ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Guardian Soul.หัวขโมยผู้พิทักษ์

    ลำดับตอนที่ #4 : ภารกิจที่ 3 กลับมาอีกครั้ง

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 56




    ภารกิจที่ 3 กลับมาอีกครั้ง

                หงุดหงิด หงุดหงิด หงุดหงิด ตอนนี้ข้าหงุดหงิดที่สุดในในสามโลกเลย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ให้ตายเถอะเจ้าราล์ฟ ไอ้เจ้าลาบเป็ด ข้าไม่น่าไปรับปากมันเลยจริงๆ!!

    สามวันก่อน ชายป่านอกเมืองเฟตส์ฟาวล์ ประเทศอเมรัส....

                'หา???' ข้าขึ้นเสียงสูง แปลกใจกับคำขอร้องของชาผมสีน้ำเงินตรงหน้า หมอนี่สมองเสื่อมขึ้นมารึอย่างไร ถึงได้ให้คนที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงอย่างข้าพากลับบ้าน

                'ฟีล ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นนักเดินทางที่มีความสามารถ เจ้าต้องเคยผ่านบ้านเกิดข้าแน่' ราล์ฟมองมาที่ข้าอย่างมีความหวัง แต่รู้สึกสยองแปลกๆยังไงชอบกล อยู่ดีๆก็เปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือแบบนี้มันแปลกอยู่นา เมื่อเห็นว่าข้าทำท่าจะไม่รับคำขอ ราล์ฟจึงบอกกับข้าด้วยประโยคสุดคลาสสิค

                'ถ้าเจ้าพาข้าไป ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้าสามร้อยเหรียญทอง และแน่นอนว่าเงินสด'

                'ไม่ว่าบ้านเกิดเจ่าจะอยู่สุดขอบโลก ข้าก็จะพาเจ้าไปให้ถึง เชิญบอกมาเลย เออร์นาลี ฟีล ผู้นี้ยินดีจะคุ้มครองเจ้าจนถึงบ้าน' สามร้อยเหรียญทองมันมหาศาลมากเลยนะพวกเจ้ารู้ไหม! แถมเป็นเงินสดอีกต่างหาก ต้องมหาเศรษฐีจริงๆ ถึงจะกล้าพูดแบบนี้ ดูสิ! โอกาสทอง(สามร้อยเหรียญ)มากองอยู่ตรงหน้าข้าแล้ว มีหรือคนอย่างข้าจะไม่รับไว้

                'หึ! ว่าแล้วว่าจะต้องใช้ไม้นี่' ราล์ฟกระตุกยิ้มมุมปาก แต่ข้าไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมันพูดมาขนาดนี้แล้วก็ต้องไปสินะ

                'เอาล่ะ งั้นบ้านเกิดเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ ข้าจะได้พาไปถูก'

                'เฟตส์ฟาวล์ เมืองหลวงน่ะ'

    กลับมาที่ปัจจุบัน เฟตส์ฟาวล์ ประเทศอเมรัส

                เพราะอย่างนั้นแหละ หมอนี่ไม่ยอมบอกข้าก่อนว่าบ้านเกิดมันคือที่นี้ คือเฟสต์ฟาวล์ ไม่เช่นนั้นหัวเด็ดตีนขาดยังไงข้าก็ไม่มาเหยียบที่นี้เด็ดขาด เป็นเพราะสามร้อยเหรียญทองแท้ๆเชียว ไม่น่าพลั้งปากพูดออกไปเลยฟีลเอ๊ย!

                "หน้าเจ้าหงุดหงิดมาสามวันเต็มแล้วนะฟีล จงเกลียดจงชังเฟสต์ฟาวล์นักรึไง" ราล์ฟทักข้าเมื่อเห็นว่าหน้าข้าพร้อมจะมีเรื่องกับทุกคนที่เดินสวนไปสวนมา  สาเหตุมันก็เจ้านั้นแหละ! แถมบ้านหมอนี่อยู่ส่วนไหนของเฟตส์ฟาวล์ข้าก็ไม่รู้ด้วย ขืนไปอยู่ใกล้เขตพระราชฐานข้าไม่แย่ยิ่งกว่าเก่ารึไง

