ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Winter's Killer

    ลำดับตอนที่ #8 : .winter's killer {seventh}

    • อัปเดตล่าสุด 9 เม.ย. 55


            

       - seventh

              โจวคยูฮยอนรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนฝ่ามือใหญ่ที่กำชายเสื้อโค้ทตัวยาวเอาไว้แน่นตบลงบนใบหน้าของเขา ชาวาบที่ข้างแก้ม... แม้เป็นเพียงความรู้สึกที่มะโนขึ้นแต่มันช่างเหมือนจริงเสียเหลือเกิน หางตาหวานตวัดขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าคมที่โผล่พ้นออกมา เสี้ยวใบหน้าของคนที่เขาไม่เคยหลอกตัวเองได้เสียทีว่าไม่รัก... และแม้ว่าจะเป็นคำสั่งจากพระเจ้า คยูฮยอนก็มิอาจถอนใจขึ้นมาจากหลุมพรางของชเวซีวอนได้เลย

                “ได้สิ... ฉันจะปล่อยฮยอกแจ” ชองยุนโฮใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำของตนเองต่างข้อตกลง ฝ่ามือกร้านของนักฆ่าหมายเลข 342 คลายออกเมื่อเห็นว่าซีวอนลดกระบอกปืนของตนเองลงเพื่อใช้มืออีกข้างแก้มัดเชือกของทงเฮ คยูฮยอนขยับสายตาเลื่อนลงมามองที่ใบหน้าของญาติที่แสนจะเดียดฉันท์ แววตาของทงเฮที่ทอดมองมาทางเขาส่งเสียงหัวเราะร้ายกาจที่กดไม่ลง

                “น่าสงสาร...”

                “...”

                “หรือควรจะสมเพช... ในความรักของแกดีหล่ะ ?” จียงค่อนแคะประโยคเมื่อครู่ผ่านเสียงกระซิบที่ตั้งใจให้ได้ยินเพียงแค่สองคน คนที่ตกอยู่ใต้อาณัติได้แต่หลุบสายตาของตนเองกลับมามองที่พื้น คยูฮยอนอยากจะยกมือขึ้นปาดคราบน้ำใสที่กลิ้งตกลงไปตรงบริเวณหางตาของตัวเองในขณะนี้... แต่แค่บังคับลมหายใจให้ปกติยังทำไม่ได้ นับประสาอะไรกับที่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเองให้เป็นปกติหล่ะ

                ซีวอนยังคงกำข้อแขนของทงเฮไว้แน่น เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่มองไปทางโจวคยูฮยอน เพื่อไม่ให้หัวใจของเขาต้องฟ่อลงไปมากกว่านี้แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยากแสนยากเหลือเกินที่จะหักสายตาของตัวเองกลับมาจากใบหน้าหวานก้มต่ำที่กำลังสะอื้นจนไหล่สั่น...

    หากเลือกได้ เขาไม่อยากตัดสินใจผิดซ้ำสอง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่
    ความรักมีแต่จะยิ่งหนีไปมากเท่านั้น

              รู้สึกตัวอีกที ซีวอนก็พบว่าตัวเองกำลังนอนขดอยู่ฟูกนอนหนาในห้องที่ตลบไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ ความคับแคบของสถานที่ทำให้เขารู้สึกหายใจได้ไม่เต็มปอดนัก ครั้นเมื่อพยายามพลิกตัวไปมาเพื่อมองสภาพรอบตัว บาดแผลจากกระสุนเหล็กก็ฉุดรั้งให้ซีวอนต้องยอมทิ้งตัวลงอีกครั้ง... อย่างน้อยหวังเพียงความเจ็บเหล่านี้ ทุเลาลงบ้างก็ยังดี

              “สะใจหรือยังครับ...” เสียงนุ่มละมุนของคนที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ดังขึ้นจากข้างหลัง ดวงตาคมมองเงาของอีกคนที่เคลื่อนกรายเข้ามาจนแทบจะชิดอยู่กับแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตาหนักอึ้งของตนเองลงไปอีกครั้ง นอกจากจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดรวดร้าวที่บาดแผลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชเวซีวอนต้องอดทน เห็นทีจะเป็นความเจ็บปวดในอกที่รุมเร้าจนเขาไม่รู้จะต้องทำอย่างไรกับมันดี...

