ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu storage }

    ลำดับตอนที่ #8 : The Rescuer

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 58


    { The Rescuer }

    Super Junior / Siwon x Kyuhyun / G / 17181 WORDS

     

    NOTE MOVIE : THE IMITATION GAME (2014) 
     

     

     

    ท้ายที่สุดจะมีหนึ่งอ้อมกอด

    โอบเราไว้แม้ว่าเราจะไม่รู้จักวิธีกอดก็ตาม

     

     

    นิสัยเสียที่แก้ไม่หายคือเมื่อเจอเพลงที่ชอบแล้วก็จะเอาแต่ฟังมันอยู่เช่นนั้น บางทีก็ถึงขั้นตั้ง Repeat Song เอาไว้เพื่อจะฟังมันให้ได้หลายรอบมากที่สุด นั่นทำให้ผมมักโดนเพื่อนด่าเสมอเมื่อต้องแชร์หูฟังขณะนั่งรถกลับบ้าน ส่วนเพื่อนที่ว่าคนนั้นก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมมีสมัยเรียนในโรงเรียนประจำซึ่งโด่งดังเรื่องคณิตศาสตร์

    เรียนมาในโรงเรียนที่โด่งดังเรื่องคณิตศาสตร์ทั้งที่ผมบวกเลขได้ช้ากว่าแม่ค้าขายอาหารสำเร็จรูปตรงหน้าตลาดเสียอีก แต่อาจารย์ใหญ่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในเมื่อผมสามารถแก้โจทย์สมการหรือถอดรหัสของเครื่องส่งสัญญาณที่ซับซ้อนที่สุดในโลกได้ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาในการเข้าเรียนที่นี่แล้ว ท่านย้ำเสมอว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเก่งหรือปราดเปรื่องในทุกด้าน อาจมีบางเรื่องที่เราไม่เก่งแต่ในอีกเรื่องเราเป็นที่หนึ่ง และถ้าหากคนๆหนึ่งจะรอบรู้ไปเสียทุกด้าน นั่นต่างหากที่เรียกว่า ความฉิบหาย อันแท้จริง

    ดังนั้นผมจึงปลอบใจตัวเองด้วยประโยคนี้ เพราะนอกจากบวกเลขไม่เก่งแล้ว ทักษะการเข้าสังคมของผมต่ำกว่าการบวกเลขเสียอีก

    ผมไม่มีเพื่อนเลยตั้งแต่มาเรียนที่นี่ แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครเข้ามากลั่นแกล้งเหมือนอย่างที่เห็นในภาพยนตร์รางวัลออสการ์หลายเรื่องไปจนถึงซีรี่ย์หลังข่าวที่แม่ทุกคนพยายามจะกีดกันลูกสาวลูกชายลูกกะเทยออกจากฉากตบจูบของคู่พระนาง ฉากร่วมรักกันในวันฝนพรำเมื่อบรรยากาศพาไป หรือฉากความเลวร้ายหดหู่นองเลือดของคดีฆาตกรรมไม่ก็สงคราม มีหลายอย่างเป็นเหตุผลให้พวกเราถูกกีดกันออกจากการดูเสพย์สื่อเหล่านี้ และเพราะแบบนั้นมันถึงสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับเด็กวัยเริ่มรุ่นอย่างพวกเรา... อย่างเช่นผมที่สามารถสร้างเครื่องรับสัญญาณขนาดย่อมเพื่อแอบดูฉากร่วมรักในครัวของซีรี่ย์เรื่องหนึ่งได้เมื่อตอนอายุเพียง 12 และสามารถดูมันจนจบเรื่องโดยที่แม่ไม่รู้

    ความแตกได้ทุเรศทุรังมากเมื่อบังเอิญแมวของป้าข้างบ้านกระโดดข้ามมาที่ระเบียงห้องของผม ความหวังดีของแม่คือการเปิดประตูเข้ามาในห้องและพบว่าห้องนอนของผมเต็มไปด้วยข้าวของละเมิดกฎหมายที่มากพอๆกับสิ่งประดิษฐ์ผิดจุดประสงค์ หลังมื้อเย็นของวันนั้นแม่กับพ่อจึงตกลงส่งผมเข้าโรงเรียนประจำเพื่อดัดนิสัย

    สิ่งที่เขาอยากดัดที่สุดไม่ใช่เรื่องเครื่องดักสัญญาณที่ผมสร้างหรือสารผสมที่สามารถใช้ละลายเหล็กได้ แต่เป็นความชอบที่อยู่ในจิตใจของผมต่างหาก

    ผมเป็นโฮโมเซ็กชวล ผมชอบผู้ชาย

    มันก็เป็นเรื่องตลกที่รัฐบาลยอมปล่อยหนังรังร่วมเพศออกมาให้พวกเราดูกันแต่กลับไม่มีกฎหมายรับรองกลุ่มคนที่มีรสนิยมเช่นนี้ ครั้งหนึ่งหลังการสิ้นสุดของสังคมโลกและแต่ละประเทศเฝ้าฟื้นฟูตัวเองจากผลกระทบของสงคราม ประเด็นเหล่านี้เป็นที่ถกเถียงอย่างอาจหาญ มีป้ายรณรงค์ติดไว้มากมาย ทุกตรอกทุกซอก มนุษยชาติเคยพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้และกฎหมายในบางประเทศก็ยอมรับพวกเขา บางประเทศปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้กระทำการรุนแรงเหมือนเมื่อก่อน อาจมีบ้างที่ศาสนายังคงไม่ยอมรับพวกเขาในตอนนั้น แต่การใช้ชีวิตก็ไม่ได้หลบซ่อนเหมือนกับที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หลังวิกฤตอาหารโลกถูกแก้ปัญหาด้วยแคปซูลสำเร็จรูปที่กรมวิทยาศาสตร์คิดค้นขึ้นมา ดูเหมือนว่าสื่อมีปากมีเสียงมากขึ้นในขณะที่พวกเรา มนุษย์ธรรมดา กลับไม่สามารถแสดงตนหรือพูดอะไรได้ตามความต้องการอีกต่อไป

