THE HAUNTED HOUSE - นิยาย THE HAUNTED HOUSE : Dek-D.com - Writer
×

    THE HAUNTED HOUSE

    เรื่อง THE HAUNTED HOUSE นั้นถูกแต่งขึ้นมาด้วยความใส่ใจของผมอย่างเต็มที่ และอยากให้ทุกๆท่านที่ได้มาอ่านเรื่องนี้นั้นได้สัมผัสกับนิยายแนวระทึกขวัญในแบบฉบับของผมว่าจะสนุกและลุ้นระทึกหรือไม่ ขอบคุณครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    781

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    781

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.พ. 53 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    THE HAUNTED HOUSE


     
    นความเงียบสงบที่ปราศจากผู้คน มีเพียงสายลมที่เย็นยะเยือกที่กำลังพัดผ่านบ้านร้างหลังหนึ่ง กลิ่นอายอันชวนน่าสยดสยองที่สามารถบ่งบอกถึงเหตุการณ์อันน่ากลัวชวนขนลุกของเหตุการณ์คดีฆาตรกรรมภายในบ้านหลังนี้มีหลากหลายเหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่า หลายเรื่องหลากหลายรูปแบบสารพัดที่คนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้พบเจอ

     

    มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ว่า ก่อนที่มันจะถูกสร้างเป็นบ้าน ที่แห่งนี้เคยเป็นสุสานให้กับทหารที่ตายในสงครามโลกครั้งที่1 มีศพแล้วศพเล่าถูกฝังอยู่ในที่แห่งนี้ แต่ทว่าก็มีเศรษฐีพร้อมครอบครัวของเขาตกลงปลงใจว่าจะซื้อที่ดินผืนนี้  เอาไว้สร้างบ้านพักส่วนตัว โดยที่เจ้าของที่ดินผืนนี้ก็ต้องจำยอมขายให้ในราคาที่แสนถูก นับแต่นั้นมาก็ได้มีการขุดหลุมที่ใช้ฝังศพเหล่านั้นย้ายที่ฝังศพไปไว้ที่โบสถ์คริสเตียนที่อยู่ใกล้ๆแถวนั้นแทน

     

    ต่อจากนั้นเศรษฐีก็เริ่มจ้างคนมาแปรเปลี่ยนสภาพดินผืนนั้นทันที หลังจากที่นำเอาศพออกไปแล้วพร้อมทั้งนำบาทหลวงมาประกอบพิธี แต่แล้วการประกอบพิธีก็ต้องเป็นอันยุติลงเสียกลางครันอันเนื่องมาจากบาทหลวงที่มาประกอบพิธีในตอนนั้นประกอบพิธีไปได้ไม่นานก็ล้มลงป่วยตาย บาทหลวงท่านอื่นๆที่อยู่ในพิธีก็เริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่แห่งนี้มีอาถรรพ์ท่านต้องออกไปจากที่นี้เสีย เศรษฐีไม่ฟังและตอบกลับไปด้วยเสียงอันเย็นยะเยือกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พวกท่านไม่ประกอบพิธีให้ข้า ข้าก็จะสร้างมันตรงนี้โดยที่ไม่มีพิธีอะไรทั้งสิ้น ว่าแล้วเศรษฐีก็ได้สั่งคนงานของเขาพร้อมทั้งเกณฑ์ชาวบ้านจำนวนหนึ่งมาสร้างบ้าน พร้อมทั้งให้เงินล่วงหน้าและค่าทำขวัญอีกจำนวนมาก ทำให้การก่อสร้างบ้านพักของเศรษฐี ไม่นานนักนักก็เสร็จ แต่ในระหว่างที่กำลังสร้างบ้านหลังนี้อยู่นั้น ก็ได้มีเรื่องเล่าในหมู่คนงาน บ้างก็เล่าว่าหลังจากสร้างบ้านได้13วัน ก็ได้มีคนงานคนหนึ่งนำเชือกมาผูกไว้กับเขื่อเตรียมจะผูกคอตาย แต่โชคดีที่มีคนงานด้วยกันมาห้ามไว้ได้ทัน บ้างก็เล่าว่า มีอยู่วันหนึ่งมีผู้หญิงที่เป็นคนงานด้วยกันแอบนั่งร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ พอเข้าไปถามกลับตอบกลับมาว่า อย่ามายุ่งกับข้าพวกเจ้าลุกล้ำที่ของข้า บ้างก็เล่าว่า น้ำเปิดเองบ้าง ประตูปิดเปิดเองบ้าง มองเห็นคนเดินไปเดินมาใส่ชุดทหารเก่าๆบ้าง แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐีท่านนี้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย

     

