ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (kaihun) High Hopes

    ลำดับตอนที่ #8 : Loose

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 963
      8
      8 ก.ค. 57


    ผมไม่เคยจินตานาการ

    ถึงวันที่ไม่มีคุณ






    Grey Room - Damien Rice

    เราฟังเพลงนี้ตอนเขียน
    ลองปิดเพลงหน้าบทความแล้วฟังเพลงนี้ดูนะ


     

     

     

    ดอกไม้ช่อใหญ่วางพาดไว้ที่เบาะหลังของรถคลาสสิคคันเก่า เครื่องยนต์อายุคราวพ่อของมันส่งเสียงร้องระงมกุกกักปนไปกับเสียงเพลงคันทรี่ซึ่งเปิดบรรเลงอยู่ภายในห้องโดยสาร แม้ว่ามันออกจะน่ารำคาญไปสักหน่อยแต่ใบหน้าของทั้งสองชีวิตบนรถก็ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่ปกปิดไม่ได้อยู่ดี

     

    เป็นเวลานานมากที่จงอินไม่ได้ขับรถออกจากบ้านทั้งที่ไม่มีงานสำคัญจำเป็น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ชายหนุ่มออกจะรู้สึกเก้กังสักนิดเมื่อต้องมานั่งอยู่หลังพวงมาลัยแล้วบังคับมันไปยังทิศทางที่ไม่คุ้นเคย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกกังวลเมื่อรับรู้ว่าเบาะที่นั่งว่างข้างกายวันนี้มีอีกคนหย่อนกายลงนั่งและพร้อมจะเดินทางไปกับเขา

     

    โอเซฮุนที่มีรอยยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้ยามเช้ากำลังฮัมเพลงเงียบๆขณะกวาดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    แสงอาทิตย์ยามเช้ากระทบเข้ากับกรอบโครเมี่ยมของช่องกระจก ยอดหญ้าที่พลิ้วไหวอ่อนๆตามลมเย็นด้านนอกทำให้เซฮุนตัดสินใจดันกระจกรถลงครึ่งหนึ่งเพื่อสูดกลิ่นธรรมชาติ

     

    อากาศดีมากเลยหล่ะครับ"

     

    นั่นสิ...กลิ่นดินพวกนี้ทำให้สดชื่นชะมัดหล่ะ" จงอินตอบพลางสูดหายใจเข้าปอดเสียงดัง

     

    คุณจงอินโชคดีที่มีบ้านอยู่ท่ามกลางอากาศแบบนี้นะครับ" เซฮุนพูดออกมาทั้งที่ใบหน้ายังคงเกยอยู่กับขอบหน้าต่างบานเล็กของรถ ปล่อยให้ไอเย็นเข้ามาหยอกล้อปลายจมูกชื้นๆ "อากาศแบบนี้นอนจนถึงบ่ายก็ยังอยากนอนต่ออีก"

     

    “...อันนั้นเรียกว่าขี้เกียจหรือเปล่า"

     

    คุณพูดแบบนั้นมันเลยดูแย่ไปเลย"

     

    ถ้าอย่างนั้นก็คือขี้เกียจ" ข้อสรุปถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะหยอกเอินที่ทำให้เซฮุนหน้ามุ่ยจนงอ จงอินเห็นว่าอีกคนมีสีหน้าอย่างไรแต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่ยี่หระและยังคงส่งเสียงฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกมาพร้อมกัชายตามองใบหน้าหวานง้ำงอ

     

    ไม่มีบทสนทนาเล็ดลอดออกมาอยู่พักใหญ่ แต่ทั้งคู่ก็ใช้หางตาเหลือบมองซึ่งกันและกันอยู่ตลอดโดยต่างฝ่ายต่างก็รู้เห็นกับการกระทำแบบนั้น กระทั้งมาถึงทางแยกเข้าสู่ถนนสายหลัก จงอินเหลือบมองเซฮุนขณะเอี้ยวใบหน้าไปทางขวามือของตนเองเพื่อตรวจตราว่ามียานพาหนะคันอื่นนอกจากพวกเขาหรือไม่ เช่นกันกับเซฮุนที่เหลือบมองมาทางจงอินโดยแสร้งทำเป็นมองเลยไปที่ฟาร์มข้าวโพดตรงริมถนน ดวงตาของพวกเขาสบกันโดยบังเอิญ