    พวกเขาอ้างว่าโลกเปราะบางเกินกว่าจะรับมือแล้ว

    ผมจึงได้แต่ยักไหล่ และปล่อยให้มันเป็นไป ใจจริงก็อยากจะลองออกไปทำอะไรสักอย่างเพื่อยืนยันตัวตนกับสังคมเหมือนอย่าง Harvey Milk* แต่ก็พึงระลึกถึงคำพูดของอาจารย์ใหญ่ได้อีกว่าคนเราไม่ได้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง บวกกับคนอย่างเขาที่ลำพังจะอธิบายเรื่องอาการแพ้ไข่ขาวของตัวเองให้เพื่อนร่วมงานฟังยังใช้เวลาร่วม 20 นาทีกว่าเพื่อนคนนั้นจะเข้าใจว่าเขากินไข่ได้แต่แพ้ไข่ขาว (สาบานว่าผมจะไม่เสียเวลาพยายามอธิบายกับคุณแน่ต่อให้คุณสงสัยมากแค่ไหนก็ตาม) ดังนั้น เรื่องมีปากมีเสียงหรือถ่ายทอดอุดมการณ์ในสังคมหน่ะ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของคนแบบผมคนอื่นดีกว่า

    ส่วนตอนนี้ ผมมีหน้าที่คือไปตามนัดให้ทันก็พอ

     

    ตารางรถไฟบอกว่าเราจะถึงที่หมายในอีกสี่ชั่วโมงข้างหน้า การเดินทางออกนอกเมืองยังคงเป็นเรื่องหน้าตื่นเต้นสำหรับผมเสมอ และรถไฟก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น อาจเป็นเพราะความเฉื่อยจากแรกเสียดทานจำนวนมากและเสียงฉึกฉักของมันที่ช่วยทำให้รู้สึกว่าโลกหมุนช้าท่ามกลางค่านิยมความเร็วที่ดำเนินไปในโลกประแสหลัก สี่ชั่วโมงที่ว่านั่นหากเป็นเครื่องบินก็คงใช้เวลามากสุดเพียงชั่วโมงครึ่ง แต่ก็จะเป็นชั่วโมงครึ่งที่มองไม่เห็นทะเลสาบหรือป่าสน.. จะเป็นชั่วโมงครึ่งบนโลกเบื้องสูงที่เห็นเพียงสีฟ้าขาวเทากับแสงแดดแรงจ้าเท่านั้น

    คุณโจวคยูฮยอนนะคะ... ขออนุญาตเสิร์ฟอเมริกันเบรคฟาสต์ค่ะ" พนักงานสาวสวยในชุดบริกรเรียบหรูสีแดงเลือดนกโผล่มาจากด้านหลังพร้อมกับกลิ่นเนยหอมฉุย เธอส่งยิ้มแย้มอย่างสวยงามขณะวางจานกระเบื้องสีขาวลงบนโต๊ะไม้ที่กางตรึงเอาไว้เรียบร้อย หากเป็นเมื่อก่อนที่ฝั่งตรงข้ามเขาอาจจะมีใครสักคนนั่งอยู่แต่ก็อย่างที่ว่า ค่านิยมความเร็วทำให้ตั๋วเครื่องบินราคาถูกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่แปลกที่ปริมานคนขึ้นรถไฟจะน้อยลงสวนทางกับความเหงาของผู้เดินทางที่ต้องมองความว่างเปล่าของเบาะตรงข้ามอย่างเขาเป็นต้น

    จะว่าสบายก็ใช่ แต่การได้เห็นหน้าใครสักคนหรือได้พูดคุยถามไถ่สักสองสามประโยคย่อมอุ่นใจกว่าเป็นไหนๆ

                หูฟังถูกดึงออกมาทั้งสองข้าง เสียงเพลงที่เขาเปิดซ้ำวนไปวนมายุติลงเพราะอาหารในจานที่น่าพิสมัยกว่าเสียงกีตาร์และกลองชุด เขาชอบอเมริกันเบรคฟาสต์ทั้งที่ใครๆต่างบอกว่ามันเป็นอาหารขยะที่หาได้ในตอนเช้าตามโรงแรมทั่วไป ทุกครั้งที่ได้ยินความคิดเห็นเช่นนั้นเขาจะส่ายหน้า ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ และพูดปัดไปว่า บางทีมัฟฟินก็อร่อยดีเพื่อเลี่ยงจะบอกว่าตนเองโปรดปรานไข่ดาวคู่กับไส้กรอกและโทสต์แค่ไหน คนพวกนั้นคงจะเข้าไม่ถึงหรอกเวลาที่ได้เห็นซีเรียลถูกบรรจุเอาไว้ที่ก้นแก้ว รอเวลาที่นมไขมันเต็มสีขาวข้นเทราดลงไปเพื่อให้ธัญพืชอบกรอบดูดซับ แล้วเมื่อของคาวหมดลง กลิ่นของนมก็จะทำให้วันทั้งวันของเขาวิเศษที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ส่วนน้ำส้มเขามักเก็บเอาไว้ดื่มก่อนเข้าสอนคาบแรกตอนประมาณเก้าโมงเช้า

    ซึ่งรับรองได้เลยว่ามื้อนี้ก็ต้องจัดเต็มหน่อย เพราะปลายทางที่เขากำลังจะไปเยือน บ้านไม้ที่ชานเมืองหลังนั้นไม่นิยมทำอเมริกันเบรคฟาสต์สักเท่าไหร่ เจ้าของบ้านร่างสูงใหญ่ที่มากับกล้ามเนื้อสมส่วนนิยมบริโภคเนื้อเป็นหลักภายใต้คำอ้างที่ว่ามันจะทำให้ร่างกายที่สมบูรณ์จนเหมือนได้รับการสลักอย่างดีจากออกุสต์ รอแด็งนั้นสมบูรณ์เพิ่มขึ้นไปอีก และตอนได้เห็นแววตาคมกริบคู่นั้นกล่าวประโยคนี้ออกมาคยูฮยอนก็สามารถเข้าใจได้เลยว่าโรคนิยมความสมบูรณ์แบบนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยสักนิดเดียว

    คนที่เขากำลังจะไปหาคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยด่าทอเรื่องวิธีการฟังเพลงแบบประหลาดที่ได้เล่าเอาไว้ในตอนแรก แต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะขโมยหูฟังข้างซ้ายไปจากเขาเมื่อเราต้องนั่งรถกลับบ้านด้วยกันทั้งที่รู้ว่ามันจะทำให้ตัวเองหงุดหงิดมากก็ตาม

    ครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ใกล้กันมากโดยห่างเพียงแค่สามบล็อคเท่านั้น แต่หลังจากที่พ่อของเขาถูกเกณฑ์ให้เข้าไปทำวิจัยในห้องแล็บที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อพัฒนาอาหาร เขาก็หายไปจากสารระบบ หลายครั้งที่เผลอนึกว่าสูญเสียโจรขโมยหูฟังข้างซ้ายไปแล้วในวิกฤตอาหารที่ทำให้สงครามปะทุในแทบทุกทวีปของโลก แต่พอร้องไห้ไปได้ครึ่งทาง บุรุษไปรษณีย์ก็จะเอาโปสการ์ดรูปวัวมาส่งให้ที่บ้านทันเวลาทุกครั้ง ลายมือห่วยแตกเหมือนสมัยที่ยังเป็นนักเรียนช่วยซับน้ำตาได้ดีกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนไหนๆ คำว่าคิดถึงเสมอที่มุมซ้ายนั่นเองก็เช่นกัน

    มอบวันที่วิเศษได้ยิ่งกว่าเช้าที่มีอเมริกันเบรกฟาสต์ได้หลายเท่าตัว

    ชเวซีวอนคือชื่อของเขา ผู้ชายที่ตัวใหญ่กว่าใครเพื่อนในชั้นเรียนคนนั้นมักถูกล้อเลียนว่าเป็นตัวบิ๊กฟุ๊ตโง่งม ซีวอนอัจฉริยะเรื่องการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ดูเหมือนว่าเขาจะทำงานแกะสลักและงานปั้นได้ดีด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่เคยมีใครเข้าใจว่าทำไมเด็กชายตาคมคนนี้ถึงได้มาปรากฏตัวในโรงเรียนประจำที่ระบุแล้วว่ามุ่งพัฒนาให้เด็กเป็นนักคณิตศาสตร์ บางทีซีวอนอาจจะเป็นตัวอย่างของชนชั้นนำที่เลือกพวกของตัวเอง บางทีเขาอาจจะยัดเงินใต้โต๊ะเข้ามา หรือไม่บางทีเขาอาจจะมาสอบผิดที่ หรือไม่บางที--ถ้าความคิดนี้ไม่งมงายเกินไป

    พระเจ้าอาจจะกำหนดให้เรามาเจอกัน

    ไม่ค่อยมีใครอยากสุงสิงกับผมเท่าไหร่ เพราะเรื่องวิธีการอธิบายแบบเข้าใจยากนั่นแหละ แต่ชเวซีวอนกลับชอบมัน เขามักจะลากผมออกมาจากโรงอาหารตอนพักเที่ยงสองชั่วโมง เพื่อให้ไปที่สวนหลังโรงเรียน พาผมเดินดูดอกไม้แต่ละชนิดและพยายามให้ผมอธิบายความแตกต่างของมัน เขามักจะจ้องเขม็งคล้ายคาดคั้นคำตอบเวลาที่ผมนิ่งเงียบด้วยสับสนกับการเรียงประโยคคำพูด และเมื่อผมยอมแพ้ด้วยการสบถเสียงยานคางออกมาพร้อมก้มหน้าเขาก็จะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะรวบผมเข้าไปในอ้อมกอดแล้วร้องว่า พระเจ้าสิ พระเจ้า...

                ฉันชอบหน้านายตอนคิดอะไรไม่ออกจัง

                “ฮะๆ...

                คิดถึงคำพูดนี้แล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ทุกที เพราะครั้งหนึ่งผมเคยเข้าใจว่าเขาชอบให้ผมเป็นคนโง่ คำว่าคิดไม่ออกสำหรับผมมันหมายถึงการเป็นคนโง่ คนฉลาดหรือคนทั่วไปมักคิดออกเสมอ... และเพื่อรักษามิตรภาพของเราไว้ผมจึงสอบให้ตกในวิชาเลขพื้นฐานเพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นคนโง่ เย็นวันนั้นเรานั่งรถบัสกลับบ้านด้วยกันพร้อมกับผลสอบในกระเป๋า เขาไม่ได้แย่งหูฟังข้างซ้ายของผมเหมือนอย่างทุกครั้งแต่เขาแย่งมันทั้งสองข้าง ดวงตาคมกริบจ้องเขม็งมาทางผม แววสะท้อนในลูกปัดคู่นั้นคาดคั้นเสียยิ่งกว่าตอนรอฟังผมอธิบายเรื่องการทำงาของเกสรดอกหน้าวัวเสียอีก

                “นายไม่มีทางสอบตกเลขพื้นฐานนั่นหรอก"

                “...” ผมเม้มปากเอาไว้ทั้งที่อยากจะพยายามอธิบายว่าทั้งหมดนั่นมันเป็นเพราะอะไร แต่พระเจ้าสิ... ผมอธิบายไม่เก่งและเกรงว่าถ้าพูดอะไรออกไปมันจะแย่ลงกว่าเดิม

                “โดนแกล้งเหรอ? หรือใครทำอะไรนาย?”

                “...” ผมส่ายหัว ตอนนั้นรู้สึกได้ว่าคอตัน คล้ายจะร้องไห้ออกมา

                “คยูฮยอน! นายไม่ตกเลขขี้หมูขี้หมานั่นแน่! มันเกิดอะไรขึ้น!

                “...โง่...ฉัน...ฉันอยากโง่...มันเป็นคำที่ผมนึกขึ้นได้และเผลอพูดออกไปเพราะกลัวเสียงตะคอกของเขา หน้าของซีวอนตอนนั้นงงงวยเสียยิ่งกว่าครั้งล่าสุดที่เราเรียนเรื่องสมการเชิงเส้นสามตัวแปรประยุกต์เสียอีก

                “...อะไรนะ?”

                “ถ้าโง่...ถ้าโง่...เราก็จะเป็นเพื่อนกัน...ซีวอนจะเป็นเพื่อนผม...ถ้าผมโง่...

                “...”

