ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Man in love ตามล่าหาหัวใจ พระเอกนิยายในฝัน

    ลำดับตอนที่ #6 : [ตอนที่5] ลัลลา มีความสุขกับการนั่งเรือ ^O^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 201
      24
      24 ส.ค. 59


    By. Changfan















                                                                                                                                         ลูเชลล์
                                                                 


                                               


    5

    ลัลลา มีความสุขกับการนั่งเรือ ^O^

     

     

     

     

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    สะ สายตาฉัน

     

    ไม่ ไม่สามารถละไปได้เลย

     

    หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทวดามิคาเอลแห่งสรวงสวรรค์ ดวงตาคมสีดำอมน้ำตาลที่มีเสน่ห์ราวกับเหยี่ยวคู่นั้นมองมาที่ฉันอย่างอ่อนโยน ไม่นะ >O< มันทำฉันอ่อนระทวยไปหมด >\\\< จมูกที่โด่งรั้นเป็นสัน ริมฝีปากที่เชิดเข้ารูปอย่างน่าหลงใหล ผมสีดำที่ยาวลงมาปรกตาเล็กน้อยขับให้ใบหน้าของเขาที่ขาว ใส และเนียนอยู่แล้วเด่นยิ่งขึ้น ใบหน้าของเขานั่นคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาใช่มั๊ย

     

    [=\\\\\\=]

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    ฉะ ฉันเจอแล้วผู้ชายในฝันของฉัน

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

     

    ล่องลอย ล่องลอย ไปกับสายน้ำที่แสนสะอาดตรงหน้า(?)

     

    “น้อง?...”

     

    ล่องลอย ล่องลอย ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าฉันคงเป็นพระอินทร์สินะ อ่าาาา ใช่จริงๆด้วย

     

    “น้อง!

     

    โอ๊ะ!!! ซิบหายล่ะ ฉันอยู่ในภวังค์นานไปหน่อย TOT

     

    ว่าแต่นี่ผู้ชายในฝันของฉันจริงๆสินะ

     

    อ๊ายยยย เขิน >\\\<

     

    พ่อกับแม่ขอบคุณนะคะ ข้าวรู้แล้วล่ะคะ ว่าพ่อกับแม่รักข้าวที่สุด กลับไปนี้ข้าวจะหอมพ่อกับแม่ฟอดใหญ่เลยค่ะ ที่ทำให้ข้าวเจอกับผู้ชายในฝันของข้าว พ่อกับแม่นี่หวังดีกับข้าวจริงๆเลย

     

    “น้อง!! (เพิ่มเลเวลเสียงอีกระดับ)”

     

    “คะ ^_^; (ตอบรับเสียงหวาน)”

     

    “พี่ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

     

    “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรเลย ดีใจจริงๆ ขอบคุณนะคะ ^__^ (วิ้ง วิ้ง ยิ้มนางฟ้า โอ๊ะ ฉันลืมไปว่ามันเหลืองมากนี่นา -_- แต่วินาทีนี้ ช่างเถอะ ^___^)”

     

    “แน่ใจนะครับ -_-?“ ผู้ชายในฝันของฉันทำท่าเหมือนว่ายังไม่ค่อยเชื่อที่ฉันพูดเท่าไหร่

     

    “ค่ะ ^___^ ฮี่ๆ”

     

    มองหน้าใกล้ๆอย่างนี่แล้วเพอร์เฟ็กที่สุดเลยล่ะ

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    J

     

    อ๊ายยยย เขาส่งยิ้มให้ฉันด้วย

     

    น่ารักจัง

     

    หง่างแหง่ง หง่างแหง่ง

     

    ระฆังวิวาห์ดังขึ้นในหัวของฉัน ภาพของเทพบุตรสุดหล่อที่ใส่ชุดสีขาวกำลังยืนยิ้มอยู่กับบาทหลวงและส่งสายตามีเสน่ห์เหลือร้ายมาให้ฉัน พ่อของฉันกำลังเดินจูงมือฉันไปหาเขา ผู้คนในงานล้วนใส่ชุดสีขาวและสีชมพู ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุขด้วยความปลื้มปิติยินดี เมื่อบาทหลวงกล่าวจบชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของฉันก็เอื้อมกล่องสีแดงหรูหราขึ้นมา... เขาใช้นิ้วเรียวยาวแสนงดงามบรรจงหยิบแหวนวงงามขึ้นมาช้าๆ... เราสองคนยิ้มสบตากันด้วยความรักที่แสนบริสุทธิ์... จากนั่นเขาก็ประคองมือข้างซ้ายของฉันขึ้นมาอย่างนุ่มนวล... แหวนค่อยๆใกล้เข้ามาหานิ้วนางข้างซ้าย

     

    “ถ้าไม่เป็นไร ก็ปล่อยน้องได้แล้ว”

     

    ตูม!!

