ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( kaihun ) Under the monument is empty .

    ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER FIVE

    • อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 59


    Under the monument is empty

    EXO / Kai x Sehun / PG17 / 4447 WORDS



    note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์

     

    V

     

    คริสนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมเพื่อจดจ่อกับเอกสารปึกใหญ่ตรงหน้ามาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็ม รู้สึกเหมือนความกดดันขึงเขาไว้ให้อยู่แต่ตรงนี้โดยมิอาจขยับหนีไปไหนได้ แม้แต่กลิ่นหอมของเมล็ดโกโก้อุ่นร้อนแก้วโปรดที่วางอยู่ข้างกัน บัดนี้ก็เปลี่ยนไปเย็นชืดโดยไม่พร่องไปสักนิด


    แผ่นกระดาษเบื้องหน้าเขา คือ แฟ้มประวัติของคนไข้คนสำคัญ คิมจงอิน อยู่ภายใต้การดูแลของเขามาตั้งแต่โลก Blue World ได้รับการสถาปนา หัวหน้าช่างซ่อมโดรนคนนี้พิเศษกว่าคนอื่นทั่วไปหลายเท่าตัวจนต้องจับตามองอย่างละเอียด


    ช่วงแรกจงอินป่วยออดแอด การผ่าตัด สร้างผลข้างเคียงมหาศาลจนเขาแทบไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะก้าวผ่านขั้นนั้นมาได้ แต่หลังจากทุกอย่างดำเนินไปตามกระบวนการของมัน หลังจากที่ทั้งเซลล์ปลูกถ่าย สารเคมี และโปรแกรมทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว คิมจงอิน ก็กลายเป็นหัวหน้าช่างซ่อมโดรนคนสมบูรณ์แบบ เป็นตัวอย่างของมนุษย์ Blue World ที่ถูกต้องทุกระเบียดนิ้ว


    ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ นักทดลอง หมอ หรืออะไรก็ตาม คริสควรดีใจกับประดิษฐกรรมนี้ ทว่าคืนนั้นเขากลับไม่เคยนึกภาคภูมิใจอะไรเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาสูง คิมจงอิน หรือความทรงจำในหัว

     

    คริสแลกจงอินกับชีวิตของอี้ชิง ทรยศเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตและผิดคำสัญญากับอาจารย์ เขารู้ว่าตัวเองผิด มันไม่ควรเป็นแบบนี้แต่ก็เช่นกัน คริสรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ คงต้องโทษพระเจ้าหรือใครสักคนที่ทำให้เขาสมองช้า คิดอะไรไม่ค่อยออกแต่ก็ต้องขอบคุณพระองค์อีกนั่นแหละที่ไม่เคยลบปลายทางออกไปจากหัวสมองของเขา


    แม้ว่าการหายตัวไปของโอเซฮุนจะทำให้ต้องเดินเรืออ้อมโลกอีกครั้งก็ตาม


    เสียงเคาะประตูห้องดึงความสนใจทั้งหมดของเขาออกไปจากปึกเอกสาร เสียงกลิ้งของเลขาหุ่นยนต์ประจำตัวที่คืบคลานเข้ามาพร้อมกับแฟ้มปกกำมะหยี่สีแดงเลือดนกทำให้เขาอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ หลังจากตามหามันมาได้ร่วมเดือน โชคดีที่พวกผู้ปกครองยอมไม่ทุบทำลายมันทิ้งไปเสีย


    เก่งมากมาร์ตินเขาเอ่ยชมมือขวาของตัวเองแล้วรับเอกสารปึกนั้นมาวางไว้บนโต๊ะเอาล่ะทีนี้บอกฉันทีว่านายยังไม่ทำความลับแตกแม้ถ้อยคำเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาอย่างกับเป็นเรื่องล้อเล่น แต่แท้จริงแล้วหัวใจของคริสเต้นตึกตักจนแทบหลุดออกมาจากอกขณะป้อนทั้งข้อมูลและคำสั่งลงไปในตัวหุ่นยนต์


    เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งโฮโลแกรมหรือข้อมูลอะไรของรัฐ แม้แต่คาดคั้นมันออกมาจากปากอี้ชิง


    ถาดบรรจุชิพอันจิ๋วเด้งออกมาจากด้านข้างของหุ่นยนต์ตัวน้อย คริสหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วป้อนเข้าไปกับคอมพิวเตอร์ กลิ่นตุบางอย่างทำให้เขาตะหงิดใจตั้งแต่การหายไปของคิมจงอินในช่องสัญญาณเมื่อหลายวันก่อน อย่างที่บอก จงอินไม่เคยคลาดสายตาเขาไปเลยสักครั้งไม่ว่าระบบจะล่มหรือไม่ล่ม อีกทั้งมันยังเป็นวันเดียวกับที่ยานขนส่งทำของร่วงกลางทางในเขตบาเรีย 483


