ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    REST IN KAIHUN {OS/SF}

    ลำดับตอนที่ #44 : training wheels (p2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      9
      5 เม.ย. 60


    (2)
    training wheels










              "ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้เลย" ประโยคสั้นๆ ถูกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นก่อนเสียงปิดประตูดังปัง มือหนากระชากเนกไทบนคอออกแล้วขว้างลงบนพื้นด้วยความโมโห 



              "บอกให้ออกไปไง!" เสียงทุ้มตะโกนดังลั่นจนคนถูกตะคอกตัวสั่น ขายาวสองข้างเดินกะเผลกเข้ามาช้าๆ พร้อมกับขบกรามแน่น ความอดทนของจงอินมันหมดลงแล้ว 



              "นี่มันบ้านคนพิการรึไง! จะมาอยู่ด้วยกันทำไม?!" มือหนายกขึ้นปัดไปในอากาศด้วยอารมณ์ที่ปะทุอยู่ข้างใน ดวงตาคมจ้องมองคนตรงหน้าอย่างแข็งกร้าว มองดูเซฮุนยืนตัวสั่นก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่เดิมโดยไม่ทำอะไรสักอย่าง 



              "โธ่โว้ย!" โคมไฟตั้งโต๊ะถูกคว้างใส่กำแพงจนแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี จงอินใช้ขาข้างซ้ายเตะพรมหนังสัตว์จนถลกไปอยู่อีกฟากของห้องก่อนจะล้มลงกับพื้นเพราะเสียการทรงตัว ทุกอย่างมันน่ารำคาญ ทั้งความอ่อนแอของเซฮุน ทั้งขาเฮงซวยนี่ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเขาสักอย่าง 



              "สนุกรึไงให้คนอื่นเขามาสมเพชน่ะ!" 



              "..."



              "โง่จนไม่เข้าใจเลยรึเปล่า!" ฝ่ามือหนายกขึ้นปิดหน้าแล้วตะโกนออกมาสุดเสียงจนร่างโยน จงอินกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมาทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังถล่มลงมาทับเขาเหมือนคนหมดทางสู้ เขามันสิ้นหวัง สร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองได้แค่ต่อหน้าคนที่อ่อนแอกว่า เพราะแบบนั้นจะจับคนอ่อนแอมาอยู่ด้วยกันให้มันแย่ยิ่งกว่าเดิมทำไม จะให้เซฮุนมาสงสารเขาทำไม 



              "ผม...ฮึก...ขอโทษ..." ประโยคอู้อี้ที่ฟังไม่รู้เรื่องเป็นคำตอบเดียวที่เซฮุนมี เขาทำได้แค่นี้ เซฮุนเป็นคนที่ฉลาดให้จงอินไม่ได้ เขาเป็นคนปกติให้จงอินไม่ได้ เซฮุนขอโทษที่เป็นได้แค่คนไร้ค่าแบบนี้ ขอโทษที่ทำให้ภูมิใจไม่ได้เลย 



              "เป็นแบบนี้ใครเขาจะอยากอยู่ด้วย!"



              "ฮึก...อือ"



              "เอาตัวเองยังไม่รอดเลย!" ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นอารมณ์คุกรุ่นก็ยิ่งทวีคูณขึ้น ความอ่อนแอมันน่ารำคาญ น้ำตาพวกนั้นก็น่าสมเพช 



              "มันน่ารำคาญเข้าใจมั้ย!" 



              "จงอิน!" เซฮุนร้องตกใจเสียงดังลั่นตอนที่เห็นอีกคนลุกขึ้นแล้วเตะเศษแก้วบนพื้นเต็มแรง ร่างสูงล้มลงกระแทกกับพื้นบ้านเสียงดังพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวด เซฮุนวิ่งเข้าไปหาก่อนจะใช้มือเปล่าปัดเศษแก้วออกไปให้ไกลจากตัวอีกคนโดยไม่นึกห่วงตัวเอง



              เสียงหอบหายใจของจงอินยังคงดังต่อเนื่องจากการตะโกน ร่างสูงขบกรามแน่นเมื่อมือเรียวดึงเศษแก้วที่ติดอยู่ใต้ฝ่าเท้าออกให้ สองแขนแกร่งเท้าขึ้นกับพื้นก่อนจะผ่อนลมหายใจให้ช้าลงพร้อมกับมองใบหน้าเป็นกังวลของคนตรงหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา 



