คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Pass
เวลาผ่านนานเท่าไหร่ไม่สำคัญ
ความทรงจำขึ้นอยู่กับว่าเราจำมากแค่ไหน
ฟ้าร้องครืนใหญ่ทำให้ร่างสูงสะดุ้งออกจากภวังค์ของตนเองที่ถูกก่อไว้อย่างแน่นหนา พู่กันในมือวางจุ่มกลับลงไปในแก้วน้ำเขรอะสีขี้ม้า ใบหน้าคมสันผินมองยังหน้าต่างบานเล็กที่มุมห้องที่ซึ่งผ้าม่านปักลายกุหลาบฝีมือแม่ปลิวว่อนร่อนสะบัดเผยให้เห็นท้องฟ้าอมน้ำฝนมืดครึ้มด้านนอก
เขาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อต้องยันตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้ทั้งที่ลายเส้นยังไม่สมบูรณ์ จงอินเดินดุ่มตรงไปยังหน้าต่างแล้วจัดการรั้งบานไม้หุ้มกระจกให้ปิดสนิทเข้ามาก่อนห่าฝนลูกใหญ่จะบุกทำลายชิ้นงานในห้องจนเละเทะไม่มีชิ้นดีเหมือนครั้งก่อน
ผ้าม่านลายปักสงบลงนอนแน่นิ่งอยู่หลังบานกระจก ยังไม่ทันจะก้าวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้เสียงเม็ดฝนร่วงเปาะแปะก็เริ่มดังก้องให้ได้ยินเต็มสองหู จงอินพยายามไม่สนใจมันแต่เมื่อเขาจับพู่กันขึ้นมาต่อลายเส้นอีกครั้งแต่มันก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
“บ้าชิบ...” พู่กันแท่งเดิมถูกโยนลงโถน้ำอย่างไม่ใยดีพร้อมคำสบถ ร่างสูงยืดกายขึ้นก้าวเดินตรงไปยังเตียงนอนนุ่มแล้วทิ้งตัวลงกระแทกกับฟูก ปักใบหน้าของตนลงกับหมอนนุ่มแล้วปล่อยให้เสียงฝนเข้าครอบงำทุกส่วนของโสตประสาท
จงอินพลิกใบหน้าของตัวเองเหลือบมองท้องฟ้าสีดำครึ้มด้านนอกที่ไม่น่ามองเอาเสียเลย มันคล้ำคล้ายเป็นรอยช้ำของฤดูกาล มืดครึ้มดั่งเส้นทางที่รัฐบาลลืมสร้างเสาไฟฟ้า และหม่นแสงเหมือนกับเขาในเวลานี้
ฝนทำให้จงอินว้าวุ่น บรรยากาศอึมครึมกับเสียงฟ้าร้องครืนมักชวนให้คิดอะไรต่อมิอะไรไปได้อีกเยอะแยะ ยิ่งเมื่อบานหน้าต่างถูกดึงบิดเข้ามา แว่วเสียงหยดน้ำทิ้งตัวจากกันสาด กระทบขอบหน้าต่าง บ้างร่วงหล่นลงสู่พื้นหญ้า ไม่รู้ว่าทำไมแต่เสียงพวกนั้นก็ก้องอยู่แต่ในหัวของเขาราวกับจะตอกยำ้ความโดดเดี่ยวลำพังให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