    หวังว่ามันจะไม่สาวมาถึงเราสองคนได้นะร่างสูงกล่าวทั้งที่ดวงตายังไม่ถอนออกมาจากหน้าจอซึ่งปรากฎภาพเคลื่อนไหวที่สร้างทั้งความรู้สึกทั้งดีและร้ายให้ได้สัมผัสในเวลาเดียวกัน เขากรอวนมันอยู่สามสี่รอบก่อนจะก้มลงไปพูดกับหุ่นยนต์ของตัวเองอีกครั้งมาร์ติน แน่ใจนะว่าจัดการเรียบร้อยทุกอย่าง


    กริ๊ก กริ๊ก


    หุ่นตัวกลมส่งสัญญาณเขียวยืนยันคำตอบ เมื่อเห็นดังนั้นแพทย์หนุ่มจึงบ่ายหน้ากลับไปที่โต๊ะทำงาน เปิดแฟ้มกำมะหยี่สีแดงออกเผยให้เห็นแล็ปท็อปธรรมดาเครื่องหนึ่ีงที่มันยังคงใช้งานได้ดีอยู่แม้จะไม่มีขายให้เห็นตามท้องถนนแล้วก็ตาม ข้อมูลในชิพถูกถ่ายโอนลงสู่เครื่องมือคู่ใจอันเก่าของเขา ก่อนจะถูกบรรจุคำสั่งชุดใหม่เข้าไป


    คริสวางมันลงในถาดสีเงินอีกครั้ง เขารอให้มือขวาเครื่องกลของเขาทำประมวลผลมันอยู่สักพัก แล้วเมื่อไฟสีเขียวสว่างวาบขึ้นมา ระเบิดเวลาก็จุดติด


    ไปหาอี้ชิง ทำยังไงก็ได้ให้อี้ชิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้โอเคมั้ย?”


    กริ๊ก กริ๊ก


    โอ้ แล้วถ้ามีใครพยายามจะแงะนายหรือทำร้ายอี้ชิงล่ะก็ จัดการมันได้เต็มที่”


    x x x x x


    ท้องฟ้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้วตอนที่โดรนขับของจงอินลงจอด ชายหนุ่มก้าวเท้าอย่างระมัดระวังตรงไปที่กระโจมผ้า ส่งเสียงเรียกเซฮุนอยู่สองครั้งเจ้าของชื่อก็คลานขาชะโงกหน้าออกมาดูพร้อมกับรอยยิ้มบางๆที่แสดงออกชัดเจนว่าโล่งอกแค่ไหน



    “กินข้าวกัน” หัวหน้าช่างซ่อมโดรนว่าก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วฉายแสงของเครื่องขนส่ง ไม่นานเกินอึดใจถุงบรรจุของกินจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า



    มื้อเย็นของวันที่แสนวุ่นวายเป็นอาหารง่ายๆที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต จงอินตุนอาหารกระป๋องพวกนั้นมากมายราวกับอยู่ในภาวะสงคราม ขนมปังอบกรอบ ผักกระป๋อง หมูกรอบ หรืออะไรก็ตามที่แห้งพอจะเก็บเอาไว้ได้นานวันที่สุด



    "ช่วงหลังๆมานี้มีโครงการกินสะอาดอะไรสักอย่าง พวกผู้ปกครองพยายามจะไม่แปรรูปของกิน แต่ถ้าอากาศยังเป็นแบบนี้คงไม่มีขนมปังก้อนไหนอยู่ได้เกินวัน" เจ้าถิ่นเอ่ยขณะหยิบก้อนขนมปังขึ้นกัดควบไม่กับซุปกระป๋องเนื้อข้นยี่ห้อดัง ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกจะก่อตัวขึ้นเสียอีก

     

    "แปลกนะครับ ทั้งที่อากาศเป็นมลพิษแต่ที่นี่ก็ยัง เขียวได้ขนาดนี้... ผมหมายถึงต้นไม้เยอะน่ะ" เซฮุนเปลี่ยนคำเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของจงอินตอนที่ตัวเองพูดคำว่าเขียวออกมาเพื่อแทนบรรดาต้นไม้ทั้งหลาย



    "ที่นี่อยู่นอกเขตเมือง คงทุเลาจากมลพิษบ้าง จะว่าไปก็แปลกดีที่นายปรับตัวได้เร็วขนาดนี้ ฉันเคยได้ยินว่าคนจากโลกล่างพอขึ้นมาที่นี่ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะชิน ปอดของพวกเขามักจะมีปัญหา”



