คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ภารกิจที่ 1 ชีวิตแบบหัวขโมย
ภารกิจที่ 1 ชีวิตแบบหัวขโมย
ในยามสายของวันธรรมดาๆวันหนึ่ง ทุกชีวิตในเมืองต่างทำหน้าที่ทุกอย่างของตนเองขยันขันแข็ง เหล่าพ่อค้าแม่ขายก็พากันโฆษณาสินค้าของตนเป็นการเพิ่มสีสันให้แก่ตลาดเล็กๆในชนบทอันห่างไกล ชาวบ้านบางคนก็กำลังทำความสะอาดหน้าบ้านและวัชพืชท่ามกลางแสงอาทิตย์ เสียงร้องของบรรดาสัตว์เลี้ยงบางตัวก็ทำให้เจ้าของที่นอนเฝ้ามันอยู่ต้องสะดุ้งตื่น ในขณะที่ทุกชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยความผาสุกนั้นเอง
ข้ามองคฤหาสน์หลังงามที่อยู่เบื้องหน้าข้าในตอนนี้ มันเป็นคฤหาสน์ของขุนนางที่เป็นเจ้าเมืองที่นี้ เพียงแค่ประตูทางเข้าก็เหลือทนแล้ว เล่นก่อกำแพงยังกับป้อมปราการแถมยังมีทหารอีกสองนายเฝ้าไว้ หากเป็นขโมยธรรมดาข้าคงเดี้ยงตั้งแต่หน้าประตู เอาเถอะ! ตอนนี้ก็ให้เจ้าทหารสองคนนี้มันนอนหลับไปก่อนแล้วกัน อีกสองสามชั่วโมงมันคงจะตื่นเองล่ะ
ข้าเปิดประตูป้อมปราการ(ข้าพอใจที่จะเรียกแบบนี้) นั้นได้อย่างสบายๆ แต่เมื่อเดินเข้ามาข้างใน ข้าก็อยากจะกลับออกไปตั้งหลักใหม่เสียจริงๆ...ตลอดหนึ่งเดือนที่เฝ้าสังเกตมา ทหารรอบคฤหาสน์มีไม่ถึงสิบคนไม่ใช่รึไง! แล้วทำไมรอบนี้มันถึงเยอะแบบนี้ ยกกันมาทั้งกองร้อยเลยรึไง!
"ผู้บุกรุก จับมัน!!" ไม่ฟังเสียงอะไรจากข้าทั้งสิ้น เจ้าทหารที่คาดว่าเป็นหัวหน้ามันออกคำสั่งทันทีที่เห็นหน้าข้าพวกทหารวิ่งกรูกันเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ แล้วข้าจะอยู่ทำไมกันล่ะใส่ตีนหมาแล้วเผ่นเข้าคฤหาสน์มันไปเลยแล้วกัน โชคดีที่คฤหาสน์หลังนี้มีห้องหับมากมายจนนับไม่ถ้วนทำให้ง่ายต่อการเล่นซ่อนหาเป็นอย่างยิ่ง
ข้าวิ่งเตลิดเข้ามาโดยไม่สนใจว่าพวกคนใช้ในคฤหาสน์จะวิ่งแจ้นไปบอกเจ้าขุนนางนั้นรึไม่ว่ามีผู้บุกรุก บรรดาเหล่าสาวใช้ทั้งหลายพากันกรีดร้องอย่างกับเห็นปีศาจอยู่ตรงหน้า ซึ่งแน่นอนว่าข้าแอบฉุนอยู่เบาๆ ไอ้ข้ารึก็ออกจะหน้าตาดี เห็นหน้าข้าแล้วร้องกรี๊ดแบบนั้นมันเสียความรู้สึกเป็นเหมือนกันนะ ข้าวิ่งผ่านของสาวใช้ด้วยความเร็วปานสายลมจนมาเจอกับห้องๆหนึ่ง ที่คาดว่าจะเป็นห้องเก็บของ ข้าเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องนั้นชั่วคราว
"เอาล่ะ ที่นี้ก็ได้เวลาปลอมตัวสักที..." ข้ายื่นมือขวาออกข้างหน้าแล้วร่ายเวทเบาๆ เกิดแสงสีขาวนวลขึ้นตรงหน้าแล้วปรากฎร่างเหมือนของข้าอีกร่างหนึ่ง มันเป็นเวทแยกร่างแบบหนึ่งที่ข้าเคยศึกษามา ไม่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในเวลาที่ได้มาทำอาชีพนี้
"ไปวิ่งล่อพวกทหารให้ทีนะ ถ้าโดนจับได้ล่ะก็...กัดลิ้นตัวเองตายซะ เข้าใจไหม?!" ข้ากำชับกับร่างตัวเองเสียงหนักแน่น แต่เจ้าตัวปลอมเมื่อได้ยินทีข้าสั่งมันกลับหงายเงิบแล้วลุกขึ้นมาด่าข้า
"ปกติเขาต้องมาช่วยไม่ใช่รึไง!!"