     

    แต่ทั้งจงอินและเซฮุนต่างก็รู้ว่ามันไม่มีความบังเอิญ

     

    มันเป็นพรมลิขิต

     

    พวกเขาระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น กลบบทเพลงร็อคแอนด์โรลที่บรรเลงคลอมาตลอดทางเสียสนิท เซฮุนเบือนใบหน้าหลบไปอีกทางแต่สุดท้ายมันก็หันกลับไปมองเสี้ยวใบหน้าของสารถีข้างกายซึ่งสามารถหัวเราะออกมาได้แม้ตาทั้งสองข้างจับจ้องอยู่บนพื้นถนน

     

     

    เซฮุนรู้สึกได้ว่าเขาไม่อาจหยุดรักรอยยิ้มแบบนั้นได้เลย

     

    รอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเสียจนล้นโหนกแก้ม นูนขึ้นไปดันดวงตาคมคู่นั้นให้หยีลงเป็นขีดโค้ง

     

    ทุกอย่างที่กอปรเป็นคิมจงอินมักทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ผู้ชายวัยสามสิบสองท่าทางเงอะงะงุ่นง่านหากแต่อบอุ่นได้เหมือนเตาผิงฤดูหนาว คนที่มักไม่พูดออกมาชัดเจนถึงความเป็นห่วงแต่แสดงออกผ่านทางการกระทำ เจ้าของรอยยิ้มที่ทำให้เขาอดยิ้มตามไม่ได้

     

    ใบหน้าหวานโน้มเข้าไปใกล้ในจังหวะซึ่งอีกคนไม่ทันได้สังเกต ริมฝีปากคู่เรียวแตะลงตรงข้างแก้มสากเพราะไรหนวดอ่อนๆซึ่งโกนไม่เกลี้ยง เจ้าของแก้มดูจะตกใจไม่น้อยจึงหันหน้ามามองเขาแล้วขมวดคิ้วและเซฮุนก็ให้คำตอบเป็นการกดริมฝีปากแนบลงไปบนผิวเนื้อนุ่มหยุ่นเพียงชั่ววินาที

     

    เหมือนว่าจงอินจะมีคำถามซึ่งเซฮุนรู้ดีว่าคืออะไร

     

    ส่วนมากเราจูบแสดงความรัก... ใช่ไหมครับ"

     

    ดังนั้น... เขาจึงชิงถามออกไปก่อน

     

    คำตอบที่ได้ก็คือการสอดฝ่ามืออุ่นเข้ามานิ้วทั้งห้าประสานจนแนบสนิทไร้ช่องว่าง คิมจงอินรั้งฝ่ามือเรียวแสนนุ่มขึ้นไปแตะกับริมฝีปากของตนเองแล้วกดจมูกแนบลงมาหอมเป็นเสียงดังฟอดใหญ่

     

     

     

     

     

    ยานพาหนะหยุดพักที่ลานโล่งกว้าง เบื้องหน้าของพวกเขาเป็นตลาดขนาดย่อมที่ยังคงมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน เสียงตะโกนเซ็งแซ่ของเหล่าแม่ค้าทำให้สถานที่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นแม้จะค่อนข้างน่ารำคาญไปเสียหน่อย กระนั้นบรรยากาศที่ดำเนินไปอย่างไรกฎเกณฑ์เช่นนี้ก็ทำให้เซฮุนรู้สึกสนุกสนาน

     

    ทั้งสองเดินตัวติดกันไปตามพื้นทางแฉะน้ำ มีหลายอย่างที่เซฮุนไม่เคยพบและจงอินไม่เคยเห็น พวกเขาสนุกกับการได้ไล่มองวิถีชีวิตของผู้คนที่โอบล้อมอยู่รอบกาย ในขณะเดียวกันก็เพลิดเพลินไปกับการมองหากันและกัน เพลิดเพลินไปกับการพบว่ามือของเรายังคงกอบกุมกันเอาไว้ได้เสมอแม้ในเวลาที่สายตาของเราจ้องมองไปคนละร้านค้า

     

    โอ๊ะ! ขนมนั่น!” เสียงอุทานหวานหูจากคนข้างกายทำให้จงอินละสายตาขึ้นมาจากภาพวาดเก่าที่ถูกแบขายไว้กับพื้นดิน เซฮุนกระตุกมือของเขาสองสามครั้งแล้วชี้ให้ดูที่ร้านค้าอีกฝั่งซึ่งมีคุณลุงคนหนึ่งกำลังปิ้งก้อนแป้งกลมแบนสีเหลืองทองด้วยเตาตะแกรงอันเก่า "คุณแม่ชอบกินแบบนั้น"

     

    นั่นเหรอ... ไปดูสิ"

     

    แล้วคุณจงอินหล่ะครับ?”