                “ผม...ผมไม่อยากอยู่คนเดียว...

                มันเป็นตรรกะที่ห่วยมากและซีวอนก็ไม่เข้าใจมันจริงๆด้วย เขาทำหน้างงแต่ก็ยอมเลิกขู่กรรโชกเพราะรู้ว่าผมกลัวมาก เราทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเอาหูฟังข้างขวาใส่ให้ผม ข้างซ้ายให้ตัวเอง ฟังเพลงที่มันเปิดซ้ำอยู่เพลงเดียวไปตลอดระยะทางที่เหลือโดยที่เขาไม่ได้ด่าทอแต่กลับจับมือผมไปลูบเบาๆสองสามครั้งแล้วางทับไว้เช่นนั้นกระทั่งเราถึงบ้าน

                เราไม่ได้พูดเรื่องนั้นกันอีกแต่มันก็เป็นไปตามอย่างที่เราทั้งสองต้องการให้เป็น

                ผมไม่สอบตกอีกแล้ว ส่วนเขาก็อยู่เป็นเพื่อนผมไปจนกระทั่งวันจบการศึกษา

     

                ผมมาถึงชานชลาตามกำหนดการเดินทางสี่ชั่วโมงที่แจ้งเอาไว้ กระเป๋าสะพายถูกยกขึ้นไปไว้บนหลัง ขาทั้งสองข้างก้าวอย่างมั่นใจออกมาด้านนอกที่โล่งร้างผู้คน มันเป็นช่วงเที่ยงวัน เวลาซึ่งทุกคนต่างแยกย้ายไปหาสถานที่นั่งพักผ่อน ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ก็หลายปีมาแล้วและดูเหมือนว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวจากเมื่อครั้งก่อน ผมเดินมองหารถรับจ้างประจำทางแต่ยังไม่ทันก้าวไปเจอแดดด้านนอกก็มีแรงดึงจากด้านหลังรั้งผมเอาไว้

                “คุณโจวครับ...

                “...”

                “รถจอดทางนี้ครับ" ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ชายคนนั้นก็ผายมือไปอีกทาง ตอนแรกผมพยายามจะหาคำอธิบายแต่เมื่อเห็นป้ายที่อกด้านซ้ายของเขาก็ทำให้เลือกยิ้มตอบแล้วเดินไปตามปลายมือของเขาแทน

                ยานพาหนะเคลื่อนตัวอยู่ใต้ความเร็วที่กำหนดเอาไว้ วิ่งเลียบไปบนถนนยาวที่ทอดเรียงตัวไปตามหน้าผาติดทะเลอันเป็นสเน่ห์ของเมืองนี้ เมื่อสองสามปีก่อนมันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากแต่หลังจากมีคนไหลทะลักเข้ามาระลอกใหญ่ ตอนนี้มันก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง นั่นทำให้เขารู้สึกว่าโลกยุคนี้ขับเคลื่อนไปด้วยกระแสอะไรสักอย่าง เมื่อเข้มข้นขึ้นก็จะเข้มมากจนไม่มีอะไรมารองรับได้ไหวแต่พอมันเปลี่ยนทิศ เปลี่ยนเป้าหมาย ที่เดิมที่เคยเป็นทางไหลอันเชี่ยวกราดก็จะจืดจางไปราวกับไม่มีใครเคยมา ทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพังและคำจารึกว่าเมื่อวันวานสถานที่แห่งนี้เคยเป็นอย่างไร

                แล้วเมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัว ละติจูด ลองจิจูด ของโลกเปลี่ยนไป มันก็จะถูกกดทับเหมือนภูเขาที่จมอยู่ใต้ทะเล

                ซีวอนแต่งงานมาได้ระยะหนึ่งและสุดท้ายก็แยกอยู่กับภรรยาหัวก้าวหน้า เธอเป็นนักการเมืองที่ใครต่างก็รู้จักชื่อเสียงดี เขาเองก็รู้จักเธอเช่นกัน และมักจะสร้างความสนิทสนนกับเธอผ่านบทความทางวิทยาศาสตร์ที่ได้ตีพิมพ์ในนิตยาสาร ดูเหมือนว่าเธอจะชอบเขาแต่ในอีกมุมเธอก็ไม่ได้ชอบเขาหรอก ซึ่งข้อสรุปคืออะไรก็ไม่มีใครรู้ได้เพราะเขากับเธอยังไม่เคยได้คุยกันเลยสักครั้ง แม้แต่ในงานแต่งงาน เราก็ไม่ได้คุยกัน

                เพราะเขาไม่ได้ไปร่วมงาน

                ต่อให้คุณโง่จนไม่สามารถเข้าใจอะไรได้สักอย่างบนโลกนี้ หรือฉลาดปรุโปร่งจนกลายเป็นคนประเภทที่สามารถสัมผัสความฉิบหายอย่างแท้จริงได้ คุณก็คงจะมีสัญชาติญาณในการไม่ทำร้ายตัวเองทั้งนั้น... และการไปร่วมงานแต่งงานของคนที่เอาหัวใจของคุณไปทั้งดวงมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่คุณยอมรับได้หรอก จริงมั๊ย?

             ตอนนั้นผมจมปลักอยู่กับโลกของตัวเองจนไม่รู้ว่าจะหาทางไต่ขึ้นมาจากมันได้อย่างไร มีความสับสนเกิดขึ้นมากมายในจิตใจที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มกะลาหัวจากกรอบในสังคมที่ครอบทับเอาไว้อยู่ ผมรู้ตัวว่ารักเขาเอามากๆตอนที่การ์ดเชิญนั่นมาถึงบ้านและเพียงแค่รู้ว่าชเวซีวอนจะแต่งงานก็เหมือนโดนถีบให้ตกจากหน้าผา ดิ่งลงไปที่ก้นมหาสมุทรโดยที่ไม่สามารถพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดได้ กระนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้ผมหนักใจ เพราะสิ่งที่มันแย่ยิ่งไปกว่านั้นคือการพบว่าตัวเองไม่เคยเป็นอื่นไปได้เลยผมยังเป็นโฮโมเซ็กชวล-- ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในตัวผม แต่ในสังคมนี้กลับเปลี่ยน