"เฮ้ย เรื่องอะไรข้าต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองไปช่วยตัวเองด้วยเล่า ถ้าเจ้าเป็นร่างแปลงของข้า เจ้าก็น่าจะรู้วิธีเอาตัวรอดนะ" ข้าพูดแค่นั้นแล้วหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมทับใบหน้าเดิมของตนเอง ก่อนจะจัดการแปลงโฉมเป็นคนสวนของคฤหาสน์ที่รูปร่างใกล้เคียงข้าอย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่
"เจ้าไม่น่าเสกข้าขึ้นมาเลยจริงๆนะ" นางว่าพลางกุมขมับ เป็นตัวปลอมแล้วยังพูดมากอีก ตัวจริงรึออกจะเงียบและเรียบร้อย สงสัยตอนที่ร่ายเวทข้าอาจจะท่องคาถาผิดเล็กน้อย
"ไม่เสกเจ้ามา ข้าก็ทำงานลำบากสิ เอาน่าอย่าบ่นมากเลย ไปทำงานได้แล้วไปๆ" ข้าโบกมือไล่นางแล้วจัดการสภาพตัวเองให้เรียบร้อย แล้วค่อยๆย่องออกจากห้องเก็บของออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าโบกมือเป็นสัญญาณให้นางออกมาได้ และทันทีที่ออกมาจากห้องเก็บของ สิ่งแรกที่นางทำก็คือ
พลั่ก!! นางถีบข้าล้มลงไปจูบกับดิน!!
"นั้นเสียงอะไรกัน กรี๊ด!! นั้นผู้บุกรุกที่พวกท่านตามตัวกันใช่ไหม!" เสียงของป้าคนหนึ่งดังขึ้นมาชี้ไม้ชี้มือมาทางข้า ข้าเหลือบสายตาไปมองร่างแปลงของตนเองที่ตอนนี้เผ่นไปไกลลิบแล้ว วิธีเรียกความสนใจของร่างแปลงข้าแต่ล่ะตัวช่างยอดเยี่ยมยิ่ง
"อุลฮาน เป็นอะไรรึเปล่า??" ป้าเจ้าของเสียงเมื่อครู่วิ่งเข้ามาพยุงข้าอย่างเป็นห่วงเป็นใย ข้าส่ายหน้าแล้วแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม
"รีบตามนางไปเถอะครับ ขืนชักช้านางอาจจะหนีไปได้" พวกทหารรีบวิ่งตามไปทันที แต่ป้าที่พยุงข้าอยู่กลับไปวิ่งตามไปแฮะ โหป้า! ไม่ต้องมาเป็นห่วงข้าตอนนี้หรอกนะ ข้าน่ะสบายร่างกายแข็งแรง เพราะแบบนั้นป้าช่วยตามพวกทหารมันไปหน่อยเถอะนะ
"อุลฮาน แม่รู้สึกว่าเสียงลูกมันแปลกๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า?" ป้าแกพูดอะไรต่อจากนั้นข้าไม่ได้ยินแล้วนะ องค์มหาเทพ!! ทำไมข้าถึงต้องมาเจอกับแม่เจ้าของหน้านี้ด้วยล่ะเนี่ย ซวย...ซวยขนานแท้
"แม่ครับ ข้าว่าข้าต้องไปช่วยพวกทหารไล่จับขโมยก่อนดีกว่า ข้าไม่ยอมให้ใครที่มันบุกเข้ามาโดยพลการแบบนั้นหนีรอดไปได้ ไปก่อนนะครับแม่" ว่าแล้วข้าก็รีบชิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยไว ได้แต่หวังว่าการที่ป้าเห็นลูกป้าถูกผู้หญิงถีบจะทำให้ป้าตกใจจนไม่สังเกตถึงความผิดปกติใดๆนะ
"ว่าแต่ ห้องเก็บสมบัติเจ้าขุนนางนั้นอยู่ไหนน้า" ข้าเดินเอ้อระเหยลอยชายไปตามชั้นต่างๆ ตอนนี้ภายในคฤหาสน์เงียบอย่างกับป่าช้า ส่วนข้างนอกนั้น...คงจะเตรียมจัดเทศกาลกันอยู่ก็ได้มั้ง เสียงอึกทึกกันเชียว ข้าลองเปิดประตูสำรวจห้องทุกห้องจนแทบครบ และได้ความมาหนึ่งอย่าง
ห้องนอนเยอะชิบหายวายป่วง!!!!