     

    ราวกับฟ้าถล่มดินสลาย ความฝันของฉันหายมลายไปทันตาเห็น เมื่อเสียงของอาจารย์สุวิตาดังขึ้น

     

    TOT

     

    เทพบุตรของฉันค่อยๆคลายอ้อมแขนที่เป็นเชิงกอดมากกว่าออกจากฉัน อย่านะ อย่า!! ได้โปรดกอดฉันอย่างนี้อีกหน่อยเถอะ

     

    -|||-

     

    ฝันสลาย ตกม้าตาย สุดท้ายแล้วตัวของฉันก็เป็นอิสระจากแผงอกและท่อนแข็งอันน่าอบอุ่นนั้น

     

    “พะ พี่ขอโทษนะครับที่เมื่อกี้กอดนานไปหน่อย J///” เขายิ้มอย่างเขินๆ

     

    “เอ่อไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันไม่ถือหรอก ^___^” อ๊ายยยย หล่อ!!!

     

    “เมื่อกี้เกือบตกไปแล้วนะครับ นี่โชคดีนะที่พี่คว้าตัวเราทัน มันอันตรายนะครับ ระวังตัวหน่อยก็ดี”

     

    “อ้อ ค่ะ นั่นสิคะ ถ้าตกลงไปแย่แน่เลย ฉันว่ายน้ำไม่ค่อยเก่งซะด้วย” ไม่เป็นเลยต่างหาก

     

    “งั้นเอาชูชีพของพี่ไปใส่ก็ได้นะครับ” พระเอกของฉันทำท่าว่ากำลังจะถอดเสื้อชูชีพมาให้ใส่จริงๆ อ่า ทำไมเขาถึงได้แสนดีอย่างนี้นะ @_@

     

    “คือว่า

     

    “ไม่ต้องถอดหรอก เสื้อชูชีพของเธอก็มี” ขณะที่ฉันกำลังตอบคำตอบนั้น เสียงพูดห้วนๆของคนคนเดิมที่นั่งห่อ

    หน้าใส่หมวกอยู่ข้างหลังก็ดังขึ้นแทรก

     

    กอกแกรก กอกแกรก

     

    กัดฟันอดทนในใจ นั่นอาจารย์เรานะ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก >O<

     

    กอกแกรก กอกแกรก

     

    “อ้อ ใช่ค่ะ ของฉันก็มีอยู่” ฉันรีบหันหน้ามาใส่เสื้อชูชีพที่วางอยู่บนหน้าของตัวเองทันที อาจารย์สุวิตาทำฉันขายหน้าจริงๆ ฉันรีบใส่เสื้อชูชีพเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว

     

    “...”

     

    เขาที่นั่งอยู่ข้างหลังฉัน ห่างกับฉันอยู่ไม่กี่คืบ และตอนนี้อาจกำลังมองแผ่นหลังบางๆอันน่าทะนุถนอมของฉันอยู่ก็เป็นไปได้ อ๊ายยย อยากจะคุยกับเขาอีกจัง

     

    คิดซิ คิดซิ ข้าวโอ๊ต ผู้ชายที่เธอรอมานานตอนนี้เขามาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอแล้วนะ

     

    “พี่ชื่อว่าอะไรคะ” และในที่สุดฉันก็คิดคำพูดออก และหันหน้ากลับไปคุยกับเขา นี่โชคดีนะ ที่ดั้งฉันไม่แหมบ ไม่งั้นฉันไม่กล้าหันมาท่านี่แน่

     

    “ลูเชลล์!!” เสียงอาจารย์สุวิตาที่ข้างหลังดังแทรกขึ้น ไม่ขัดสักเรื่องจะได้มั๊ยคะอาจารย์ L

     