    จนกระทั่งตัวเศรษฐีเองและครอบครัวของเขาซึ่งประกอบไปด้วยภรรยาของเขา พี่ชายของเขา ลูกอีก2คน และพี่เลี้ยงเด็กอีก2คน คนรับใช้อีกหนึ่งรวมตัวเขาด้วยก็8คน ย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ หลังจากย้ายมาอยู่ได้ไม่นานก้เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นโดยเหตุการณ์แปลกๆเหล่านั้นมักจะเกิดขึ้นทุกวันที่ 3,5,7,9,11,13 . . . (วันคี่)ซะส่วนใหญ่ โดยวันที่13นี้มักจะเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดรุนแรงกว่าวันอื่นๆ

     

    เหตุการณ์แปลกๆที่เกิดขึ้นเช่น ก็อกน้ำเปิดเองบ้าง มีเสียงเคาะประตูแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร เสียงลากของดังเอี๊ยดอ๊าดซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีคนทำ เสียงกรีดร้องที่ไม่มีที่มาที่ไป เสียงตอกตะปู

    บางทีคนในบ้านเองก็เห็นคนใส่ชุดทหารเก่าๆเดินไปเดินมาในห้องโถงใหญ่ เนื้อตัวของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเลือด บางครั้งก็เกิดเหตุไฟดับแล้วจู่ๆก็มีเงาคนเดินผ่านไปมาเต็มไปหมด ประกอบกับประตูที่ปิดเปิดเองอย่างรุนแรงซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแต่แรงอาฆาตพยาบาทเต็มไปหมดอยู่ในบ้านหลังนี้

     

    ต่อมาไม่นานเหตุการณ์ต่างๆก็ได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนคนในบ้านต่างก็พากันกลัว แม้แต่ตัวเศรษฐีเองในตอนนี้ก็เริ่มหวาดผวาและมีอาการสั่นกลัวอย่างรุนแรง จนถึงขั้นที่เริ่มเครียดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อจู่ๆ เศรษฐีผู้เป็นพ่อได้หยิบปืนลูกซองเดินไปตามห้องนอนของสมาชิกภายในบ้าน ภายในคืนนั้นเอง เขาได้ยิงปืนลูกซองใส่สมาชิกภายในบ้านทั้งหมดไล่ไปตั้งแต่ภรรยาของเขาจนไปถึงคนรับใช้คนสุดท้าย เสียงปืนดังอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหยุดลง เมื่อคนภายในบ้านตายหมดแล้วไม่มีผูรอดชีวิตเหลือเพียงแต่เศษกระสุนและเลือดที่เอ่อนองเต็มพื้นอย่างน่าสยดสยอง และสุดท้ายเขาก็ทิ้งปืนลงและวิ่งขึ้นไปบนชั้นบนสุดของบ้าน เข้าไปในห้องใต้หลังคาแล้วก็กระโดดลงมาเสียชีวิต!!

     

    3ปีหลังจากเหตุการณ์สยดสยองภายในบ้านหลังนั้น ตำรวจที่มาตรวจสอบหลักฐานในที่เกิดเหตุภายในเวลานั้นไม่สามารถสรุปได้เลยว่าเพราะเหตุใด เศรษฐีผู้เป็นพ่อจึงได้เอาปืนลูกซองมายิงคนในบ้านทั้งหมด ซึ่งเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่ จนกระทั่งล่วงเลยมาจนถึงวันที่มีผู้มาติดต่อรายใหม่มาติดต่อกับเจ้าของที่ดิน โดยตัวเจ้าของที่ดินนั้นก็พยายามบอกกล่าวตักเตือนและต่อว่าต่างๆนานาว่าบ้านนี้มีอาถรรพ์ แต่สุดท้ายเจ้าของที่ดินก้ต้องจำยอมขายให้กับเขา เพราะว่าผู้มาอยู่อาศัยรายใหม่รายนี้เป็นตระกูลเวนสัน ตระกูลเวนสันเป็นตระกูลที่คนทั่วไปภายนอกดูเหมือนว่า พวกเขาจะเป็นคนที่แปลกๆ ชอบทำพิธีกรรมต่างๆ

    ชอบเข้าทรงเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งนั้นก็ไม่แปลกเลยที่พวกตระกูลเวนสันจะมาอยู่ในบ้านหลังนี้

     

    เมื่อพวกเขามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่นานก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนจัดบ้านหลังนี้เสียใหม่นำเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นของเศรษฐีที่ตายไปแล้วเอาออกไป เอาเฟอร์นิเจอร์ใหม่เข้ามาแทนที่และได้ปรับเปลี่ยนบ้านหลังนี้ให้กลายเป็นบ้านจัดพิธีกรรม ซึ่งมีทั้งโลงศพ เทียนที่ดูมีมนต์ขลังต่างๆ 

     