    “คนจากโลกล่างขึ้นมาที่นี่เหรอครับ?” เซฮุนมองด้วยความสงสัยแต่ก็ต้องพยักหน้าเมื่อนึกออกว่าเหตุผลอะไรที่นำคนกลุ่มนั้นขึ้นมา



    “หมายถึง... นักโทษน่ะ” สีหน้าเจื่อนลงไปของเซฮุนทำให้ชายเจ้าถิ่นเลือกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "ที่จริงต้นไม้พวกนี้ไม่ได้อยู่ในแผนที่ เป็นส่วนที่ตกสำรวจหรือไม่ก็พวกผู้ปกครองก็จงใจให้มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ทีแรก"



    “ถ้าอย่างนั้นคุณมาเจอที่นี่ได้ยังไงกัน?”



    "โดรนตก ตรงนั้นเลย..." ปลายนิ้วละออกจากก้อนขนมปังแล้วชี้ออกไปกลางสระน้ำ "พอพยายามจะส่งสัญญาณมันก็ขึ้นมาว่าอยู่นอกเขตสื่อสีร เลยตะเกียกตะกายขึ้นมานั่งอยู่ในนี้ โชคดีที่มีธัญพืชแท่งเหลือพอเลยรอดตาย แต่พอกับไปก็โดนถามใหญ่ ตอนนั้นหมอคิดว่าผมความจำหายไปหมดแล้วด้วยซ้ำ"



    "คุณชอบที่นี่?"



    "แน่นอน... ฉันชอบ มันแปลก นายก็รู้นี่ว่าฉันสะสมของแปลก" จงอินยิ้มแล้วกวาดสายตามองไปรอบความมืดที่ทิ้งสระน้ำกว้างกับทิวต้นไม้ให้เห็นเป็นเงาจาง "มันสบายดีเวลานายนอนจากตรงนี้แล้วมองออกไปเห็นเขียวๆของนายเต็มไปหมด เหมาะสำหรับการหยุดพัก"



    "จริงอย่างที่คุณว่า" เซฮุนมองและคิดตามสิ่งที่จงอินบอก แม้ความมืดจะทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ตลอดบ่ายวันนี้ก็มากพอสำหรับการซึมซับบรรยากาศทั้งหมด "ผมลองนั่งมองตรงนี้เมื่อตอนบ่าย มันให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเลย” เซฮุนไม่ปฏิเสธว่าเขาคิดถึงบ้านแม้จะไม่อาจเรียกโบสถ์ร้างกลางเขานั่นได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นบ้านของตัวเองนัก แต่เพื่อนๆที่เคยเติบโตมาด้วยกันก็เป็นเพียงครอบครัวเดียวที่เขามี



    "โลกล่างเป็นแบบนี้เหรอ?"



    "เปล่าหรอก" ใบหน้าหวานหันมาตอบคำถามชายหนุ่มทั้งรอยยิ้มฝืดเฝื่อน "มันแค่เคยเป็น"





    หลังจากทำความสะอาดภาชนะและจัดการขยะเรียบร้อย จงอินเดินกลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้ง ผู้มาเยือนต่างโลกยังคงวุ่นวายอยู่กับกองหนังสือจำนวนมากที่ตัวเองขอมา รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้จำเป็นอื่นๆในการประทังชีวิต กว่าครึ่งถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบบนชั้นแต่อีกจำนวนหนึ่งก็ยังคงกองเกะกะเป็นเหมือนเนินเขา



    "บางทีผมก็สงสัยว่าคุณไปหาพวกนี้มาจากไหนกัน?" เซฮุนเปิดบทสนทนาด้วยรอยยิ้มเล็กขณะมองดูหนังสือนิยายรักประโลมโลกเล่มหนา "ของแบบนี้มันออกจะ... ผิดกฎหมาย"



    จงอินยักไหล่ ย่อตัวลงนั่งท่ามกลางกองเสื้อผ้าที่สุมทับกันอยู่ "ผมเองก็คงต้องไปถามเขาเหมือนกันว่าไปหาไอ้พวกนี้มาจากไหน..."



    "ใครเหรอครับ?"



    "ลุงที่ร้านขายของเก่า... พลเมืองชั้นสองของที่นี่" ชายหนุ่มให้คำตอบขณะมือสองข้างและสายตาหนึ่งคู่ยังคงจดจ่ออยู่กับการพับผ้าให้เป็นระเบียบ



    "Blue World ที่นี่มีพลเมืองชั้นสองด้วยเหรอครับ?”