อีกเหตุผลที่จงอินเกลียดฝนหนักหนา คือมันทำให้การตามหาโอเซฮุนเป็นไปอย่างเชื่องช้า มันเป็นเรื่องปกติที่น้ำจะท่วมถนนทางเข้าเขตหมู่บ้านทุกครั้งที่ลมมรสุมมาเยือน และจิตรกรที่ใช้ชีวิตลอยเคว้งไม่ต่างอะไรจากเรือเล็กกลางทะเลอย่างเขาก็ไม่เคยรู้สึกแย่กับมัน แต่ในเวลาแบบนี้ ในเวลาที่เรือลำน้อยอย่างเขาทำบางส่วนหลุดหายไป คลื่นลมพวกนั้นเป็นอุปสรรคที่จงอินต้องการกำจัด.. นักสืบที่เขาจ้างไว้ไม่สามารถออกนอกหมู่บ้านได้ในเมื่อน้ำยังคงเจ่อนองอยู่เช่นนั้น
ร่างสูงพลิกตัวเองให้นอนหงายขึ้น แหงนหน้ามองเพดานโล่งกว้างที่ประดับด้วยสีขาวโพลน เขาเพิ่งจะติดต่อนักสืบคนหนึ่งไปเมื่อวันก่อน ทันทีที่ยื่นรูปถ่ายพร้อมชื่อไปให้ ชายหนุ่มคนนั้นถอนหายใจออกมาและบอกว่าให้เขาเผื่อใจไว้บ้าง การห้ำหั่นของตระกูลโอเป็นที่เลื่องชื่อมาทุกสมัยและถ้าหากไม่หายสาบสูญจนกลับไม่ได้ก็อาจพบแต่ร่างหรือป้ายชื่อบนแผ่นหินเท่านั้น น้อยมากที่จะลอดชีวิตกลับมาให้เห็นหน้าคร่าตากัน
แต่ถึงจะได้ยินเช่นนั้น แต่จงอินก็ยังคงมีความหวัง
ก็ถ้าครั้งหนึ่งโลกเคยแบนแต่ปัจจุบันมันกลมแล้ว ในเมื่อครั้งหนึ่งมนุษย์เคยแต่เห็นดวงจันทร์แล้ววันนี้ได้ไปเหยียบย่ำบนนั้นมาแล้ว มันก็คงมีสักโอกาส...
ทุกอย่างเปลี่ยนได้ วันนั้นเขาเจอโอเซฮุนได้
วันข้างหน้าก็อาจจะเจอได้อีกเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจงอินจะรู้สึกว่ามันเป็นความคิดที่โง่งมงาย เป็นเพียงความเชื่อลมๆแล้งๆ แต่เขาก็ยังเชื่อ ตราบใดที่ยังมีศรัทธาเขาเชื่อว่ามันจะมีอีกวันที่เซฮุนกลับมาพบกับเขาอีกครั้ง
ฝันยังคงตกโปรยอย่างไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง เสียงน้ำหยดก้องสะท้อนไปทั่วห้องแคบซึ่งไม่มีลมผ่าน จงอินผินหน้าตะแคงไปอีกข้าง มองกำแพงสีขาวโพลนซึ่งถูกติดเอาไว้ด้วยรูปถ่ายหลายใบจากกล้องฟิล์มที่เขาได้เอาไปล้างมาเมื่อเจ้าของคนใหม่ไม่ได้อยู่ข้างกันอีกแล้ว ถึงจะรู้สึกจุกจนพูดไม่ออกแต่จงอินคิดว่ามันเป็นเพียงผลความทรงจำชุดเดียวที่ยังคงตกค้าง
เพราะภาพเหล่านั้นคือใบหน้าของเขา
ใบหน้าของเขาที่จ้องมองเพียงแต่คนหลังกล้อง... คนที่ชื่อโอเซฮุน
- - -
เขาแผ่ตัวเองลงกับสนามหญ้า ปล่อยให้ลมเย็นโบกพัดจนผมปลิวเปิดเปิงไปคนละทิศคนละทาง
ทุ่งที่เคยเขียวชะอุ่มกลับกลายเป็นสีน้ำตาลประกายทองเหมือนกับนาข้าวในฤดูเก็บเกี่ยว ลมหนาวโบกเอาใบไม้ที่หมดอายุให้ร่วงลงมาปกคลุมอยู่เบื้องล่าง รอคอยวันที่จะย่อยสลายให้ตัวเองไปต่ออายุต้นไม้ใหญ้ต้นอื่นที่กำลังจะเติบโต
