6 ตำนานน่ากลัวที่กลายมาเป็นเรื่องจริง
ผู้เข้าชมรวม
284
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
6 ตำนานน่ากลัวในนิยายที่กลายเป็นเรื่องจริง
6 Bizarre Real World Versions of Fictional Monsters
เรามักเห็นพวกสัตว์ประหลาดเหล่านี้ในนิยาย การ์ตูน หรือไม่ก็ภาพยนตร์ และสร้างความหวาดกลัวต่อเรามายาวนาน แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าสิ่งที่เราเห็นเหล่านี้มันปรากฏบนโลกของเราจริงๆ มาแล้ว บางอย่างเกิดขึ้นได้เพราะความเชื่อ บางอย่างเกิดขึ้นได้เพราะธรรมชาติ และบางอย่างเกิดได้เพราะวิทยาศาสตร์ และมันน่ากลัวกว่าในนิยายเสียอีก
6.Vampires
แวมไพร์ (Vampire) เป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารเพื่อหล่อ จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้และกลัวกระเทียมเรื่องราวของผีแวมไพร์ มีมากมาย ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม จนหลายๆ คนกลัวเพราะเชื่อว่าแวมไพร์มีอยู่จริง
ซึ่งเรื่องราวของแวมไพร์นั้นความจริงแล้วสามารถอธิบายได้ในเชิงวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นศพไม่เน่า อาการกระหายเลือด โดยปี ค.ศ.1982 ศาสตร์จารย์เดวิด ดอลฟิน ได้ชี้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจป่วยเป็นโรคเลือดโดยกำเนิด คือความบกพร่องในเซลเม็ดเลือดและขาดธาตุเหล็ก อาการเหล่านี้ขนานนามว่า "โรคแดร็กคิวล่า(Dracula syndrome หรือ Vampires syndrome)" ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีร่างกายอ่อนแอ แพ้แสงแดดอย่างรุนแรงถึงขั้นปวดแสบปวดร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง เพื่อเลี่ยงอาการเหล่านี้คนเหล่านั้นจึงมักปรากฏกายในยามค่ำคืน และนอกเหนือจากอาการป่วยทางผิวหนังแล้ว โรคนี้ยังส่งผลให้เหงือกของผู้ป่วยหดรัดตัวเข้าไปและมีฟันยืนออกมา ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จึงมีรูปร่างลักษณะและอุปนิสัยคล้ายผีดูดเลือด และความจริงที่น่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งผู้ป่วยโรคนี้ไม่ถูกกระเทียมนัก!!เพราะกระเทียมจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการทำลายเม็ดเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในร่างกายผู้ป่วย
อันดับ 5. มนุษย์หมาป่า (Werewolf)
ผู้คนส่วนมากมักกลัวมนุษย์หมาป่า (Werewolf) พอๆ กับแวมไพร์ เพราะพวกมันมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์เป็นอาหาร โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง พร้อมเขี้ยวยาวน่ากลัว
เรื่องราวของมนุษย์หมาป่าถูกเล่ามาช้านานแล้วในสมัยโบราณมีหลายรายถูกประหารชีวิตเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์หมาป่า จนถึงปัจจุบันก็มีฆาตกรต่อเนื่องหลายรายมีอาการป่วยทางจิต คิดว่าตนเองเป็นมนุษย์หมาป่า ตัวอย่างกรณีล่าสุดคือวันที่ 14 พฤศจิกายน 2007 Kristian Allen Carl อายุ 19 ปี ถูกจับข้อหาฆาตกรรมฆ่าข่มขืนต่อเนื่อง เขาอ้างว่าตนเองเป็นมนุษย์หมาป่าพร้อมโชว์ฟันแหลมๆ ให้ตำรวจดู