    ฉันหันหน้ากลับมาด้วยใบหน้าที่ยับยู่ยี่ เขายังไม่ทันจะตอบอะไรฉันเลยนะ ถ้าถามกลับไปอีกครั้งอาจารย์ก็คงดักตอบมาก่อนเหมือนเดิมแน่ และที่สำคัญมันก็เป็นการส่อเกินไปว่าฉันชอบเขาด้วย นี่ฝันฉันจะสลายเพียงเพราะอาจารย์สุวิตาแค่นี้เองเหรอ รู้งี้ฉันน่าจะแช่งให้แกตกน้ำให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย (มาแล้วๆ ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในหัวแล้ว)

     

    “แล้วน้องชื่อไรครับ” เสียงของพี่ลูเชลล์กระซิบเบาๆที่ข้างหูของฉัน และความดังระดับนี่อาจารย์สุวิตาคงไม่มีทางได้ยินอย่างแน่นอน เอาเป็นว่าฉันจะตอบเบาๆไปแล้วกันนะ

     

    “ข้าวโอ๊ตค่ะ” ฉันตอบเสียงเบาและแกล้งทำเป็นนั่งนิ่งๆไม่หันหน้ามาตอบดีๆ เพราะเดี๋ยวอาจารย์จะรู้ว่าฉันคุยกับเขาอยู่ เดี๋ยวจะขัดอีก

     

    “...”

     

    ง่า ทำไมเสียงพี่เขาเงียบลงไปล่ะ T_T

     

    “เราอายุเท่าไหร่” คำถามนุ่มๆทุ้มดังขึ้นที่ข้างหูฉันอีกครั้ง อ๊ายยย เซ็กซี่จัง

     

    “สิบแปดค่ะ แล้วพี่ล่ะคะ” กระซิบเบาๆเดี๋ยวคนข้างหลังได้ยิน

     

    “ยี่สิบเอ็ดปีครับ”

     

    ยี่สิบเอ็ดงั้นเหรอห่างกันแค่สามปี กำลังดีเลย J

     

    หลงใหล หลงใหล

     

    “พี่กับอาจารย์สุวิตาเป็นอะไรกันเหรอคะ ดูท่ามันอาจารย์จะหวงๆพี่นิดๆนะคะ อิอิ” พูดและหัวเราะเบาๆ ไม่ให้คนข้างหลังได้ยิน ไม่งั้นมีหวังดับคาสายน้ำอันเชี่ยวกรากแห่งนี้แน่

     

    “อาจารย์เป็นป้าของพี่น่ะครับ แล้วนี่น้องมากับใครเหรอ พี่ไม่ยักกะเคยเห็นน้องเลย” ถามอย่างนี้ งั้นก็แสดงว่ามาช่วยบ่อยสินะ @_@ ดีเลย ใจบุญ

     

    เฟอร์เฟ็กต์!

     

    “พ่อกับแม่น่ะค่ะ ข้าวเพิ่งมาครั้งแรกเองค่ะ”

     

    “ใจบุญดีจังเลยนะครับ ผู้หญิงอย่างนี้น่ารักนะพี่ว่า”

     

    อ๊ายยย แดดิ้นๆ มะ เมื่อกี้เขาชมว่าฉันน่ารักใช่มั๊ย กรี้ดดดด ถึงแม้ว่าในชีวิตนี้จะมีหลายคนที่ชมว่าน่ารัก แต่ก็ไม่เคยมีคำพูดของใครที่ทำให้ฉันรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน ความร้อนจำนวนมหาศาลมารวมกันเป็นจุดศูนย์กลางที่หน้าฉัน เชินๆ ตอนนี้แก้มฉันมันคงจะแดงแน่ๆเลย >O,<

     

    กึก

     

    ฉันมัวแต่ร่าเริงลั่นลันลาอยู่กับภวังค์ของความรัก โดยหารู้ไม่ว่าตอนนี้เรือของพวกเราได้มาจอดเทียบติดกับบ้านหลังหนึ่งที่ประสบภัยแล้ว

     

    “นังหนูเป็นอะไรทำไมหน้าแดงเป็นลูกตำลึงอย่างนั้นล่ะ” คุณตาคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนชั้นสองจากบนหน้าต่างของบ้านตะโกนลงมา โอ๊ะ เรือมาจอดเทียบตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ฉันทำท่าเงอะงะๆเป็นไม่รู้ว่าจะพูดกลับไปยังไง ฮื่ออออ พี่ลูเชลล์ต้องได้ยินคำพูดเมื่อกี้แน่เลย ฮื่ออออ เขาต้องรู้แน่ๆเลยว่าฉันเขินเพราะเขา

     