     

    เดี๋ยวฉันตามไป... ว่าจะซื้อสักรูปหน่ะ" เซฮุนหพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะผละตัวห่างออกไปยังฝั่งตรงข้าม ย่อตัวลงนั่งยองแล้วสนทนาพูดคุยกับคุณลุงง่วนอยู่กับการปิ้งขนมให้สุก

     

    เอารูปนี้ครับ"

     

    “...คุณโชคดีนะ...” พ่อค้าวัยกลางคนกล่าวขณะรับภาพที่เขาเลือกขึ้นมาถือเอาไว้แล้วม้วนมันใส่ถุง

     

    ครับ?”

     

    เชื่อเรื่องมิวส์ไหมหล่ะ?”

     

    ก็...”

     

    คุณเจอเธอเข้าแล้วพ่อหนุ่ม... ทุกคนใฝ่ฝันจะเจอมิวส์กันทั้งนั้น บางคนเก็บเธอได้ บางคนเจอเธอเพราะคำขอ แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่สำคัญหรอก...”

     

    “...”

     

    คำถามคือคุณรักษามิวส์ของนายได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง" ภาพวาดที่บรรจุลงในถุงพลาสติกยื่นมาตรงหน้าด้วยมือของชายแก่ "มันเป็นความหมายของภาพนี้...”

     

    แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนักแต่จงอินก็รับภาพนั้นมาจากฝ่ามือที่ยังคงมีหมึกจีนสีดำเปื้อนเป็นแถบ เขาส่งยิ้มให้กับคุณลุงอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินตรงไปหาโอเซฮุนที่ยังย่อตัวอยู่หน้าเตา

     

    ดวงตาคู่สวยกำลังจับจ้องมาที่เขาเช่นกัน เซฮุนโบกมือขึ้นกวักเรียกราวกับเป็นเด็กน้อยที่วิ่งเล่นซุกซนแล้วไปพบกับสิ่งแปลกใหม่ในโพรงเล็กๆที่หลังสวน และจงอินก็ได้แต่ขบคิดว่าคงมีใครสักคนกำลังร่ายมนตรา เทพคิวปิดอาจกำลังแผลงศรจากสักทิศทางซึ่งไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาของเขาเพราะดวงตาคู่นี้ก็เอาแต่จับจ้องเพียงแค่ใครบางคนที่มีรอยยิ้มเปล่งประกายได้เหมือนแสงอาทิตย์หลังฝน

     

    ใครคนนั้นหยุดสายตาไว้ที่เขาเช่นกัน

     

    กระนั้นในจังหวะที่เขากำลังก้าวตรงไป จงอินรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่หน่วงศีรษะและแปรเป็นความเจ็บปวดในเวลาต่อมา ร่างทั้งร่างทรุดลงไปกับพื้น ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปกับเปลือกตาที่ค่อยๆปรือลงคล้ายจะปิด แต่สิ่งที่เขามองเห็นก็ยังคงเป็นโอเซฮุนที่กำลังเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ

     

    ใบหน้าขาวบิดเบ้ เปล่งเสียงร้องออกมาดังลั่นและทำท่าจะเดินเข้ามา

     

    จงอินเพิ่งได้เห็นว่ารอบตัวของเซฮุนมีใครหลายคนในชุดสูทสีดำ คนเหล่านั้นเข้าประชิดและจับเซฮุนเอาไว้

     

    เขาเห็นน้ำตาของเซฮุนไหลลงมาอีกครั้ง

     

    ก่อนที่ความเจ็บปวดจะกัดกินจนทนไม่ไหวและทำให้เปลือกตาของเขาปิดสนิทพร้อมกับการยุติของเส้นสติ ก่อนจะเหลือเพียงแค่คำภาวนาสั้นๆกับแรงกระแทกที่ศีรษะ

     

    จงอินขอให้มันเป็นเพียงความเจ็บปวดจากศรของคิวปิดเท่านั้น

     












    50%









     

     

    กลิ่นแอลกอฮอลฉุนจมูกปลุกเขาขึ้นจากโลกสีดำสนิท

     

    จงอิน...” น้ำเสียงแสนพร่าทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง ใบหน้าคมคร้ามหันกลับไปมองข้างกาย เป็นอีกวันที่แม่นั่งถักนิตติ้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานต้อนรับแสงอาทิตย์ยามแปดโมงเช้า

     

    อ่ะ...”