              เซฮุนวิ่งหายเข้าไปในห้องเก็บของก่อนจะกลับมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือ ร่างบางไม่เสียเวลาแม้แต่จะเช็ดน้ำตาบนแก้มออกรีบเปิดฝาขวดแอลกอฮอล์เพื่อล้างแผลให้อีกคนในทันที จงอินได้แต่นั่งนิ่งพร้อมกับก้อนความอึดอัดที่จุกอยู่ในลำคอราวกับเป็นใบ้ เขามองเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ ที่แปะพลาสเตอร์เต็มตัว ดวงตาแดงก่ำเหมือนเด็กๆ กำลังขมวดคิ้วยุ่งด้วยความกังวลขณะที่ทายาให้เขาอย่างระวัง 



              "เจ็บมากมั้ย?" เซฮุนเงยหน้าขึ้นถามพร้อมกับสีหน้าเป็นห่วง มือเล็กเอาแต่ลูบข้อเท้าหนาซ้ำๆ ราวกับกำลังปลอบเด็กทั้งๆ ที่ตัวเองตกใจตัวสั่นเป็นลูกนก 



              "เซฮุน ขอ-"



              "เดี๋ยวผมเรียกรถพยาบาลให้นะ"



              เราไม่รู้หรอกว่ามันจะสายถ้าเรายังไม่พลาดมันไป








              เสียงกุกกักข้างหูทำให้คนบนเตียงลืมตาขึ้นมา คิ้วหนาขมวดยุ่งพลิกตัวหลบแสงแดดที่แยงผ่านผ้าม่านเข้ามา จงอินดันตัวขึ้นนั่งพิงกับพนักเตียงก่อนคนที่เดินกวาดพื้นในห้องจะรู้ตัว มือเรียวสองข้างจับด้ามไม้กวาดแน่นกลัวว่าจะเป็นเพราะตัวเองเสียงดังจึงทำให้จงอินตื่น ใบหน้าสวยหลุบลงมองพื้นก่อนจะชี้ข้าวต้มที่เตรียมไว้ให้บนโต๊ะข้างเตียง


     
              "ข้าวต้มกับยาครับ" เซฮุนก้มลงหยิบผ้าเช็ดของที่วางไว้ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมา อึดอัด, เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เขาเสียใจที่ได้ยินคำพูดพวกนั้น แต่มันแย่ยิ่งกว่าที่คำพูดของจงอินเป็นความจริงทั้งหมด เซฮุนเหมือนเด็กที่ดื้อดึงกับความหวังเล็กๆ ที่อยากจะมีความสุขกับชีวิตคู่โดยลืมไปว่าตัวเองไม่มีอะไรสมบูรณ์สักอย่าง เขาสวมบทบาทเป็นคู่รักที่ดีแบบในหนังสือนิทานโดยลืมไปว่าคนในนั้นไม่ได้บกพร่องอย่างเขา ไม่มีบรรทัดไหนบอกว่าเจ้าหญิงเป็นคนโง่ ไม่มีบรรทัดไหนบอกว่าเจ้าชายไม่รักเจ้าหญิง ไม่มีบรรทัดไหนเหมือนเรื่องของเซฮุนเลย 



              บางครั้งคนเราก็เลือกอยู่ในห้องนอนแคบเพื่อให้ตัวเองมีความสุขกับสิ่งที่ควบคุมได้ แต่บางครั้งเราก็ต้องอยู่ในห้องคนเดียวเพื่อให้คนอื่นมีความสุข ไม่ออกมาป้วนเปี้ยนให้สิ่งที่เขาหวังเปลี่ยนแปลง ไม่ออกมาแสดงตัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา มันเหมือนกับความรู้สึกตอนเด็กๆ ที่เขาชอบบ้านมากกว่าโรงเรียน เพราะพ่อกับแม่ชมว่าเขาเก่งแต่เพื่อนๆ ไม่อยากเล่นกับเขาเพราะเขาอืดอาด โรงเรียนมันใหญ่เกินไปสำหรับเซฮุน โลกของจงอินก็เช่นกัน อิสระแต่ไม่มีความสุขเลย 



         ring ring


              เสียงโทรศัพท์บ้านดังเรียกสติให้คนที่ยืนเหม่อลอยอยู่ ขาเรียวเดินไปยังห้องรับแขกก่อนจะหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา 



              "เซฮุน" 



              "ครับแม่" ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นตอนที่ได้ยินเสียงปลายสาย จู่ๆ ขอบตาก็ร้อนผ่าวไปหมด เซฮุนรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน 



              "เราอยากกลับบ้านแล้วหรอ?" 



