ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF] Sapheria Twin

    ลำดับตอนที่ #1 : Sapheria Twin An Angel & A Lucifer

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 55


     Sapheria Twin, An Angel & A Lucifer

    ฉันชื่อ ฟาเรน่า ซาเฟอร์เรีย

    ผมชื่อ ไฟน์เร็น ซาเฟอร์เรีย

    เราทั้งคู่คือฝาแฝดกัน

    ชีวิตของฉันเต็มไปด้วยความสวยงามของเหล่าชนชั้นสูง

    ชีวิตของผมเต็มไปด้วยความสวยงามของเหล่าชนชั้นสูง

    แต่พวกเราไม่เคยรับรู้ถึงความมืดมนที่อยู่ภายใต้ความสวยงามอันสว่างไสวนั่น

    จนเมื่อฉันอายุครบสิบห้าปี ในวันที่ฉันมีความสุขนั้น

    จนเมื่อผมอายุครบสิบห้าปี ในวันที่ผมมีความสุขนั่น

    ชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนไปจากเดิมโดยไม่มีวันย้อนกลับคืน

     

    “สุขสันต์วันเกิดนะครับ คุณหนูซาเฟอร์เรียทั้งสอง”

    “ค่ะ ขอบคุณที่ให้เกียรติมาร่วมงานของพวกเรานะคะ”เด็กสาวในชุดเดรสสีขาวสะอาดยาวกรอมเท้าประดับด้วยลูกไม้สีนวลตอบรับคำอวยพรด้วยคำพูดสุภาพอ่อนหวานและรอยยิ้มใสสะอาดบริสุทธิ์

    “ครับ ขอบคุณครับ”เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเด็กสาวในเดรสสีขาวข้างกาย อยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา ตอบรับคำอวยพรอย่างนอบน้อม

    “เป็นยังไงบ้างลูกๆ ชอบงานที่พ่อจัดไว้ให้ไหม” ชายหนุ่มในชุดสูทขาวเดินเข้ามาทักทายลูกๆฝาแฝด ท่าทางการเดินของชายหนุ่มดูเปี่ยมไปด้วยอำนาจล้นเหลือ ข้างกายมีหญิงสาวในชุดเดรสเกาะอกสีเหลืองอ่อนยาวลากไปกับพื้น ผ่าข้างเพื่อสะดวกต่อการเดิน กระโปรงมีลูกไม้ซ้อนห้าชั้นคลุมด้วยตาข่ายบางๆสีทองเหลือบเงิน ทั้งคู่เดินควงแขนมาด้วยกันตรงมาทางลูกสาวและลูกชายทั้งสอง

    เด็กสาวยกชายกระโปรงขึ้นลฺกน้อยพลางย่อกายลงเคารพผู้ปกครองทั้งสอง เด็กชายโค้งตัวลงพร้อมๆกัน

    “ฟาชอบมากเลยล่ะค่ะ ทุกๆคนดูมีความสุขและชอบงานนี้เหมือนกันนะคะ” เด็กสาวนัยตาสีเงินยวงดุจแสงจันทร์ ผมสีฟ้าอ่อนยาวระเอวปลิ้วพริ้วไปกับสายลมนาม ฟาเรน่า ซาเฟอร์เรียแย้มยิ้มออกมา รอยยิ้มของเธอดูบริสุทธิ์ราวกับนางฟ้าลงมาจุติลงบนโลกมนุษย์

    “ก็ดีครับท่านพ่อ” เด็กหนุ่มนัยตาสีอเมทิสต์ ผมสีน้ำเงินเข้มนาม ไฟน์เร็น ซาเฟอร์เรียกล่าวกับผู้ปกครองทั้งสอง บุคคลิกที่เย่อหยิ่งราวกับราชาผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางแขกที่มาร่วมงานอันหลากหลาย

    •°•.° ~ ~ °.•°•

    เสียงเพลงสนุกสนานเริ่มบรรเลงขึ้นจากวงออเครสต้า ชายหนุ่มทุกคนเริ่มโค้งกายเชื้อเชิญหญิงสาวที่เป็นคู่ควงร่วมเต้นรำบนฟลอร์เต้นรำ และแน่นอน คู่หนุ่มสาวที่เป็นเจ้าของงานซึ่งก็ไม่พ้นฝาแฝดซาเฟอร์เรียก็ร่วมควงแขนกันลงมาเต้นรำบนฟลอร์เป็นคู่เปิดงาน