              “...”

              “...พอใจคุณแล้วหรือยังครับ...” ร่างที่ขยับกายลงมานั่งอยู่บนฟูกนอนเดียวกัน จับหัวไหล่หนาที่หันตะแคงออก ไม่ยอมสบกับดวงตาของเขา คยูฮยอนเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อเห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความปวดหน่วงเพราะบาดแผลที่ต้นแขนข้างที่เขาออกแรงกระชากเพื่อตั้งใจให้อีกคนต้องทรมาน แต่สำหรับคนอย่างชเวซีวอน บาดแผลแค่นี้มันเป็นเพียงแค่ขามดสะกิดเท่านั้นแหละ เพราะสิ่งที่ทำให้น้ำตาของเขาไหลลงมา เห็นทีจะเป็นใบหน้าเจ็บปวดของคยูฮยอนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงอยู่ต่างหาก

              “ยัง...”ซีวอนแค่นยิ้มของตนเองออกมา พยายามทำใจให้แข็ง ฝืนเปิดเลือกตาของตัวเองขึ้นมามองสบกับดวงตาเรียวหวานที่จรดจ้องมาทางเขา ต่อสู้กับม่านน้ำตาที่ก่อตัวขึ้นในเบ้าตาของตนเองแล้วยกแขนอีกข้างที่ปราศจากความเจ็บปวดขึ้นมาแตะลงที่ข้างแก้มเนียนนุ่ม

              “จะพอใจ... ก็ต่อเมื่อโจวคยูฮยอนหยุดร้องไห้...”

     

     

     

     

              คยูฮยอนหมุนด้ามปากกาที่อยู่ในมือซ้ำไปซ้ำมา หัวสมองยังคงทบทวนเพียงแต่ใบหน้าคมเข้มของชเวซีวอนจนมันกลายเป็นภาพติดตาที่แม้ขยับเปลือกตาเป็นจังหวะถี่ ก็ไม่อาจขับมันให้จางหายลงไปได้แม้ซักนิด บทสนทนาเมื่อครู่ก้องกังวานอยู่ในหัวสมอง ทุกคำพูดที่เปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทำให้คยูฮยอนได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด

              “คุณคยูฮยอนครับ...”

              “...” ไม่มีเสียงขานรับเหมือนเช่นเคย ร่างยางทำเพียงแค่ช้อนตาขึ้นมาจากปากกาด้ามเงินในมือเพื่อมองร่างสูงของผู้มาเยือน ร่างใหญ่กำยำนั้นก้มลงโค้งให้ผู้เป็นนายตามมารยาท แล้วจึงเริ่มบทสนทนาที่ตระเตรียมมา

              “คุณซีวอนบอกว่าอยากพบครับ” คยูฮยอนเลิกคิ้วขึ้นมองใบหน้าตอบของชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้า คิ้วเข้มเลิกขึ้นเพราะความประหลาดใจปนกับความกังวล... ชเวซีวอนกับเขายังมีเหตุผลที่จะต้องคุยกันอีกเหรอ ?

              อย่างไรก็ตาม ร่างบางกลับเลือกที่จะพยักหน้าแล้วยอมดันตัวขึ้นจากเก้าอี้บุนวมสีดำตรงหน้าเพื่อเดินตรงไปยังห้องใต้ดินที่เขาเพิ่งจะขึ้นมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน คยูฮยอนใช้มือของตนเองยึดราวบันไดเอาไว้แน่นหนาเพื่อที่จะยืดระยะเวลาในการก้าวเดินลงไปเจอหน้าของใครอีกคน... ซึ่งเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าจะทนมองเสี้ยวใบหน้านั้นได้อีกครั้งหรือเปล่า

              ครั้นเมื่อก้าวลงมาจากบันไดขั้นสุดท้าย คยูฮยอนเป็นอันต้องสะดุด ชะงักไปกับภาพที่เห็นตรงหน้า... ห้องว่างเปล่าและเหล่าลูกน้องของเขากว่า 5 คนที่ถูกจับมานอนกองเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เชือกเส้นหนาที่มัดชเวซีวอนเอาไว้ขดเป็นวงกลมสวยงามอยู่รอบร่างของลูกน้องทั้งห้า กระนั้นมันยังไม่หัวเสียเท่ากับรอยดินสอที่เซ็นคาดเอาไว้บนกำแพงว่า... ควอน ซังอุน...