              "ครับ" 



              "คิดดีแล้วใช่มั้ยลูก"



              "ครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว" 



              "เก็บของดีๆ นะ เดี๋ยวแม่กับพ่อไปรับ" มือเรียววางหูโทรศัพท์ลงก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้ม สิ่งที่เซฮุนแบกเอาไว้หล่นลงไปหมดจนโล่ง แต่เขากลับเสียใจที่มันแตกทั้งๆ ที่แบกไว้ก็หนัก ต่อให้รู้สึกเสียดายอย่างไรก็คงถึงเวลากลับไปอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว 



              "จะไปไหน?" เสียงทุ้มด้านหลังเรียกให้คนในห้องหันไปมอง จงอินยืนกอดอกพิงกำแพงด้วยสีหน้าเรียบนิ่งรอคำตอบจากอีกคน ที่เขาได้ยินเมื่อกี้มันอะไรกัน 



              "ครับ...?" มือเรียวรีบเช็ดน้ำตาบนแก้มก่อนจะหันไปหาอีกคนด้วยความมึนงง



              "เมื่อกี้บอกว่าจะไปไหน?" ขายาวก้าวเข้ามาช้าๆ จนชิดร่างบาง ใบหน้าจริงจังของจงอินทำให้คนถูกมองรู้สึกหวั่นใจกลัว มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าโต๊ะด้านหลังแล้วยืนนิ่งรอคำตอบอยู่อย่างนั้น



              "กลับบ้านครับ..." เซฮุนได้แต่ตอบออกไปเสียงแผ่ว เขากลัวว่าจงอินจะยิ้มเยาะหรือหัวเราะออกมา ทั้งๆ ที่ทำใจไว้แล้วแต่พอเอาเข้าจริงเขาก็กลัวว่าตัวเองจะรับไม่ได้ แบบนี้ไงที่เรียกว่าอ่อนแอ 



              "ใครอนุญาต?" 



              "ผม..."



              "ฉันไม่ให้กลับ" เสียงทุ้มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับออกมาทิ้งให้คนตัวเล็กยืนงงกับตัวเอง 



              "บ้าเอ้ย..." จงอินสบถกับตัวเองเบาๆ ขณะที่หันหลังเดินออกมา เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมา แต่ตอนที่ได้ยินเซฮุนพูดว่าจะไปจากเขามันเหมือนกลายเป็นคนละคน ขาสองข้างก้าวเข้าไปหาร่างบางไม่รีรอทั้งๆ ที่แผลยังไม่หายดี ในหัวเขามีแต่คำถามว่าจะทำยังไงดีวิ่งวนจนอยากทุบหัวตัวให้เลิกลุกลน มันเคว้งคว้างไปหมดในห้วงความรู้สึกที่เรารู้ตัวว่าทำสิ่งผิดพลาดลงไป 



              เขาเหมือนเป็นใบ้ตอนที่มองอีกคนใช้มือเปล่ากวาดเศษแก้วออกให้ในทันทีขณะที่เสียงตะโกนของตัวเองยังดังก้องอยู่ในหู เขาเหมือนกลายเป็นคนที่ยืนหลบอยู่ตรงมุมมองผู้ชายที่กำลังคลั่งตะโกนใส่เซฮุนจนร้องไห้ตัวสั่น จงอินรู้สึกโกรธจนอยากจะเข้าไปต่อยไอบ้านั่นให้คว่ำแต่ก็ทำได้แค่กำหมัดเอาไว้ เพราะสุดท้ายผู้ชายที่เห่าเป็นหมาบ้าคนนั้นคือตัวเขาเอง ความรู้สึกผิดมันถาโถมลงมาจนเขาแทบพยุงตัวไม่อยู่ ปากก็อยากจะพูดขอโทษแต่ก้อนความอึดอัดที่จุกอยู่ในลำคอคงเป็นผลตอบแทนจากการกระทำแย่ๆ ของเขา เพราะแบบนั้นถึงได้พลาดโอกาสขอโทษไป เป็นเพราะตัวเขาเองทั้งหมด








              ร่างสูงยืนเขียนแผนงานเทศกาลประจำปีของไร่บนกระดานแผ่นใหญ่ จงอินเรียกประชุมคนงานที่บ้านแทนด้วยข้ออ้างเรื่องแผลแต่จริงๆ แล้วสายตากลับมองคนตัวเล็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะตัวเล็กไม่ขาด ก่อนหน้านี้เขาโทรศัพท์ไปขอโทษพ่อแม่ของเซฮุนและสารภาพที่พูดจาแย่ๆ ใส่ร่างบางไป เลยถือโอกาสขอเวลาให้อีกคนอยู่จนถึงวันงาน ถ้าเซฮุนยังอยากจะไปจริงๆ เขาก็ไม่ขัด อย่างน้อยขอให้ได้ลองทำดีกับอีกคนบ้าง ให้เขาได้ไถ่โทษที่รู้ตัวช้าจนทำลายความรู้สึกของเซฮุนไปไม่รู้เท่าไหร่ ขอให้เขาได้พยายามสักครึ่งหนึ่งของคนตัวเล็กก็ยังดี 