    •°•.° ~ ~ °.•°•

    จังหวะเพลงบรรเลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ร่วมงานเต้นรำทุกคนล้วนสนุกสนานร่วมไปกับเข้าของวันเกิดทั้งคู่ที่โลดแล่นไปบนฟลอร์อย่างพริ้วไสว ราวกับแสงจากดวงจันทร์ได้ทอดลงทั้งคู่เพียงสองคน

    “ไฟน์คุง วันนี้พวกเราอายุสิบห้าแล้ว เร็วมากเลยนะ ไฟน์คุงคิดเหมือนพี่ไหม”ฟาเรน่ากล่าวขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังก้าวขึ้นไปบนฟลอร์

    “ครับ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ร่วมกันมาสิบห้าปีแล้ว”ไฟน์เร็นตอบกลับพี่สาวฝาแฝดพลางก้าวนำไปอย่างรวดเร็ว

    “อื้ม ไฟน์คุงอยู่ข้างกายพี่มาสิบห้าปีแล้วสินะ เป็นคนที่พี่ไว้ใจได้มากที่สุดตลอดมา” ร่างบางหมุนอย่างอ่อนช้อนไปตามจังหวะ เส้นผมสีฟ้าพริ้วไปเป็นวงกว้าง

    “ไม่รู้นะครับว่าใครกันที่อยู่ข้างกายผมมาสิบห้าปีและคอยช่วยเหลือผมมาตลอด”ร่างสูงดึงร่างบางกลับเข้ามาในอ้อมแขน ก่อนจะฝังจมูกลงบนพวงแก้มนวลเบาๆ

    ร่างบางคลี่ยิ้มหวานออกมาอย่างสดใสพลางเอนตัวเข้าซบอกกว้างของน้องชายที่เธอวางใจและวางทุกสิ่งไว้กับเขาได้อย่างไม่เกรงกลัว

    ทุกๆคนต่างได้รับรอยยิ้มจากฝาแฝดซาเฟอร์เรียทั้งสอง ทุกๆคนต่างเปี่ยมไปด้วยความสุขดั่งเช่นทุกๆปีที่ทั้งคู่เติบโตขึ้นมา...

     

     

    11.07 PM

    ตึกๆๆๆ

    เสียงฝีเท้าของสองฝาแฝดซาเฟอร์เรียที่ออกมาจากงานเลี้ยงฉลองดังก้องกังวานไปตามระเบียงทางเดินชั้นในของคฤหาสถ์ ก่อนที่ไฟน์เร็นจะเปิดประตูห้องๆหนึ่งให้ฟาเรน่า ทั้งคู่ก้าวเข้าไปในห้องนั้นด้วยรอยยิ้ม

    “วันเกิดปีนี้ท่านพ่อกับท่านแม่มาถึงเร็วกว่าพวกเราอีกเหรอคะเนี่ย” ฟาเรน่าพูดขึ้นก่อนจะโผเข้ากอดชายหนุ่มผู้เป็นพ่อนาม เทมส์ ซาเฟอร์เรีย

    “พ่อเขาตื่นเต้นมากเลยนะ ถึงขั้นโดดออกจากงานเลี้ยงตั้งนานเพื่อมาเตรียมของขวัญวันเกิดให้ทั้งคู่โดยเฉพาะเลยนะจ๊ะ” หญิงสาวในชุดเกาะอกสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ข้างๆเก้าอี้ที่เทมส์นั่งอยู่ ไฟน์เร็นเดินเข้าไปกอดผู้เป็นแม่นาม โรเชล ซาเฟอร์เรียด้วยท่าทางแข็งๆ

    “แล้วปีนี้ของขวัญของพวกเราคืออะไรงั้นเหรอครับ”ไฟน์เร็นถามโรเชลที่กอดเขาเอาไว้แน่น

    “พ่อกับแม่มีสิ่งนี้มานานมากแล้วและรอคอยวันที่จะได้แบ่งปันมันให้ลูกๆทั้งสองที่พ่อรับมาเลี้ยงจากน้องชายที่ได้จากไปแล้ว” เทมส์ลูบหัวฟาเรน่าด้วยความเอ็นดู นัยตาสีแดงเลือดสะท้อนภาพลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างอาวร

    “มันคืออะไรเหรอคะ” ฟาเรน่าเงยหน้าขึ้นมองเทมส์ด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ สายตาที่งดงามราวกับจันทร์กระจ่างใสอันโดดเด่น