    "มันเป็นนโยบายเลือกปฏิบัติ เราทำกับนักโทษส่วนน้อยที่ได้รับการไว้ชีวิต ฉันได้ยินมาว่าเขาเสียสติตอนถูกจับเข้าคุก เขาเสียงดังสักหน่อยแต่ก็ใจดีแล้วก็ชอบพูดอะไรแปลกๆ... จะว่าไปเขาก็ดูไม่แก่มากหรอก แต่คงเป็นเพราะฝุ่นในร้านที่ทำให้เขาดูแก่ ฉันว่านายน่าจะชอบเขานะ ถึงจะเสียงแหบไปหน่อยแต่เขาก็เป็นคนดีแล้วก็มีความรู้"



    "แต่ติดคุกน่ะเหรอ?" เซฮุนลอบยิ้ม นึกตลกที่ในโลกแห่งความเจริญแห่งนี้ยังคงจับคนดีมีความรู้เข้าคุก มันเป็นแบบนั้นมาตลอดไม่ว่าจะเป็นโลกไหนก็ตาม คนที่รู้มากและเลือกทำตามสิ่งที่ดีไม่ใช่ผู้รอดชีวิตเสมอไป คนที่อยู่รอดบางครั้งก็ไม่ได้รู้อะไรเลยนอกจากวิธีการพลิกลิ้นนิดหน่อย



    "อาฮะ แต่คนอย่างฮีชอลก็สมควรอยู่หรอก..." ชายหนุ่มอดนึกขันตามไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้ามุ่นมุ่ยของ คิมฮีชอลเวลาเห็นเขาผลักประตูร้านเข้าไป เหมือนกับว่าผู้ชายประหลาดคนนั้นนึกเคียดแค้นอะไรอยู่ตลอดเวลา โชคดีที่เขาไม่ใจร้ายถึงขั้นคุยไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังลำบากอยู่ดีเวลาจงอินพยายามจะถามหาอะไรที่มันเป็นเรื่องเป็นราว อย่างเช่น รูปที่เจ้าตัวสอดมาให้เขาตามหนังสือที่ซื้อมาเป็นต้น



    "นายเองก็น่าจะสมควรนะ" เซฮุนผินหน้ามองไปทางใบหน้าคมคร้ามอย่างไม่จริงจัง "แต่อะไรที่ตื่นเต้นก็มักจะดึงดูด..."



    "ก็นั่นน่ะสิ” จงอินพยักหน้าทั้งรอยยิ้มเช่นกัน เขาเลื่อนกองผ้าที่พับแล้วเข้าไปซุกอยู่ในมุมหนึ่ง "เห็นทีจะต้องรีบไปแล้วล่ะ... หายออกมานานขนาดนี้"



    "จริงด้วย คุณควรรีบกลับ" เซฮุนตาโตเหมือนนึกขึ้นได้ ขาเรียวยันตัวขึ้นจากกลุ่มหนังสือแล้วชะโงกหน้ามองท้องฟ้าสีทึมขณะที่อีกฝ่ายยืดตัวขึ้นเต็มความสูงแล้วคว้าเอาสัมภาระส่วนขึ้นมาถือไว้



    ขาเรียวหยุดยืนข้างร่างผอมบางของเซฮุน สอดปืนเลเซอร์ของตัวเองเหน็บเอาไว้กับข้างเอว "จำที่บอกได้ใช่ไหม..."



    "ครับ"



    "ไม่ว่ายังไง นายก็ต้องรอด" ฝ่ามืออุ่นแตะลงบนบ้ากว้างแล้วบีบเบาๆ เซฮุนพยักหน้า ปราศจากรอยยิ้ม เขารู้สึกแย่ที่ตัวเองไม่ได้ตระหนักถึงเนื้อความแท้จริงภายในประโยค มันเป็นเพียงการผงกหัวรับคำเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจเท่านั้น



    เพราะเซฮุนยังคงสงสัยว่าถ้าตัวเองรอดโดยที่ไม่มีจงอิน มันจะมีประโยชน์อะไรกัน



    x x x x x



    คริสฉลาดขึ้น...