แบบนี้เจ้าขุนนางนั้นเอาสมบัติไปซ่อนไว้ไหนกันนะ พลันหัสมองอันแสนจะเฉียวฉลาดของข้าก็นึกถึงสถานที่แหง่หนึ่งที่ใช้ซ่อนสมบัติได้ดี ข้ารีบใส่ตีนหมาแล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องได้หลังคาของคฤหาสน์โดยไว เป็นอย่างที่คิดไว้เลย ที่ใต้หลังคามีห้องลับอยู่ห้องนึงจริงๆ แถมยังลงกลอนซะแน่นหนาอีกด้วย แปลว่าต้องมีของสำคัญซ่อนไว้สินะ ข้าจัดการสะเดาะแม่กุญแจสามสี่ตัวที่คล้องประตูเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ไม่ต้องถามหรอกนะว่าข้าไปเรียนมาจากไหน มันเป็นประสบการณ์ที่ข้าสั่งสมมาเฉพาะตัวใครก็ห้ามเลียนแบบทั้งสิ้น
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องข้าก็กับกองสมบัติ..ซะที่ไหนกันล่ะ จากที่ไหนได้ยินสมบัติของเจ้าขุนนางนี่น่าจะเยอะกว่าที่เห็นอยู่หลายเท่าตัวนี่นา แล้วนี่มันอะไรกัน! หีบสมบัติห้าหกใบมันจะไปพอกินอะไรกันหา! ข้าเผลอสบถออกมาอย่างหงุดหงิด ให้ตายเถอะ!รอบนี้เสียเวลาชะมัดเลยแฮะ ช่วยไม่ได้ อย่างน้อยอาจจะพอประทังชีวิตได้อีกเดือนสองเดือนก็ยังดี ข้าจัดการรวบรวมสมบัติทั้งหมดมายัดไว้ในหีบที่มีอยู่ในห้องนั้น แล้วจัดการร่ายเวทให้หีบลดขนาดลงเล็กพอจะนำใส่ในกระเป๋าเสื้อได้ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว
ข้าเดินลงมาข้างล่างอย่างสบายอารมณ์ ถึงจะหงุดหงิดอยู่เรื่องที่สมบัติมีน้อยเกินไปก็เถอะนะ และทันทีที่ข้าลงมาเหยียบพื้นชั้นล่างของคฤหาสน์ปุ๊บ! พวกทหารจากไหนไม่รู้ก็มากันโผล่พรวดเข้ามาล้อมกรอบข้าไว้ เฮ้ยๆ รึว่าความแตกแล้วล่ะเนี่ย ข้าชักจะเหงื่อตกซะแล้วสิ ตั้งใจแค่จะมาปล้นสมบัติเล็กๆน้อยเท่านั้นเองนะ ไม่ได้อยากพบปะกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเลยสักนิดเดียว
"เจ้าหัวขโมย เอาสมบัติสุดที่รักของข้าคืนมานะ!!" เจ้าขุนนางหมูตอนพยายามแทรกร่างกายอันสมบูรณ์(เกินพอดี) ของมันมายืนอยู่ข้างหน้าข้า รูปร่างอ้วนปานมันหมูเของหมอนี่ทำให้ข้าเห็นแล้วรู้สึกอยากจะไล่เตะให้มันล้มกลิ้งไม่เป็นท่าจริงๆ และตัวขุนนางนั่นเองก็ไม่ได้สูงอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเตี้ยแคระยิ่งกว่าข้าซะอีก ชนิดที่ว่าเวลาคุยกับข้าต่อให้ห่างกันสามสี่เมตรมันก็ยังต้องเงยหน้ามอง