              “นี่มันอะไร !

              “คุณซีวอน... หนีไปละ...”

              “กูเห็น ! แล้วพวกมึงทำไมปล่อยให้มันหนีไปได้ห้ะ ? โง่ที่สุด... ให้ตายเถอะ !” ร่างบางตะหวาดเสียงดังก้องเสียจนเหล่าลูกน้องที่ยืนซ้อนหน้าซ้อนหลังต่างพากันขนลุกชันและต้องก้าวขาออกห่างจากร่างบอบบางซึ่งแผดเสียงตะคอกด้วยความโมโหโกรธาจนตัวโก่งงอ

              “คือ... คุณคนนั้นไม่ใช่คุณซีวอน...”

              “แล้วมันเป็นใคร !

              “ควอน...ครับ ควอน ซังอุน...” น้ำเสียงขาดห้วงเป็นพักๆ  กับคำพูดเพ้อเจ้อของลูกน้องทำให้คยูฮยอนอารมณ์เสีย หมัดที่กำทิ้งอยู่ข้างลำตัวถูกปล่อยใส่ลงกับกำแพงปูนสีเทาเข้มท่ามกลางสายตากว่าสิบคู่ที่เบิกโพล่งด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าเพียงแค่การหายตัวไปของชเวซีวอนหรือควอนซังอุน หรือใครสักคน จะทำให้คยูฮยอนหัวเสียได้ถึงเพียงนี้ และนั่นก็เหมารวมไปถึงอนาคตของพวกเขาด้วยเช่นกัน

              “จะซังอุน จะซีวอน... หมอนั่นก็ฆ่าโจวอินซองเหมือนกัน !!” ความชิงชังของคยูฮยอนที่มีต่อซีวอนเริ่มต้นขึ้นเมื่อโลหิตหยาดแรกหยดลงกระทบบนพื้นปูน...

     

     

     

     

     

     

     

     

                ชเวซีวอนขยับกายเหลียวไปมองโจวคยูฮยอนที่ยังคงก้มใบหน้าลงมองพื้นในขณะที่ทงเฮยังคงพยายามดิ้นกายเร่าเพื่อเรียกร้องให้เขาคลายกำลังแขนอันมากมหาศาลนี้ออกไปจากร่างของตนเองเสียที แต่ซีวอนก็เลือกที่จะไม่ให้คำตอบใด ๆ กับข้อแลกเปลี่ยนของชองยุนโฮ ควอนจียง หรือลีทงเฮผู้ถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดี... ซีวอนเลือกไม่ถูกระหว่างคนที่ตนเองรักหมดทั้งหัวใจ กับเพื่อที่ยืนเคียงข้างกันมาเสมอ

                “ซังอุน...”

                “หุบปากหน่า !

                “อย่าทำอะไรฮยอกแจ !!” ทันทีที่ยุนโฮขยับกระบอกปืนเข้าใกล้ขมับขาวปลั่งของร่างบางซึ่งคุกเข่าทรุดอยู่บนพื้น ซีวอนกรรโชกเสียงดังลั่นออกไปได้ก่อนที่ทงเฮจะพยายามยกแขนขึ้นห้ามเสียอีก ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยเหล่านั้นทำให้คยูฮยอนรู้สึกเหมือนโดยทำให้หายไปจากที่ตรงนี้... ปวดหน่วงไปทั่วอกจนไม่รู้แล้วว่าจะหายใจอย่างไรไม่ให้เจ็บ

                “...”

