไปด้วยไม่ได้และเค้าก็อยู่กับคุณไม่ได้เช่นกัน  คุณคงไม่รู้ว่าเราเซ็นสัญญาว่าจ้างการทำงานกับบ.ครั้งละ 5 ปี  ถ้าทำงานไม่ครบ 5 ปีจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าผิดสัญญากับบ.  50,000 ยูทซ์  ถ้าเทียบกับเงินของดาวคุณก็ประมาณ 540,000 เพวท์ได้มั๊ง  ตอนนั้นเค้าเพิ่งทำงานได้ 2 ปี  เค้าไม่อยากทำให้คุณเดือดร้อนแล้วเค้าก็มีแม่ที่ต้องกลับไปดูแล  ที่เค้าใช้เวทมนตร์กับคุณก็เพราะเค้าคิดว่าเป็นเรื่องจำเป็น  เค้าไม่อยากให้คุณผิดหวัง  เค้าไม่อยากให้คุณโกรธ  ถ้าคุณคิดว่าเค้าไม่เจ็บปวดคุณก็คิดผิดแล้วล่ะคุณไม่รู้หรอกว่าเค้าเศร้าขนาดไหน  เค้าไม่มีใจทำงานเลย  แล้วจู่ๆยัยนั้นก็ลุกขึ้นมาทำงานไม่พักผ่อนลังจากที่ได้จม.เตือน  รู้ไหม  เค้าทำงานหนักจะได้ไม่มีเวลามาคิดถึงคุณ!  ช่วงไม่กี่เดือนก่อนมีคำสั่งให้กลับมาที่นี่  เค้าก็เพิ่งจะดีขึ้นมาหน่อยแท้ๆ  คุณกลับทำมันพังในไม่กี่นาที!  เค้าไม่คิดว่าคุณจะจำเค้าได้และมนตร์จะถูกทำลาย  แต่เค้าหวัง ... หวังมาตลอดว่าคุณจะเข้าใจ  จะได้คืนดีกับคุณ  แต่คุณไม่เปิดใจยอมรับเค้าเลย!  ที่นี้เป็นไงล่ะ  ตอนนี้เค้าไม่มีกำลังใจพอจะมาหาคุณแล้ว  เค้าแทบแตกสลายไปจริงๆ!  ทั้งๆ ที่เค้าเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดแท้ๆ! ” มิทราถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งเมื่อเล่าทุกอย่าง

      “ แต่ผมมีคนรักแล้ว ” วูลฟเพิ่งมีโอกาสได้พูด

      “ คุณรักผู้หญิงคนนั้นจริงหรือเปล่าล่ะ  หรือคุณเห็นเธอคนนั้นเป็นเรเน่  คิดซะนะว่าจะทำยังไงเพราะไม่ว่าจะมองทางไหน  คุณก็ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ดี ...  อ้อ!  ฉันลืมบอกคุณไปอีกเรื่องหนึ่ง  เรเน่จะกลับไปอยู่ที่สนง.ใหญ่ที่ดาวแม่และจะไม่กลับมาอีก  ยานขนส่งจะออกพรุ่งนี้ตอนเที่ยง  ถ้าคุณยังรักเธอหรือจะปล่อยให้เธอจากไป .. นิรันดร  ก็คิดดูแล้วกันนะ ”

      มิทราทำลายเขตแดนตัวเองแล้วหายตัวจากไป  ทิ้งให้วูลฟนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียว





      ณ  อีกสถานที่หนึ่งที่ห่างไกลออกไปหลายปีแสง  ในป่าซึ่งต้นไม้ใหญ่มากมาย  บรรยากาศนั้นต่างจากที่ดาวลีทมากมายและบริเวณรอบๆป่านั้นไม่มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ เลยซักหลัง

      แต่หากจะมองดูดีๆ แล้ว  บริเวณนั้นใช่จะไร้ผู้คน  ที่ต้นไม้หลายต้นจะมีช่องเล็กๆ รอบๆต้นเหมือนเป็นหน้าต่าง  ใช่แล้ว! นั่นคือบ้านคนที่อยู่ในลำต้นของต้นไม้

      ฉันนั่งจับเจ่าอยู่ในห้อตัวเองในบ้านต้นไม้  ฉันไม่ได้ไปไหนเลยตั้งแต่กลับมาแม้ๆแต่ที่ๆ ชอบไปเวลาได้กลับมาบ้านยังไม่อยากไป