    “ความแข็งแกร่งและชีวิตอมตะไร้วันสิ้นสุดยังไงล่ะ ลูกพ่อ” เทมส์พูดขึ้นอย่างเลือดเย็น ก่อนจะกางเขี้ยวออกมาและฝังลงบนลำคอระหง พร้อมๆกับโรเชลที่รั้งคอลูกชายในอ้อมแขนลงมาและฝังเขี้ยวลงไปอย่างหิวกระหาย

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

     

    ราวกับสายเลือดแห่งปีศาจได้เข้าไปกัดกร่อนร่างกายทุกส่วนของผม

    ความหิวกระหายในหยาดโลหิตของมวลมนุษย์เริ่มเกิดขึ้นกับฉัน

    ความชั่วร้ายคืบคลานเข้ามาในจิตใจของเราทั้งคู่

    มนุษย์ช่างอ่อนแอยิ่งนักเมื่อเทียบกับผม

    มนุษย์มีนาฬิกาชีวิตที่สั้นยิ่งนักเมื่อเทียบกับฉัน

    ก็ในเมื่อ... พวกเราเป็นแวมไพร์นี่นะ

     

    ภาพเลือนรางจัง นั่นใครคะ ท่านพ่อท่านแม่เหรอคะ

    “ฟื้นแล้วเหรอลูก” เสียงหวานของท่านแม่ดังขึ้นในโสตประสาทของฉัน ฉันค่อยๆลุกขึ้นมามองท่านแม่ ท่านแม่ที่มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ของฉัน

    “ไฟน์คุงล่ะคะ ไฟน์คุงอยู่ไหนคะ” ฉันรีบถามหาน้องชายที่ฉันรัก ตอนนี้ คนที่ฉันพึ่งพาได้เหลือเพียงเขาคนเดียวแล้ว แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ ฉันก็วางใจพวกท่านไม่ได้อีกแล้ว

    ฉันรีบกระโดดลงจากเตียงที่ฉันนอนอยู่และออกจากห้องนั้น ตามการคาดการณ์ ท่านพ่อคงเป็นคนพาฉันมานอนที่ห้องของแขก ส่วนไฟน์คุงคงโดนท่านพ่อคุมตัวเอาไว้ที่ห้องของพวกเรา

    ท่ามแม่เปิดประตูตามฉันออกมา รอยยิ้มที่ประทับบนใบหน้ายังคงเป็นรอยยิ้มหวานหยาดเย้มที่เหมือนเดิมกับทุกๆวัน แต่ความจริงที่ฉันได้พบทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าหนีออกจากท่าน

    เดรสสีขาวตัวเดิมเปื้อนไปด้วยเลือดจากคอเสื้อ เลือดแห้งกรังเปรอะเปื้อนไปทั่วร่างกายของฉัน รอยเขี้ยวที่ต้นคอด้านซ้ายยังสร้างความเจ็บปวดให้เป็นระยะๆจนฉันต้องกัดฝันทน

    ฉันตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องของฉันกับไฟน์คุงโดยไม่เคาะประตูก่อน ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าคือน้องชายของฉันกำลังเล็งปืนที่เหนี่ยวไกไว้แล้วเข้าหาท่านพ่อ

    “อย่าเข้าใกล้ผมเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผมจะยิงจริงๆ ผมไม่สนหรอกนะว่าท่านเป็นคนที่เคยเลี้ยงดูผมมา”

    เพราะคุณทำให้พี่สาวของผมต้องเจ็บ อย่าได้หวังจะรอดไป

    เสียงความคิดของไฟน์ดังก้องในจิตใจของฉัน นัยตาสีอเมทิสต์ที่แปรเปลี่ยนเป็นสีโลหิตจ้องเขม็งไปที่ท่านพ่อที่ยืนยิ้มอยู่อย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆและยังคงยืนนิ่งๆอยู่ที่เดิม

    ฉันรู้ดีว่าเขาตั้งใจที่จะปกป้องฉันที่ก้าวเข้ามาในห้อง และฉันรู้ดีว่า เขากำลังฝืนความเจ็บปวดที่เกิดจากรอยเขี้ยวของท่านแม่อย่างหนัก

    “อ้าว ตื่นแล้วเหรอฟา หลับสบายไหม” ท่านพ่อหันมามองฉันที่ก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบ ท่านก้าวเข้ามาใกล้ๆฉันทีละก้าวๆ