                “เอ้า ! เอาตัวทงเฮไป” คยูฮยอนสะอื้นเงียบ ๆ ในหัวใจเมื่อร่างสูงใหญ่ของครูศิลปะเมื่อครั้งก่อน สลัดแขนของตนเองที่รวบอยู่รอบร่างของทงเฮออก ญาติของเขากำลังเป็นอิสระและก้าวเท้าเดินไปตรงหน้าในขณะที่เขาได้แต่ก้มใบหน้าลงมองพื้นปูน แววตาว่างเปล่าของเขาอาจมิได้สะท้อนให้ใครเห็นแต่คยูฮยอนก็มั่นใจว่า สวรรค์บอกแล้ว... ว่าไม่มีใครเลือกเขาเลยแม้เพียงสักคน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ใครสักคนที่เจ็บปวด...
    มันก็ยังคงต้องเจ็บอยู่วันยันค่ำ

              คยูฮยอนหยุดฝ่าเท้าของตนเองลงตรงหน้าตรอกแคบที่เขาไม่ได้แวะเวียนมาร่วมเดือนด้วยความรู้สึกที่เย็นเยือก ใกล้จะเข้าหน้าร้อนแล้ว จึงไม่มีหิมะตกลงมาให้ได้เห็นตามถนนเหมือนเช่นเคย แดดในช่วงกลางวันเริ่มแผ่ไอร้อนมากกว่าที่เป็นอยู่ปกติ แต่ร่างบางก็ยังคงสามารถอดทนกับรังสีของมันได้โดยไม่ต้องมีอะไรมาคลุมกายเพิ่มเติม คยูฮยอนก้าวขาตรงไปข้างหน้าเพื่อจะได้พาตัวเองไปหยุดอยู่หน้าบานประตูใหญ่ที่เป็นเพียงแค่แผ่นสังกะสีเก่าราคาถูก... รอยผุของมันเพิ่มมากขึ้นไปตามกาลเวลา

              “ขอโทษนะครับ...”

              “ครับ...”

              “เอ่อ.. มาหาซังอุนเหรอครับ ?” ชายร่างบางเอนคอมองเขาด้วยความสงสัย ผมสีน้ำตาลทองที่ช่างดูดีและเขากับผิวสีใสที่เปล่งปลั่งทำให้คยูฮยอนรู้สึกชาวาบไปตามลำตัวของตนเอง เขากระพริบตามองผู้ชายร่างเล็กตรงหน้าสองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจคลี่รอยยิ้มออกมาบาง ๆ ตามมารยาทของการพบปะผู้คนบนท้องถนน

              “อ่อ... เปล่าหรอกครับ แค่รู้สึกคุ้นหน่ะ”

              “ครับ ?”

              “อ่า ช่างเถอะ...” ฝ่ามือบางขาวซีดยกขึ้นมาเกาหัวแก้เก้อ ฮยอกแจเบนสายตามองคนแปลกหน้าด้วยแววตาที่เริ่มจะไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก หากแต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าการโหวกเหวกโวยวายจะไม่ช่วยให้เขาปลอดภัย

              “ถ้าอย่างนั้น ผมขอทางเข้าหน่อยนะครับ”

              “ครับ... เชิญ” คยูฮยอนยอมถอยห่างออกมาจากบานประตูนั้น แล้วแสร้งทำเป็นก้าวขาออกในขณะที่ร่างเล็กดันแผ่นสังกะสีนั้นออกเพื่อย่างเท้าก้าวเข้าไปด้านในที่พำนักของตน บานประตูที่แง้มออกมาเมื่อห้องนั้นเผชิญแสงสว่าง ภายในยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแป้นหมุนที่เขาเคยถีบ หรือชั้นวางหนังสือที่เห็นเป็นประจำ ผ้ากันเปื้อนที่เขาเคยใส่ยังคงแชวนเอาไว้ที่เดิม ทุกอย่างเหมือนเดิมเว้นแต่ฟูกนอนที่อยู่ในซอก.... แม้จะมองลอดเข้าไปได้ไม่ชัดนักแต่คยูฮยอนก็มั่นใจว่ามันใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

              ขาเรียวก้าวหลบไปยังซอกตึกคร่ำครึเพื่อซ่อนกายบดบังจากเจ้าของบ้านหลังเมื่อครู่และคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่เรื่อย เครื่องมือสื่อสารขนาดพอดีมือยกขึ้นแนบอยู่ที่ข้างใบหูหลังจากที่นิ้วเรียวได้ทำการกดเบอร์ของคนปลายสายเรียบร้อยแล้ว เสียงสัญญาณรอสายกำลังบอกให้คยูฮยอนใจเย็นลงมากกว่านี้

              “...ทงเฮเหรอ ?”