              เซฮุนลุกเดินออกจากโต๊ะทำให้คนที่แอบมองผ่านประตูกระจกจากด้านนอกเผลอชะเง้อตามไปด้วย คิ้วหนาขมวดด้วยความสงสัยก่อนจะคลายลงเมื่อเห็นคนตัวเล็กถือแก้วนมเดินออกมาจากห้องครัว 



              "แบ่งงานกันตามนี้แล้วกัน เคลียร์ของกับลูกค้าให้เข้ามาเอาวันนี้ให้เรียบร้อยด้วยจะได้มีเวลาจัดงานกันจริงจัง" มือหนาเคาะด้ามปากกาเคมีกับกระดานสีขาวเป็นสัญญาณจบการประชุม พ่อเลี้ยงของไร่ยืนกัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากคนงานเริ่มทยอยกันกลับไปเข้าไร่ ขายาวพาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือโดยห่างกันเพียงกระจกกั้น 



              จงอินยกกำปั้นขึ้นเคาะบานกระจกเรียกให้เซฮุนสะดุ้งเงยขึ้นมา นิ้วยาวชี้ไปทางด้านหลังของตัวเองบอกให้คนตัวเล็กรู้ตัวแล้วเดินออกมาด้านนอก ใบหน้าสวยกะพริบตาด้วยความมึนงงพร้อมกับความรู้สึกหลากหลายที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ เซฮุนยังกลัว เขากลัวที่จงอินดุเขาแบบนั้น มันทำให้เขาทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเจอหน้ากัน ยิ่งเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปไหนยิ่งทำให้เขาสับสน ทั้งๆ ที่ใจของเขาบิดเบี้ยวจนแตกไปไม่รู้กี่ครั้งมันยังกลับมาสั่นได้อย่างเก่า ผู้ชายคนนั้นทำให้เซฮุนแปลกไปแล้ว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง ถ้าทำแบบนี้จงอินจะดุมั้ย ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะรำคาญรึเปล่า มันเหมือนกับการแอบมองใครสักคนผ่านช่องอิฐบนกำแพงหนาๆ ทั้งๆ ที่ข้ามไปไม่ได้เขาก็ยังนั่งมองอยู่อย่างเดิม แค่จะสอดมือเข้าไปทักทายเซฮุนยังไม่กล้า ถ้าคนฝั่งนั้นรำคาญแล้วเอาอิฐมาปิดรูนั้นไปเขาจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อมีโอกาสได้เห็นอยู่แค่นี้ เซฮุนทำอะไรไม่ได้หรอก



              "วันงานไปช่วยทำขนมด้วยถ้าอยู่ว่างๆ" จงอินบอกด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพร้อมกับความรู้สึกขัดใจในตัวเอง ทั้งๆ ที่พูดให้ดีกว่านี้ได้แต่ปากเขาดันพูดห้วนๆ ออกมา ทุกปีในวันงานเซฮุนก็จะวิ่งช่วยยกของอยู่ฝ่ายเบเกอรี่ เพราะอยากจะลงไปช่วยทำบ้างแต่ถูกนิสัยบ้าอำนาจของเขาสั่งห้ามเอาไว้ อย่างน้อยการทำขนมคงทำให้เซฮุนมีความสุขได้บ้าง ถึงเขาจะทำไม่ได้ก็ตาม 



              "ครับ" ร่างบางพยักหน้ารับเก้ๆ กังๆ เพราะไม่กล้าแสดงท่าทางดีใจต่อหน้าอีกคน ทุกปีเขาได้แต่นั่งดูและช่วยยกของ ถ้าได้ลงมือทำแบบคนอื่นๆ มันต้องสนุกแน่



              "ทำข้าวกลางวันด้วย ฉันจะเข้าไร่" 



              "ครับพ่อเลี้ยง"



              "เช็ดปากให้มันดีๆ เวลากินน่ะ" ไวกว่าความคิดตอนที่นิ้วยาวปาดคราบนมจืดบนริมฝีปากเล็กออกพร้อมกับสีหน้าเหนื่อยหน่าย จงอินได้แต่มองคราบขาวๆ นั่นด้วยความขัดใจที่เซฮุนกินเลอะเทอะเหมือนเด็กๆ ขนาดยืนคุยด้วยกันเขาจ้องขนาดนั้นยังไม่รู้ตัวก็ช่วยไม่ได้ที่จะเช็ดให้ มันรกตานี่ 



              เซฮุนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมหลังจากจงอินเดินออกไปแล้ว มันเหมือนกับตอนที่แก้มเราแนบกับแผ่นไม้เย็นจัดแต่กลับรู้สึกร้อนแปลกๆ ทั้งๆ ที่คนตัวสูงทำด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบนั้น ทั้งๆ ที่เขากำลังจะหันหลังลุกออกมาจากช่องกำแพงนั้นอยู่แล้ว ทำไมต้องเรียกให้หันกลับไปหาด้วย