จงอินเคาะซองบุหรี่กับอุ้งมือ เลือกมวนที่ร่วงลงมาล้ำหน้าที่สุด ใช้ริมฝีปากหนีบมันค้างเอาไว้ขณะที่มืออีกข้างจัดการจุดไฟแช็คแล้วค่อยๆลนไปตรงปลายท่อนนิโคลติน.. ควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาเฮือกแรก เขาสูดมันกลับเข้าไป ทำเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนกับการเดินทางมาที่นี่ในทุกเช้า
ร่มเงาของต้นไม้ขนาดใหญ่กำบังร่างศิลปินหนุ่มจากแสงแดดยามเช้า กลิ่นมินต์จากมวนยาสูบเหมือนจะช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นจากความเหนื่อยล้าตกค้างของเมื่อคืนซึ่งมีกองงานมากมายให้ต้องสะสางและจงอินคิดว่าเขาจะต้องผ่อนคลายตัวเองเผื่อไปถึงเย็นวันนี้ด้วยเช่นกัน
ทุ่งสีน้ำตาลแห้งตรงหน้าชวนให้นึกถึงการเปลี่ยนแปลง... จำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมันยังเป็นสีเขียวชะอุ่ม ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา อากาศยังคงอบอุ่นไม่ได้หนาวจนรู้สึกกัดกระดูกเช่นนี้ แล้วตอนนั้น เหตุผลที่เขามานอนแผ่ที่นี่ก็เป็นเพราะเขาคิดถึงแม่
แต่วันนี้เขามาเพื่อรอใครบางคน
หลังเนินเขาลูกใหญ่นั่นคือสุดปลายสายตาของคิมจงอิน เขาหวังว่าจะมีใครสักคนวิ่งลงมาจากตรงนั้น ปลุกเขาขึ้นมาจากนิทราในยามเช้าแล้วบอกให้ขับรถไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จงอินเกลียดปืน เกลียดการใช้กำลัง แต่เขาอยากได้ยินมันสักนัด เพราะเสียงดังก้องจากปลายกระบอกเหล็กนั่นจะทำให้เขาขับรถออกไปจากตรงนี้ ละทิ้งกลิ่นดิบกับลมเย็นสบายเพื่อกลับบ้านโดยมีใครอีกคนนั่งเคียงข้างกันตลอดทาง
เพียงแต่ว่าทุกเช้า ที่นี่ยังคงเงียบ ทุกอย่างสงบนิ่งสมกับการเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีใครสนใจ หลังเนินเขานั่นไม่ได้มีใครวิ่งลงมาขอความช่วยเหลือดังที่เขาอยากให้เป็น
ฝ่ามือหนาขยี้มวนนิโคลตินลงกับเม็ดดินแห้งสีน้ำตาลเข้ม เขาไม่สามารถสูบมันได้จนหมดมวนได้อีกในเมื่อเขามีความตั้งใจจะละจากมันอย่างเด็ดขาดให้ได้ในอีกไม่ช้านี้ จงอินคิดว่าเขาแค่อยากเจอโอเซฮุนอีกครั้งแล้วบอกคนๆนั้นว่า เขาเลิกสูบมันได้แล้ว
ตอนนั้นเซฮุนคงจะมอบรอยยิ้มหวาน
บางทีเขาอาจจะขอรางวัลเป็นจูบนุ่มๆก่อนจะลากอีกคนเขามาไว้ในอก