      “ เรเน่  ลูกกำลังทำให้บ้านเฉานะ  ออกไปเดินเล่นเสียหน่อยซิจะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง ”  แม่ของฉันยืนอยู่ตรงปากประตูห้อง  ฉันเหลือบตาขึ้นมองแม่แต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน

      “ หนูไม่อยากออกไปไหนเลยค่ะ  ...  แม่คะ  ตอนที่พ่อตายแม่ทำยังไงถึงหายเสียใจคะ” ฉันตัดสินใจถามแม่

      แม่ของฉันเป็นคนร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลาและมีเหตุผล  แม่เป็นคนขยัน  ทำอาหารและทอผ้าเก่งที่สุดในหมู่บ้าน  ฉันไม่เคยเห็นแม่เสียใจกับอะไรเลย

      “ ก็แม่ยังมีลูกที่ต้องดูแลนี่จ๊ะ  ถ้าแม่มั่วแต่เสียใจพวกเราจะอยู่รอดยังไงล่ะจ๊ะ  แต่ไม่ใช่ว่าแม่เสียใจนะ  ทุกวันนี้พ่อก็ยังอยู่ในความคิด  ในหัวใจแม่เสมอ  เวลาที่ผ่านไปจะช่วยชะความเสียใจไปทีละน้อยแล้วเหลือแต่ความทรงจำที่ดี ”  แม่ก้าวเข้ามานั่งที่เตียงกับฉันแล้วกอดฉันเอาไว้

      “ แม่คะ  ...  หนู ... ”  แล้วฉันก็เล่าทุกอย่างที่ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลยตั้งแต่กลับมาให้แม่ฟัง  จนวันนี้ ... วันที่ฉันตัดสินใจออกไป





      ฉันออกมาเดินเล่นข้างนอกตามคำแนะนำของแม่  แม่ไมได้บอกว่าฉันควรทำอย่างไร  แม่แค่แนะนำให้ฉันออกมาเดินเล่น  ให้ฉันคิดด้วยตัวเอง  ถ้าอยู่ข้างนอกฉันอาจจะคิดอะไรได้ดีกว่าอยู่ในบ้าน

      เท้าของฉันนำฉันไปที่บึงใหญ่ที่ชายป่าทั้งๆ ที่สมองของฉันว่างเปล่า  สถานที่ๆ ฉันชอบมานั่งเล่นและคุยกับสัตว์บ่อยๆ

      ท้องฟ้าช่างสดใส  ต้นไม้ช่างสดชื่น  เสียงนกร้องครึกครื้นอยู่ทั่วป่า ช่างแตกต่างจากฉันจริงๆ  ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้แปลกแยกออกไป  ความอึมคลึมในใจฉัน  ความเงียบเหงาในกายฉัน  และในที่สุด .. ฉันก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา

      ฉันทอดรองเท้าออกแล้วเดินไปบนผิวน้ำที่เย็นชื่นฉ่ำไปจนถึงกลางบึงแล้วมองดูปลาที่ใต้น้ำ

      ‘เรเน่  นั่นเรเน่ใช่ไหม  กลับมาตั้งแต่เมื่อไร ’ หงส์ตัวงามกางปีกตรงมาที่ฉัน  แล้วร่อนลงสู่ผิวน้ำ

      ‘พลอย!  ’  ฉันคุยกับหงส์ทางจิต  เธอเป็นสัตว์พูดได้และเป็นเหมือนพี่สาวของฉัน

      ‘ เธอเป็นอะไร  มีเรื่องอะไรไม่สบายใจจ๊ะ ’

      แล้วฉันก็ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านทางภาพความทรงจำในหัวให้พลอยได้เข้าใจ

      ‘ โถ .. เด็กน้อยที่น่าสงสาร ’  พลอยถูหัวของเธอกับแขนของฉันเหมือนจะปลอบ  ‘ ขอให้เธอลืมเขาได้ไวๆ นะ  อ๊ะ! ’ พลอยกางปีกออกเตรียมจะโผบินจากไป  แต่ก่อนที่ปีกของเธอจะกระพือนำตัวเธอขึ้น  เธอก็บอกกับฉันว่า  ‘ ฉันไปดีกว่า  แล้วมาเล่าให้ฉันฟังด้วยนะ ’

      ฉันไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร  แต่เธอก็บินหนีไปเสียก่อน