    ในไม่ช้าไม่นานตระกูลเวนสันก็ได้โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปเกี่ยวกับการจัดพิธีกรรมเข้าทรง คนที่มาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นญาติของคนที่ตายไปแล้วมาถามร่างทรงว่า ผู้ตายนำสมบัติไปซ่อนไว้ที่ไหน คนที่ตายเขาตายอย่างไรใครเป็นคนฆ่า โดยการจัดพิธีกรรมเข้าทรงครั้งแรกถูกจัดในปี1972 โดยมีสตีฟบุตรชายของแม็คเคยน์ เวนสันเป็นร่างทรงโดยมีตัวแม็คเคยน์เองเป็นผู้จัดการเข้าทรง การเข้าทรงดำเนินการไปได้อย่างราบรื่นมีผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบเข้ามาผัวพันกับบ้านหลังนี้ กับครอบครัวของเวนสัน แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบเป็นเรื่องธรรมดา ในการเข้าทรงครั้งสุดท้ายโดยมีแม็คเคยน์ดำเนินการจัดการกับพิธีกรรมเข้าทรงและลูกชายของเขา ซึ่งทำหน้าที่เป็นร่างทรงอย่างเช่นเคยทำเป็นประจำมาก่อนแต่ครั้งนี้กลับไม่ราบรื่นเหมือนเคย เมื่อการเข้าทรงดำเนินไปไม่ถึง20นาทีลูกชายของแม็คเคยน์ก็เริ่มมีอาการแปลกๆตัวเริ่มสั่น ปากของเขาเริ่มอ้าปากค้างนานและทำท่าชักสั่นทุรนทุรายสร้างความแตกตื่นเอามากกับตัวแม็คเคยน์และผู้เข้าร่วมพิธี นั่นเป็นสัญญาณเตือนตัวแม็คเคยน์เองว่าจงหยุดการเข้าทรงครั้งนี้เสีย เพราะมีวิญญาณร้ายในบ้านหลังนี้เริ่มทยอยเข้าไปในร่างของลุกชายของเขาแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น แม็คเคยน์ก็ไม่เลิกล้มความตั้งใจเพราะการเข้าทรงของเขาไม่เคยมีการยกเลิกเสียกลางครัน และแล้วเหตุการณ์นั้นก็ได้มาถึง ลูกชายของเขาหยุดสั่นแต่กลับกลายเป็นว่าลูกชายของเขาเอาหัวกระแทกกับโต๊ะแทนอย่างแรง เมื่อแม็คเคยน์กำลังจะเข้ามาห้าม ลูกชายของเขากลับหยุดโขกกับโต๊ะ แต่เปลี่ยนมาเป็นหันหน้าไปมารอบๆห้องและมีอาการสั่นมากขึ้น จนในที่สุดลูกชายของเขาก็อ้าปากออกมาพร้อมกับขับของเหลวที่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายที่ออกมาจากปากของเขา ท่ามกลางอาการตกใจของแม็คเคยน์และผู้เข้าร่วมพิธี แม็คเคยน์ตัดสินใจเข้าไปเอามือของเขาเข้าไปจับปากของลูกชายของเขาเพื่อให้หุบปากลง แต่ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้วเสี้ยวนาทีสุดท้ายของเหลวเหล่านั้นก็ได้พวยพุ่งออกมาเป็นลูกไฟขนาดยักษ์และระเบิดออก บรรดาผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรมกลายเป็นเถ้าถ่านเหลือเพียงแค่แค่แม็คเคยน์และลูกชายของเขา แม็คเคยน์นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

     

    แต่ทว่าเรื่องราวต่อจากนั้นกลับไม่มีใครเลยที่พอจะทราบเรื่องทางตำรวจก็รู้เพียงแค่ว่า พอได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนตายในบ้านหลังนั้นโดยคนที่แจ้งเป็นชาวบ้านในละแวกนั้นบังเอิยเข้าไปเห็นคนตายพอดีจึงมาแจ้งให้ทางตำรวจทราบ ตำรวจจึงนำกำลังไปตรวจสอบทันทีพร้อมรถพยาบาลฉุกเฉิน แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุตำรวจพบแต่เพียงเศษเถ้ากระดูกคนตาย 3 คนด้วยกัน มาทราบภายหลังว่าคนทั้ง3คือ ลุง ป้า และภรรยาของนายแม็คเคยน์ เวนสัน ส่วนตัวแม็คเคยน์เองนั้นทางตำรวจไม่พบศพ พบแต่เพียงลูกชายของเขา สตีฟ เวนสัน อยู่ในอาการสั่นกลัว และมีอาการประสาทหลอนเป็นระยะๆ ทางตำรวจยังพบร่องรอยอะไรบางอย่างซึ่งถูกพบเจอบริเวณที่ไปพบกับสตีฟ เป็นรอยคล้ายๆมือคนมันมีอยู่เต็มพนัง ซึ่งตำรวจที่อยู่ในที่นั้นรู้สึกได้เลยถึงความอาฆาตแค้นของบ้านหลังนี้