เจ้าขุนนางเริ่มด่าทอข้าเมื่อเห็นว่าข้ายืนนิ่งสนิท ที่ข้าไม่พูดตอบไม่ใช่เพราะข้ารังเกียจอะไรมันหรอกนะ แต่เป็นเพราะข้ากระหายน้ำต่างหาก ตั้งแต่เช้าแล้วข้ายังไม่ได้กินน้ำเลยสักอึกเดียวมันก็ต้องหิวเป็นธรรมดาอยู่นี่นา เรื่องอะไรข้าต้องหาภาระให้ตัวเองกระหายน้ำเพิ่มขึ้นด้วย หลังจากที่ขุนนางนั่นด่าทอข้าจนเป็นที่พอใจ(มั้ง) มันก็(พยายาม)แสยะยิ้มชั่วร้าย แต่ข้ามองแล้วอยากจะเตะกลับมันกลับบ้านเก่า เจ้าขุนนางนั่นปรบมือสองทีเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างและพวกทหารที่อยู่ด้านหลังก็นำตัวคนสองคนออกมายืนด้านหน้า
"เจ้าหัวขโมยชั่วช้า ไยต้องหน้าตาที่แสนหล่อเหลาของข้าไปปกปิดใบหน้าของเจ้าด้วย รึเพราะเจ้าอับอายตัวเองที่จะต้องทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้กัน!" ทันทีที่เห็นหน้าข้า ไอ้บุคคลเจ้าของใบหน้ามันก็โวยวายทันที หน้าตาอันแสนหล่อเหล่า ช่างพูดมาได้ ข้าอยากจะตะโกนตอบกลับไปใจแทบขาด
เจ้าดวงซวยเองที่เป็นคนที่ข้าจำหน้าได้ ไอ้หน้าโหล่เอ้ย! หน้าอย่างเจ้าข้าจำได้ชัดเจนเลยว่าเคยเห็นนั่งขอทานอยู่เมืองข้างๆ
แต่นั้นข้าก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นเองแหละนะ ข้าแกล้งเมิน(รึไม่ก็เมินจริงๆ) เจ้าของใบหน้าที่ข้าใช่อยู่ แล้วหันไปมองอีกตัวที่โดนพวกทหารจับเอามือไขว้หลัง มันเป็นคนที่มีใบหน้าเหมือนกับข้าในตอนี้ และเหมือนกับคนที่กำลังส่งเสียโวยวาอยู่ตอนนี้ด้วย เหมือนจะมองสายตาข้าออก เจ้าร่างแปลงที่แสนภักดี(??) ก็พูดขึ้นมาทันทีว่า
"ก็พวกทหารมันมีเยอะนี่นา วิ่งไปทางไหนๆก็เจอ เจ้าเป็นคนบอกเองนี่นาว่าถ้าข้าเป็นร่างแปลงของเจ้าจะต้องหาทางออกได้ นี่ไงทางออกข้า" แต่สุดท้ายก็โดนจับอยู่ดีไม่ใช่รึไง! ข้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มองไปรอบๆเพื่อที่จะหาทางชิ่งหนีให้ไวที่สุด ที่ข้ากลัวการโดนจับไม่ใช่เพราะมันจะต้องเข้าคุกหรอกนะ แต่เป็นเพราะมันต้องผ่านการตรวจสอบประวัติเนี่ยสิ ถ้าเกิดมีคนร่าข้าเป็นใครล่ะก็ หัวข้ามิแคล้วได้หลุดจากบ่าแหงๆ
"นี่เจ้าน่ะ ยอมมอบตัวเสียโดยดีเถอะน่า!!" ตอนนี้เหล่าทหารยอกจากจะใช้เสียงของหัวหน้าเข้าข่มขู่ข้าแล้ว ยังจับอาวุธกันแน่นหวังให้ข้ายอมจำนนแต่โดยดี ทางหนีมันมีทางไหนบ้างเนี่ยที่จะไม่ต้องปะทะกับพวกนี้ นอกจากอากาศบนหัวกับพื้นใต้เท้าข้ามองไม่เห็นช่องทางไหนแล้วนะเนี่ย