    ลุงอีกคนที่นั่งเรือมาด้วยกันกับฉัน ก็นำอาหารที่พวกเราเตรียมมาพันไว้กับปลายไม้และก็ยื่นไปให้คุณตาที่หน้าต่าง คุณตายิ้มรับด้วยความดีใจ จากนั้นไม่นานฉันก็เห็นหน้าเด็กคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้างๆคุณตา เธอยิ้มให้พวกเราอย่างสดใส และโบกมือบ๊าย บาย อ่าาาา ความรู้สึกที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นมันเป็นแบบนี้เองสินะ เริ่มจะชอบซะก็แล้วสิ

     

     

     

     

    4 ชั่วโมงผ่านไป

     

    “พี่ลูเชลล์ดูหมาตัวสีดำที่อยู่บนบ้านหลังนั้นสิคะ น่ารักเชียว อิอิ” ตลอดสี่ชั่วโมงที่ผ่านมาฉันกับเขาคุยกันไปเป็นระยะ ก็มีบังเอิญแตะถูกมือกันบ้าง >\\\< คึๆ ระหว่างที่ยื่นของให้ผู้ประสบภัย เอ่อความจริงแล้วมันเป็นความตั้งใจของฉันเองแหละที่จะให้มันโดน และเราสองคนสนิทกันอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สี่ชั่วโมง สำหรับฉันแล้วช่างเป็นสี่ชั่วโมงที่มีความสุขมากซะจริงๆ ฉันฉันชอบการมาเป็นจิตอาสาน้ำท่วมที่สุดเลย!! >_<

     

    “อ้อ ครับ พี่เห็นมันได้สักพักแล้วล่ะ น่ารักอย่างที่ข้าวบอกไว้จริงๆนั่นแหละ”

     

    ทุกคนเห็นมั๊ย!!? เห็นมั๊ย!!!?? >///<

     

    ^___^ (อ๊ายยยย ฟินเลย!!)<<<< นี่คือใบหน้าของฉันเอง ทุกครั้งที่ฉันคุยกับเขา เขามักจะตอบอะไรที่มันทำให้ฉันถูกใจและฟินมาก ฟินมายอย่างนี้เสมอๆ

     

    เจอะอย่างนี้ฟินเลย บอกตรงๆรักจุงเบย ¶ >O<

     

    “โอ๊ะ ตรงนั้นก็มีค่ะ ^^” ฉันชี้มือไปยังอีกทางที่เห็นหมาตำสีน้ำตาลลอยน้ำอยู่

     

    “ฮ่าๆ พี่ว่าลีลาของมันเป็นนักกีฬาว่ายน้ำได้เลยนะครับ”

     

    “จริงเหรอ? เออ ใช่ จะดูๆไปมันก็เหมือนอยู่นะ ฮ่าๆ”

     

    เฮ้ออออ มีความสุขจัง @_@

     

    “น้ำท่วมนี่ลำบากกันเลยนะคะ จะทำอะไรก็คงไม่สะดวก”

     

    “ครับ ลำบาก เพราะนอกจากโรคติดต่อ สัตว์ร้ายที่มากับน้ำแล้ว อาการบาดเจ็บทางจิตใจของคนที่นี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยแหละ ถึงแม้จะไม่มีบาดแผล แต่เราก็เห็นได้ชัดจากสีหน้าและแววตาของพวกเขา คงเพราะต้องสูญเสียอะไรไปหลายอย่าง และคงอีกนานกว่าน้ำจะลด พวกเราเองก็ได้แต่หวังขออย่าให้ฝนตกหนักลงมาที่นี่ซ้ำสองเลย เพราะแค่นี้ก็แย่กันมากพออยู่แล้ว

     

    “ถ้าฝนตกลงมาอีกครั้งน้ำมันก็จะท่วมสูงขึ้นมากกว่าเดิมใช่มั๊ยคะ?”