              (มีอะไรหรือเปล่าครับคุณโจวคยูฮยอน)

              “มีเรื่องอยากให้แกช่วยหน่อยหว่ะ...”

              (ว่ามาเลยครับ คุณน้องที่รัก)

              “กูเจอคนที่ฆ่าพ่อแล้ว... กูอยากให้มึงช่วย ล่อเขาออกมาให้หน่อย”

              (อาฮะ... )

              “เดี๋ยวเราเจอกันที่ร้านเดิม แล้วกูจะเล่ารายละเอียดให้มึงฟังอีกที”

              (โอเคครับ...)

    สายโทรศัพท์ถูกตัดทิ้งไป เสียงสัญญาณที่ขาดหายไปอย่างฉับพลันบอกคยูฮยอนให้รู้ว่าทงเฮเองก็กระตือรือร้นกับงานครั้งนี้เช่นกัน นึกดีใจเสียจนปี่ยมอกเมื่อนึกว่าการทำงานของเขากำลังจะจบลงแล้ว หากแต่อีกใจหนึ่ง คยูฮยอนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงอยากจะกำจัดผู้ชายร่างเล็กคนนั้นออกไปเสียเหลือเกิน...

     

     

     

     

     

    ถ้าหากมันตั้งใจ
    แล้วจะเรียกอะไรว่าความบังเอิญ

    “เฮ้ย !

    “โอ๊ะ ! ขอโทษครับ...” ชายตัวขาวในเสื้อยืดสีส้มชาเย็นเงยหน้าขึ้นกล่าวคำขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่เมื่อเห็นว่าผลไม้ที่อยู่ในถุงกระดาษของผู้ชายตรงหน้ากำลังกลิ้งหลุน ๆ ตกลงพื้นเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด ฮยอกแจหน้าเจื่อนในขณะที่ตนเองก็พยายามย่อตัวลงเก็บของสดเหล่านั้นด้วยท่าทางเก้ๆกังๆเพราะสัมภาระที่อยู่ในมือของเขาเองก็ใช่ว่าจะน้อยเสียที่ไหน

    “ผมขอโทษจริง ๆ นะครับ... ผมมองไม่เห็นทางเลย” หลังจากที่ข้าวของถูกเก็บขึ้นมาใหม่เรียบร้อย(และถึงแม้ว่าบางอย่างจะช้ำจนเกินเยียวยาไปแล้วก็เถอะ) ฮยอกแจก็รีบค้อมตัวก้มหัวขอโทษขอโพยผู้ชายตรงหน้าเป็นการใหญ่อีกครั้งจนลีทงเฮอดที่จะยิ้มให้กับท่าทางน่ารักแบบนั้นไม้ได้

    “ไม่เป็นไรครับ.. มันเป็นอุบัติเหตุ ผมเข้าใจ” ทงเฮคลี่รอยยิ้มออกมาเพื่อยืนยันคำว่า ไม่เป็นไร ของตนเองให้หนักแน่นขึ้น แต่ดูเหมือนว่าคนตัวบางร่างขาวจะยังไม่ซึ้งถึงเจตนาดังกล่าวเท่าไหร่ ให้ตายยังไงฮยอกแจก็ยังคงพยายามก้มหัวขอโทษเขาไปเรื่อย จนเขาเองต้องเอื้อมมือออกไปจับหัวไหล่บางให้หยุดขยับได้แล้ว... ฮยอกแจเวลาเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาโต้ง ๆ แบบนี้น่ารักกว่าเยอะนะ

    “อ่า เอาเป็นว่าผมจะจ่ายให้แล้วกันนะครับ...”

    “ไม่ต้องหรอกครับ”

    “อ่า...”

    “แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยหน่ะสิ....”