นอกจากนี้ในโลกปกติก็มีโรคประหลาดที่คล้ายๆ กับกรณีนี้คือ โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม(known as werewolf syndrome) เป็นโรคซึ่งเป็นความผิดปกติของยีน ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังยาวและหนาตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก (อัตราการเกิดโรค 1 ใน 1,000 ล้านคน) เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช น่ากลัวนะเนี้ย
อับดับ 4 ซอมบี้(Zombies)
ซอมบี้ (zombie) เป็นคำเรียกในการปลุกชีพของผู้ที่ตายไปแล้วนั้น เกิดขึ้นมาจากยาพิเศษและมนต์วูดู ในภาพยนตร์และเกม ซอมบี้เป็นปิศาจเดินได้ มีลักษณะการเคลื่อนที่เดินขาเป๋เหมือนเป็นอ่าง เทิดเทิง และกินเนื้อคนสดๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเสน่ห์ของซอมบี้ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ บนโลกเราละก็....เออตัวใครตัวมัน
เรื่องราวของการคืนชีพนั้นมีการวิจัยกันมาอย่างยาวนานแล้ว ล่าสุดที่ที่ศูนย์ Safar Centre for Resuscitation Research ได้ทำการเสนอการทดลองโครงการเรื่องการคืนชีพแบบท้าทายธรรมชาติโดนเขาบอกว่าเขาสามารถคนตายในช่วง 2-3 ปีคืนชีพอีกครั้งได้ โดยเขาเสนอผลการทดลองโดยเอาหมา(ซวย)มาจำนวนหนึ่งและนำไประบายเลือดออกจากตัวมันมากที่สุด เก็บรักษาพวกเขาในความเย็นตามที่กำหนดเวลาสามชั่วโมง จากนั้นก็นำมาคืนชีพใหม่อีกครั้ง
โครงการนี้ทางรัฐสนับสนุนเพราะเชื่อว่ามันสามารถนำมาดัดแปลงใช้ในทางการทหารได้ เพื่อที่จะสามารถรักษาชีวิตทหารในช่วงสงครามได้ นั้นหมายความว่าอีกไม่นานUSอาจมีกองทัพซอมบี้ มากกว่ากองทัพที่เป็นคนก็ได้
แต่ถ้าใครยังสนใจเรื่องวูดูก็มีการวิจัยวิเคราะห์สารประกอบในสารทำซอมบี้เหมือนกัน โดยสิ่งที่น่าสนใจคือมันมีส่วนผสมของ แอปเปิ้ลหนาม" (thorn apple) เทโทรโดท็อกซิน" (Tetrodotoxin) และแตงกวาซอมบี้" (zombie cucumbers) สารนี้มีอยู่ในปลาปักเป้า ซึ่งหมายความว่าสารทำซอมบี้ก็คือยาสั่งดีๆ นี้เอง เมื่อเหยื่อกินจะหมดสติ ระบบประสาททั้งหมดทั่วร่างกายหยุดทำงาน นั่นคือตายทั้งเป็น (แต่ยังไม่ได้ตายจริง ๆ)ก่อนที่จะคืนชีพในที่สุด
อันดับ 3 แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstei)
แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstei หรืออีกชื่อหนึ่ง The Modern Prometheus) เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่ง เขียนโดย แมรี เชลลีย์ เป็นเรื่องราวของ ดร.วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ผู้ทุ่มเทความพยายามในการจะชุบชีวิตร่างมนุษย์ที่ตายไปแล้ว โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือรวบรวมซากศพคนตายมาประกอบใหม่เป็นร่างคนและ ใช้กระบวนการทางไฟฟ้า ชุปชีวิตจนร่างนั้นกลับมีชีวิตขึ้นมาแต่สิ่งที่ว่านั้นดันกลายเป็นสัตว์ประหลาดน่าเกลียด น่ากลัว
นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสิ่งที่คล้ายๆ แฟรงเกนสไตน์ได้หรือไม่? ก็ขอตอบว่าทำได้ครับ และมีมาแล้ว โดยชื่อของเขาคือ ด็อกเตอร์ Robert J.White(ปัจจุบันเขายังมีชีวิตอยู่) เขาเป็นผู้ริเริ่มการทดลองในสัตว์