    ฉันรีบก้าวเท้าถอยหลังด้วยความหวาดระแวง แต่ก็ต้องหยุดเมื่อประตูด้านหลังเปิดขึ้นอีกครั้ง และท่านแม่ก็ก้าวเข้ามาอีกคน

    “เป็นอะไรไปฟาของพ่อ ลูกชอบให้พ่อกอดไม่ใช่เหรอ หือ?” ท่านพ่อก้าวเท้าเข้ามาอีก ฉันไม่กล้าถอยหลังต่อไปอีกแล้ว แต่ท่านพ่อก็ยังก้าวเข้ามาเรื่อยๆ

    ไฟน์พุ่งตัวเข้ามากันไม่ให้ท่านพ่อเข้ามาใกล้ฉันด้วยความไวเกินมนุษย์ ปืนสีเงินยังคงเล็งไปที่ท่านพ่ออย่างแม่นยำ

    “อย่าได้ก้าวเข้ามาอีก เด็ดขาด!” ไฟน์พูดกัดฟันด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ท่านพ่อยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว

    “พ่อไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อยไฟน์ นั่งลงก่อนเถอะทุกคน เราคงมีเรื่องที่ต้องพูดกันนิดหน่อย” ท่านพ่อถอยหลังไปนั่งลงบนโซฟาที่เราสองคนตั้งไว้นั่งคุยกัน ท่านแม่เดินตามเข้าไปนั่งกับท่านพ่อ ปล่อยให้ฉันกับไฟน์ยืนอยู่ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ท่านทั้งคู่

    ท้ายที่สุด ฉันก็จำใจนั่งลงที่โซฟายาวระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ โดยมีไฟน์นั่งกั้นระหว่างฉันกับท่านพ่อ

    “ว่าไง ชอบของขวัญที่พ่อกับแม่มอบให้ไหม” ท่านพ่อถามพวกเราด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ สีหน้าของท่านเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

    ฉันนั่งนิ่งๆไม่ได้ตอบโต้ท่านพ่อใดๆ จิตใจของฉันในตอนนี้ราวกับโดนทำลายจนแหลกสลาย ฉันในตอนนี้คงไม่ต่างจากแวมไพร์ไร้วิญญาณจริงๆ

    ท่านพ่อไม่รอช้า เริ่มเอ่ยปากพูดต่อ

    “ลูกๆทั้งสองคือความภาคภูมิใจของพ่อ พ่อรักลูกๆมากนะ พ่อถึงอยากให้ลูกๆมาเป็นแวมไพร์ เพื่อจะเข้ามารับตำแหน่งทั้งสองต่อจากพ่อและแม่”

    “ตำแหน่งอะไร” ไฟน์คุงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ราวกับหมดความอดทนกับการกระทำของท่านพ่อท่านแม่เหล่านี้

    “ราชาและราชินีแวมไพร์ยังไงล่ะจ๊ะ” ท่านแม่คลี่ยิ้มงดงามออกมาและตอบไฟน์ด้วยรอยยิ้มหยาดเยิ้มเดิมๆของท่าน

    “ฟาขอไม่รับค่ะ” ฉันพูดแทรกด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ มือเรียวเย็นชืดยกขึ้นมาโบกปฏิเสธด้วยท่าทางที่อ่อนโยนเช่นเดิม

    “ทำไมล่ะฟาของแม่ ในโลกนี้จะไม่มีแวมไพร์ตนไหนมีอำนาจไปมากกว่าลูกแล้วนะ” ท่านแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวข้างๆฉันเอื้อมมือมากุมมือฉันอย่างอ่อนโยน

    ฉันรีบชักมือตัวเองกลับด้วยความหวาดกลัว พร้อมๆกับเขยิบหนีท่านแม่ออกมา ไฟน์โอบไหล่ที่สั่นสะท้านของฉันไว้เบาๆ

    “ลูกยังไม่รู้หรอกว่า อำนาจที่พ่อมอบให้มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน”

    “พลังที่มากจนไม่มีใครต้านทานได้”

    “ช่วงเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุด”

    “บริวารที่ไม่มีวันขัดคำสั่ง”

    “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของลูก โลหิตของมนุษย์เป็นของลูก ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อลูกทั้งคู่เท่านั้น”