     

    “ข้าวพูดถูกแล้วล่ะ ข้าวรู้มั๊ยว่าไม่ใช่แค่ชาวบ้านนะที่เสียหาย แต่น้ำท่วมครั้งนี้ยังทำให้ภาคอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมของประเทศหลายแห่งทยอยกันจมน้ำไปด้วย และกระทบต่อสถานประกอบการ โรงงานนับหมื่นแห่งและแรงงานมากกว่าหกแสนคน การที่จะซ่อมแซมเครื่องจักรโรงงานที่ต้องจมน้ำไปอาจไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ หมายความว่าบางแห่งกว่าจะกลับมาผลิตใหม่ได้ อาจต้องใช้เวลาสามถึงหกเดือนเลยก็ว่าได้ ทำให้ระหว่างนี้แรงงานจำนวนมากของไทย มีปัญหาขาดรายได้อย่างกะทันหันเป็นเวลานานซ้ำเดิมจากการที่บ้านเรือนและทรัพย์สินที่ต้องเสียหาย

     

    ” ฉันนิ่งเงียบนั่งฟังที่พี่ลูเชลล์พูด และสัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่ ความเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบ ความฉลาดในการประเมินสถานการณ์จากคำพูดของเขา

     

    “แต่น้ำท่วมครั้งนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นนะครับ ^^ เพราะเราได้เห็นความมีน้ำใจของคนทั้งชาติที่มีต่อกันร่วมกัน บริจาคทรัพย์สินเงินทอง และไหนจะข้อความให้กำลังใจจากทางอินเทอร์เน็ตนั่นอีก คำว่า น้ำท่วมนี่ติดอับดับค้นหาอันดับต้นๆของเมืองไทยเลยนะ นั่นมันก็แสดงให้เห็นว่าคนไทยยังรักกันอยู่ คนไทยที่อยู่ต่างแดนก็รวบรวมเงินกันส่งมาบริจาคกันเท่าที่จะทำได้ พี่ว่ามันน่าซาบซึ้งใจมากเลยนะครับที่ได้เห็นภาพอย่างนี้ อีกทั้งยังมีจิตอาสาจิตใจดีจำนวนมากที่เต็มใจลางานหรือใช้วันหยุดที่มีมาช่วยเหลือผู้ประสบภัย และข้าวเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” ประโยคสุดท้ายเมื่อกล่าวถึงฉัน เสียงของพี่ลูเชลล์ก็เปลี่ยนไป

     

    “เอ่อ

     

    >,.<///

     

    ไม่รู้สิ ไม่รู้ ควรจะพูดอะไรดี เขินหน้าแดงจนไปไม่ถูกแล้ว

     

    ค่ะ” สุดท้ายก็ตอบรับ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วฉันไม่อยากมาเลย แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำหรับฉันแล้ว การมาเป็นจิตอาสาเป็นสิ่งที่ฉันชอบและรักที่สุดเลย  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจริงๆนะ >)_(<!!!

     

    “นี่มันก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว พวกเราไปหาอะไรกินกันเถอะ อาหารที่พวกเรานำมาตอนนี้ก็หมดแล้ว!” ลุงคนหนึ่งที่นั่งข้างหลังสุดและเป็นคนพายเรือพูดขึ้นเสียงดัง

     

    “แล้วจะไปกินกันที่ไหนล่ะคุณ จะกลับไปกินที่สนามกีฬาหัวหมากเหรอ” อาจารย์สุวิตาพูดขึ้น

     

    “ไม่หรอกครับป้า เราจะไปกินกันที่ลานศาลาศูนย์กลางของหมู่บ้าน ที่นั้นจะมีอาหารที่ชาวบ้านและอาสาสมัครนำมาร่วมกันไว้จัดกิจกรรมยามว่างเพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่เครียดจนเกินไป เป็นการทำให้ทุกคนได้ผ่อนคลายน่ะครับ” พี่ลูเชลล์พูดขึ้น อ๊ายยยย ทำไมเขาถึงเป็นคนที่รอบรู้ไปทุกเรื่องซะจริง

     

    นั่งเรือมาไม่นานฉันก็ถึงศาลากลางหมู่บ้านที่ว่า มีชาวบ้านรวมตัวกันอยู่ที่นี้เยอะพอสมควร ส่วนมากจะนั่งเรือลำเล็กๆหรือแพที่สร้างกันขึ้นมาเองซะส่วนใหญ่ แต่ละลำบรรจุคนซะเต็มเลย แต่ก็มีหลายคนที่ยืนดูอยู่บนบ้านบริเวณที่ใกล้เคียงกับศาลากลางหมู่บ้าน มีต้นไม้สูงที่ปลูกอยู่บริเวณนี้เยอะพอสมควร เด็กๆบางคนก็พากันว่ายน้ำขึ้นไปเกาะบนต้นไม้กัน ฉันมองเห็นกลุ่มอาสาสมัครไม่มากนักที่อยู่ที่นี้และก็ทหารห้าหกคน โอ๊ะ นั่นมันทีมงานของนักข่าวไทยทีวีสีช่องสามนี่นา ตื่นเต้นๆจัง ฉันจะได้ออกทีวีหรือเปล่านะ อิอิ >.<