เส้นดินสอสีเข้มลากมาบรรจบกันเป็นรูปวงหน้าสวยที่เขาจำสัดส่วนได้ขึ้นใจ จงอินใส่ดวงตาทั้งสองข้างลงไป แรเงาให้วัตถุสมมติทอประกายราวกับเป็นสายตาจริงของเขาคนนั้น สันจมูกโด่งปลายรั้นทำให้เขานึกถึงเวลาที่ใบหน้าของโอเซฮุนที่ซุกลงมาจนชิดไหล่แล้วกลิ่นหอมเหมือนผงแป้งเด็กก็จะตามมา ริมฝีปากคู่สวยที่คอยเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วไล่ให้เขาไปกินข้าวหรือไม่ก็บ่นงุบงิบเวลาเขาเก็บของไม่เป็นที่เป็นทาง
แล้วจงอินก็พบว่าทุกอย่างยังคงวนเวียนไปที่จุดเดิม... โอเซฮุนยังเป็นความทรงจำที่ชัดเจนที่สุด
ช่วงเวลาที่มีเซฮุนก็คงคล้ายกับบาดแผลจากการขี่จักรยานครั้งแรก สนุกสนานและมีชีวิตชีวาแต่ก็ต้องเจ็บเพราะได้บาดแผลติดมาตามตัว
สมุดเล่มหนาถูกวางลงกับพื้นหญ้าแห้งหลังจากภาพวาดสมบูรณ์ตามดั่งใจของผู้รังสรรชิ้นงาน จงอินเปิดเปลือกตาหนาหนักอึ้งเพื่อกักขังตัวเองไว้กับการรอคอยอีกครั้ง... ไม่ได้รอให้เข็มนาฬิกาเดินไปชนเลขสิบสองเพื่อจะกลับไปทำงาน แต่เขารอให้โอเซฮุนกลับมา
ห้วงนิทราของเขาแตกโพละเหมือนฟองสบู่โดนจิ้มเมื่อเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้น จงอินเกียจคร้านจะล้วงหยิบมันขึ้นมาแต่ก็จำใจต้องทำเช่นนั้นเมื่อมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
หมายเลขสิบหลับนหน้าจอของเขาไม่คุ้นตาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มลังเลเป็นครั้งที่สอง...
แต่เขาก็กดรับสายไป
“คุณคิมจงอินใช่ไหมครับ... ผมติดต่อมาจากพิพิธภัณฑ์ศิลปร่วมสมัย ไม่ทราบว่าคุณจงอินสะดวกคุยไหมครับ"
- - -
“ทางเรายินดีจริงๆที่คุณจงอินตกลงนำผลงานมาร่วมแสดงด้วย... ทั้งเป็นเกียรติทั้งเป็นบุญตาจริงๆ"
“...โห...คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ"
“...”
“เก็บงานไว้เฉยๆ กระดาษก็เปื่อยไปเปล่าๆ" เจ้าของแผ่นกระดาษที่บัดนี้ถูกนำมาอัดกรอบขึ้นขึงอยู่บนผนังสีขาวภายในหอศิลปะโอ่โถงใจกลางเมืองยิ้มเล็กๆที่มุมปากพลางกวาดสายตามองไปรอบห้องกว้างที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นนิทารรศการขนาดย่อม
“ผมว่างานของคุณจงอินคงไม่มีใครยอมปล่อยให้เปื่อยไปแน่ๆ...”
“พูดขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ...” เสียงทุ้มกล่าวกับหัวหน้าผู้จัดงานที่ยืนอยู่ข้างกัน "มีชิ้นงานตั้งหลายชิ้นที่เพิ่งจะมาโด่งดังในยุคหลัง ตอนศิลปินตายจากไปแล้ว... ความงามพวกนี้บางทีก็ขึ้นกับกาลเวลา ผมยังโชคดีที่ทันได้เห็นผลงานของตัวเองนำมาจัดแสดง แต่ถ้าวันนึงที่ผมตายไป...”
“...”