     

    ดีขึ้นบ้างไหมลูก" ปลายหลอดดูดน้ำแตะลงกับริมฝีปากขณะเจ้าของเสียงหวานทุ้มเอ่ยถามออกมา คิมอินนากดสายตามองลูกชายของตัวเองเป็นเชิงบังคับให้ดูดมันเข้าไปเสียก่อน... น้ำอุ่นช่วยได้มากยามที่ไหลลงไปในลำคอแห้งผาด ราวกับทุกส่วนในร่างกายกำลังถูกปลุกให้กลับเข้าสู่ระบบเดิม สมองเหมือนจะลื่นขึ้น... เขานึกขึ้นได้ว่าอะไรที่ตัวเองจะลืมตาขึ้นมองหา

     

    เซฮุน...”

     

    เสียงทุ้มแห้งผาดเปล่งออกไป

     

    ทว่าไม่มีคำตอบที่ต้องการ...

     

    หญิงวัยกลางคนถอนแก้วน้ำออกมาจากริมฝีปากของลูกชาย เธอหลุบสายตาลงมองข้างเตียงพร้อมลมหายใจเฮือกใหญ่ที่พรูออกมาจากปลายจมูกรั้น อินนาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนและฝ่ามืออุ่นไล่สางไปบนเส้นผมสีดำขลับ

     

    ยังไม่มีใครเจอเซฮุนเลยจงอิน...” เธอพูดประโยคนี้อีกครั้งแม้จะย่างเข้าสู่วันที่สี่ในโรงพยาบาลซึ่งเท่ากับสี่วันที่เซฮุนหายตัวไป เธอพูดและภาวนาว่าพรุ่งนี้จะมีคำตอบใหม่ให้กับลูกชายที่ยังคงต้องรักษาตัว

     

    “...”

     

    นี่ก็วันที่สี่แล้ว" เสียงของแม่แผ่วเบาลงไม่ต่างอะไรจากลมหายใจของเขาที่เหมือนกับว่าจะดับลงไปอีกครั้ง "เราหาทั่วหมู่บ้าน ไปตามทางที่ลูกออกมา แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นเขาเลยสักคน...”

     

    ริมฝีปากที่แห้งผาดเม้มเข้าหากันจนแน่น จงอินอยากมั่นใจว่าเขากำลังตื่นและไม่ได้ฝันอยู่ ซึ่งความเจ็บปวดบนผิวเนื้อก็พอจะบอกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ดวงตาคมหลบออกมาจากกรอบสายตาของแม่แม้รู้ว่ามันเปล่าประโยชน์สำหรับการพยายามซ่อนความอ่อนแอของตัวเองเอาไว้

     

    ผิวแก้มกร้านที่ยังมีรอยถลอกสัมผัสได้ถึงความเย็นชื้นที่ไหลลงอาบบนใบหน้า เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงสู่ความมืดสนิทอีกครั้งด้วยหวังจะช่วยหยุดหยาดน้ำตาที่กำลังไหลลงมา ทว่ามันกลับไม่ได้ง่ายขนาดนั้น... ไม่มีอะไรง่ายในเมื่อก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายของเขามันปวดหนึบราวกับจะปริแตกออกมา จงอินไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะทนรับแรงสะอื้นต่อไปได้อีกสักกี่วัน ในเมื่อน้ำตาเป็นสิ่งที่ไหลลงทุกเช้าก่อนมื้ออาหารด้วยซ้ำ

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวใจของเขายังเข้มแข็งพอสำหรับการอธิษฐานอีกหรือไม่ จงอินไม่รู้ว่าตัวเองเหลือคำอ้อนวอนอะไรกับพระเจ้าผู้กำหนดโชคชะตาอันโหดร้ายนี้แก่เขานอกจากหยดน้ำตาที่ไหลกลิ้งอยู่บนโหนกแก้มของมนุษย์ผู้ว่างเปล่า หรือถ้าหากเขาเข้มแข็งพอที่จะพูดอะไรออกไปสักคำเขาก็จะยังคงเรียกชื่อโอเซฮุนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับที่กาลิเลโอเอาแต่พูดว่าโลกกลม

     

    แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อ แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ยิน

     

    จงอิน...”