              มือเล็กสองข้างกำแฮนด์จักรยานแน่นเมื่อขับผ่านทางโค้งยาว ล้อกลมเคลื่อนลงจากลูกระนาดบนถนนทำให้ฮู้ดสีเหลืองอ่อนเด้งขึ้นมาคลุมหัวเซฮุนพอดิบพอดี ร่างบางหักหลบเข้าข้างทางเมื่อเห็นรถขนส้มคันใหญ่มาแต่ไกล กลิ่นเปลือกส้มกับลมอ่อนๆ ที่พัดให้ปลายเสื้อไหวเป็นคลื่นทะเลทำให้เซฮุนนึกถึงสมุดระบายสีตอนเด็กๆ ที่เขาต้องรีบวิ่งไปหยิบกล่องดินสอมาเพื่อระบายรูปในเล่ม กับอากาศตอนเช้าแบบนี้ทำให้เซฮุนรีบคว้าจักรยานออกมาเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ มันอาจจะยากกว่ากับการที่คนอื่นสามารถหยิบสีมาระบายวันของเราได้ แต่นั่นคือชีวิต พรุ่งนี้ก็ยังมีหน้ากระดาษใหม่ให้เราเสมอ แม่ของเขาพูดแบบนั้น 



              "เซฮุน!" 



              "ชานยอลมีอะไรรึเปล่า?" ขาเรียวยันลงกับพื้นก่อนจะหันไปตอบรับเพื่อนตัวสูง



              "พ่อเลี้ยงให้มาทำขนมด้วยหรอ?" 



              "อื้ม ชานยอลรู้ด้วยหรอ?" 



              "พ่อเลี้ยงพูดตอนประชุมอ่ะ เห็นบอกกับพวกป้าๆ ว่าจะให้นายไปช่วยทำขนม" 



              "อ๋อ เรากลัวไปทำครัววุ่นวายจัง" ริมฝีปากเล็กยู่เข้าหากันพร้อมกับสีหน้ากังวลของเจ้าตัว 



              "คิดมาก ไปกินข้าวด้วยกันมั้ยเดี๋ยวพักเที่ยงแล้ว" 



              "เราต้องเอาข้าวไปให้พ่อเลี้ยงก่อน ตามไปทีหลังได้มั้ย?" 



              "อืม แล้วเจอกัน" ชานยอลโบกมือลาคนตัวเล็กก่อนจะเดินกลับมายกลังส้มอย่างเดิม เขารู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น พ่อเลี้ยงที่ใจร้ายกับเซฮุนมาตลอดกลับยอมให้คนตัวเล็กมาทำขนมด้วยมันไม่ใช่เรื่องปกติหรอก ชานยอลไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนี้ เขาออกจะขุ่นเคืองแปลกๆ ด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อแอบมองคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งต้องเดินออกมามันก็สมเหตุสมผลแล้ว บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสดีๆ ให้เขาเลิกล้มความหวังลมๆ แล้งๆ สักที 



              เซฮุนเอนจักรยานพิงกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง มือถือถุงผ้าใบเดิมยืนนิ่งรอพ่อเลี้ยงที่กำลังคุยกับคนที่เขาไม่คุ้นหน้า หลังจากส่งคู่สนทนาขึ้นรถร่างสูงก็หันมามองคนที่ยืนรออยู่ให้เดินเข้าไปหา



              "ข้าวเที่ยงครับ..." 



              "นี่" คนตัวสูงกว่านั่งลงกับพื้นหญ้าก่อนจะยื่นถุงใบใหญ่ให้คนข้างๆ มือหนาเปิดกล่องข้าวแล้วตักกินแสร้งไม่สนใจ ทั้งๆ หูรอฟังอีกคนอยู่ตลอด



              เซฮุนกัดริมฝีปากเพราะกำลังทำตัวไม่ถูก มือเรียวเปิดถุงที่รับมาก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งด้วยความงุนงง สมุดเล่มหนาสีสันสดใสถูกหยิบขึ้นมาทำให้คนตัวเล็กเอียงคอสงสัยยิ่งกว่าเก่า จงอินให้เขาหรอ ให้ทำไมกัน 



              "ใช้เป็นมั้ย" เสียงทุ้มเอ่ยถามออกมาเพราะพ่ายแพ้ให้กับความเงียบของอีกฝ่าย จงอินเงยหน้าขึ้นมองเซฮุนที่ยืนถือหนังสือด้วยสีหน้ามึนๆ จนต้องถอนหายใจอย่างหมดความอดทน มือหนาคว้าข้อมือเล็กให้ลงมานั่งข้างๆ ก่อนจะแย่งสมุดมาถือเอาไว้เอง