    เลือด... หิวจัง อยากดื่มเลือด ของเหลวสีแดงสดแสนหอมหวาน

    มือบางของฉันสั่นนิดๆ ความรู้สึกหิวกระหายแล่นไปทั่วร่างกายและจิตใจ ร่างกายของฉันเริ่มหลุดจากการควบคุมของฉัน ฉันเดินออกไปนอกห้องโดยไม่สนใจคนอื่นๆ กรงเล็บค่อยๆกางออกมาช้าๆ เขี้ยวสีขาววาววับสะท้อนแสงจันทร์ยามเที่ยงคืน ดวงตาเปลี่ยนสีจากสีเงินยวงเป็นสีแดงเลือดอำมหิต

    ร่างของฉันเคลื่อนไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้ตัว กรงเล็บยาวขูดไปกับกำแพงเป็นรอยยาวน่าสยดสยอง คนรับใช้ยืนจัดช่อดอกไม้ตกแต่งทางเดินโดยไม่รู้ตัวว่าปีศาจที่เคยเป็นคุณหนูที่เคารพยิ่งได้เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าและหิวโหย

    “อ๊ะ สวัสดีค่ะคุณหนู... กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

    เหยื่อรายแรกของคุณหนูที่เคยเป็นดั่งนางฟ้าผู้แสนดีได้เกิดขึ้นแล้ว

    มือบางปล่อยร่างไร้ชีวิตที่เหือดแห้งลง หยดเลือดหยดลงบนพื้นพรมชั้นดีสีน้ำตาล ร่างบางวิ่งออกไปทางป่าหลังคฤหาสถ์ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์

    การไล่ล่าได้เริ่มขึ้นแล้ว

     

    “ฟาซัง!” ผมตะโกนเรียกฟาก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้อง ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามไป

    ท่านพ่อและท่านแม่แวบเข้ามากันประตูเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ผมก้าวถอยหลังนิดๆและยกปืนขึ้นเล็งทั้งคู่

    “ผมจะไปตามฟาซัง หลบไป ถ้าไม่อยากกินกระสุนเป็นของว่างยามดึก” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ท่านพ่อและท่านแม่ดูจะไม่แยแสกับการขู่ของผมเลยแม้แต่นิดเดียว

    “ตามไปก็เปล่าประโยชน์ไฟน์ ลูกน่าจะรู้แล้วนะว่าฟากำลังลงมือทำอะไร” ท่านพ่อเอ่ยขึ้นยิ้มๆแล้วหยิบของบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม ขวดแก้วใสบรรจุด้วยของเหลวสีแดงข้น โลหิตของมนุษย์

    “อย่าเอามันมาหลอกล่อผม” มือที่ถือปืนของผมเริ่มสั่น ถึงตอนนี้ผมยังคุมสติเอาไว้ได้มากกว่าฟา แต่ใช่ว่าผมจะไม่อยากดื่มมัน บ้าเอ๊ย

    “ไฟน์ลูกรัก นี่พ่อกับแม่ทำเพื่อลูกโดยเฉพาะเลยนะ เลือดสดๆของหญิงสาวบริสุทธิ์นี่ พวกเราหามาให้ลูกโดยเฉพาะ” ท่านแม่กล่าวยิ้มๆพลางรับขวดแก้วมาจากท่านพ่อแล้วรินของเหลวนั่นลงในแก้วไวน์ทรงสูงทั้งสามใบและยื่นมาให้ผม กลิ่นหอมหวานของโลหิตข้นแตะจมูกผมอย่างรุนแรง

    “ผมไม่ต้องการมัน!” ผมปัดแก้วไวน์ที่ยื่นมาทางผมออกไป แก้วใสกระเด็นไปชนกับผนังห้องจนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ ของเหลวสีแดงกระจายไปทั่วเป็นรูปดอกไม้สีแดงสด

    ในวินาทีนี้ ผมคิดว่าผมคิดผิดที่ปัดมันทิ้ง เพราะกลิ่นหอมหวานของของเหลวสีแดงน่าขยะแขยงได้ฟุ้งกระจายไปทั่วจนผมหมดความอดทนแล้ว

    ผมคว้าขวดแก้วที่วางอยู่ขึ้นดื่มอย่างหิวโหย ท่านพ่อและท่านแม่แสยะยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ

    “ลูกรัก ลูกคือราชาแวมไพร์ที่พ่อและแม่วาดฝันไว้จริงๆ” ท่านแม่โอบกอดผมด้วยความยินดีก่อนจะดึงให้ผมนั่งลงบนโซฟายาวที่เดิมโดยมีท่านพ่อกับท่านแม่นั่งประกบสองข้าง

    “ไม่มีใครสมบูรณ์แบบเกินไปกว่าลูกแล้ว ลูกคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

    ใช่... ผมคือแวมไพร์ที่เก่งที่สุด ไม่มีใครเก่งไปกว่าผม

    ทุกคนต้องอยู่ใต้อำนาจของผม เพราะผมคือราชา ผมคือราชาแวมไพร์!