                จากการกีดกันสู่บทลงโทษ

                จากตัวประหลาดสู่การกลายเป็นปีศาจ เป็นสิ่งชั่วร้าย

                “คุณซีวอนติดไปต้อนแกะที่เขาเลยมารับคุณคยูฮยอนไม่ได้ เขาหวังว่าจะไม่ทำให้คุณโกรธ" คนขับรถมองมายังเขาด้วยกระจกมองหลังขนาดเล็ก มันช่างเป็นความคิดที่โง่งมเสียเหลือเกินพิสูจน์ให้เห็นว่าต่อให้เวลาผ่านไปแค่ไหนชเวซีวอนก็ยังคงฉลาดน้อยอยู่ดี อะไรที่ทำให้ผู้ชายกำยำล่ำสันคนนั้นคิดว่าเขาจะโกรธได้ลงคอกัน มันไม่เคยมีเลยสักครั้งที่เขารู้สึกโกรธชเวซีวอนไม่ว่าเรื่องที่หมอนั่นทำจะผิดพลาดมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยมีความโกรธปะทุขึ้นมาในหัวของเขาสักครั้ง

                “ไม่หรอกครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องงานเยอะ"

            “ถ้าช่วงนี้ก็เป็นเรื่องปกติครับ เหมือนว่าฟาร์มของคุณซีวอนจะเป็นแห่งเดียวที่ไม่ตรวจพบโรคระบาด" ยานพาหนะจอดสนิทหลังจากหักเข้ามาภายในรั้วเหล็กที่แฝงเร้นอยู่หลังสุมทุมพุ่มไม้ฟูฟ่องสีเขียว "แต่ผมก็อยากให้คุณใส่มากส์ไว้ตอนต้องเดินผ่านเข้าไปอยู่ดีนะครับ"

            “ขอบคุณครับ" ผมรับหน้ากากอานามัยสีขาวมาสวมเอาไว้ระหว่างรอให้บานประตูเหล็กเลื่อนออกอัตโนมัติ รถเคลื่อนตัวเข้ามาภายในที่โอบล้อมเอาไว้ด้วยต้นสนที่จำได้เลือนลางว่าครั้งล่าสุดมันสูงเลยหัวของเขาไปเพียงไม่กี่ศอกเท่านั้น หากแต่บัดนี้ร่มเงาของมันสามารถบังตัวเขาได้มิดทั้งตัวและไม่ใช่เพียงแค่ต้นสนเท่านั้นแต่ต้นไม้อื่นๆก็ยังเติบโตสูงขึ้นมา บ้างก็ออกดอก บ้างก็ออกผล สีเขียวน้ำตาลเหล่านี้ยืนยันได้ชัดเจนว่าชเวซีวอนเก่งกาจเรื่องพืชพันธุ์การเกษตรมากแค่ไหน

                ท้ายที่สุดเขาก็สามารถเข้ามาถึงตัวบ้านด้านในที่มันไม่ได้โอ่โถงอลังการอย่างที่ใครต่อใครต่างจินตนาการเอาไว้ มันเป็นเพียงบ้านไม้ชั้นเดียวที่กินพื้นที่กว้าง ด้านข้างเป็นโรงจอดรถที่ถูกทำให้ดูเหมือนโรงนาแทน สารถีคนนั้นบอกให้เขาลงที่หน้าบ้านเพราะตนเองต้องอ้อมเอารถเข้าไปเก็บที่ด้านหลัง ซึ่งคยูฮยอนก็ทำตามอย่างรวดเร็ว เขารีบหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาแล้วตรงเข้าไปยืนในร่ม ครั้นเมื่อรถคันสีดำขับจากไปไม่เห็นควันแล้วจึงได้หันไปผลักบานประตูไม้ออก

                มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายเมื่อได้กลับมาที่นี่อีกครั้งหลังเอาแต่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว เขาไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าหัวใจของตัวเองเต้นอยู่ มันอาจจะเร็วเกินไปหรือไม่ก็ช้าเกินไป ยิ่งพอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตึกตักมาจากด้านหลังตู้หนังสือกับเงาตะครุ่มสูงใหญ่ โจวคยูฮยอนยิ่งไม่รู้ว่าจะควบคุมตัวเองให้พ้นจากอาการพวกนี้อย่างไร

                “เฮ้...

                “เฮ้...

                เราเอ่ยทักทายเหมือนทุกครั้งที่ทักกัน เขาส่งยิ้มกว้างมาทั้งที่ใบหน้ามีเหงื่อไหลย้อยลงมาจนถึงปลายคาง กระดุมเสื้อเชิ๊ตสองเม็ดบนหลุดออกจากรังเพราะต้องระบายความร้อนระอุที่แสดงให้เห็นชัดเจนผ่านความเปียกชื้นที่ซึมออกมาเหนือแผ่นอก เข็มขัดหนังถอดทิ้งครึ่งๆกลางๆมันกูไม่ค่อยเข้ากับกางเกงยีนส์ที่ถูกพับข้อเท้าขึ้นไปสักเท่าไหร่แต่โจวคยูฮยอนเชื่อว่าไม่ว่าชุดเสื้อผ้าแบบไหนเมื่อไปแปะอยู่บนร่างกายของชเวซีวอนแล้วก็ล้วนดูดีไปหมดนั่นแหละ เหมือนย่างที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าสภาพแบบคนที่เพิ่งกลับมาจากไร่ตรงหน้าจะทำให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเขาดูหล่อเหลาน้อยลง

               “ขอโทษที่ไม่ได้ไปรับ... ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อสองนาทีก่อนเอง" เสียงทุ้มอธิบายขณะก้าวเดินเข้ามาใกล้ผมที่ยืนนิ่งเป็นตอแต่หัวใจเต้นเหมือนกำลังแข่งควบม้า ครั้งล่าสุดที่รู้สึกแบบนี้ก็คงจะเป็นตอนที่เขาคำนวณตำแหน่งลงจอดและพลังงานรอบกลับให้กับยานอพอลโล่ 112 ที่แตะพื้นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสเมื่อครึ่งปีก่อนแต่ก็พูดได้อีกว่าครั้งนี้หัวใจเต้นแรงกว่าหลายเท่ามาก

                แน่นอนว่าอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกมนุษย์ย่อมมีผลกระทบอย่างแรงสูง

                “นายดูเปลี่ยนไปเยอะนะ"

                “...”