     

    “...ฮึก...” ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดโถมประเดประดังเข้ามาในสมองของเขา เป็นดังแผ่นฟิล์มไร้เสียงพากย์ ไม่มีคำอธิบายหรือคำบรรยายสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากแต่ทุกอย่างชัดเจนในตัวของมันเอง เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดให้คำตอบสุดท้ายเป็นปลายทางเอาไว้อยู่เบื้องหน้า เป็นคำตอบที่รู้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเอ่ยคำถาม จงอินรู้ว่าใครกันที่เอาตัวโอเซฮุนไปแต่เหนือยิ่งไปกว่านั้นเขาก็รู้ได้ว่าตัวเองไม่สามารถไปพาเซฮุนกลับมาได้

     

    ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันเพื่อนกลั้นเสียงสะอื้นของตัวเองเอาไว้ ฝ่ามือและนิ้วทั้งห้าจิกขยุ้มผ้าห่มสีขาวเสียจนมันยับยู่เป็นรอยริ้ว ในโพรงปากอุ่นสัมผัสได้ถึงซี่ฟันที่ขบกันแน่นจนเกรงว่ามันอาจจะบิ่นหักเข้าในไม่ช้า กระนั้นเสียงร้องสะอื้นของเขาก็ยังคงลั่นลอดออกมาได้... ความเจ็บปวดยังคงแผ่ซ่านไปทั้งลำกายที่ถูกตรึงไว้บนเตียงนอนหลังใหญ่ แม่เอื้อมมือมาลูบที่ผมของเขาอีกครั้งก่อนสายน้ำตาจะไหลอาบไปถึงใต้คาง

     

    เขาไม่ควรลืมตาตื่นขึ้นมา

     

    โลกสีดำสนิทก่อนได้กลิ่นแอลกอฮอลมันไม่ได้ต่างอะไรกับโลกบ้าบอก้อนนี้เลย

     

    - - -

     

    หมออนุญาตให้เขาออกจากโรงพยาบาลในวันที่หกตอนบ่าย ทำการเอกซเรย์อีกครั้งให้มั่นใจว่าไม่ได้มีเลือดคั่งอยู่ในสมองอย่างที่หวั่นกลัวกันพร้อมทั้งกำชับให้คอยเฝ้าสังเกตุความผิดปกติของตัวเองในช่วงสองสามวันนี้ก่อน หากมีอาการต้องรีบกลับมาที่โรงพยาบาล ซึ่งจงอินคิดว่าจะกลับมาในกรณีตัวเองล้มตึงลงไปนั่นแหละ เขาเกลียดกลิ่นฉุนของยาฆ่าเชื้อจนแทบอดรนทนรอแท็กซี่วนมารับไม่ไหว

     

    การได้เห็นรั้วบ้านในรอบเกือบครบสัปดาห์เป็นเรื่องดีแรกตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา แม่ประคองเขาเยี่ยงคนป่วยขั้นโคม่าจนต้องยืนยันอีกครั้งว่าเขาปกติดีและภาพที่เห็นยังเป็นสีสดไม่มีการซ้อนทับหรือเปลี่ยนเป็นสีเขียวแดงอะไรอย่างที่หมอบอก... กระนั้นแม่ก็ไม่ยอมให้เขาช่วยถือตระกร้านิตติ้งและผลไม้ในมืออยู่ดี

     

    ทันทีที่ประตูบ้านไขออกแม่ก็รีบตรงดิ่งเข้าไปวางของไว้บนโต๊ะนั่งเล่นและเริ่มวุ่นวายกับตระกร้าผลไม้ในขณะที่เท้าทั้งสองข้างของจงอินยังคงไม่สามารถขยับไปไหนได้ไกลพ้นตู้สวางรองเท้าเมื่อสายตากวาดมองไปรอบบ้านหลังเล็ก มันอาจดูโง่งมแต่จงอินไม่ปฏิเสธว่าเขาพยายามมองหาเผื่อโอเซฮุนจะโผล่ตัวออกมาจากสักซอกใดซอกหนึ่งของบ้านพร้อมกับถาดคุ้กกี้ธัญพืช