     

    เรือของเราพายไปที่อาคารหลังหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมและคาดว่าน่าจะเป็นศาลากลางของหมู่บ้าน บนนั่นมีถุงอาหารและผู้คนคอยแจกจ่าย ชาวบ้านบางคนก็นำเสบียงอาหารของตัวเองที่ได้จากการบริจาคไปเพิ่มเป็นกองหนุนบ้างเล็กน้อย

     

    “พี่ลูเชลล์คะ ทำไมพวกเขาถึงมากินข้าวที่นี้กันเยอะจังเลยล่ะคะ ถ้าจะมาผ่อนคลายกัน แต่ทำไมทุกคนไม่มารวมกัน ทำไมต่างกลุ่มต่างแยกออกเป็นจุดๆไปอย่างนั้นล่ะคะ” ฉันถามขึ้นเมื่อได้ถุงอาหารเรียบร้อยแล้ว

     

    “ก็มันจะมีการแข่งขันกีฬาที่ชาวบ้านจัดขึ้นน่ะสิ เห็นเรือที่จอดอยู่โดยไม่มีคนนั่งหลายๆลำเรียงกันนั่นมั๊ย นั่นแหละเรือที่จะใช้ในการแข่งขันทั้งเดี่ยว คู่ และเป็นทีม ว่าแต่ข้าวปีนต้นไม้เก่งมั๊ย J?

     

    “เอ๋?... อ้อ ค่ะ ก็พอได้ ทำไมเหรอคะ”

     

    J” พี่ลูเชลล์ไม่ตอบฉัน แต่ใช้ดวงตาสีดำอมน้ำตาลที่มีเสน่ห์ต่อหัวใจยิ้มทางสายตาให้ฉันแทน

     

    “คุณลุงครับ ช่วยขี่ไปใต้ต้นไม้ต้นนั่นและก็จอดด้วยนะครับ” และก็หันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง เอ๋? จะทำอะไรของเขานะ

     

    แต่ก็ชอบจัง รอยยิ้มนั่น ^^

     

    ไม่นานเรือของเรามาจอดที่ใต้ต้นไม้ที่พี่ลูเชลล์บอก เพราะก่อนหน้านี้ต้นไม้ก็อยู่ไม่ไกลนัก พี่ลูเชลล์จับที่ลำต้นของต้นไม้และก็ลุกขึ้นยืนอย่างคล่องแคล่ว จากนั่นพี่เขาก็ยื่นมือยาวที่น่าหลงใหลนั่นมาทางฉัน และส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันหน้าไปคุยกับอาจารย์สุวิตาด้วยรอยยิ้ม

     

    “ป้าครับ ผมจะขึ้นไปกินบนต้นไม้นี่กับน้องข้าวโอ๊ตนะครับ”

     

    เอ๋?!! >O<///

     

    “ทำไมล่ะลูเชลล์ ทำไมไม่กินในเรือ”

     

    “ทุกครั้งที่ผมมา ผมก็นั่งที่บนต้นไม้น่ะครับป้า ผมชอบ J

     

     

    ผมชอบ…’

     

     

    แล้วทำไมต้องชวนฉันขึ้นไปนั่งด้วยล่ะ >_<///

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    “ถ้างั้นป้าขึ้นไปด้วยสิ” อาจารย์สุวิตาเหลือบหางตาที่เหมือนนางมารร้ายมาทางฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น ทำเหมือนกับว่ากำลังหึงหวงพี่ลูเชลล์อยู่ ราวกับว่าฉันกำลังจะพรากเขาไปอ้อมอก อ้อมใจของเธอตลอดกาล

     

    “ป้าลืมไปแล้วเหรอครับว่าป้าปีนต้นไม้ไม่ได้ และป้ามีอดีตที่ฝั่งใจกับการขึ้นต้นไม้นะครับ J

     

    … -_- (หน้าชา)” ไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกจากปากของอาจารย์สุวิตา พี่ลูเชลล์เมื่อพูดกับผู้เป็นป้าเสร็จก็หันหน้ามายิ้มให้ฉันเหมือนเดิม มือนุ่มๆน่าจับที่พี่เขาส่งมาก็ยังอยู่ท่าเดิม