“มันอาจจะเป็นแค่กระดาษเปื้อนน้ำหมึกก็ได้ครับ ใครจะรู้"
“หัวหน้าครับ! เลฟท์วอลของชั้นสามเสร็จแล้ว จะลงไปตรวจสอบเลยไหมครับ" บทสนทนาของพวกเขาถูกตัดให้จบลงอย่างกระทันหัน จงอินส่งยิ้มให้กับชายร่างอวบเป็นการบอกปัดว่าเขาไม่มีปัญหาเลยถ้าหากอีกฝ่ายมีธุระต้องสะสาง
“ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทนะครับ แต่ผมคงต้องขอตัว... ถ้าเย็นนี้คุณจงอินสะดวกผมอยากจะเชิญไปร่วมมื้อเย็นกับพวกเราด้วยนะครับ"
“ผมเองก็คิดว่าคงต้องฝากท้องไว้กับพวกคุณนั่นแหละครับ"
“ยินดีอย่างยิ่งเลยครับ! ด้านหลังกับชั้นบนยังมีงานอยู่ ถ้าคุณจงอินสนใจก็เข้าไปเดินดูได้ตามสบายเลย" เจ้าของคำพูดจิ้มลงบนแผ่นบัตรที่หน้าอกของเขาแทนการกล่าวถึงอำนาจครอบจักรวาลของมันก่อนจะปลีกตัวไปจัดการงานของตนเอง
คิมจงอินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับการใช้สมองเกินความจำเป็น เขาไม่ใช่คนเข้าสังคมเก่งนักการพบกับหัวหน้างานนิทรรศการชุดนี้จึงเป็นกิจกรรมที่กินพลังในตัวไปมากโข ด้วยความเป็นคนที่พูดไม่เก่งและถนัดเงียบมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อต้องมาเป็นทั้งฝ่ายทั้งถามทั้งตอบแบบนี้เขาจึงรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะล้มตัวลงนอนแผ่เสียตรงนี้
หากว่ากันตามตรง เขาเองก็มิได้มีเจตนาจะนำงานมาร่วมจัดแสดงในนิทรรศการชุดนี้สักเท่าใดนัก ภาพวาดของเขาเปลี่ยนไปมากตั้งแต่ไม่มีโอเซฮุนอยู่ในบ้าน มันไม่จริงเหมือนกับที่ใครต่อใครว่าเอาไว้ว่าถ้าหากเราสูญเสียใครสักคนไปก็คงไม่มีอะไรยากเย็นในเมื่อก่อนหน้านี้เราอยู่โดยไม่มีเขาได้... แต่มันไม่ใช่เลย มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้ ไม่มีทางสักเส้นที่จะไม่เจ็บปวด
เพราะเวลาก่อนหน้านั้นเขาไม่มีความทรงจำ เซฮุนหย่อนช่วงเวลาพวกนั้นลงมาในชีวิต และหลังจากวันนั้นคิมจงอินก็ไม่เคยเป็นเหมือนเดิม...
ไม่มีอะไรสามารถทำให้เขาเป็นเหมือนเดิมได้อีก
เหตุผลเพียงข้อเดียวที่เขายอมนำงานเข้าร่วมจัดแสดงในนิทรรศการชุดนี้เป็นเพียงหัวข้องานมีเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคล แม้ดูโง่งมไปสักนิดแต่เขาก็เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ บางทีที่ปกหลังของใบสูจิบัตรอาจจะมีชื่อของโอเซฮุนปรากฎอยู่ บางทีอาจจะมีภาพสักแผ่นของเซฮุนที่ได้ขึ้นขึงบนฝาผนัง และสิ่งที่จงอินหวังคือบางทีโอเซฮุนจะมาที่นี่
เขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น... เขาแค่หวัง
และแค่เฝ้ารอ
