เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรักในหลวง - เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรักในหลวง นิยาย เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรักในหลวง : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรักในหลวง

    เรื่องเล่าจากในวัง อ่านแล้วคุณจะรักในหลวงมากขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    550

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    550

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  19 พ.ย. 49 / 20:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ข้าวผัดไข่ดาว

      ดร.สุเมธ  ตันติเวชกุล

       ......  วันหนึ่งเสด็จ ฯ  เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ  พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่ตำหนักเพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท  เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าดง  ...

       

      ......  ผู้เล่าก็ไม่ได้ทานเข้า  ไม่มีใครทานข้าว  ตอนนั้นก็บ่าย 2 โมงกว่าแล้ว  ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทซัก 20 นาที  น่าจะพุ้ยข้าวได้ทัน จึงรีบวิ่งไปที่ห้องอาหาร  ปรากฏว่าผู้ที่ไม่ได้ตามเสด็จ ฯ เขาทานข้าวกันหมดแล้ว  ในนั้นมีข้าวผัดก้นกระบะ  กับไข่ดาวทิ้งแห้ง 3 4 ใบ  เราก็ตัก  เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้  มีข้าวผัดเหมือนอย่างผู้เล่า มีไข่ดาวโปะใบหนึ่ง  มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางไว้  เพื่อนผู้เล่าก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า ไม่ได้ ๆ  ของพระเจ้าอยู่หัว  ท่านรับสั่งให้มาตัก  ดูสิ  ตักมาจากก้นกระบะเลย  ผู้เล่าแทบน้ำตาไหล  ที่ท่านเสวย เหมือน ๆ กับเรา

       

      ที่มา : ดร.สุเมธ   ตันติเวชกุล  คอลัมน์  ตามรอยเบื้องพระยุคบาท

       

       

       

      คนที่แบงค์

       

      7 โมงเช้าของวันหนึ่ง  นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก  ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงก์ นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงก์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงก์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า แต่ พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงก์น่ะ ก็ที่แบงก์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงก์มาดูสิ ... ขนลุกเลย (ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง)

      _____________________________________________

       

       

      เสด็จตลาด

       

      เรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสดและถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ" เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

       

       

       

      อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้    จึงมีคำกราบทูลว่า"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
      บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
       มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
       ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
       พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า   "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
       ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
       เรื่องนี้ ดร.สุเมธ
       เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

       

      เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น      เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ ของท่านมาประดับที่หน้าปัด นาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ

      ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า  "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

       

       

      มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
       
      ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ
       
      แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า
      "
      ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
       
      ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า
       "
      เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"

       

       

       

      เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
       
      มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
       
      อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ
       
      ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว
       
      ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้
       
      ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
       
      และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ
       
      ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
      พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
       
      ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
       
      ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึกตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

       

       

      เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า
       
      ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
       
      มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
      แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
       "
      ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
       
      ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

       

      วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
       
      พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
       
      ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
       
      แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง
       
      แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง
       
      แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้
       
      อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
       
      แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่
       
      กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
       
      แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
      ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
       "
      เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ
       
      ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×