     

    น่าเสียดายที่มันเป็นกลิ่นอับ ไม่ใช่กลิ่นเนย และเบื้องหน้าเขาก็มีแค่แม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการจับแอปเปิ้ลใส่ตระกร้า

     

    ลมหายใจพรูออกมาจากปลายจมูก จงอินสีเท้ากับพรมสีเขียวหม่นแล้วก้าวเข้ามาในตัวบ้าน เผชิญความว่างเปล่าขณะเดินอ้อมไปอยู่หลังโซฟาหนัง

     

    ขึ้นไปดูข้างบนหน่อยนะแม่...” จงอินไม่ได้รอให้แม่ขานตอบ เขาก้าวไปยังบันไดอย่างเชื่องช้า มองกำแพงสีอิฐขณะก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดพร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักด้วยความหวัง เสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันไดไม้เร่งเร้าให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างขยับเร็วขึ้น ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเองก็เร่งจังหวะรัวเร็วไม่แพ้กัน

     

    ร่างสูงแทบจะวิ่งถลาเข้าไปที่ประตูห้องนอนตัวเอง ฝ่ามือหนาทาบลงไปก่อนจะผลักมันออกอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการเสียเวลาเพิ่มขึ้นเกินสองวินาที ผงฝุ่นเม็ดเล็กลอยคลุ้งท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายแก่ที่ส่องลอดผ่านเข้ามาจากบานหน้าต่าง กลิ่นเคมีของสีผสมปนเปไปกับกลิ่นหอมแห้งของดอกเฮลิโอโทรปที่จำได้ลางๆว่ามันถูกเปลี่ยนเอาไว้ก่อนเขาจะออกเดินทางเมื่อหกวันที่แล้ว

     

    ช่อดอกไม้สีม่วงเหี่ยวแห้งทว่ากลิ่นของมันยังคงคลุ้ง แม้ว่ากลีบบางอ่อนของมันจะร่วงโรยแต่ก็ยังคงอยู่ในห้องของเขา...

     

    เงาดำทะมึนเคลื่อนผ่านผนังห้องที่มีขาตั้งไม้พิงเรียงชิดกัน กล่องสียังคงถูกเก็บเอาไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยบนชั้นวางของซึ่งมีลายมือขยุกขยิกเขียนกำกับเอาไว้ว่าอะไรเป็นอะไร จงอินยิ้มทุกครั้งที่เห็นมัน ลายมือที่ปรากฎอยู่ไม่ได้สวยงามเหมือนตัวพิมพ์ แต่มันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยังไม่ถูกพรากจากเขาไป

     

    เขาหยุดลงตรงหน้าชั้นวางหนังสือที่กั้นระหว่างห้องทำงานกับห้องนอน หัวใจที่เต้นช้าลงไปเมื่อสักครู่กลับมารัวจังหวะอีกครั้งเมื่อภาพตรงหน้าคือผืนเตียงยับยู่ที่โผล่ออกมาจากชั้นวางหนังสือซึ่งกั้นครึ่งสายตาของเขาเอาไว้ จงอินเม้มริมฝีปากแน่น ขยับฝ่าเท้าก้าวไปตรงหน้าอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าหนักแน่น

     

    มือทั้งสองกำแน่นเสียจนรู้สึกได้ถึงกระแสดเลือดที่วิ่งพล่านไปเส้นเลือด จงอินสวดภาวนาขอให้พระเจ้าเข้าข้างเขาสักครั้งท่ามกลางความหวาดกลัวที่เอ่อนองไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ขอให้พระองค์เห็นใจให้กับชายโง่เขลาผู้ที่ได้เรียนรู้จักความรักจากใครคนหนึ่งซึ่งเป็นดั่งเทวทูตองค์น้อยจากสวรรค์ในช่วงเวลาอันแสนสั้น

     

    ลมอ่อนจากหน้าต่างปะทะกับข้างแก้ม แทะเล็มรอยถลอกจนรู้สึกเย็นวาบทั่วทั้งใบหน้า...