ร่างสูงเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากำแพงที่ถูกเขียนถึงที่ไปที่มาของชิ้นงานเบื้องหลัง มันเป็นชิ้นงานภาพถ่าย รวบรวมจากศิลปินกว่าสามสิบคน แต่เพราะว่านิทรรศการยังไม่เสร็จสมบูรณ์เขาเลยไม่มีสิทธิ์รู้ได้ว่าชิ้นงานชิ้นใดเป็นของใครบ้าง... กระนั้นจงอินก็เชื่อ เขาเชื่อว่าเขาจะรู้แน่ๆหากมีภาพของโอเซฮุนอยู่ในนั้น
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นไม้ทลายความเงียบงันภายในโถงจัดแสดงกว้างขวาง ไม้ปาร์เก้สีน้ำตาลมักให้ความอบอุ่นเหมือนเดินอยู่บนพื้นบ้านของตัวเองเสมอ ร่างสูงเริ่มต้นจากภาพหนึ่งที่มุมผนัง ยืนนิ่งและใช้เวลาพินิจพิเคราะห์มันอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินเลื่อนตรงไปข้างหน้าเพื่อชมภาพถัดไป
กลิ่นสีค่อนข้างเป็นอุปสรรค จงอินไม่ชอบมันสักเท่าไหร่แต่เขาจำเป็นต้องใจเย็นให้มากเพื่อให้ตัวเองได้พินิจมองภาพถ่ายตรงหน้าให้ละเอียดที่สุด... เขาเดินวนจนครบห้องและยังคงเดินต่อไปยังห้องถัดไป... ตามแสงสีส้มอ่อนเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ห้องโถงที่สอง
ภาพสมัยครั้งยังเป็นนักศึกษาโผล่ขึ้นมาในหัว เขาเคยมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง ชอบถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มและมันก็คงจะไม่ผิดนักหากเขาบอกว่าเขาเรียนรู้การใช้เครื่องบันทึกภาพชนิดนี้มาจากเพื่อนของตนเองนั่นแหละ.. ครั้งหนึ่งหมอนั่นเคยแอบตามถ่ายภาพของหญิงสาวที่ชอบ ไม่น่าเชื่อ เธอไม่เคยรู้ว่าตัวเองโดนตามถ่ายภาพกระทั่งเพื่อนของเขาได้จัดแกลอรี่ขนาดเล็กเป็นงานกาลกุศล... ภาพของเธอถูกอัดกรอบขึงอยู่ใจกลางเมืองทั้งหมดสามสิบสองภาพจากจำนวนภาพในงานทั้งหมดสามสิบสองภาพ
จงอินชื่นชมในความโรแมนติกของเพื่อน และลักลอบขโมยวิธีนั้นมาด้วย...
เขานำภาพของโอเซฮุนมาจัดแสดงในนิทรรศการชุดนี้เช่นกัน ภาพวาดโอเซฮุนที่เขามักจะวาดในทุกเช้าที่ทุ่งหญ้า รวมไปถึงภาพที่เคยวาดเมื่อครั้งยังได้เห็นหน้ากัน เขาเพียงแต่หวังว่าถ้าเซฮุนมาที่นี่และเห็นผลงานของเขาอาจจะยิ้มปริ่ม
เหมือนกับที่เขากำลังยิ้ม
เมื่อเห็นภาพถ่ายของตัวเองอยู่บนกำแพง...
- - -
จงอินลืมเรื่องมื้อเย็นกับผู้จัดนิทรรศการไปสนิท เขาขับรถออกจากหอศิลปะโดยใช้ความเร็วที่สุดเท่าที่คุณเต่าคันแก่จะเอื้ออำนวย หัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปมเชือกก้อนโตมาตลอดทางพอๆกับอาการขบริมฝีปากซ้ำไปซ้ำมาจนแทบเป็นสีม่วงช้ำ จงอินไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้แม้แต่น้อย เขาไม่สามารถเย็นลงได้มากกว่านี้แต่ก็ไม่ได้ร้อนจิตร้อนใจอะไร
ไม่มีอะไรชัดเจนนอกจากความหวัง