    อี้ชิงตระหนักได้เมื่อเห็นเจ้าหุ่นยนต์ทรงกลมสีแดงกลิ้งขลุกขลักเข้ามาแล้วใช้ตัวบวมๆมนๆของมันกระแทกซี่กรงเหล็กอยู่นานร่วมชั่วโมง



    ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) พวกนี้ทำคามคำสั่ง กฎสามข้อ*ระบุชัดเจนว่ามันจะทำทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จ นั่นเป็นเหตุผลที่มนุษย์เคยหวาดกลัวพวกมัน เพราะยิ่งนานเข้า มนุษย์ก็เริ่มรู้ว่าเป็นตัวเองนั่นแหละที่ขัดแย้งกับคำสั่งเหล่านั้นเหมือนกับที่ครั้งหนึ่งคนเราพยายามศึกษาพระเจ้าเพื่อบอกว่าพระองค์ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้ววันหนึ่งก็พบว่าแท้จริงแล้วยังมีอะไรที่ใหญ่กว่า อย่างเช่นกาแล็กซี่เบื้องนอกที่เราเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์หรือสวรรค์เป็นส่วนหนึ่งของมันกันแน่



    "ถูกสั่งให้ฆ่าตัวเองด้วยหรือไงถ้าคำสั่งไม่สำเร็จน่ะ" อี้ชิงบ่นแต่ก็ยอมลุกขึ้นจากมุมมืด เพื่อก้าวขาตรงไปใกล้ซี่กรงเหล็ก มาร์ตินหยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดเสียงดังปึงปังทันที แสงไฟเป็นริ้วสว่างวาบขึ้นเมื่อมือเรียวสัมผัสเข้ากับโลหะหนักสีแดงแล้วย่อตัวลงมาอยู่ในระดับความสูงเดียวกัน "ว่าไงล่ะ?"



    กริ๊ก กริก...



    ประตูคุกปิดลงกั้นหน่วยรักษาการสองคนออกจากเขตเยี่ยมเยียน เสียงทุบร้องเอะอะจากผู้คุมพาให้อี้ชิงใจไม่ดี เขาขมวดคิ้วก้มลงมองหุ่นตรงหน้าอย่างตำหนิ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เครื่องอ่านขนาดพกพากับไมโครชิพสีดำเมี่ยมก็ลอดผ่านเข้ามาด้านในได้อย่างง่ายดายจนต้องนึกขอบคุณความกว้างของซี่กรงขังโบร่ำโบราณนี่



    ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ประตูเหล็กกั้นเปิดขึ้นอีกครั้งเผยให้เห็นเงาของสองผู้คุมที่ยังคงกระโจนเข้าใส่แผ่นหิน อี้ชิงไม่พอใจและขมวดคิ้วในขณะที่เจ้าหุ่นยนต์ยังคงทำนิ่งไม่รู้เรื่อง ซึ่งท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จำต้องรับเอาของสองอย่างนั้นวิ่งกลับเข้าไปในความมืดแล้วซุกมันไว้ใต้หมอนก่อนที่ผู้คุมสองคนนั้นจะมาหยุดยืนขนาบข้างหุ่นเจ้าปัญหาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ



    "พาเขาออกไป" อี้ชิงตะโกนบอกให้ได้ยินแค่เพียง แต่มือข้างหนึ่งกลับกำชิพจิ๋วเอาไว้แน่น "ส่งเขาให้ถึงมือที่ปรึกษาสูงแล้วบอกเขาว่าหัดเช็คสัญญาณหุ่นซะบ้าง อย่าให้มันไปรบกวนประตูบานไหนอีก”



    กริ๊ก...



    มาร์ตินส่งแสงสว่างวาบหลากสีออกมาขณะถูกพานำไปด้านนอก อี้ชิงเดาว่ามันคงกำลังยิ้มให้กับมุกแสร้งทำของเขาที่ช่วยไม่ให้ผู้คุมเอาคีมมาแงะกระดองเหล็กของมันออก จนแม้ถึงหน้าประตูเจ้าหุ่นนั่นก็ยังมิวายเหลียวหลังกลับมาอีกครั้ง เขาจึงส่งยิ้มให้มันจากความมืดที่ทีเพียงแสงจันทร์ชโลมอาบ



    คล้อยหลังความเงียบ อี้ชิงก้มมองชิพอันนั้นอย่างชั่งใจ โลกหนาวเหน็บในห้องขังทำให้เขาห่างเหินจากคริสเกินกว่าจะคาดเดาคนที่เคยรู้ใจกันทุกเรื่องได้เหมือนเคย หลังจากที่ผู้ชายแสนอบอุ่นตัดสินใจชำแหละร่างของเพื่อนสนิทตัวเอง เขาก็มองไม่เห็นสักทางที่จะสามารถวางใจผู้ชายที่มีอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิคนนั้นได้อีก



    พวกผู้ปกครองหาว่าอี้ชิงเป็นกบฏและเขาก็จะไม่ปฏิเสธในเมื่อมันเป็นความจริง คนพวกนั้นบอกจะโยนเขาลงไปยังโลกล่าง แตะพื้นดินเมื่อไหร่ ร่างคงละเอียดเป็นผุยผง ทว่าคริสกลับค้านขึ้นมากลางศาล แล้วบอกว่าการรักษาชีวิตของเขาเอาไว้จะดีกว่า คนที่สร้าง Blue World ขึ้นมาได้ย่อมมีมันสมองฉลาดล้ำ การฆ่าคนมีความรู้ทิ้งจะทำให้เราไม่พัฒนา