     

    บนรอยย่นยู่ปรากฎเพียงกล้องฟิล์มตัวเก่าที่เขามอบให้กับโอเซฮุน แต่ไม่มีเจ้าของของมัน

     

    ทั้งที่พยายามจะเข้มแข็งแต่น้ำตาก็ยังไหลลงมาอาบแก้ม สัมผัสความเย็นวาบเมื่อสายลมระลอกใหม่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ตอกย้ำว่าตรงหน้าเป็นเพียงอากาศธาตุ หลงเหลือไว้เพียงภาพวันเก่าเบาบางที่พร้อมจะปลิวไปกับสายลมระลอกหลัง... อาจจางไปเมื่อเจอลมฝน หรือวนมาอีกครั้งพร้อมลมหนาว

     

    ลมเย็นหอบพัดเอาแผ่นกระดาษที่เขาปักหมุดไว้เหนือหัวเตียงให้ปลิวสะบัดเสียงดัง ดวงตาพร่ามัวเหลือบมองภาพที่ปรากฎอยู่ภายในนั้น ภาพวาดโครงหน้าเรียวสวยราวเทียบมาจากสัดส่วนทองในตำราเล่มโตของดาวินชี่ รอยยิ้มหวานที่ถ้าหากได้ลิ้มชิมคงหวานเหมือนกับน้ำผึ้งในไหของพูห์ ดวงตาซึ่งถูกใส่เงาให้สะท้อนเป็นประกายคล้ายดาวเหนือของนักเดินทาง

     

    จงอินแค่นยิ้ม เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองจ้องมองโอเซฮุนได้ละเอียดมากเพียงใด ทุกอิริยาบถ เขาจดจำได้แทบทุกอย่างที่เป็นโอเซฮุน ทุกท่วงท่า ทุกถ้อยคำ จำได้แม้แต่น้ำหนักของลมหายใจเข้าออกยามอีกคนซุกหลับอยู่ในอ้อมอกของเขา ทุกอย่างถูกบันทึกไว้เป็นภาพความทรงจำในสมอง บางส่วนปรากฎเป็นภาพร่างปึกใหญ่ที่เขาใช้เวลาทุกคืนในการวาดมันหน้าเตาผิง

     

    เขาไม่เคยหยุดประทับใจโอเซฮุน

     

    ลำกายสูงย่างตรงไปบนผืนเตียง ทิ้งร่างกายอ่อนเปลี้ยลงบนฟูกนอนให้ยุบยวบลงไป กล้องถ่ายภาพอันเก่าถูกจับขึ้นมาวางบนหน้าตัก ลูกศรข้างช่องนับจำนวนภาพชี้ระบุจำนวนภาพที่เหลือเพียงหนึ่งใบก็จะเต็มฟิล์ม จงอินจับตัวกล้องขึ้นมาแนบใบหน้าแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เล็งหน้ากล้องไปยังหมอนที่วางเคียงกันบนฟูกนอน

     

    ชัตเตอร์ลั่นดังสนั่น แผ่นฟิล์มเคลื่อนไปจนสุดม้วน

     

    เขาลดกล้องลงมาเพื่อกดกรอฟิล์ม ภาพยังคงพร่ามัว ม่านน้ำตาไม่ได้จางหายไปเหมือนกับที่เบื้องหน้าของเขายังคงเป็นความว่างเปล่าที่ไม่ได้คาดหวังไว้ หมอนสองใบยังวางเคียงคู่กันทั้งที่คืนนี้จะมีเพียงเขาที่นอนลำพังบนผืนฟูกนิ่มนี้

     

    เสียงกรอฟิล์มสิ้นสุดลง

     

    แล้วทำไมน้ำตายังไหลอยู่...
     

    - - - 

    8 July, 2014
    ใครเคยถ่ายกล้องฟิล์ม
    รู้สึกไหมว่าเวลากรอฟิล์มเสียงมันเศร้า
    แล้วพอเปลี่ยนฟิล์มม้วนใหม่ ก็จะคิดถึงม้วนเก่าเสมอ
    เราแค่รู้สึกแบบนั้นเลยจบตอนนี้ด้วยเสียงกรอฟิล์ม


    5 July, 2014
    ที่จริงมิวส์เป็นเทพีแห่งศิลปศาสตร์อ่ะนะ (ตัวอักษร/ภาษา)
    แต่ศิลปินบางคนก็นับถือเหมือนกัน เขาเชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×