    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    “ฟาซัง!”

    เสียงกรีดร้องลั่นของฟาเหมือนกับเสียงของนางฟ้าที่ร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงอันรวดร้าวบาดลึกลงบนหัวใจของผมเป็นการเตือนสติให้ปีศาจผู้หลงระเริงในอำนาจอย่างผมได้รู้สึกตัวกลับมา

    ผมลุกขึ้นและกระโจนออกไปจากห้องทางหน้าต่าง รีบวิ่งไปทางที่สัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องของนางฟ้าองค์นั้นทันที

    “ฟาซัง..” ผมเรียกร่างบางที่ทรุดตัวอยู่หน้าร่างไร้ชีวิตที่เหือดแห้ง

    ร่างบางที่เป็นดั่งนางฟ้าอันงดงามหันหน้าที่เปื้อนหยดน้ำตามาทางผม ผมคุกเข่าลงข้างๆฟาก่อนที่เธอจะโผเข้ากอดผมอย่างแรง

    “ไฟน์คุง ไฟน์คุง ฮึกๆ พี่ฆ่าคนไปแล้ว ฮือๆ พี่ฆ่าคนไปแล้วจริงๆ ฮือๆ”

    ร่างบางซบลงบนไหล่กว้างของผม น้ำตาของความสำนึกผิดของเธอไหลออกมาไม่ขาดสายจนสูทสีขาวเปื้อนเลือดชุ่มไปด้วยน้ำตา มือบางทั้งสองข้างกอดผมเอาไว้แน่น เล็บที่เปื้อนไปด้วยเลือดจิกลงบนแผ่นหลังของผมราวกับจะระบายความเจ็บปวดออกมาทั้งหมด ผมทำได้เพียงลูบหัวฟาเบาๆเพื่อให้จิตใจของเธอสงบลงช้าๆ

    “ฟาซัง...” ผมเริ่มพูดขึ้นหลังจากเธอเริ่มสงบลงและนอนพิงอยู่ในอ้อมกอดแกร่งของผม

    “มีอะไรเหรอไฟน์คุง” ฟาเงยหน้าขึ้นมามองผม ดวงตาสีแดงช้ำเพราะร้องไห้มานาน ผมก้มลงจูบหน้าผากนวลของฟาซัง

    “ฟาซังไม่อยากเป็นราชินีแวมไพร์ใช่ไหม ไม่อยากเป็นผู้นำของเหล่าปีศาจพวกนี้ใช่ไหม หนีไปเถอะครับ หนีไป ผมจะอยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ ไม่ให้ท่านพ่อท่านแม่ทำร้ายฟาซังได้ ไปให้ไกล อย่ากลับมาที่นี่อีก เชื่อผม ผมจะคอยช่วยเหลือฟาซังจากที่นี่เอง”

    ฟาซังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ผมลูบหัวเธอเบาๆเป็นการปลอบโยน

    “แต่พี่...” ไม่อยากหลบหนีปัญหาไป แล้วทิ้งให้ไฟน์คุงต้องดิ้นรนอยู่ที่นี่คนเดียว

    “แม้ว่าฟาซังจะไม่พูด แต่ผมก็รู้อยู่ดี ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมเต็มใจทำเพื่อฟาซังเอง” ผมดึงฟาเข้ามากอดแน่นๆหนึ่งครั้ง จุมพิตลงบนหน้าผาก ก่อนจะปล่อยเธอออกไป

    “บ้านพักตากอากาศเก่าๆตามชายแดนที่ท่านพ่อกับท่านแม่ทิ้งไปแล้วยังพอเป็นที่พักพิงได้ชั่วคราว มีอะไรก็บอกผมได้ ไปเถอะ พระอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว” ผมผลักฟาที่นั่งนิ่งเบาๆ เธอลุกขึ้นช้าๆ ปัดเศษฝุ่นตามกระโปรงออก ผมลุกขึ้นมองร่างเล็กที่ดูโดดเดี่ยวและเศร้าโศกอย่างที่สุดแต่กลับมีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะยืนขึ้นได้ด้วยตัวเอง