    ด้วยตำแหน่งที่ปรึกษาสูง ทุกคนเชื่อคริส และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้จางอี้ชิง ลูกชายของนายพลที่ถูกปฎิวัติต้องมานอนหนาวอยู่ในคุกขังลืม



    ในวันนั้นที่ศาลอี้ชิงมองเห็นแต่ความว่างเปล่า กระจกเบื้องหน้าสะท้อนภาพมันสมองของโลกเบื้องบนที่นั่งคุกเข่ารอคำพิพากษา สะท้อนแววตาที่เขาใช้มองคนที่ตัวเองยกหัวใจไปให้ทั้งก้อน สายตาที่มันบ่งบอกความรักสุดหัวใจแม้กระทั่งนาทีที่คนๆนั้นเห็นเขาเป็นเพียงแค่ มันสมอง

     

    ในขณะที่คริสมองกลับมาด้วยแววตาว่างเปล่า ว่างเสียจนคิดว่าผู้ชายคนนั้นเผลอทำความรู้สึกหล่นหายขณะถูกพาตัวขึ้นมาที่นี่



    กระนั้นชิพอันเล็กก็สอดเข้าไปด้านในเครื่องอ่านตามที่อีกฝ่ายร้องขอ มันสมองนึกโทษตัวเองที่ยังเอาแต่โง่เชื่อมั่นในตัวคนใจร้ายที่ส่งเข้ามาให้แต่ผ้านวมกับอาหารครบมื้ออยู่เสมอ บางทีคริสอาจจะเข้าใจผิด คนฉลาดที่ไหนกันจะเอาแต่นั่งทำร้ายตัวเองเพียงเพราะเชื่อใจคนที่เขารักเล่า



    ทว่าความคิดทั้งหมดถูกพับลงอย่างฉับไวเมื่อเครื่องอ่านแสดงผลลัพธ์เป็นภาพโฮโลแกรมของเซฮุนพร้อมกับคำประกาศจับตัววัตถุทดลอง อี้ชิงกำมือแน่นและเม้มปากจนเป็นแถบซีดจาง นึกอยากสบถด่าว่าเจ้าของหุ่นยนต์แรงๆสักครั้งให้สมกับเป็นคนทรยศ ความจริงเขาแทบจะขว้างเครื่องอ่านทิ้งไปจากมือหากไม่ติดว่ายังมีข้อมูลอีกส่วนที่รอให้เขาเปิดอ่าน



    ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบ ปมคิ้วและความโกรธก็ยิ่งขมวดแน่นหนักขึ้น



    เพราะที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันคือรายงานบันทึกการผ่าตัดของไค



    x x x x x



    “ไค... ไค...”



    “...”



    “...ไค” ผมลืมตาขึ้นแล้วกวาดมองไปรอบกาย มันเต็มไปด้วยหลอดไฟสว่างจ้าที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน รู้สึกได้ว่ามีคนเดินวนไปเวียนมารอบตัวทว่ากลับมองไม่เห็นร่างของพวกเขา คนพวกนั้นคงกำลังรีบเร่งทำอะไรสักอย่างถึงได้มีเสียงตึกตักดังห้องเต็มไปหมดไม่ว่าจะเป็นจากทางทิศไหนก็ตาม



    ทว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการ



    “ไค...”



    เสียงนี้ต่างหาก



    ผมไม่รู้แน่ชัดว่ามันดังมาจากทางไหนจึงพยายามขยับตัวขึ้นจากผืนเตียง แต่มันก็เจ็บปวดและไม่ว่าจะเป็นที่ข้อมือ ข้อเท้า หรือแผ่นอก ทุกส่วนถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เส้นหนา เสียงก๊องแก๊งยามร่างกายเคลื่อยขยับคล้ายกำลังบอกว่าผมหมดหวังจะทำอะไรนอกจากนอนนิ่ง แต่หลังจากนั้นเสียงเรียกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง



    “ไค” คราวนี้มันใกล้ขึ้นและฟังรื่นหูกว่าครั้งไหน



    ผมผงกหน้าก้มลงมองไปข้างเตียง ตรงนั้นมีเด็กคนหนึ่งก้มหน้าลงแนบข้างแก้มแสนนุ่มไว้กับหลังมือของผม มือที่วางทับอยู่บนสายไฟสีดำจากข้างสะโพก เข็มแหลมที่ติดอยู่ระหว่างข้อนิ้วคลอเคลียอยู่กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อน ผมอยากมองเห็นเขาให้ชัดเจนแต่มันไม่ง่ายเลยในเมื่อเด็กน้อยคนนั้นกำลังตะแคงหน้าหันไปที่ปลายเตียง