การทดลองของเขาก็คล้ายๆ กับกรณีของแฟรงเกนสไตน์นั้นแหละ ไล่ตั้งแต่การเย็บศพจากสัตว์ที่ตายแล้วมาต่อกัน ตลอดจนการใช้อวัยวะจากสัตว์ต่างๆ มาทดแทนจากสัตว์นั้น เพื่อฟื้นคืนชีพ
ผลการทดลองของเขานั้นประสบผลสำเร็จมาหลายกรณีแล้ว ดังเช่นควิปวีดีโอที่เขาเอาหัวและส่วนลำตัวของสุนัขที่ใกล้ตายแล้วมาเย็บติดบนตัวสุนัขที่มีชีวิตจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดสองหัวและเหลื่อเชื่อคือทั้งสองร่างที่รวมร่างกันก็ยังมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ก็มีงานวิจัยหลายๆ อย่าง เช่นการใช้สมองลิงต่อกับสมองคนที่ตายแล้วพื้นคืนชีพ การปลูกอวัยวะเทียมในสัตว์ที่ปัจจุบันถูกนำพัฒนาในชื่อของ มิมิเมาส์(หนูที่มีหูของคนกลางหลัง)เป็นต้น
อันดับ 2. ปีศาจ(Demons)
พิธีไล่ผี, เด็กสาวที่ถูกปีศาจสิงแล้วทำตาและพฤติกรรมน่ากลัว,ใช้ภาษาหยาบคาย, การอาเจียนรดพวกพระ และอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆในการไล่ผี, แนวความคิดถูกนำไปสร้างภาพยนตร์และนิยายมากมาย และที่ดังที่สุดคือ The Exorcism of Emily Rose และ Requiem
ซึ่งหนังนี้มาจากเรื่องจริงเสียด้วยสิ!!
เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ในปี 1968 หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนี นางสาวอันเนลีส มิเชล(Anneliese Michel) อายุ 16 ปี จู่ๆ ก็เกิดอาการประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้น เธอเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ทำร้ายตัวเอง(เธอวิ่งชนกำแพงฟาดหน้าจน ฟัน คาง กราม และจมูกหัก เบ้าตาอักเสบ) เอาแต่นับเลขพึมพำไม่เป็นภาษา พูดจารุนแรงและหยาบคาย แสดงอาการลุกลี้ลุกลนทำร้ายกัดคนในครอบครัว ทำลายข้าวของ ฉีกเสื้อผ้าและฉี่ลงบนที่นอนและลงไปนอนทับ ครอบครัว เธอไม่กินอาหาร แต่หันไปกินแมลงวัน แมงมุม ถ่านไม้ ดื่มปัสสาวะตัวเองแทนน้ำสะอาด(เธอปัสสาวะลงบนพื้น) แทะทึ้งซากนกจนหัวมันหลุดจากร่าง ฉีกทึ้งเสื้อผ้าตัวเองเป็นว่าเล่น เธอเคยคลานอยู่ใต้โต๊ะแล้วเห่าหอนอยู่สองวันเต็ม กรีดร้องไม่รู้จักเหนื่อยนานนับชั่วโมง ร้องไห้ กลายเป็นเรื่องปกติร่างกายเธอทรุดโทรมลงมาก หัวเข่าเธอแตกอันเนื่องมาจากการคุกเข่าถึง 600 ครั้ง เธอได้พบภาพหลอนเกี่ยวกับภูตผีปิศาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พ่อแม่พาตัวเธอไปรักษา แต่ก็รักษาไม่หาย จนทั้งสองคิดว่าเธอถูกปีศาจสิง เลยไปขอร้องบาทหลวงเอิร์นส์ต อัลต์ (Ernst Alt) กับหลวงพ่อโจเซฟ เรนซ์ (Arnold Renz) มาทำพิธีไล่ผี
ว่ากันว่าขณะที่ทำพิธีไล่ผี อันเนลีสดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงของเธอจู่ๆก็มหาศาลถึงขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงกำยำ 3 คนช่วยกันจับจึงจะเอาอยู่ และบางครั้งถึงต้องเอาโซ่ล่ามเธอไว้ เพราะเธอกระโดดสูงจากพื้นได้เป็นเมตร พิธีไล่ผีเริ่มเข้มข้น แต่ร่างกายของอันเนลีสก็อ่อนแอลงเพราะขาดน้ำและอาหาร พ่อและแม่ของเธอถึงกับต้องเข้ามาช่วยพยุง เพราะเธอไม่ไม่มีแรงจะเดิน และเธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1976