     

     

    ฮยอกแจกำลังรู้สึกตัวเกร็งเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมานั่งอยู่ในร้านอาหารธรรมดากับผู้ชายที่ใช้กระเป๋าสตางค์หลุยส์... ร่างบางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่เมื่อเห็นว่าบนร่างทั้งร่างของผู้ชายที่ชื่อว่าลีทงเฮเต็มไปด้วยของแบรนด์เนมราคาแพงที่ชาตินี้ให้เขาเก็บตังค์ก็ไม่มีทางซื้อได้ครบเซ็ตแบบคุณทงเฮแน่ ๆ หล่ะ โอ่ย... ลีฮยอกแจช่างเป็นคนที่ซวยแบบทำลายล้างโลกจริง ๆ

    “ฮยอกแจเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?” หลังจากเพิ่งจะแนะนำชื่อเสียงเรียงนามกันอย่างเป็นทางการ พร้อมกับซดราเม็งลงท้องไปได้สองถึงสามอึก ลีทงเฮเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าผู้ร่วมโต๊ะนามสกุลเดียวกันดูเหมือนจะมีสีหน้าวิตกกังวลราวกับแบกภูเขาไว้บนอกและท่าทีที่เกร็งแสนเกร็งนั่นช่างดูขัดหูขัดตาเขาเสียเหลือเกิน

    “อ๋อ.. เปล่าหรอกครับ” ฮยอกแจเอ่ยตอบกลับไปอย่างสุภาพ แล้วยกตะเกียบที่คีบเส้นราเม็งเข้าไว้ขึ้นมาใส่ริมฝีปาก ในเมื่อปล่อยให้นั่งนิ่ง ๆ แล้วฮยอกแจจะเกร็งและไม่กล้าพูดอะไร ทงเฮก็เลยอาสาเป็นคนชวนคุยไปก่อน เผื่อว่าร่างบางจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

    และจากการสนทนาเรื่อยเปื่อยที่กินเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมง ทงเฮพบว่าฮยอกแจเป็นคนที่พูดเก่งเอามาก ๆ เพียงแต่ต้องรอคอยการสะกิดต่อมจากคู่สนทนาก็เท่านั้น เพราะจวบจนกระทั่งตอนนี้ แม้จะออกมาจากร้านอาหารแล้ว อีฮยอกแจก็ยังคงชวนเขาเดินย่อยแล้วก็เล่าเรื่องนู่นนี่นั่นให้ฟังเต็มไปหมด

    “ฮัลโหล... อ่า... จริงด้วยเราลืมไปเลย... ได้สิ เดี๋ยวฮยอกแจจะรีบไปหาซังอุนเดี๋ยวนี้เลย... โอเคครับผ้ม !” เครื่องมือสื่อสารราคาถูกสอดเก็บเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้มให้กับคู่สนทนาด้วยใบหน้าที่มองยังไงก็ดูออกว่าคงจะเสียดายที่จะต้องขอตัวกลับก่อน... ซึ่งทงเฮก็เข้าใจสายตาแบบนั้นดี

    “กลับเถอะครับ ถ้าฮยอกแจติดธุระ”

    “อ่า ผมต้องขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวเพื่อนจะรอนาน”

    “ครับ หวังว่าเราคงได้เจอกันอีก”

    “ฮะๆ... ผมก็หวังอย่างนั้นนะครับ”

    “คงจะไม่ว่าอะไรถ้าผมจะบอกว่าคุณ... น่ารักดี”

    “...” ฮยอกแจเพียงแต่ส่งสายตาอ้ำอึ้งกับใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความเขินอายเป็นคำตอบออกไปสำหรับทงเฮ ร่างบางพรูลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกตึงไปทั้งร่างเหมือนถูกตอบตะปูไม่ให้ก้าวขยับไปไหน ทงเฮส่งรอยยิ้มบริสุทธิ์กลับมาเหมือนจะรอคำตอบบางอย่างอยู่ คำตอบที่ฮยอกแจเองยังฟังคำถามไม่ถนัดเลยหน่ะสิ

    “อันที่จริง... ถ้าคุณทงเฮไม่รังเกียจ เรา...แลกเบอร์กันได้ไหมครับ” ร่างบางเกาหัวแก้เก้อก่อนแล้วพยายามหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางรอยยิ้มที่ชวนให้ใจเต้นของลีทงเฮ

     

    __________Winter Killer_________

    ตอนหน้าคงต้องจบแล้ว.. 55555555555555
    กระจ่างแล้วนะคะ สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมคยูฮยอนถึงรู้ชื่อจริงของวอน

    SUMMER KILLER ไม่ได้เป็นภาคต่อของเรื่องนี้นะคะ
    แยกกันโดยสิ้นเชิงเลย (:

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×