                “เห็นข่าวนายล่าสุดบนทีวีว่าทำงานร่วมกับขบวนการสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสก็อดคิดไม่ได้เลยว่านายจะขึ้นยานไปกับนักบินอวกาศพวกนั้น... ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคง--

               “หยุดพล่ามเถอะหน่า...ผมสะบัดกระเป๋าเป้ของตัวเองออกจากบ่าแล้วโผเข้าไปกอดเขา รู้ดีว่ามันเสียมารยาทมากที่จะไม่ฟังคำพูดเหล่านั้นให้จบเสียก่อน แต่ใครจะสนหล่ะ... ผมไม่ได้นั่งเรือต่อรถมาเพื่อฟังคำพูดคำจาพวกนี้เสียหน่อย สิ่งที่ทำให้ยอมมาที่นี่คือสองแขนที่อยากให้โอบกอดร่างที่มันใกล้จะหมดประโยชน์นี่ต่างหาก

                “ฉันคงคิดถึงนายมากๆเลย...แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดีว่ายังคิดถึงได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า...

               “ไม่มีทางอยู่แล้ว" ผมกระซิบอู้อี้อยู่กับแผงอกที่เปรียบต่างได้ดั่งกำแพงอิฐสูง โอบล้อมรอบตัวเอาไว้อย่างแนบชิดจนไม่เหลือร่องรูใดไว้ให้อากาศได้ผ่านเข้ามาด้วยซ้ำ "มากแค่ไหนก็ไม่มากเท่าเราหรอก"

                เดาได้ไม่ยาก ชเวซีวอนคงกำลังอมยิ้มจนแก้มปริ

     

              ซีวอนมักโอ้อวดเสมอว่าเนินเขาบริเวณสวนหลังบ้านของตนเองเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ที่มีความร้อนรุ่นดุจมรสุมไฟป่าท่ามกลางไม้แห้งกรังจะสิ้นฤทธิ์ในทุกช่วงเย็นของวัน กลับไปพักผ่อนหย่อนใจที่ในที่ใดสักแห่งและปรากฏขึ้นในตอนเช้า ซึ่งจากเนินดินที่ผมนั่งอยู่ก็อาจจะไม่ใช่จุดที่สังเกตสังกาอะไรได้ชัดเจนที่สุด ทว่ามันกลับสวยงามเมื่อได้เห็นว่าพระอาทิตย์ยามตาปรือใกล้หลับใหล แสงสีส้มที่เปล่งออกมาสว่างสุกใสเพียงใด

            เจ้าของคำโอ้อวดหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับขวดเบียร์ที่ผมไม่สามารถดื่มมันได้เกินหนึ่งกระป๋องสักครั้ง ในขณะที่เจ้าของฟาร์มร่างใหญ่กลับดื่มกินมันต่างน้ำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและแม้ว่าซีวอนจะรู้ความจริงข้อนั้นแต่เขาก็ยังยื่นมันให้กับผมโดยไม่ลืมเปิดกระป๋องให้พร้อมดื่มเสียด้วย

                “ใจนึงฉันก็อยากรู้ว่าลมอะไรหอบนายมาที่นี่กัน"

                “...”

                “แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันสำคัญอะไรเท่ากับที่เราได้มานั่งดูพระอาทิตย์ด้วยกันแบบนี้" ซีวอนหันหน้ากลับไปมองคนข้างกายที่ยังคงทอดดวงตาหยีเล็กไปเบื้องหน้าเพื่อรอดูการจากลาของแสงสุดท้ายแห่งวัน สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเค้นคำพูดในสมองออกมาอย่างหนัก ซึ่งเขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าโจวคยูฮยอนคงจะหนีอะไรมาสักอย่าง

                และมันก็ดีเหลือเกินที่เขายังเป็นสถานที่หลบภัยของนักคณิตศาสตร์คนนี้ได้เสมอ

                “ฉัน...ลี้ภัยหน่ะ"

                “ฮะ? ลี้ภัย? นายเป็นนักโทษทางการเมืองหรือไงถึงต้องใช้คำนั้น" กระป๋องเบียร์ยกขึ้นแตะริมฝีปากหลังเสียงหัวเราะถูกสบถออกมาด้วยนึกขบขันคำพูดที่ตนได้เมื่อสักครู่

                “...จะว่าอย่างนั้นก็คงถูก"

                “...”

                “ฉันเพิ่งประกาศตัวว่าเป็นโฮโมเซ็กชวลไปในบทความล่าสุด" คยูฮยอนยกเบียร์ขึ้นจิบ ลำคอของเขาออกจะตีบตันไปสักหน่อยเมื่อสิ่งที่กำลังพูดออกไปมันเท่ากับว่าเขาได้สารภาพบางอย่าง ได้ยกแผ่นหินที่มันแสนหนักอึ้งบนอกของตัวเองทิ้งสู่เบื้องล่างเหมือนที่อยากจะทำมาตลอดหลายปี

                “พระเจ้า... นายลี้ภัยจริงๆ"

                “...”

                “แต่ฉันก็พอจะมีตำแหน่งให้กับนักคณิตศาสตร์นะ...คำนวณรั้วล้อมแพะ หรือไม่ก็...วัดต้นสนอะไรพวกนี้ นายว่าโอเคไหมหล่ะ?” น้ำเสียงที่ไม่ค่อยจริงจังของซีวอนทำให้คยูฮยอนต้องหันตัวกลับไปมองเจ้าของฟาร์มหนุ่มทันที ร่างสูงเองก็มองสบเข้ามาในดวงตาเขาที่มันปรากฏคำถามมากมาย หากแต่เมื่อคยูฮยอนตัดสินใจจะเอ่ยถามกลับเป็นอีกฝ่ายที่เริ่มเปล่งเสียงพูดขัดออกมาก่อนเสียเอง

                “ฉันรู้มาตั้งแต่เราเรียนด้วยกันแล้ว คยูฮยอน"

                “...”