"นี่ ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยรึไง!!!" ในที่สุดความอดทนของเจ้าขุนนางก็หมดลง มันตะคอกใส่เมื่อเห็นว่าข้าไม่มีท่าทีจะเกรงกลัวเหล่าทหารนี่เลยแม้แต่น้อย แต่ข้าก็ไม่สนใจหรอก ในเมื่อไม่มีทางที่จะไม่ปะทะ ก็ขอทางที่ต้องปะทะน้อยที่สุดก็แล้วกัน
"ใจเย็นๆสิขอรับท่านขุนนางวอร์เดอร์ ที่เจ้าหัวขโมยนั่นไม่พูดอาจจะเป็นเพราะกำลังหาทางชิ่งหนีก็อยู่ก็ได้นะครับ รึไม่ก็...กลัวจนพูดไม่ออกดก็เป็นได้ครับ" ข้าหันขวับเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนจะดูถูกข้าเช่นนั้น กำลังจะชมเจ้าของเสียงหน่อยเลยว่าเดาแม่นใช้ได้ แต่พอได้ยินประโยคหลังแล้วเปลี่ยนใจแฮะ จากจะชมขอเป็นเตะมันสักป้าบสองป้าบแล้วกัน ใครมันเป็นเจ้าของเสียงทุ้มนุ่มฟังสบายหูแต่จี๊ดสมองเมื่อกี้กันนะ
และแล้วความสงสัยของข้าก็หายไปเมื่อบุคคลที่คาดว่าเป็นเจ้าของเสียงก้าวออกมายืนเผชิญหน้ากับข้า เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี เรือนผมสีน้ำเงินซอยยาวระต้นคอ นัยน์ตาสีนิลคมดุจตาเหยี่ยวกำลังจ้องมองข้าอย่างเย้ยหยัน จมูกโด่งสันเข้ากับวงหน้าที่ขาวสว่างของเขาเป็นอย่างดี รูปร่างของเขาสูงโปร่ง และผิวก็ขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนที่ข้าเคยพบ สรุปโดยรวมก็คือ หมอนี่มันหล่ออย่างกับเทพบุตรลงมาเกิดเองเลยล่ะ!! เป็นคนจริงรึเปล่าเนี่ย!
"หะ หัวหน้าหน่วย" หา...หัวหน้าหน่วยหรือ?? เจ้าเทพบุตรปากเสียนี่เป็นหัวหน้าของพวกทหารพวกนี้งั้นเหรอ แถมตอนนี้หมอนี่ก็ยังยืนใกล้เสียจนข้ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้ด้วย งานเข้าแล้วสิฟีลเอ๋ย
"ถ้าเราเจอกันในสถานการณ์แบบอื่นล่ะก็ ข้าคงจะเอาเจ้าเข้ามาทำงานที่หน่วยของข้าแน่ๆ แม่หัวขโมยแสนสวย" มันรู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นผู้หญิง ข้าตวัดสายตาไปมองเจ้าร่างแปลงที่ยืนส่ายหน้าแบบไม่กลัวหัวจะหลุด
"พี่ชาย ข้าจำได้ว่าข้าไม่ได้หน้าหวานขนาดจะถูกมองเป็นผู้หญิงได้นะ" ก็ไอ้ใบหน้านี่น่ะมันดูถึก!เถื่อน!เสื่อม! เป็นที่สุดเลยนี่ แล้วนี่มันเอาอะไรทำตาถึงมาบอกว่าข้าเป็นผู้หญิง
"นี่เจ้าหนูคาวาเลียร์ เจ้าจะบอกว่าไอ้หัวขโมยชั่วช้านี่เป็นผู้หญิงอย่างนั้นรึไง" คำก็ชั่วช้าสองคำก็ชั่วช้า จะย้ำอะไรนักหนาหา!ไอ้เจ้าขุนนางหมูตอน กลัวคนอ่านไม่รู้ว่าข้าชั่วรึไง!