     

    บ้านหลังนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีอาถรรพือะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ จึงสามารถที่จะมีอำนาจในการชักนำให้คนมาอาศัยอยู่ต่อจากผู้ที่อาศัยอยู่เดิมที่จากไปแล้ว เมื่อทางตำรวจเห็นว่า บ้านหลังนี้มีอาถรรพ์อันแรงกล้าและถูกกล่าวขานในเรื่องราวเกี่ยวกับศพ เรื่องลี้ลับต่างๆนานา ทางตำรวจจึงใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พักศพคนที่ตายแล้ว เนื่องมาจากที่ห้องเก็บศพเดิมที่โรงพยาบาลแถบนี้มักจะเต็มเสียบ่อยๆ ทางตำรวจและทางโรงพยาบาลมีความเห็นตรงกันว่า ถ้าศพที่โรงพยาบาลเต็มก็ให้ย้ายมาไว้ในบ้านหลังนี้ พร้อมทั้งย้ายหมอที่ชำนาญการและดูเหมือนจะมีความเคยชินกับเรื่องลี้ลับเหล่านี้มาอยู่อาศัยด้วยเพื่อป้องกันการขโมยศพ การทำลายศพฯลฯ

     

    เมื่อหมอชันสูตรศพพร้อมกับศพจำนวนหนึ่งจากโรงพยาบาลย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่นานนักมันก็เริ่มต้นขึ้น คนละแวกที่อยู่แถวบ้านหลังนี้เริ่มเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ เรื่องแปลกๆ และมักจะนำมาเล่าให้กับหมอที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นประจำ โดยเรื่องที่นำมาเล่า เช่น เห็นคนผูกคอตายอยู่หน้าบ้านบ้าง เห็นคนท่าทางแปลกๆไม่มีแขนทั้ง2ข้างยืนอยู่ในบ้านบ้าง บ้างก็เห็นคนเดินไปเดินมาอยู่รอบๆบ้านใส่ชุดทหารแบบเก่าๆและพกปืนลูกซองอยู่บนหลังเป็นต้น

     

    เรื่องราวเหล่านี้ที่หมอได้ยินจากพวกชาวบ้านทุกวันและเป็นประจำดูเหมือนว่าจะเป็นข่าวประจำวันไปเสียแล้ว จึงทำให้ตัวหมอเองเมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นกลับเอาแต่นิ่งเฉยและทำท่าทางเฉยเมยกับเรื่องราวเหล่านั้น เมือ่ชาวบ้านมาถามหมอว่า หมอไม่เป็นไรแน่นะ หมอได้ยินดังนั้นกลับตอบไปว่า ข้าจะไปเป็นอะไรเล่าข้าก็อยู่ดีมีสุขว่าแต่พวกเจ้านั่นแหละคิดไปเอง บ้า!! เมื่อหมอพูดจบและเดินกลับหลังหันเข้าไปในบ้าน บรรดาชาวบ้านก็มีอันต้องตื่นตะลึงและตกใจไปตามๆกัน เมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้าคือ วิญญาณคนตายจำนวนมากเกาะอยู่เต็มหลังของหมอและภายในบ้านมีแต่เตียงชันสูตรศพ และมีเลือดอยู่นองพื้นจำนวนมาก ภาพเหล่านั้นยิ่งสร้างความตกใจและตื่นตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกให้กับผู้เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น และอาจจะมีคนคิดว่า หมอเองนั้นแหละที่ บ้า!!

     

    ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ก็ดำเนินไปได้ไม่นานนัก ก็ถึงจุดสิ้นสุดของมันเสียที เมื่ออยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านเข้าไปในบ้านของหมอเพราะว่าไม่ว่าจะเคาะประตูเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมีคนมาเปิดซะทีจึงเข้าไปดู และปรากฏว่าหมอตายเสียแล้ว ตำรวจที่มาชันสูตรศพระบุว่าเขาโดนบีบคอตายอย่างอนาถโดยรอยนิ้วมือและรอยมือนั้นไม่สามารถระบุได้เลยว่าเป็นของใคร ซึ่งนั่นก็ยิ่งเพิ่มปริศนาให้กับตำรวจเข้าไปทุกทีๆ นอกจากนี้ทางตำรวจยังพบรอยอักษรโบราณๆสลักอยู่เต็มพนังห้อง โดยสลักด้วยมีดหมอ ซึ่งน่าจะเป็นตัวหมอเองมากกว่าที่ทำเอาไว้ และดูเหมือนว่าปริศนาในบ้านหลังนี้จะไม่มีวันจบตลอดกาล!!

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น