เล่ากันว่า ประโยคสุดท้ายที่อันเนลีสพูดกับแม่ของเธอในคืนก่อนหน้านั้น ก็คือ ว่า
"แม่...หนูกลัว (Mother I'm very scared)”
เรื่องประหลาดหลังจากเธอตาย ก็ตามมาอีกเป็นระยะไล่ตั้งแต่โลงศพอันเนลีสมีรูปมือปิศาจเกาะอยู่ และท้องฟ้าในขณะทำพิธีฝังศพก็ปรากฏหน้าของปีศาจที่แสนน่ากลัวฯลฯ(ดูควิปที่ http://www.youtube.com/watch?v=x4n9vK0_mdk)
อันดับ 1. แม่มด(Witches)
ต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ต ที่กลายเป็นที่หลบภัยแก่สมาคมคนชื่นชอบเวทมนต์ ที่สามารถพ้นจากพวกรังเกียจพ่อมดหมอผี ซึ่งตั้งแต่ไหนแต่ใดมากคนอื่นๆ มักโทษพวกผู้หญิงแก่ที่น่าสงสารว่าพวกเธอเป็นแม่มดโดยปราศจากหลักฐาน และมักลงโทษพวกเธอด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ เช่นเอาก้อนหินปา,ถ่วงน้ำ,จุดไฟเผา และเนรเทศไปอยู่อเมริกาหรือออสเตเลียซะ
เรื่องของแม่มดนี้เยอะดีเนอะ มีหลายเรื่องที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง ก็ขอยกแม่มดมาซะคนละกัน
มาเธอร์ ชิปตัน (Mother Shipton หรือ Ursula Southeil) (c. 1488 - 1561) เป็นแม่มดนักทำนายชาวอังกฤษ เธอเกิดก่อนนอสตราดามุสเสียอีก(สัก 15 ปี) รูปร่างใหญ่โตกว่าคนธรรมดา หลังค่อม หน้าตาน่ากลัว และเธอถูกเผาตายเพราะถูกกล่าวหาว่าแม่มดที่รู้อนาคตแย่ๆ ให้แก่อังกฤษ(บางอันก็ดีนะ)
คำพยากรณ์ของเธอตรงไปตรงมายิ่งกว่านอตดามุสเสียอีก เหตุการณ์สำคัญที่เธอทำนายและถูกก็เช่น การเผาไหม้ครั้งใหญ่ในกรุงลอนดอน, กองเรือสเปนที่อ่าวอามาด้า, โรคระบาดครั้งยิ่งใหญ่ในกรุงลอนดอน นอกจากนี้ยังทำนายเรื่องรอบโลก เช่น ทวีปอเมริกา, เครื่องจักรไอน้ำ, รถยนต์ เครื่องบิน, เรือดำน้ำ ซึ่งคำทำนายเหล่านั้นถูกนำมาพิมพ์เป็นหนังสือในปี 1797 (สามารถอ่านคำทำนายของเธอจากเว็บข้างต้น)
และแน่นอนคำทำนายเรื่องโลกแตกของเธอก็มีเช่นกัน ดั่งเช่นตอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า
The dragons tail is but a sign (หางมังกรเป็นสัญญาณ)
For mankinds fall and man's decline. (การล่มสลายของมนุษย์ชาติ และการเสื่อมถอยของคน)
And before this prophecy is done (และก่อนทำนายนี้จะจบลง)
I shall be burned at the stake, at one (ฉันคงถูกเผาที่ลานประหาร)
My body singed and my soul set free (ร่างกายของฉันไหม้เกรียม ร่างกายของฉันถูกปลดปล่อย)
You think I utter blasphemy (คุณคิดว่าฉันสบประมาท(ดูถูกพระเจ้า)หรือ)
You're wrong. These things have come to me (คุณคิดผิดแล้วละ เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ปรากฏแก่ฉัน)
This prophecy will come to be. (คำทำนายนี้จะเป็นจริงในที่สุด)
(หมายถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 นะครับ ต้องเอาหลายๆ บทมาประกอบกัน แต่นี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนต่อกันก็มีประเทศมหาอำนาจสู้กัน การมาถึงของมนุษย์ต่างดาว ภัยพิบัติ ฯลฯ และเธอเขียนคำทำนายนี้ขึ้นก่อนโดนประหารโดยการเผาในอีกหลายปีต่อมา)
ผลงานอื่นๆ ของ PaPing R.P๋.J ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ PaPing R.P๋.J
ความคิดเห็น