"เจ้าเรียกใครว่าเจ้าหนูนะ ไอ้ขุนนางหมูหัน" เทพบุตรปากเสียหันไปมองเจ้าขุนนางนั้นด้วยสายตาอำมหิต ถึงแม้จะมองไม่เห็นชัดแต่ข้าก็สัมผัสถึงรังสีอำมหิตรอบๆตัวเจ้านี่ได้ล่ะนะ
"จะ เจ้า!เป็นแค่หัวหน้าหน่วยทหารองค์รักษ์ อย่ามาทำปากดีนะ!" เจ้าขุนนางชี้หน้าเทพบุตรปากเสียงด้วยมือกลมๆของมัน เหอะ! ก็ดี เถรยงกันไปเลยนะพ่อคุณ ข้าชิ่งล่ะ!!
เมื่อไอ้เจ้าเทพบุตรปากเสียนั้นหันหลังให้ ข้าก็รีบวิ่งฝ่ากลุ่มทหารออกไปทางประตูหลังคฤหาสน์ทันที แต่ขืนอยู่แบบนี้ต่อไปยังไงพวกมันก็ต้องจำข้าได้แน่ ข้าจึงปลดเวทแปลงกายออกให้กลับเป็นร่างเดิมของข้า แล้วกระโดดหลบตามต้นไม้สูงที่ขึ้นอยู่แถวนั้น โชดีจริงๆที่หลังคฤหาสน์ของเจ้านี่มันเป็นป่าใหญ่ ที่นี่การหนีเข้าป่าก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าอยู่แล้ว ข้ารอจนแน่ใจว่าพวกทหารวิ่งเข้าไปในป่าจนหมดแล้วจึงกระโดดลงจากต้นไม้ แล้ววิ่งเข้าไปในป่าบ้าง แต่ไม่ใช่เพื่อตามทหารหรอกนะ แต่เพื่อออกไปที่ตลาดท้ายเมืองต่างหากล่ะ
"เจ้าค่าเอ้ย!! บ้านขุนนางโดนปล้น!!!" เสียงโหวกเหวกของชายคนหนึ่งดังขึ้น ขัดจังหวะการซื้อขายสินค้าระหว่าพ่อค้าแม่ค้ากับเหล่าแม่บ้าน
"บ้านขุนนางโดนปล้น.."
"ไม่จริงน่า ฝีมือใครกัน"
"ไม่นะ มันช่าง...มันช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียงจริง!!" เป็นคำตะโกนที่ผิดจากที่ข้าคาดไว้เยอะเหมือนกันนะ ข้าคิดเล่นๆพลางจิบน้ำชาแสนหอมตรงหน้าต่อไป
"ข้าอยากจะขอบคุณท่านจอมโจรใจกล้าคนนั้นเสียจริงๆ! ที่นี่พวกเราก็ได้เงินคืนแล้ว" ได้เงินคืน? บ้านขุนนางโดนปล้นแต่ไหงชาวบ้านถึงจะได้เงินคืนกัน?