                "รีบๆไปบ้านเจ้า แล้วเอาเงินค่าจ้างมาให้ข้าดีกว่านะ ข้าอยากจะออกจากเมืองนี้เต็มทนแล้ว" ข้าพูดโดยไม่มองหน้ามัน เฟตส์ฟาวล์ จะว่าไปนี้ก็ห้าปีเต็มแล้วสินะแต่ข้าไม่ได้มาเหยียบที่นี้ จัตุรัสกลางเมืองก็ยังคงครึกครื้นไปด้วยบรรดาผู้คนมากมายหลายวัย น้ำพุพันปีที่ดูเด่นสะดุดตานั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ตลาดกลางเมืองก็ยังคงเต็มไปด้วยบรรดาพ่อค้าแม่ขาย และเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านแต่พาลุกๆหลานๆมาจับจ่ายซื้อของ ข้าหยุดยืนมองภาพเหล่านั้นราวกับต้องมนตร์สะกด บรรดาผู้คนที่เดินผ่านตัวข้าไปพร้อมกับรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ไม่มีพรมแดงขลิบทองที่ทอดยาว ไม่มีทหารที่ต้องมาคอยยืนคุ้มกันข้า ประชาชนไม่ต้องมานั่งคุกเข่าเมื่อได้ยินเสียงแตร...

                "ฟีล!! เหม่ออะไรของเจ้าน่ะ!" เสียงของราล์ฟปลุกข้าจากภวังค์อันชวนสลด ข้าส่ายหน้าไล่ความคิดเรื่องเก่าๆออกจากหัวแล้วถึงได้ก้าวเดินไปขนาบข้างกับราล์ฟที่อยู่หน้าข้า

                "เจ้ามีปัญหาอะไรกับน้ำพุพันปีรึไง??" ราล์ฟถามข้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าข้าไม่ตอบคำถามแรก น้ำพุพันปีเป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมือง ที่ได้ชื่อนี้เป็นเพราะเล่ากันว่า น้ำพุแห่งนี้ถูกสร้างมาพร้อมกับเมืองเฟตส์ฟาวล์และประเทศนี้ รวมถึงที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่องค์ปฐมกษัตริย์ทรงขอองค์ราชินีอภิเษกสมรสอีกต่างหาก ดังนั้นนอกจากจะเป็นสถานที่พักผ่อนแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ใช้สารภาพรักของบรรดาคู่รักหนุ่มสามอีกด้วย ไม่ต้องจ้องข้าเลยนะ ข้ารู้นะว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่น่ะ จะย้ำให้ฟังชัดๆแล้วกัน ข้าไม่เคยมีคนรัก และไม่คิดที่จะมีคนรัก!

                "ข้าเห็นว่ามันสวยดีก็แค่นั้น" ข้าตอบปัดๆไปแล้วเดินนำเจ้าราล์ฟไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหลาย ก็ข้าไม่รู้ว่าบ้านหมอนี่มันหลังไหนนี่ แถมเจ้าตัวคนว่าจ้างยังหยุดยืนมองน้ำพุพันปีสลับกับข้าไปๆมาๆอยู่อย่างนั้นอีกต่างหาก ราล์ฟฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วค่อยเดินเข้ามาข้างหลังข้าแบบเบาๆ

                "หรือว่า เจ้าเชื่อในตำนานของน้ำพุพันปี" ราล์ฟก้มลงมากระซิบข้างหูข้าจากด้านหลัง อารามตกใจทำให้ข้าฟันศอกกลับไปโดยอัตโนมัติ แต่ราล์ฟกลับหลบมันได้อย่างง่ายดาย บ้าน่า! ราล์ฟหลบศอกนั้นได้ยังไง ขนาดพวกทหารที่ว่าเก่งๆยังหลบศอกเมื่อกี้ไม่พ้นกันเลยนะ

                "อย่าทำแบบเมื่อกี้อีกเป็นครั้งที่สอง ไม่งั้นคิ้วของเจ้าอาจจะแตกได้" ข้าเตือนหมอนั่นด้วยความหวังดี ที่หลบได้อาจจะแค่หมอนี่โชคดีไปหน่อยเท่านั้นเอง แต่ราล์ฟก็ยังคงปั้นหน้ายิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา แถมยังวิ่งมาดักหน้าข้าอีกต่างหาก

                "หรือว่า เจ้าเคยถูกคนรักบอกเลิกที่หน้าน้ำพุพันปี  โธ่ๆ ช่างเป็นอดีตที่แสนเศร้ายิ่งนัก" มันปั้นหน้าเศร้าได้น่าถีบที่สุดเลยเจ้าลายเป็ดนี่

                "มันใช่แบนั้นที่ไหนเล่าเจ้าบ้า!!" ว่าแล้วก็ขอกระโดถีบมันสักเปรี้ยงก็แล้วกัน น่าเสียดายที่หมอนี่หลบลูกถีบของข้าได้อย่าง่ายๆ เหมือนกับว่ามันกำลังเล่นกับเด็กอยู่ เจ้าลาบเป็ดนี่มันไม่ธรรมดาจริงๆแฮะ