      “ ขอโทษครับ  ที่นี่บ้านของคุณเรเน่  เซเรียใช่ไหมครับ ” วูลฟถามแม่ของเรเน่

      “ ใช่ค่ะ  แต่เขาไม่อยู่  ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครคะ ” แม่ถาม

      “ เออ ... ผม วูลฟ  แลนกัส  ...  คุณคงเป็นแม่ของเรเน่ใข่ไหมครับ  พอจะทราบไหมครับว่าเมื่อไหรเธอจะกลับมา ”  เขาไม่รู้ว่าควรจะแนะนำตัวว่าเขาเป็นอะไรกับเรเน่ดี  แววตาของแม่มีแววรับรู้และ ... เหมือนจะรู้ว่าเขาเป็นใคร  เธอมองเขาอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง  จึงบอกว่า

      “ ใช่ฉันเป็นแม่ของเรเน่  แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเค้าจะกลับมา  แต่ฉันจะหาตัวให้ก็แล้วกัน  เข้ามาก่อนซิ ” แม่นำเขาเข้าบ้านและพูดกับเขา  “ ฉันคิดว่าคุณคงไม่ชอบเวทมนตร์ใช่ไหม  แต่ถ้าอยากเจอตัวเค้าก็จำเป็นต้องทำล่ะนะ ”

      แม่หยิบอ่างน้ำใบขนาดกลางออกมาจากในครัวและร่ายคาถา

      “ น้ำเอ๋ยจงมาตกสู่ภาชนะนี่จนเต็มและเผยให้เห็นบุตรสาวข้า  เรเน่  เซเรีย  ในนามแห่งข้า เฟย์  เซเรีย ” แล้วน้ำก็ตกจากกลางอากาศสู่อ่างจนเต็มและเมื่อน้ำหยุดเคลื่อนไหว  ภาพของเรเน่ที่ก็ปรากฏสู่สายตา  พอแม่กวาดมือผ่านภาพก็หายไป

      “ คงจะอยู่ที่บึงน่ะ เดี๊ยวจะส่งไปเตรียมตัวนะ ”  เฟย์  พุ่งกระแสจิตให้คลอบคลุมร่างของวูลฟและกำหนดจุดหมาย  ส่งเขาสู่จุดหมาย

      เพียงชั่วพริบตาเดียวเค้าก็มาปรากฏร่างอยู่ที่ข้างบึง  เมื่อเขามองเข้าไป  เขาก็เห็นภาพที่สวยที่สุดเท่าที่เค้าเคยเห็นมา  ...  เรเน่ที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวแขนกุดสีขาวนั่งคุกเข่าอยู่กลางบึงที่มีน้ำใสที่ลึกจนเห็นเป็นสีฟ้าอมเขียวกับหงส์ตัวใหญ่สีขาวกำลังกางปีกยาวบินขึ้นที่ตรงหน้าเธอ ... เขายืนมองจนหงส์บินหายไปไกล  เขาจึงตัวสินใจเรียกชื่อเธอออกไป






      “ เรเน่! ” เสียงตะโกนของผู้ชายดังมาจากทางด้านหลัง  เสียงนี้เหมือนปลุกให้ฉันตื่น  เสียงของเขาช่างคุ้นนัก  ใจของฉันเต้นรัว  แต่ฉันไม่กล้าหันกลับไปมอง  ฉันกลัวว่าจะหูฝาดไป  จนเสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

      ฉันหันกลับไปมองคนเรียก  และก็ใช่เขา ... วูลฟ  ฉันไม่นึกว่าเขาจะมาหาฉันถึงที่นี่  เขามาที่นี่เพราะอะไร ... ฉันยังพอมีความหวังอยู่หรือเปล่า  ฉันไม่แน่ใจเลย  ... คงเพราะฉันคิดอะไรสับสน  สมาธิของฉันไม่มั่นคงทำให้ร่างของฉันร่วงลงน้ำพร้อมทั้งเสียงร้องอย่างตกใจของทั้งฉันและวูลฟ  ฉันที่อยู่ใต้น้ำก็เห็นวูลฟกระโดดลงมา  เขาจับเอวฉัน  ยกแขนฉันขึ้นพาดบ่าแล้วพาฉันขึ้นจากน้ำ  