     

    “ไปกันกับพี่นะข้าว J

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    อ่อนหัวใจฉันอ่อนระทวยไปหมดแล้ว >O<///

     

     

    ไปกันกับพี่นะข้าว J

     

     

    คำพูดเมื่อกี้ราวกับจะขอให้เดินร่วมทางไปกับเขาในอนาคตวันข้างหน้าจนแก่เฒ่า

     

    ฉันยื่นมือไปจับมือที่เขายื่นมารอรับอย่างสั่นๆเพราะตื่นเต้น กลิ่นหอมๆของช็อกโกแลตอ่อนๆลอยมาเป็นระยะ ไม่นานฝ่ามือเราสองคนก็กระทบกัน

     

    นุ่มนุ่มจัง

     

    >O<\\\

     

    ชอบ

     

    ฉันยืนขึ้นบนเรืออย่างเก้ๆกังๆ เพราะกลัวตก แรงบีบมือของพี่ลูเชลล์ก็จับแน่นขึ้น เพื่อให้ฉันทรงตัวได้ อ๊ายยยย เขินหัวหมุน

     

    “ข้าวขึ้นไปก่อนพี่เลยครับ เดี๋ยวพี่ถือถุงข้าวให้” ฉันทำตามที่พี่ลูเชลล์บอก ในชีวิตของฉันเป็นกุลสตรีมาตลอด ไม่เคยได้ทำอะไรห่ามๆ หรือออกนอกกรอบคำว่าเป็นผู้หญิงเลย จะมีก็แต่การปีนต้นไม้นี่แหละที่ฉันสามารถทำได้ ช่างโชคดีจริงๆ ฉันเองก็เคยสงสัยนะ ว่าทำไมฉันถึงปีนต้นไม้เป็น แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วล่ะ ว่ามันคงเป็นเพราะพรหมลิขิตที่รู้ว่าจะขึ้นเหตุการณ์นี้ขึ้น เลยทำให้ปีนต้นไม้เป็นตั้งแต่ยังเด็ก ระหว่างที่กำลังขึ้นไปเสียงของอาจารย์จากข้างล่างก็ดังขึ้นมา

     

    “คุณคะ เราจอดกินข้าวและก็ดูการแข่งเรือที่จุดนี้ไม่ได้เหรอคะ”

     

    “ไม่ได้หรอกครับ เพราะพวกผมตั้งใจจะไปกินข้าวกับจุดอาสาสมัครที่ตรงนั้น เพื่อนพวกผมอยู่กันหลายคนน่ะครับ” เมื่อเสียงคุณลุงพูดจบทุกอย่างก็เงียบลงไป

     

    ฉันได้ที่นั่งเหมาะๆ บนต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพี่ลูเชลล์เองก็นั่งอยู่ข้างๆฉัน พร้อมกับส่งยิ้มที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจให้ เรือลำที่พวกเรานั่งมาก็ออกตัวไป พร้อมกับอาจารย์สุวิตาที่มองมาด้วยสายตาละห้อยไห้ เฮ้อน่าสงสารจริงๆ

     

    “อ่ะ นี่ของข้าวครับ” พี่ลูเชลล์ยื่นถุงข้าวของฉันมาให้

     

    “ขอบคุณค่ะ ^^

     

    “แกะเลยสิครับ นี่มันเที่ยงแล้วนะ ไม่หิวแย่เหรอ?”

     

    “อ้อ ค่ะ พี่ลูเชลล์เองก็แกะสิคะ นี่มันเที่ยงแล้วนะ ไม่หิวแย่เหรอ? ฮ่าๆ ^O^

     

    “ล้อเลียนพี่เหรอ”

     

    “นิดหนึ่ง อิอิ”

     

    “วันนี้ข้าวอร่อยมากเลยแหะ” พี่ลูเชลล์ที่ตักข้าวเข้าปากก็พูดลอยๆขึ้น ส่วนฉันก็ตักข้าวใส่ปากกินและอมยิ้มไปเงียบๆ ใช่ ฉันเองก็เหมือนกัน ไม่เคยกินข้าวที่แสนอร่อยเท่าวันนี้มาก่อนเลย ...กินไปพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นแรงเพราะคนข้างๆ ความรู้สึกอย่างนี้มัน...มีความสุขและหวิวๆที่ใจยังไงชอบกล >///<

     