                "ไม่เอาน่าฟีล ยังไงเราก็คนกันเอง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องอายเลยนี่นา" ราล์ฟว่าแล้วยิ้มสว่างไสวให้ข้า รอยยิ้มของมันทำให้ตัวเองดูดีปานเป็นเทพบุตรลงมาเกิด เดี๋ยวๆ ข้ารู้สึกคุ้นๆกับรอยยิ้มแบบนี้นะ เหมือนจะเคยเจอเมื่อตอนขึ้นปล้นบ้านขุนนางที่ไหนสักที่หนึ่ง จะว่าไปผมสีน้ำเงินนี่ก็คุ้นตาตั้งแต่ครั้งแรกแล้วด้วย

                "ข้าไปเป็นคนกันเองกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่" ข้าถามเสียงเย็น ในใจรู้สึกไม่ดีจนอยากจะเผ่นจากตรงนี้ไปให้ไกลสุดๆเลยล่ะ จากยิ้มสว่างไสว เมื่อได้ยินคำถามราล์ฟกลับเปลี่ยนไปกระตุกยิ้มมุมมากอย่างเจ้าเล่ห์แทน

                "ก็ตั้งแต่ตอนที่เจ้าบุกปล้นบ้านเจ้าหมูตอนนั้นล่ะมั้ง" ชัดเจนเลย!! ไอ้ทหารที่เกือบเอาข้ายัดตารางได้ก็คือหมอนี่เองงั้นเหรอ แกนะแกไอ้เจ้าลาบเป็ด!!

                "หวังว่าไอ้หมียักษ์นั้น คงไม่ใช่ฝีมือเจ้าด้วยหรอกนะ" ข้าตั้งท่าเตรียมจะเผ่นหากเจ้าราล์ฟมันเล่นตุกติก ไม่ใช่ว่าข้ากลัวฝีมือของมัน แต่ข้าแค่ไม่อยากจะปะทะกับทหารที่นี่ ตอนนี้ ยิ่งตอนนั้นข้าจำได้ว่าพวกทหารเรียกเจ้าราล์ฟว่าหัวหน้า ยิ่งสมควรหลีกเลี่ยง รู้รักษาตัวรอดเป็นยอมดี ไม่เคยได้ยินกันรึไง

                "นั้นมันคงเป็นโชคชะตามากกว่านะ"

                "กรรมลิขิตมากกว่าน่ะสิไม่ว่า"  

                "โอ้! ราล์ฟ เจ้ากลับมาแล้วหรือ!!" ทั้งข้าทั้งราล์ฟต่างหันไปตามเสียงเรียกนั้น เมื่อเห็นหน้าของเจ้าของเสียงเรียกนั้น ข้าก็รู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาดลงกลางกบาล

                เส้นพระเกศาสีดำแซมขาวบ่งบอกถึงวัยอันล่วงเลยมามากแล้ว หากแต่พระเนตรสีน้ำตาลเข้มนั้นทรงยังแลดูสดใส เละขี้เล่นอย่างเดิมไม่แปรเปลี่ยน อีกทั้งพระวรกายที่ดูชราภาพมากขึ้น ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ข้าลืมพระพักตร์ของพระองค์ได้แม้วินาทีเดียว

                องค์ราชามอร์กี กษัตริย์ลำดับที่ 68 แห่งอเมรัส

                "ท่านพี่มอร์กี ออกมาเดินเล่นคนเดียวอีกแล้วเหรอครับ?" ราล์ฟทักเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ อะไรนะ!ท่านพี่งั้นเหรอ แต่ว่านี่...รึว่าจะแค่หน้าตาคล้ายกัน แต่จะคล้ายกันแม้กระทั่งชื่อมันก็ดูยังไงอยู่นะ

                "พี่ไม่ใช่นักโทษที่ต้องทนอยู่แต่ในคุกนะราล์ฟ" มอร์กีเดินเข้ามาตบบ่าราล์ฟเบาๆ แสดงให้เห็นถึงความสูงที่ไล่เลี่ยกันถึงแม้ว่าเขาจะแก่กว่าราล์ฟมาก และระหว่างที่ราล์ฟกำลังบ่นพี่ชายเรื่องหนีออกเที่ยวเล่นคนเดียว มอร์กีก็เหลือบมามองข้าด้วยสายตาแปลกๆ แถมยังยิ้มให้ข้าอีกด้วย แต่นั้นมันรอยยิ้มอาบย่าพิษชัดๆ! คนที่ยิ้มแล้วทำให้ข้ารู้สึกเสียวสันหลังได้แบบนี้ มีแค่องค์ราชามอร์กีคนเดียวเท่านั้นแหละ