    “ไคเจ็บหรือเปล่า” เสียงนั้นเอ่ยถาม เพียงประโยคสั้นๆเท่านั้นเขากลับรู้สึกเหมือนโดนลมพายุพัดโฉบใบหน้าไป คล้ายกับเป็นพายุทรายท่ามกลางท้องทะเลสีน้ำตาลกว้างขวางที่แม้สงบลงแต่ก็ยังคงอันตราย เสียงก๊องแก๊งยังคงดังต่อเนื่องเมื่อเด็กคนนั้นเริ่มบีบมือเขาแน่น “ไค” เสียงใสเรียกย้ำก่อนจะตะแคงใบหน้าหันกลับมา



    มันเป็นภาพเหมือนรูปที่ถ่ายทับลงไปบนฟิล์มหมดอายุ แต่ถึงกระนั้นก็รู้ว่าเด็กน้อยมีผิวขาวเหมือนน้ำนมที่พอสะท้อนเข้ากับแสงไฟสว่างจ้าแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองรัสมีของดวงอาทิตย์ ดวงตาของเขาไม่ได้กลมโตมันเรียวรับกันดีกับเส้นคิ้วแสนสวย ผมไม่รู้ว่าเขามีรูปหน้าเป็นอย่างไร แม้จะสัมผัสอยู่บนแก้มขาวแต่ก็รู้แค่เพียงว่าผิวเนื้อนั้นเนียนนุ่ม



    “จำผมได้ไหม?” อีกครั้งที่ผมชะงักงันไปกับคำถาม และเสียงหัวใจแทบจะหยุดเต้นเมื่อเด็กน้อยยืดตัวขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้าเพื่อโน้มใบหน้าลงมาอยู่ในตำแหน่งที่ขนานกัน จนผมพอจะมองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น แต่มันก็เป็นภาพเดิม เส้นผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิง ผิวขาวเนียน ดวงตาเรียว กับริมฝีปากบิดเบ้ที่ไม่แน่ใจว่าจะยิ้มหรือร้องไห้



    ผมทวนคำถามของเด็กคนนั้นในหัวอีกครั้ง... นั่นสิ... เขาเป็นใคร เด็กตัวเล็กผิวเนียนคนนี้ ทำไมถึงทำให้รู้สึกเหมือนกับเคยมีเขาอยู่ในความทรงจำ แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย



    “ไค!” ยังไม่ทันได้คิดหาคำตอบ ร่างเล็กก็ถูกกระชากไปข้างหลังด้วยฝีมือของผู้ชายร่างสูงในชุดกาวน์สีขาวที่มีเลือดเลอะประปราย เด็กคนนั้นตัวเล็กนิดเดียวขณะถีบเท้า ดีดดิ้นอยู่ใต้การกักขังของคนพวกนั้น ขณะมองภาพเบลอผมถึงคิดออกมาได้ว่าแท้จริงแล้วเด็กน้อยต้องใช้มือทั้งสองข้างในการกอบกุมมือข้างเดียวของผมเอาไว้



    วินาทีนั้น ผมหวนนึกไปถึงใครอีกคนที่อาจเป็นคำตอบ



    “วินเซนต์!! ผมลืมความเจ็บปวดทั้งหมด ดีดตัวเองขึ้นมาจากเตียงเหล็กจนสุดสายโซ่รั้งเช่นเดียวกับที่ใช้พลังเสียงทั้งหมดไปกับการตะโกนเรียกชื่อประหลาดนั่นออกไป เด็กน้อยคนนั้นเหลียวหลังกลับมา ยิ้มกว้างด้วยความดีใจแม้ร่างผอมแกนจะถูกหิ้วปีกเอาไว้ในท่าทางทุลักทุเลออกไปทางประตูเหล็ก



    ฉับพลัน ผู้ชายคุ้นหน้าคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยา  เขาจรดปลายเรียวแหลมของมันลงบนแขนของผม ใบหน้าภายใต้ผ้าปิดปากของเขาไร้รอยยิ้ม แลดูไม่เป็นมิตร จนผมคิดว่าเขาคงไม่มีเพื่อน



    แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาเป็นคนหนึ่งในบรรดาเพื่อนของผม