               “ตั้งแต่ตอนที่เรานั่งรถกลับบ้านด้วยกันทุกวันหยุด... เคยหวังว่านายจะพูดเรื่องนี้ออกมาสักครั้งแต่ดูเหมือนว่ามันจะถูกเหยียบเอาไว้ลึกมาก" ร่างสูงปล่อยกระป๋องเบียร์วางลงบนพื้นหญ้าเพื่อใช้มือทั้งสองข้างโอบประคองใบหน้าของผู้สารภาพเอาไว้ในอุ้งมือ "ซึ่งความจริงนายไม่ต้องกดมันลงไปลึกขนาดนั้นเลยด้วยซ้ำ"

             “...”

       “ฉันอยู่ข้างนายเสมอไม่ว่านายจะเป็นอะไรก็ตาม... ต่อให้นายสารภาพว่ามาจากดาวพลูโตฉันก็โอเคที่จะเป็นเพื่อนมนุษย์ของนายอยู่แล้ว" ซีวอนรั้งใบหน้าอีกคนเข้ามาแล้วกดจูบลงตรงกลางหน้าผากมน คล้ายจะย้ำคำพูดของตัวเองว่าเขาไม่เคยนึกรังเกียจอะไรสักอย่างที่โจวคยูฮยอนเลือกเป็นหรือถูกกำหนดให้เป็น

             “ฮึก..นายนี่มัน...

            “หล่อมาก... แน่นอนฉันรู้ตัวฉันดี" พูดเองก็ขำเอง หัวเราะออกมาขณะจ้องดวงตาฉ่ำน้ำของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าคยูฮยอนไม่ใช่คนประเภทร้องไห้ฟูมฟายออกมาดังนั้นซีวอนจึงไม่จำเป็นต้องปลอบโยนหรือเช็ดน้ำตาให้ สิ่งเดียวที่คยูฮยอนต้องการก็แค่ใครสักคนที่จะนั่งอยู่ข้างๆรับฟังความเงียบไปก็คำบ่นที่เจ้าตัวจะมอบให้เท่านั้น

               ซึ่งในเวลานี้คยูฮยอนก็คงกำลังมองหาใครสักคน

              ในเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ ซีวอนรู้ว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว บางครั้งเขาอดคิดไม่ได้ว่าการหมุนของโลกอาจมีส่วนเกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความวิบัติโกลาหลซึ่งหาคำอธิบายไม่ได้ปรากฎเพิ่มทุกวันจนเขาไม่อาจแน่ใจว่าดาวเคราะห์ดวงนี้ยังคงเป็นที่พักอาศัยของสิ่งมีชีวิตที่อ้างตนว่ายิ่งใหญ่เหนือสปีชีส์ใดจริงอยู่หรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยเห็นว่า มนุษย์ จะสูงส่งกว่าแกะในฟาร์มของตัวเองตรงไหนเลยด้วยซ้ำ

             เขาเห็นบทความล่าสุดของคยูฮยอนแล้ว มันไม่ใช่การประกาศตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง แต่เนื้อความในส่วนท้ายได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าความผิดปกติบางอย่างในตัวคุณจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณ เหมือนกับที่เขามีรสนิยมแตกต่าง นำมาซึ่งการได้พบเส้นทางเดินของชีวิตที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งไม่ต้องเดาให้ยากเลยว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไรในเมื่อส่วนก่อนหน้าก็ระบุชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังเขียนเรื่องกลุ่มคนรักเพศเดียวกันอยู่ ซีวอนไม่ได้สนใจว่าคณิตศาสตร์จะไปเชื่อมโยงอะไรกับเรื่องนี้ได้ เขาอ่านแล้วไม่เข้าใจหรอก เขาโง่ แต่เรื่องเดียวที่เขารู้คือ คยูฮยอนต้องการบ้านสักหลังที่อบอุ่นพอจะโอบอุ้มจิตวิญญาณที่ตกเป็นเป้าทำร้าย

              เขาจึงส่งโปสการ์ดไปเหมือนที่เคยทำ

              บอกคยูฮยอนว่าฟาร์มกว้างๆนี่ยังมีพื้นที่พอสำหรับใครอีกคน

             แต่พอเอาเข้าจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องของการลี้ภัยหรือว่าพักผ่อน ความจริงคือเขาเฝ้ารอให้โจวคยูฮยอนเดินทางมาที่นี่อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน เขารู้ดีว่าศาสตราจารย์คณิตศาสตร์หนุ่มกำลังไปได้สวยในอาชีพของตนแต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะงานแต่งงานของเขาหรือเปล่า เพราะหลังจากวันนั้นดูเหมือนการพบกันของเราก็จะยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ และมันทำให้เขากระวนกระวายใจเหลือเกิน

               แต่พอได้เอนตัวลงบนเนินเขาข้างกัน มองท้องฟ้าสีคล้ำหลังดวงอาทิตย์เอ่ยคำลา ความกระวนกระวายของเขาก็ดับลงไปเหมือนใครสักคนได้หยิบก้อนลาวาบนอกย้ายไปแช่ในตู้เย็น

               “ฉันพูดจริงเรื่องหาคนคำนวณรั้วแกะนะ" ซีวอนละสายตาออกมาจากท้องฟ้าเบื้องบนเพื่อมองอีกคนที่ทิ้งตัวนอนอยู่ข้างกาย

               “หืม...

              “อยู่ที่นี่เถอะ"

              “...”

             “นายจะมองที่นี่เป็นอะไรก็ได้...ค่ายผู้ลี้ภัย สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ฟาร์มแกะ หรือว่าบ้านใหม่ อะไรก็ได้ที่นายอยากจะคิด"

             “งั้นซีวอนมองเราเป็นอะไรหล่ะถ้าเราอยู่ที่นี่" คยูฮยอนละดวงดาวเอาไว้บนท้องฟ้า หันหน้ามาสบตากับซีวอนระหว่างรอคำตอบ

              “นายหน่ะเหรอ...

              “คนคำนวณรั้ว นักคณิตศาสตร์ตกอับ เด็กต้อนแกะ คนสวนรดน้ำต้นไม้ พ่อบ้านที่ทำกับข้าวไม่เป็น เกย์ลี้ภัย หรือว่าอะไร?”