              "เอาปากจิ้มรูปมันจะมีเสียง มีอักษรข้างล่าง มีภาษาอังกฤษ" 



              "..." เซฮุนได้แต่นั่งนิ่งๆ ตอนที่จงอินกำลังพูดพร้อมกับสีหน้าไร้อารมณ์ของเจ้าตัว เป็นแบบนี้อีกแล้ว ใจมันเต้นขึ้นมาอีกแล้ว



              "แกะปากกามา" 



              "...ครับ" มือเล็กล้วงลงไปหยิบกล่องปากกาในถุงก่อนจะยื่นให้คนตัวสูง 



              'กล้วย banana'



              "จิ้มแล้วมันจะมีเสียงแบบนี้ รู้เรื่องมั้ย?" 



              "ครับ"



              "ลูกค้าขายเขาลดให้เลยลองซื้อมา เอาไปใช้แล้วกัน" จงอินส่งสมุดคืนให้แล้วก้มลงกินข้าวเหมือนเดิม มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะอ้าปากพูดอะไรเพราะๆ ออกมาได้ จงอินคิดทวนประโยคที่จะพูดในหัวเป็นร้อยๆ ครั้งกว่าจะอ้าปาก เขาไม่ใช่คนประเภทที่แสดงออกทางคำพูดเก่ง หลายครั้งด้วยซ้ำที่เขานึกเสียดายกับสิ่งที่พูดออกไป ตอนนี้เขากำลังพยายาม ถ้ามันไม่สายไปก็คงดี



              "ขอบคุณครับ..." เซฮุนก้มหน้าเม้มปากแน่นตอนที่เก็บหนังสือใส่ถุงบนตัก เขากำลังยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ทำไมถึงได้รู้สึกดีใจแบบนี้ก็ไม่รู้ 



              "ไม่เข้าใจก็มาถาม ตอนที่ไม่ได้ทำงานนะ" จงอินปิดท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะวางกล่องข้าวเปล่าทิ้งไว้แล้วหยิบขวดน้ำเปล่าเดินออกไป 



              เซฮุนเก็บกล่องข้าวใส่กระเป๋าวางลงตะกร้าหน้าจักรยานแล้ววางหนังสือเล่มใหญ่ทับลงไป วันๆ หนึ่งของเรามันยากเพราะคนอื่นจะถือสีอะไรเข้ามาระบายใส่เราก็ได้ แต่วันนี้ของเซฮุนจงอินถือสีเหลืองเข้ามาระบายใส่เขา เหมือนภาพวาดดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ บนภูเขา ดวงอาทิตย์ที่ซ่อนหน้ายิ้มเอาไว้ ใจเซฮุนกำลังพองโตจนต้องกำแฮนด์จักรยานไว้แน่นๆ เลยแหละ 








              ริบบิ้นเส้นยาวสีส้มถูกตัดพร้อมกับเสียงปรบมือของคนในงาน นักท่องเที่ยวกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงพากันทยอยเข้างานหลังจากประตูซุ้มใหญ่ถูกดึงม่านออก แม้ว่างานเทศกาลส้มในไร่จะเป็นงานเล็กๆ แต่เพราะได้รับความสนใจจากอินเตอร์เน็ตทำให้ทุกปีมีคนมาค่อนข้างเยอะ ปีนี้ก็เช่นกัน 



              "สวัสดีครับ" มือเรียวลูบผ้ากันเปื้อนลายสก็อตสีส้มอ่อนที่สวมอยู่พร้อมกับคลี่ยิ้มทักทายนักท่องเที่ยวที่เดินเข้ามาในซุ้ม 



              "เค้กส้มสามกล่องค่ะ" 



              "สักครู่นะครับ" เซฮุนจัดการพับปิดฝากล่องใส่ถุงก่อนจะรับเงินมา ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นเมื่อถึงคราวต้องคิดเลข มือเล็กกางใต้โต๊ะแล้วนับนิ้วตามจำนวนเค้กก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าด้านหน้าทอนให้ลูกค้า



              "เงินทอนครับ" 



              "ทอนไม่ครบนี่คะ" เสียงโวยวายของหญิงสาวหน้าซุ้มเบเกอรี่ทำให้คนในละแวกนั้นหันมามองเป็นสายตาเดียว 



              "ครับ...?" มือเรียวกำปลายผ้ากันเปื้อนตัวเองแน่นเมื่อถูกตะคอกใส่ เซฮุนได้แต่มองเลิกลั่กซ้ายขวา เมื่อกี้เธอให้แบงค์ห้าร้อยมา เค้กชิ้นละหนึ่งร้อยสามชิ้นก็ต้องทอนสองร้อยถูกแล้วไม่ใช่หรอ ทำยังไงดี