                "จะว่าไป หญิงสาวแสนสวยข้างกายเจ้านี่ ว่าที่น้องสะใภ้ข้ารึ?" ข้าแทบหงายหลังเมื่อได้ยินคำถามชวนสยองนั้น! ดูท่าราล์ฟเองก็คงสยองไม่แพ้ข้าเมื่อหมอนั่นเองก็แอบผงะไปเล็กน้อย แถมยังหันมามองข้าอย่างรังเกียจอีกด้วย ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ สายตารังเกียจน่ะมันของฝั่งนี้ต่างหาก!

                "ท่านพี่ ข้าไม่คิดสั้นขนาดเอาคนปลูกฝิ่นมาเป็นคนรักหรอกนะครับ" มอร์กีขมวดคิ้มเมื่อได้ยินราล์ฟเรียกข้าว่าคนปลูกฝิ่น เขาหันมามองข้าเหมือนจะขอคำตอบในเรื่องที่ตัวเองสงสัย แต่ตอนนี้ข้าคงไม่ตอบคำถามของมอร์กีหรอกนะ

                "ข้าเองก็ไม่ได้อยากเอาคนขายลาบเป็ดมาเป็นคนรักเหมือนกันนั่นแหละ!" มอร์กีอ้าปากค้างเลยเมื่อได้ยินข้าเรียกน้องชายของเขาแบบนั้น ราล์ฟหันหน้ามาทางช้าช้าๆพร้อมกับเส้นเลือดที่ปูกขึ้นบนหน้าผาก

                "เรียกใครว่าคนขายลาบนะยัยฝิ่น!"

                "ก็เรียกไอ้คนที่เรียกข้าว่าคนปลูกฝิ่นน่ะสิ" ข้าหักนิ้วมือเตรียมพร้อมจะมีเรื่องทุกขณะ สายตาข้ากับราล์ฟจ้องกันจนเกิดเป็นไฟฟ้าแล่นไปมาในอากาศ เมื่อเห็นท่าไม่ดีมอร์กีจึงต้องรีบห้ามมาห้ามทัพเสียก่อน  

                "พอก่อนๆ พี่ว่าเรากลับไปบ้านก่อนดีกว่านะราล์ฟ เจ้าเองก็มาด้วยกันสิ" มอร์กีเอ่ยชวนข้า แล้วเดินนำหน้าเราสองคนไปก่อน ข้าเหลือบมองเจ้าราล์ฟที่มองข้าตอบแล้วเดินตามหลังมอร์กีไป ยังไงก็ขอไปรับสามร้อยเหรียญทองก่อนแล้วกัน

                มอร์กีนำพวกเราออกมายังป่าท้ายเมือง ซึ่งระหว่างทางเขาเป็นคนเดินนำมาตลอด โดยมีข้าที่เดินขนาบกับราล์ฟเดินตามหลัง มีบางระยะที่มอร์กีชวนราล์ฟคุยถึงเรื่องสัพเพเหระที่ข้าคาดว่าคงเป็นเรื่องที่ราล์ฟต้องออกไปทำงานต่างเมือง เมื่อปากเงียบข้าเลยได้โอกาสแอบสังเกตคนข้างตัวเป็นระยะ ข้ายอมรับว่าราล์ฟเป็นชายหนุ่มที่ดูดีที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบมา ไม่ว่าจะเป็นเรือนผมสีน้ำเงินทอประกายวาววับ รึจะเป็นนัยน์ตาสีดำดุจเหยี่ยวของเขาที่แสนจะคมเข้ม รูปร่างสูงโปร่งแต่ไม่ได้บอบบาง ทำให้เขายิ่งดูเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก พอได้รวมกับผิวขาวเนียนละเอียดราวสำลี ยิ่งทำให้ราล์ฟดูดีมากขึ้น หมอนี่เป็นสิ่งที่ธรรมชาติแสดงให้เห็นถึงความลำเอียงได้อย่างเด่นชัดเลยแหละ