                “ผู้ช่วยชีวิต" คยูฮยอนขมวดคิ้วในขณะที่อีกฝ่ายกลับยิ้มออกมา มือหนาเลื่อนลงไปกุมฝ่ามือเรียวเอาไว่ สอดนิ้วทั้งห้าประสานเข้าไปแล้วกุมค้างไว้เช่นนั้น ไม่มีการขยายความ ไม่มีคำอธิบาย ซีวอนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามแล้วมองดวงดาวที่ส่องแสงอยู่ด้านบนนั้นทั้งรอยยิ้มค้างอยู่บนริมฝีปาก

                ความทรงจำหนึ่งลอยแล่นเข้ามาในหัว คือตอนที่โดนเพื่อนแกล้งขังเอาไว้ในห้องเก็บของที่ชั้นสาม ตึกคณิตศาสตร์ มันเป็นห้องเดียวที่ไม่มีหน้าต่างเพราะการเก็บของไม่จำเป็นต้องระบายอากาศ อีกอย่างหากมีช่องทางเข้าถึงเยอะ ความเสี่ยงก็จะเยอะตาม ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมสามชั่วโมงในห้องแคบนั่นถึงทำให้เขาเกือบตายได้หากไม่มีใครคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาพอดี

                ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ แต่เขาคือรักแรกของผม

                และยังคงเป็นเช่นนั้นเสมอมา

     

               “เข้าไปในนั้นได้ยังไงกันนะ...คยูฮยอนพึมพัมกับตัวเองขณะที่อีกฝ่ายกำลังกระดกน้ำเย็นในขวดแบบรวดเดียวเจ็ดอึกใหญ่ ถอนขวดพลาสติกออกมาโกยอากาศเข้าปอด ส่งเสียงหายใจโฮกฮากราวกับคนที่ไม่เคยมีโอกาสได้หายใจมาก่อน เด็กหนุ่มอยากจะเอ่ยปรามแต่เขาก็นึกคำอะไรไม่ออก อาการสื่อสารไม่รู้เรื่องเหมือนจะทำงานหนักขึ้นเมื่อต้องอยู่กับคนแปลกหน้าที่ตนเองบังเอิญเข้าไปช่วยไว้ได้จากห้องเก็บของ

                ซีวอนเลียริมฝีปากก่อนจะกระดกน้ำลงไปในลำคออีกครั้ง ความมืดจากในห้องยังคงติดตา ดูเหมือนว่าจะยังหลอกหลอนเขาไปได้อีกหลายวันแน่นอน ไหนจะความกังวลกระสับกระส่ายที่มันยังไม่คลายลงไปเหล่านี้อีก รู้สึกไม่ต่างอะไรจากคนเป็นบ้า ไม่ก็นักโทษที่กำลังหนีคดีอะไรสักอย่างอยู่

                “ใจเย็นก่อน"

                “...”

                “ฉันหมายถึง...นายดูกลัวมาก...และมันจะไม่ดีเพราะยิ่งถ้าหัวใจเต้นเร็ว...เอ่อ...ไม่สิ ฉันหมายถึง...มันไม่ดีเลยถ้านายยังหันซ้ายหันขวา ความดันของนายมันจะ--

                “พระเจ้า... ไม่ได้นายฉันต้องตายอยู่ในนั้นแน่" เขาไม่ได้รอให้เพื่อนแปลกหน้าตัวบางพูดได้จบ ซีวอนโอบแขนรอบร่างนั้นแล้วรวบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นก่อนจะแนบใบหน้าของตัวเองไว้บนไหล่แคบๆ หัวใจที่เต้นรัวดูเหมือนจะสงบลงได้อย่างง่ายดายเมื่ออีกฝ่ายยกมือขึ้นตบเบาๆที่หลังเขา และทั้งที่เป็นฝ่ายพุ่งเข้าไปรวบอีกคนมากอดเอาไว้เสียแน่นแต่ตอนนี้ซีวอนกลับรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังได้รับอ้อมแขนอันอบอุ่นโอบอุ้มเอาไว้อย่างดี

                “นายไม่ได้ตายแล้วนี่นา...ตอนนี้นายต้องใจเย็นก่อน...

                “ฉันกลัว...ในนั้นมันมืด ฉันอยู่คนเดียวแบบนั้น...มันเหมือนนรกเลย"

                “นั่นมันตึกคณิตศาสตร์ ไม่ใช่นรกสักหน่อย" คยูฮยอนตบหลังอีกคนเบาๆแล้วเริ่มโคลงตัวซ้ายขวาเลียนแบบเวลาได้รับการปลอบโยนเมื่อโดนเพื่อนแกล้งหรือได้รับบาดเจ็บ "อีกอย่างตอนนี้...

                “...”

     

                นายก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนี่ไง...

     

    - - - - - -

    เขียนเรื่องนี้หลังดู The Immitation Game จบ

    บอกเลยว่าหนังดีมาก... ไปหาดูเลยนะ
    และยอมรับว่าได้เค้าโครงมาจากตัวหนังเยอะเหมือนกัน

     

    Harvey Milk เป็นนักการเมืองอเมริกันที่ประกาศตัวเลยว่าเป็นเกย์แล้วก็ได้รับการเลือกตั้งด้วย

    มีหนังเกี่ยวกับเขาด้วยเรื่อง Milk ส่วนตัวรู้สึกหนังค่อนข้างน่าเบื่อ

    แต่ถ้าใครชอบประวัติศาสตร์น่าจะดูได้

     

    เพลงประกอบชื่อ Work Song ของ Hozier

    คนนี้ร้องเพราะทุกเพลงเลยอ่ะ เราชอบมาก ติดหนักมาก

     

    หายไปนานมาก ยอมรับว่ามีปัญหาชีวิต

    และระหว่างนั้นแอบคิดว่าจะเลิกเขียนฟิคด้วย

    แต่ก็ตายรังหว่ะ แบบ พอกลับมาเขียนเรื่องนี้รู้สึกแป้นลั่นมาก

    เรารู้สึกได้ว่าเริ่มเปลี่ยนแนวอีกแล้ว เหมือนภาษาเริ่มปรับอีกครั้ง

    คิดถึงคนอ่านนะ จริงๆ คิดถึงสุดหัวใจเลย

     

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×