"เอ่อ พี่ชาย ข้าขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?" ข้าหันไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆข้า พี่ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาพร้อมยิ้มให้ข้าอย่างเป็นมิตรก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงให้ถามได้
"ทำไมชาวบ้านถึงได้ดีใจขนาดนั้นกัน บ้านขุนนางโดนปล้นส่วนใหญ่จะต้องตกใจมิใช่หรือ?" ถึงเจ้านี่จะเป็นขุนนางที่ชอบรีดไถชาบ้านแค่ไหนก็เถอะ
"อ่า...อันนั้นข้าเองก็ได้แน่ใจหรอกนะ เพราะข้าก็ไม่ใช่คนเมืองนี้ แต่ข้าได้ยินจากเพื่อนข้าว่า เจ้าขุนนางที่โดนปล้นนั้นมันเคยประกาศเอาไว้ทั่วเมืองเลยนะว่า หากใครสามารถปล้นบ้านมันตอนกลางวันแสกๆเช่นนี้ได้ มันจะยอมแจกจ่ายทรัพย์สินให้ชาวเมือง และจะไม่แจ้งความจับเจ้าหัวขโมยคนนั้นด้วย" ช่างเป็นขุนนางที่มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยบ้านตัวเองจริงๆ แปลว่ามันต้องกดขี่ข่มเหงจนชาวเมืองหวาดกลัวกันเป็นอย่างมากแน่ๆ ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่กล้าทำอะไรที่ท้าทายเช่นนี้ ก็ดี! ทั้งข้าทั้งชาวเมืองก็ต่างได้ประโยชน์กันไป
"ขอบคุณมากเลยพี่ชาย" ข้ายิ้มให้เขาแล้วเรียกพนักงานมาเก็บเงิน ระหว่างที่ข้ากำลังจะลุกไปพี่ชายคนนั้นก็ดึงมือข้าไว้
"นี่น้องสาว ถ้าเจ้าเดินออกไปเห็นชายผมสีน้ำเงิน ตาสีผม ผิวขาวๆท่าทางหยิ่งๆกวนๆ รบกวนช่วยบอกหมอนั่นว่า หากมาช้าจะฟ้องท่านพ่อเรื่องที่แอบอู้งาน ช่วยบอกแบบนี้หน่อยได้ไหม"
"ได้ ข้าจะบอกเขาให้ ถ้าข้าเจอกับเขาล่ะก็นะ" ข้าเดินออกมาจากร้าน จะว่าไปแล้ว ลักษณะที่พี่ชายคนเมื่อกี้พูดถึง ข้ารู้เหมือนจะเคยเจออยู่ไหนสักแห่งนะ.....คงไม่ใช่เจ้าเทพบุตรปากเสียนั่นหรอกนะ
"ราล์ฟ! มาสายนี่หว่า!!" ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินส่งสายตาอำมหิตใส่ทันทีเมื่อเพื่อนของเขาส่งเสียงเรียกเขาซะลั่นร้าน ราล์ฟเดินตรงไปยังร่างของเพื่อนผู้หวังดีแล้วมอบกำปั้นหนักๆลงบนหัวของสหายทันที
"ถึงเจ้าจะไม่อายชาวบ้าน แต่ข้าอายนะ" ราล์ฟพูดแล้วนั่งลงด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ปกติจะไม่ใช่คนยิ้มง่ายแต่ว่าหน้าตาราล์ฟก็ไม่ได้บูดเหมือนตูดเป็ดซะขนาดนี้
"ไม่สบอารมณ์เรื่องอะไรมาอีกล่ะ? ข้าบอกแล้วไงว่าให้พยายามมองเจ้าขุนนางนั้นให้เป็นเหมือนหมูหันที่เราพร้อมจะเชือดมันน่ะ" เพื่อนของราล์ฟพูดอย่างอารมณ์ดีพลางจิบชาร้อนๆตรงหน้าอย่างใจเย็น
"เจ้าหัวขโมยนั่น อย่าให้เจออีกเป็นครั้งที่สองนะ พ่อจะจับขังลืมในคุกราชวังเลยคอยดู!"
"เออนี่! จะว่าไป ข้าวานให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปตามเจ้ามาแน่ะ เจ้าได้เจอนางรึเปล่า?" เขาถามราล์ฟที่นั่งหน้าบูดอยู่ "เป็นผู้หญิงผมดำสยายประมาณหลังน่าจะได้ ผิวขาวๆ ตาสีดำเหมือนกับเจ้าเลยล่ะ แถมหน้าตาสวยเสียด้วยนา"
"......."
"เอ้ยราล์ฟ ทำไมเงียบล่ะ นี่เจอนางรึเปล่า??"
"ไม่เจอหรอก แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเจออยู่เหมือนกัน''
ความคิดเห็น