                "จะว่าไป พี่ไม่เคยเจ้าพาผู้หญิงคนอื่นกลับมาด้วยเลยนะ ฟีลเจ้าควรจะดีใจนะที่ราล์ฟพาเจ้ากลับมาเป็นคนแรก" มอร์กีพูดโดยไม่หันหน้ามา ข้าควรจะดีใจงั้นหรือ? เจ้าราล์ฟหอบแต่ปัญหามาให้ข้าเป็นตั้งๆแบบนี้ ข้าควรจะดีใจแน่หรือ? ที่หมอนี่ไม่พาใครกลับมาด้วย อาจจะเป็นเพราะพวกนางทนความปากเสียของหมอนี่ไม่ไหวก็ได้

                "ข้าไม่คิดแบบนั้นเท่าไหร่หรอก" ข้าตอบเสียงนิ่ง มอร์กีหัวเราะชอบใจเป็นการใหญ่ก่อนจะพูดอีกว่า

                "ที่สำคัญ ผู้หญิงที่เขามาหาน้องข้า ล้วนต้องการในลาภยศและเงินทอง ข้าเลยยังไม่เคยเห็นใครต่อปากต่อคำกับราล์ฟได้ขนาดนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย"

                "ข้าเกรงว่า อาจจะเป็นเพราะพวกนางมีมารยาทมากกว่ายัยนี่ก็ได้ครับท่านพี่" ราล์ฟตอบอย่างนุ่มนวล แต่คำว่ามีมารยาทมากกว่ายัยนี่มันแทงใจข้าดังฉึก!

                "เจ้าด่าข้า" ข้ากัดฟันพูดเพื่อไม่ให้มอร์กีได้ยิน ราล์ฟเหลือบตามามองข้าพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ที่ข้าเริ่มคิดแล้วว่ามันยิ้มเป็นอยู่แบบเดียว

                "แล้วแต่จะคิดครับ คุณฝิ่น"

                "เอาล่ะ ถึงหน้าประตูซะที!!!!"

    ประตู ... ต้นไม้ยักษ์ขนาดสิบคนโอบเนี่ยนะประตูทางเข้าบ้าน!! โอ้พระเจ้า หากก้าวเข้าไปแล้วข้าจะเจอกับอะไรบ้างล่ะเนี่ย มอร์กีหันมายิ้มให้กับข้าสองคน เมื่อจะรู้ความหมาย ราล์ฟเดินเข้าไปยืนหน้าต้นไม้ยักษ์นั้น มือขวากขึ้นทาบกับลำต้นก่อนจะเอ่ยประโยคประโยคหนึ่งออกมา

                "กลับมาแล้วครับ คนข้างในเปิดประตูให้หน่อยสิครับ" เมื่อสิ้นคำพูดแปลกๆ ต้นไม้ก็เรืองแสงสีขาวสว่างออกมาจนข้าตกยกมือขึ้นมาบัง พลังทำลายสายตารุนแรงดีจริงๆวุ้ย!! เมื่อลืมตาขึ้นมา ข้าก็เห็นประตูไม้บานใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ราล์ฟเปิดประตูแล้วผายมือให้มอร์กีเข้าไปเป็นคนแรก แค่พี่ชายถึงขั้นต้องผายมือเชิญเชียวหรือ? ภายในประตูมีแต่ความมืดมิด ซึ่งข้ามองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากสีดำ มอร์กีด้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล และเขาก็หายตัวไปในความมืดมิดนั้น แต่ราล์ฟยังคงเปิดประตูค้างไว้ โดยที่ตัวมันเองก็ไม่ยอมเข้าไป

                "เข้าไปสิ ข้าจะได้ปิดประตูสักที" มันหันมาออกคำสั่งกับข้าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ที่ข้าไม่รู้ว่าเนื่องด้วยสาเหตุอะไร ราล์ฟนี่ก็แปลกคนอยู่ๆก็เกิดเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาซะอย่างนั้นแน่ะ

                "เป็นอะไรของเจ้า อยากเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมากะทันหันรึไง?" ข้าถามมัน ราล์ฟถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพร้อมกับอธิบายเหตุผล

                "ถึงให้เจ้าเข้าคนสุดท้าย ยังไงเจ้าก็ไม่รู้วิธีซ่อนประตูอยู่ดีนั้นแหละ รีบๆเข้าไปได้แล้ว ท่านพี่ข้ารออยู่" ราล์ฟออกคำสั่งในตอนท้าย ถึงจะไม่พอใจแต่ข้าก็ต้องทำตาม และเมื่อก้าวข้ามประตูออกมาจากความมืดมิดนั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ชวนให้ข้าอยากหันหลังกับจริง!

                เอาข้าออกไปจากที่นี้ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้เลย!! 

    :) Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×