              "ขอโทษนะครับ เงินทอนขาดไปเท่าไหร่หรอครับ" ชานยอลวิ่งเข้ามายืนข้างคนตัวเล็กก่อนจะลูบแผ่นหลังอีกคนเบาๆ เมื่อเห็นว่าเซฮุนทำหน้าเครียดแล้วคุยกับลูกค้าแทนให้



              "เมื่อกี้ฉันให้แบงค์พันนะคะ ทำไมทอนมาแค่สองร้อย" 



              "สักครู่นะครับ" มือหนาหยิบเอาเงินตามจำนวนที่ขาดออกมาจากกระเป๋าของคนข้างๆ ก่อนจะยื่นให้ลูกค้า



              "ชานยอลเขาให้แบงค์ห้าร้อยเรามา" มือเล็กยกขึ้นสะกิดแขนอีกคนแล้วกระซิบเสียงเบาเพราะกลัวจะถูกดุ เขามั่นใจจริงๆ ว่ารับแบงค์ห้าร้อยมา



              "ไม่เป็นไรหรอก" เสียงทุ้มพูดปลอบก่อนจะยื่นแบงค์ให้ลูกค้า เซฮุนคงสับสนหรือคิดเลขผิดลูกค้าไม่น่าโกหกหรอก 



              "ผมขออนุญาตเช็คเงินก่อนนะครับ" เสียงทุ้มอีกเสียงดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับเจ้าของเสียงตัวสูงที่เดินเข้ามาด้วย มือหนาปัดมือของชานยอลออกก่อนจะรั้งเอวบางเข้ามาหาตัวในจังหวะเดียวกัน 



              "ไม่ต้องกลัว" จงอินก้มลงกระซิบข้างใบหูบางก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนของเซฮุนออกมากองบนโต๊ะทั้งหมด 



              "ไหนว่าจ่ายแบงค์พัน ทำไมไม่มีในนี้เลยล่ะครับ" คิ้วหนาเลิกขึ้นถามหญิงสาวตรงหน้า 



              "จะขายของช่วยมีมารยาทกับลูกค้าหน่อยนะคะ ฉันไม่เอาก็ได้เงินทอนน่ะ" หญิงสาวหน้าถอดสีหลังจากถูกถูกคาดคั้นเอาคำตอบก็โวยวายแล้วตัดบทเดินออกไปในทันที 



              "ทำอย่างอื่นก็ได้ ไม่ต้องคิดเงินแล้วเข้าใจมั้ย?" มือหนายกขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเนียนที่แตกพลั่กเพราะตื่นกลัว ก้มลงมองใบหน้าเนียนก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเซฮุนรับปาก 



              "ครับ" 



              "มีอะไรไม่รู้ก็ถามป้าเข้าใจมั้ย?"



              "ครับ"



              "อืม" เสียงทุ้มว่าพร้อมกับก้มลงจัดผ้ากันเปื้อนคนตัวเล็กให้เข้าที่ก่อนจะหันกลับไปปรายตามองชานยอลที่ยืนนิ่งเงียบอยู่แล้วเดินออกมา 



              "ขอบคุณนะชานยอล" เซฮุนยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนลำคอเพราะยังตกใจไม่หาย ถ้าเมื่อกี้เขาอยู่คนเดียวต้องตายแน่ๆ เลย 



              "ไม่เป็นไร ฉันก็ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรหรอก" น่าตลกชะมัดที่พ่อเลี้ยงกลายเป็นแมวหวงก้างขึ้นมา กว่าจะรู้ตัวได้นานไม่ใช่เล่นเลยนะ



              





              เซฮุนพับผ้ากันเปื้อนอยู่ในครัว เขย่งปลายเท้าขึ้นเก็บมันไว้ในตู้ด้านบน เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านหลังจากจงอินดื่มสังสรรค์กับพ่อเลี้ยงของไร่ในละแวกเดียวกันเสร็จ ร่างบางก้มลงหยิบแก้วไวน์เพื่อเอาไปให้คนในห้องรับแขกเพราะได้ไวน์องุ่นมาเป็นของขวัญ มือเล็กรินไวน์สีม่วงอมแดงใส่แก้วสีใสก่อนจะถือออกมา



              "นี่ครับ" ใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิมของจงอินทำให้เซฮุนรู้สึกแปลกใจ ทั้งๆ ที่ดื่มไปเยอะขนาดนั้นกลับไม่มึนเลย ถ้าเป็นเขาคงหลับคาโต๊ะแน่ๆ 