      เรา 2 คนขึ้นมานั่งหอบอยู่บนตลิ่ง  

      “ นี่คุณจริงๆ ใช่ไหม  ฉันไม่ได้ฝันหรือว่าตาฝาดไปนะ ” ฉันแตะหน้าเขาและถาม

      “ ใช่ ” เสียงของเขาอ่อนโยนเหมือนกับในความทรงจำที่ดีของฉัน  เขาจับมือฉันที่แตะหน้าเขามากำไว้

      “ คุณมาทำอะไรที่นี่คะ ” ฉันถามเพื่อความแน่ใจ  ฉันไม่อยากให้ความหวังของฉันพังทลายไปอีก

      “ มาหาคุณ  มาขอโทษคุณ  และอยากจะถามคุณว่า  คุณยังอยากจะแต่งงานกับผมไหม ”

      “ คะ? ” ฉันไม่แน่ใจกับคำนั้น  “ แต่งงานหรือคะ  ... กับคุณ?  โอ้ ... ได้ซิคะ  ฉันคิดว่าคุณจะ ... อึก ... แล้วซิ ” ฉันสะอื้นไห้ออกมาด้วยความดีใจ  “ แต่ .. แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ ”

      “ เราเลิกกันแล้ว  แล้วเขาก็ตบผมมาทีหนึ่ง ”

      “ เพราะฉันแท้ๆ เชียว ”

      “ ไม่ใช่เพราะคุณหรอก  ที่ผมคบกับเขาก็เพราะเขาคล้ายคุณค่ะ  คุณมิทราทำให้ผมคิดได้ ”

      “ คะ?  มิทราไปทำอะไรคุณหรือคะ ”

      “ เขากางเขตเวทมนตร์แล้วมาบังคับให้ผมฟังที่เขาเล่า ”

      “ คุณเกลียดมิทราไหมคะ  ... แล้วฉันล่ะ  ฉันเป็นผู้ใช้เวทย์ที่คุณเกลียดนะ ”

      “ ไม่หรอก  ผมไม่เกลียดเธอและผมก็ไม่ได้เกลียดคุณ  ผมแค่โกรธที่คุณจากไป  คุณไม่เชื่อใจผม  แต่ตอนนี้ผมเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว  ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง  ที่ผมมาที่นี่ไม่ใช่ว่าผมอยากแก้ตัว  แต่ ... ผมรักคุณจริงๆ ”

      “ วูลฟ  ... ตอนนี้ฉันขออะไรคุณซักอย่างได้ไหม ” ฉันยิ้ม

      “ ได้ซิ ” สีหน้าของเขาจริงจัง

      “ ฉันอยากกอดคุณ  ขอฉันกอดคุณนะ ”

      “ เอาซิ ” เขาหัวเราะและกอดฉัน

      สักพักนั้นแหละที่ฉันยันตัวออก  แล้วฉันก็ชวนเขาไปที่บ้าน

      “ ฉันต้องไปบอกข่าวดีนี้กับแม่  อ๊ะ! แต่คุณมาถึงนี่ได้ยังไง ”

      “ แม่ของคุณส่งตัวผมมาที่นี่น่ะ  แต่พวกเราตัวเปียกแบบนี้  แม่คุณจะให้เข้าบ้านไหม ”  

      “ ไม่เป็นค่ะ  ขากลับนี่เดินไปเดี๊ยวก็แห้ง  แดดจ้าขนาดนี้ ”  ฉันหัวเราะ

      เวลานี้ช่างต่างกับเมื้อครู่ราวกลางวันกับกลางคืน  เสียงหัวเราะเข้ามาแทนที่ความเงียบเหงา  ความรักเข้ามาแทนที่ความเสียใจ  ความอึมครึมถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง  และฉันก็มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมา

      ^___^   ^___^   ^____^   ^___^   ^____^   ^___^   ^___^   ^____^   ^___^   ^____^

      คุยกับคนแต่งสักครู่ ....

      เอ๊กกก จบแล้วววว เป็นไงบ้างคะ เรื่องจืดแหงมๆ

      ตรงฉากตรงที่มิทราไปพาลใส่คนอื่นนี่ ที่มีเพลงอ่ะค่ะ ชื่อเพลงไม่กลับมา ของ MAF
      แนว ฮิปฮอบ อาร์ แอนด์ บีค่ะ  แต่ตอนนี้หาฟังในเน็ตยากมั่กๆ
      ใครหาได้บอกมั่งนะคะ จาได้ไปฟังด้วย  ชอบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×