    คริส...ไม่--!!” ผมร้องขอเขาและได้ความเจ็บปวดเจียนตายเป็นคำตอบ





    จงอินวักน้ำปะทะเข้ากับใบหน้าหลายครั้งกระทั่งแผ่นอกเปล่าของเขาชุ่มโชก อาการปวดหนึบไปทั้งหัวตลอดระยะทางจากเตียงนอนถึงอ่างล้างหน้ามาจนถึงวินาทีนี้ที่ได้แต่ยืนมองสภาพของตัวเองหน้ากระจกเป็นดั่งมาตรวัดที่บอกว่ามันมาไกลเกินเยียวยา ชายหนุ่มรู้สึกว่าการตื่นนอนไม่ใช้จุดจบของภาพประหลาดในหัว เหมือนกับมันยังคงดำเนินต่อไปในสักที่ใดที่หนึ่งของโลกใบนี้โดยที่เขาไม่มีทางรู้เลยว่าทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร



    ขายาวพาตัวเองออกมาจากห้องน้ำในสภาพเหนื่อยหอบ เขาคว้าผ้าขนหนูขึ้นเช็ดตามตัว ความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวทำให้จงอินเชื่อว่าตัวเองคงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งที่เขานึกอยู่ก็คงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาหายบ้าได้



    จงอินเดินตรงไปยังชั้นวางของแล้วหยิบชุดผ่าตัดพกพาออกมาจากบนนั้น กางซองพลาสติกลงกับโต๊ะหน้ากระจก ชายหนุ่มเริ่มต้นด้วยการเช็ดแอลกอฮอล์ลงบนสะโพกเปล่าที่ถูกรั้งกางเกงลงมาให้อยู่ต่ำกว่าระดับของจุดที่เขาเห็นว่ามันมีสายไฟโผล่ออกมาจากตัว ยาชาเหลวใสเป็นสิ่งที่ทาทับลงมาหลังจากนั้นก่อนที่มีดปลายแหลมสำหรับการผ่าตัดขนาดเล็กถูกหยิบขึ้นมาเช็ดทำความสะอาด


    “พระเจ้าสิ!” ชายหนุ่มสบถแล้วจรดปลายคมไว้เหนือผิวเนื้อที่มีรอยบากเล็กๆ เขาเม้มปากแน่น คิดทบทวนอีกครั้งว่ามันคุ้มหรือไม่ที่จำทำแบบนี้ “ให้ตายเถอะวะ!



    แต่แล้วเขากลับโยนมีดกลับลงไปในซองของมันเหมือนกับที่โยนตัวเองกลับไปที่ไปลายเตียง จงอินแหงนหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ยกแขนขึ้นกายเหนือหน้าผาก ช่วงนี้เขาเริ่มประหลาดหนัก ตั้งแต่เรื่องของความฝันที่มันดูจะเสมือนจริงเกินควรจนน่ากลัว ทั้งบุคคลและเหตุการณ์ ไหนจะคำสบถประหลาดเรียกหาพระเจ้าเหมือนกับลุงฮีชอลผู้ไม่เต็มเต็ง ซึ่งมันไม่ควร เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคืออะไร อันที่จริงเขาพอเข้าใจความคิดเรื่องพระเจ้าแต่ที่ Blue World มันเป็นคำต้องห้ามที่ไม่ควรเรียกหา เพราะที่นี่ไม่มีพระเจ้าหรือศาสดาใดๆก็ตาม



    ฮีชอลเป็นข้อพิสูจน์ที่ดี ลุงเสียงแหบเคยเล่าให้จงอินฟังว่าเขาติดคุกเพราะเผลอสบถหาพระองค์



    “เฮ้อ...”



    จะมีอะไรยุ่งยากไปหว่านี้ไหม... จงอินคิดขณะตะแคงตัวไปมองกระจก จ้องใบหน้าของตัวเองที่เป็นภาพสะท้อนอยู่ในนั้น มือหนาลูบไปบนสะโพก บนตำแหน่งที่เขาเห็นว่ามันมีสายไฟโผล่ออกมา ตำแหน่งที่มีรอยจางๆของแผลเป็นที่เขาจำได้ว่าได้มันมาขณะฝึกซ้อมวิ่งทางไกล



    x x x x x


    *Three laws of Robotics (Asimov’s Laws)


    1. A robot may not injure a human being or, through inaction,
    allow a human being to come to harm.

    2. A robot must obey the orders given it by human beings
    except where such orders would conflict with the First Law.

    3. A robot must protect its own existence as long as
    such protection does not conflict with the First or Second Laws.


    ปมจะค่อยๆคลายตั้งแต่ตอนหน้าเป็นต้นไปนะคะ

    ขอบคุณที่ติดตามนะ ^^

    #UMETKH

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×