    ฟาก้มหน้านิ่งๆ ผมกำลังก้าวเข้าไปปลอบโยนเธอ ในวินาทีนั้น เธอเงยหน้าขึ้นมาและส่งยิ้นที่อ่อนโยนที่สุดให้กับผม รอยยิ้มงดงามราวกับนางฟ้าที่โบยบินลงมาเพื่อผม ผมอึ้งค้างกับรอยยิ้มอันงดงามนั่น รอยยิ้มที่มอบให้ผมเพียงคนเดียว

    “ไฟน์คุงนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงพี่นะ พี่ดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว ยังไงพี่ก็มีไฟน์คุงดูแลอยู่ เรื่องแค่นี้ พี่ทำได้อยู่แล้ว”  ฟาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงและยิ้มอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ท่าทางของเธอนั้นราวกับจะปัดเป่าความกังวลทั้งหมดทั้งสิ้นในใจของผมไปจนไม่เหลือ

    ฟาค่อยๆก้าวถอยหลังห่างจากผมไปด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ เธอยิ้มเหมือนกับที่มอบให้ผมทุกๆวัน กิริยาท่าทางที่ฉาบด้วยความบริสุทธิ์นั่นเหมือนเดิมกับที่เธอแสดงให้ทุกคนเห็น แต่เสียงในจิตใจของเธอกลับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเจียนสลาย

    เสียงกรีดร้องในจิตใจของฟาแทงลึกลงไปในจิตใจของผม ฟาหมุนตัวหันหลังให้กลับผม ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มอำลาเป็นครั้งสุดท้าย และร่างบางแสนบริสุทธิ์ก็ได้จากไป

    เข่าของผมทรุดลง ณ ตรงนั้น ข้างๆมีศพที่ตกเป็นเหยื่อของฟานอนอยู่อย่างไร้ชีวิต ผมมองใบหน้าที่ซีดขาวของเหยื่อรายนั้นแล้วก็ต้องตกตะลึง

    ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมฟาถึงได้เสียใจมากขนาดนี้ เธอรักและเอ็นดูเด็กสาว... เหยื่อของเธอ เด็กสาวที่ไร้ซึ่งโอกาส ในชีวิตคนนี้มาก

    ฟามักจะเป็นผู้เติมเต็มชีวิตเด็กยากไร้ที่อาศัยอยู่ในป่าหลังคฤหาสน์อย่างเดียวดายคนนี้ ทำทุกอย่างเพื่อนให้ชีวิตของเด็กคนนี้ใกล้เคียงกับคำว่าปกติมากที่สุด เป็นเวลานานนับสิบปีโดยไม่ปริปากบ่น

    เธอมักจะเฝ้ามองดูชีวิตของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสุขอยู่ใกล้ๆราวกับเป็นผู้อุปถัมป์ดูแลตลอดมา แต่ในวันนี้ ฟากลับเป็นผู้จบชีวิตแสนสุขที่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมาด้วยมือของเธอเอง...

    เหอะ ความคิดไร้สาระพวกนี้ไม่สมควรหลงเหลือในหัวสมองของผม เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ เอาเนื้อที่สมองไปใช้กับเรื่องป้องกันฟาซังจากเจ้าแวมไพร์ชั่วสองตัวนั่นดีกว่า

     

    ...

    ค่ำคืนมาเยือนดั่งเช่นทุกๆวัน แสงจันทร์สาดส่องลงมาในห้องพักสุดหรู ฉันยันตัวขึ้นมาจากเตียงใหญ่ ขยี้ตาสองสามครั้งก่อนจะลงจากเตียง เดินเข้าห้องน้ำไป

    นี่ก็ผ่านมาราวๆสองปีแล้วสินะ ชีวิตของฉันพเนจรร่อนเร่ไปเรื่อย ไม่สามารถลงหลักปักฐานลง ณ ที่ไหนได้

    นานวันเข้าฉันก็เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ มีความสัมพันธ์ต่อคนรอบข้างได้เพียงผิวเผิน เพื่อไม่ทำให้พวกเขาเสียใจ รับรายชื่อบุคคลที่สมควรตาย อยากตาย ชื่นชอบความตาย มอบความตายให้ผู้อื่นในทางที่ผิด ไล่ล่าคนตามรายชื่อเป็นมื้อเย็นประจำวัน นอกจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไฟน์คุงจะคอยหนุนหลังให้ฉันเสมอ

    ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดเดรสยาวสีดำลายลูกไม้ ผมสีฟ้าอ่อนยาวระเอวถักทอด้วยด้ายสีดำเล็กๆ บนลำคอระหงประดับด้วยสร้อยไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่

    แสงสียามดึกของเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองเศรษฐกิจมืดที่ใหญ่แห่งหนึ่งสาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ที่เป็นกำแพงของห้องพักที่มีวิวสวยที่สุดในโรงแรมแห่งนี้

    ฉันรินของเหลวสีแดงจากขวดแก้วทรงสูงใส่ลงในแก้วไวน์ช้าๆ ก่อนจะยกขึ้นจิบทีล่ะนิดแล้วเดินไปยืนริมกระจก เฝ้ามองผู้คนเดินควักไคว่ไปมาบนถนนสีทองอันฟุ่มเฟ้อ

    นาฬิกาชีวิตของมนุษย์เป็นอะไรที่งดงามอย่างสมบูรณ์แบบมาก ฉันมักจะเฝ้ามองพวกเรา ตั้งแต่ตอนยังเป็นมนุษย์แล้วล่ะ ตอนแรกฉันก็เสียดายที่ไม่สามารถอยู่เฝ้ามองพวกเขาได้จนเมื่อเข็มวินาทีหยุดเดิน แต่ในตอนนี้ ฉันคงอยู่มองได้จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน...

    และในวันนี้ ฉันมาที่นี่เพื่อทำลายนาฬิกาชีวิตของมนุษย์อีกคนหนึ่ง

     

    ...

    ฉันปัดรอยเปื้อนบนถุงมือลูกไม้สีดำออกเบาๆ กระชับเสื้อคลุมเข้าแล้วเดินออกจากตรอกมืดสู่ถนนสีทองเส้นเดิม

    พร้อมกับขวดแก้วทรงสูงบรรจุของเหลวสีแดง

    •°•.° ~ ~ °.•°•

    เสียงเรียกเข้าจากไอโฟนของฉันดังขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิดปกติเลยในถนนแห่งนี้ คนที่เดินไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่เร่งร้อนอะไรอย่างฉันต่างหากที่แปลกประหลาด

    “ฮัลโหลไฟน์คุง” ฉันกรอกเสียงหวานลงไปเมื่อรับสาย ฉันเชื่อว่าในตอนนี้อีกฝ่ายคงโล่งใจลงอีกเปราะหนึ่งเมื่อพบว่าฉันยังสบายดี

    “เสร็จไปอีกหนึ่งรายแล้วสินะครับ” เสียงทุ้มจากฝ่ายตรงข้ามตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงล้อเล่นเล็กน้อย

    “แน่นอนอยู่แล้ว นี่โทรมาหาพี่มีอะไรเหรอ จะสั่งงานให้พี่อีกใช่ไหม”

    “เปล่านะครับพี่อยากอยู่ที่นั่นต่อไหม?”

    “ก็.. ถ้าถามว่าให้พี่อยู่ต่อไปที่นี่ได้ไหม ก็ได้จ๊ะ ถ้าถามว่าจะให้พี่อยู่ที่อื่นได้ไหม ก็ดีจ๊ะ”

    “ผมจะโทรมาถามพี่ว่า มีที่ที่ผมคิดว่าพี่คงอยู่ที่นั่นได้นานหน่อย พี่อยากลองไปอยู่ที่นั่นไหม”

    “อืม... ตอบยากนะจ๊ะ ที่ไหนล่ะ”

    “ เมืองแอนเดรียสครับ”

    ฉันระบายรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกรอกเสียงหวานกลับลงไปอีกครั้ง

    “ไว้เจอกันที่นั่นจ๊ะ น้องชายที่รักของพี่”

    และการเดินทางของฉันก็เริ่มดำเนินต่ออีกครั้ง


    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------Talk with Casberry
    อยากจะบอกว่า เขียนเองแอบน้ำตาไหลเอง Y Y มันไม่ซึ้งอะไรหรอกนะ แค่กวิ้นรักมากเฉยๆ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันไม่เป็นไร ฮึก! *ตามบทนางเอกละคร* 555
    เม้นต์ โหวตๆนะจ๊ะ จุ๊บๆ รักคนอ่านที่สุดเลย >w<

    :)  Shalunla

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×