“ภาพชุดนี้บริจาคมาหน่ะครับ... จากบ้านตระกูลโอ" คำตอบของเด็กหนุ่มที่กำลังคัดแยกภาพถ่ายอยู่ในบริเวณนั้น วินาทีที่เห็นภาพของตัวเองถูกขึงขึ้นไว้บนผนังจงอินไม่ได้ดีใจที่ใบหน้าของตัวเองได้ปรากฎบนนั้น แต่เขารู้ว่าแสงและมุมแบบนั้นมีเพียงคนๆเดียวที่จะสังเกตุเห็น มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักทุ่งสีทองกับแสงอาทิตย์ยามบ่าย และมีเพียงคนๆเดียวที่เขาพาไปที่นั่น ที่บ้านร้างกลางทุ่ง
มีแค่โอเซฮุนคนเดียว
เครื่องยนต์ดับลงเมื่อจงอินหักพวกมาลัยเข้าช่องขนาดเล็กเบื้องหน้าประภาคารสูง เขาไม่ได้ใช้ที่นี่เป็นห้องทำงานตามที่ตัวเองตั้งใจไว้มาเกือบสามเดือนหลังจากพบว่ามันทำให้สมองเอาแต่นึกถึงโอเซฮุนจนเหมือนคนบ้าย้ำคิดย้ำทำ กระนั้นจงอินก็ไม่เคยลืมว่าต้องใช้กุญแจดอกไหนเพื่อปลดล็อคแม่กุญแจขนาดใหญ่ให้ยอมคลายโซ่ออก
กลิ่นอับชื้นที่คิมจงอินเกลียดไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการก้าวเข้าไปในอาคารเลยด้วยซ้ำ เขาวิ่งพรวดเข้าหาบันไดและซอนเท้าขึ้นไปอย่างรวดเร็วจนถึงชั้นบนสุด เตียงนอนไม้ที่ไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไหนยังคงนอนนิ่งเยื้องกับบานหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ ผ้าม่านสีเหลืองไข่ฝีมือของแม่ปลิวว่อนตามสายลมที่พัดวูบเข้ามาเป็นระยะเหมือนกับหัวใจของเขาที่เต้นบ้างหยุดบ้างเมื่อหันไปมองริมฝาผนัง
เขาไม่ได้เข้ามาที่นี่นานเกินกว่าอายุกาวสองหน้าจะรั้งภาพถ่ายสีซีดพวกนั้นเอาไว้ มันจึงไม่แปลกที่จะเห็นบางแผ่นร่วงหล่นประปรายไปบนพื้น ร่างสูงย่อลงเก็บมันขึ้นมาทีละแผ่นอย่างใจเย็นและทนุถนอม เขามองดูใบหน้าของตัวเอง รอยยิ้มที่เฝ้าตามหามาเกือบครึ่งปี... ดวงตาที่หยีลงยามแสงอาทิตย์ส่องผ่าน แววตาแสนอ่อนละมุนราวปุยฝ้ายที่มองตรงไปยังหน้ากล้อง มองคนที่ชัดเจนที่สุดในความทรงจำของเขา
อ้อมแขนแกร่งรวบเอาภาพทั้งหมดนั่นเข้ามาแนบไว้กับอก... เขาคลานเข่าไปตามพื้นไม้เปื้อนฝุ่น ตรงไปยังลิ้นชักที่มันถูกเปิดทิ้งเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ ผงฝุ่นลอยคลุ้งขึ้นมาทันทีที่มือของเขาสัมผัส ไม่ต่างอะไรจากที่น้ำตาค่อยๆเอ่อนองขึ้นจากใต้ตา
เขาร้องไห้ให้กับความหวังสุดท้าย...
ลิ้นชักไม้เปิดออก ไม่มีม้วนฟิล์ม ไม่มีกล้องฟิล์มที่เขามอบมันให้โอเซฮุน ในนั้นมีเพียงความว่างเปล่า จงอินมองบานหน้าต่าง สัมผัสสายลมที่พัดเข้ามาด้านใน เขากอดรูปแน่นแนบอกเสียจนรู้สึกเหมือนหัวใจออกมาเต้นอยู่ข้างมือ
“โอเซฮุน...”
สุดท้ายชื่อนั้นก็หลุดออกมาจากริมฝีปากของเขาหลังจากไม่เคยเอ่ยออกมาอีกเลย...
ความหวังของเขาชัดขึ้น... ชัดขึ้นอีกระดับ
- - -
หนึ่งร้อยเปอร์เซนต์เต็ม
เจอกันตอนหน้า ตอนจบ <3
#ฮายโฮป
ความคิดเห็น