    “ถึงเวลาแล้วครับ!! พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา ทั้งหลาย!! ตอนนี้หลายคนคงจะกินข้าวอิ่มกันแล้วนะครับ!!! และการแข่งเรือก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว รักใคร เชียร์ใครก็ส่งเสียงกันดังๆเลยนะครับ!!! ^O^” เสียงของผู้ชายวัยกลางคนที่คิดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านพูดขึ้นเสียงดังอยู่ที่ใกล้ๆจุดศูนย์กลางที่ทุกคนรายล้อม

     

    “คนนี้ผู้ใหญ่บ้าน ท่านเป็นคนที่พลังปอดแข็งแรงและเสียงดังมาก นี่ขนาดไม่ใช้ไมค์นะเนี่ย พี่เชื่อว่าทุกคนคงได้ยินกันหมด ฮ่าๆ ^^”  พี่ลูเชลล์เอียงหน้ามากระซิบเบาๆที่ข้างหูฉัน ฉันหันไปมองหน้าพี่เขาอย่างตกใจ เพราะมันเร็วมาก ฉันเผลอจ้องดวงตาคู่สวยของพี่เขาไปโดยไม่รู้ตัว

     

    ตึกตัก ตึกตัก

     

    เสียงหัวใจพลันเต้นเป็นกลองรัว ณ วินาทีนี้ไม่อยากละสายตาออกไปเลยจริงๆ

     

    นี่สินะผู้ชายในฝันของฉัน

     

    หน้าตาเขาเป็นอย่างนี้ จริงๆสินะ

     

    ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ ว่าฉันเจอแล้ว

     

    พี่ลูเชลล์นี่แหละ คนที่ฉันตามหามานานแสนนาน

     

    นับตั้งแต่วันนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันสัญญา ว่าในหัวใจของฉันจะมองแค่เขาคนเดียว

     

    ฉันสัญญา

     

     


     


    โปรดติดตามตอนต่อไป

     





     

    Special #1

    “เวลาว่างพวกเธออยากทำอะไรเป็นงานอดิเรก เลือกสิ่งที่พวกเธอชอบที่สุดนะ” ครูแนะแนวประจำชั้น ม.6 ถามนักเรียนในห้องของฉันในคาบแรกของวัน

    “ออกกำลังกายค่ะ”

    “ดูหนังครับ”

    “ฟังเพลง เล่นกับหมาที่บ้าน”

    “ช่วยพ่อแม่ทำอาหารกินกัน”

    “อ่านหนังสือแฟชั่น และกินน้ำส้มไปด้วยค่ะ”

    “ไปช็อปปิ้งที่ห้างค่ะ”

    “เมาท์มอยด์กับฝูงเพื่อนสิคะ”

    “เหล่หญิงครับอาจารย์”

    “ไปเป็นอาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมค่ะ!! ชอบที่สุดเลย ^O^

     

     

     

     

    Add fan จิ้มๆ




     

    “นับตั้งแต่วันนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันสัญญา ว่าในหัวใจของฉันจะมองแค่เขาคนเดียว

    ฉันสัญญา

    อ๊ายยยย ช่างเป็นฉากที่ฟินอะไรอย่างนี้ ถ้าประทับใจลูเชลล์ยังไงก็อย่าบอกกันนะคะ ส่วนฤดูฝนนั่นตกหลุมรักลูเชลล์เข้าเต็มๆเหมือนกับข้าวโอ๊ตแล้วค่ะ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ทั้งหล่อ ทั้งยิ้มหวาน ทั้งอบอุ่น และยังฉลาดมีความเป็นผู้นำอีก บอกได้เลยว่ามีเสน่ห์สุดๆ >\\\<

    บทนี้มาพร้อมกับรูปของลูเชลล์ลุคเท่ๆ แบดๆ ดิบๆ แบบผู้ชาย(เพราะไปช่วยผู้ประสบภัยไง >.<) เดี๋ยวบทหน้าจะแปะรูปของลูเชลล์ลุคอบอุ่น สดใส น่ารักนะคะ อิอิ >\\\< เพราะผู้ชายคนนี้ตอนยิ้มนั่นน่ารักมากจริงๆ ไม่งั้นข้าวโอ๊ตไม่หลงเสน่ห์ ตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นหรอก >O<


    อบคุณที่ติดตามค่ะ รักรีดเตอร์ทุกคนนะคะ ^^

     

     

          

     

    ขอบคุณภาพพื้นหลังสวยๆจากB ♔ W
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×