              ลิ้นสากดุนข้างกระพุ้งแก้มก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มแล้ววางแขนกับพนักโซฟา ดวงตาคมจ้องมองร่างบางที่นั่งดูทีวีไม่รู้ตัว จงอินเป็นคอแข็งเพราะเขาดื่มตั้งแต่สมัยเรียน ไวน์อ่อนๆ แบบนี้ทำให้เขาสั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ที่ต้องดื่มมันเพื่อจะทลายกำแพงสูงของตัวเองลง จงอินไม่มีทางปล่อยโอกาสสุดท้ายให้หลุดมือไปเด็ดขาด 


              "ไปหยิบน้ำมาให้หน่อย" เสียงทุ้มสั่งคนที่นั่งเหม่อลอยอยู่กับจอทีวีให้ลุกกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง มือเรียวเปิดตู้เย็นก่อนจะหยิบขวดน้ำเปล่าชั้นบนสุดออกมาแต่ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ก็ถูกประชิดตัว 


              "หันหน้ามา..." เซฮุนยืนตัวแข็งทื่อตอนที่ลมหายใจร้อนๆ รินอยู่บนลำคอ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหายใจติดขัดตอนที่อีกคนถอนหายใจออกมาแล้วจับเขาพลิกด้วยฝ่ามือหนานั่น


              ดวงตาคมที่มองลงมาทำให้สมองของเซฮุนกลายเป็นสีขาวโพลน ปลายจมูกโด่งที่ติดอยู่กับปลายจมูกรั้นเคลื่อนลงมาอยู่บนแก้มนุ่มพร้อมกับลำคอหนาที่เอียงลง ฝ่ามือกร้านรั้งเอวบางเข้ามาใกล้พร้อมกับทาบริมฝีปากลงไปจนไร้ช่องว่าง ริมฝีปากหนาขบดูดความนุ่มยุ่นตรงหน้าราวกับเป็นขนม ปลายลิ้นร้อนขยับเชื่องช้าเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม มือเรียวปล่อยขวดน้ำหล่นลงกับพื้นในจังหวะที่ใบหน้าคมละออกมาก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้งอย่างไม่เว้นช่องว่าง 


              เซฮุนรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังละลายลงบนพื้น สมองของเขาไม่ประมวลผลอะไรสักอย่าง เขาไม่สามารถเรียงลำดับก่อนหลังได้เลย 


              ความเงียบแบบที่เซฮุนไม่เคยคาดฝันกำลังเกิดขึ้นตอนที่จงอินผละออกมามองตาของเขาทั้งๆ ที่น้ำใสๆ ยังเชื่อมริมฝีปากของเราไว้อยู่ 


              "ฉันไม่ให้ไปไหนหรอกนะ" ใบหน้าคมก้มลงซุกไหล่เล็กพร้อมกับกระชับกอดคนตรงหน้าแน่น จงอินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในโลก ในวินาทีนี้เขาต้องการให้เซฮุนโอบกอดเขาไว้ 


              "สัญญาได้มั้ย" เสียงทุ้มพูดออกมาเบาๆ แล้วกระชับกอดแน่นราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ 


              "ครับ" คำตอบสั้นๆ คำเดียวที่จะเปลี่ยนโลกของผู้ชายอย่างเขาไปตลอดกาล เปลี่ยนจงอินให้เป็นคนใหม่ตลอดไป


              หลายครั้งที่เราผูกตัวเองไว้กับความคิดบางอย่างในหัว จนลืมมองคนรอบตัว ผูกปัจจุบันไว้กับอดีต กลัวในสิ่งเดิมๆ ทั้งๆ ที่วันโหดร้ายพวกนั้นมันผ่านไปแล้ว เราไม่กล้าที่จะถอดล้อฝึกที่ใช้ปั่นจักรยานตอนเด็กๆ ทั้งๆ ที่มันเบี้ยวจนลอยเหนือพื้นถนนแล้ว ร้องไห้งอแงใส่คุณแม่ที่แอบถอดมันออกจนจักรยานเหลือสองล้อ ตอนนี้จงอินไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ แล้ว แม่ของเขาไม่ได้คอยถอดมันให้อย่างเก่า โชคดีที่เซฮุนเดินเข้ามาแล้วถอดล้อพวกนั้นออกให้เขา อย่าปล่อยให้ล้อฝึกพวกนั้นอยู่กับเรานาน เพราะสุดท้ายมันจะเหลือแค่ตัวเรากับล้อฝึกเก่าๆ นั่น เหลือแค่เรากับอดีตที่เราจมปลักอยู่แค่นั้นเอง





    i love everything you do
    when you call me fucking dumb for the stupid shit i do
    wanna ride my bike with you
    fully undressed, no training wheels left for you
    i'll pull them off for you


    (end)









    talk : ตอนจบมาแล้วค่า ชอบไม่ชอบยังไงบอกเราได้นะคะ เราจะได้นำมาพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ฝากเรื่องนี้ด้วยน้า #skypagekh 




              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×