อาถรรพ์นางคอย
นาฬิกาเรือนเก่าอาจไม่มีความหมาย
แค่ผ่านพ้นไปอาจไม่สำคัญ
แต่นาฬิกาเรือนเก่ายังบอกเวลาฉัน
บอกว่าครั้งหนึ่ง...เราเคยรักกัน
ท่ามกลางป่าลึกมีเพียงเสียงเศษใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ สายลมกระหน่ำพัดทำให้เกิดเสียงกิ่งไม้เสียดสีกันสู้กับความเงียบสงัด ทิ้งน้ำหนักของเท้าทั้งสองลงบนผืนดินทีละข้าง ทีละข้าง กระทั่งหยุดนิ่งอยู่ใต้ต้นพิกุลแสนสง่าและสูงใหญ่
หญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดดูเรียบร้อยไปทั้งตัวเดินกลับมาสถานที่เดิมที่คุ้นเคย กลิ่นหอมของดอกไม้กลางคืน เสียงของจั๊กจั่นบ่งบอกถึงเวลาสำคัญสำหรับหญิงสาว
“ถ้าพี่ไม่มา ฉันจะตรอมใจเสียตรงนี้”
เธอยังคงนั่งรออย่างไม่มีจุดหมาย หลังจากถูกพ่อและแม่กีดกันความรักที่เธอมีต่อ ชนทัต ชายหนุ่มผู้เป็นคนรักคนเดียวของ มีนา ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก ชายหนุ่มที่คาดหวังว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันไปจนแก่เฒ่ากลับนิ่งเฉยกับอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเขา
จวบจนสองชั่วโมงก็ยังไม่พบวี่แวว การตัดสินใจของมีนาอาจจะส่งผลดีต่อชีวิตของเธอ และมันอาจจะดีต่อชีวิตของเขาเช่นกัน
หญิงสาวพ่นลมหายใจ คืนนี้ก็เหมือนกับทุกๆคืน เหมือนชีวิตประจำวันของเธอ เหมือนสิ่งที่เธอคุ้นชิน ผิดแปลกไปแต่ความรู้สึกที่พังทลาย มีนาไม่อยากสวมบทนางเอกอีกต่อไปแล้ว เธอจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
“ฉันรักพี่มากนะ ชาติหน้าฉันใด...ขอให้เราได้รักกันอีก”
เชือกเส้นหนาคล้องรอบต้นคออ่อนก่อนมันจะถูกออกแรงให้ตึงมากขึ้น หญิงสาวฉีกยิ้มออกมาเป็นครั้งสุดท้ายบนกิ่งไม้หนาที่ยื่นออกมาจากต้นพิกุลต้นนี้
เธอทิ้งน้ำหนักตัวตามแรงโน้มถ่วง...โดยเชือกเส้นเดิมยังคงพันธนาการร่างกายเอาไว้
จนขาดลมหายใจในที่สุด
อยากให้เธอยังอยู่ตรงนี้กับฉัน
เหมือนยังรออยู่...เหมือนยังคอยอยู่
เหมือนว่ายังอยู่
***
หากจะถามถึงวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของฉัน คงจะตอบได้ว่าเป็นทุกวันตั้งแต่ลืมตามองโลกใบนี้
ฉันชื่อ ชลธี ชลธีที่แปลว่าทะเลหรือทะเลสาบ เพื่อนๆมักจะเรียกฉันว่า “ชล” บางครั้งก็แปรผันเป็นเป็นชื่อสุดแสนจะน่ารักอย่างชลลี่หรือน้องชล
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบนัก พ่อของฉันติดการพนัน ส่วนน้องชายของฉันก็เป็นเด็กเกเรเรียนไม่จบชั้นมัธยมต้นมาสองปีกว่าแล้ว มีเพียงแม่กับฉันที่ค้ำจุนครอบครัวและคอยแก้ปัญหาที่พ่อและน้องชายก่อไว้
เวรกรรมของฉันจากชาติปางไหนวะเนี่ย
“ชลลี่อย่าลืมหยิบยากันยุงไปด้วยนะ ฉันได้ข่าวว่าที่ตั้งแคมป์ของพวกเรายุงโคตรดุเลย”
ซัน เตือนฉันด้วยความหวังดี ฉันเองก็รู้สึกโชคดีนะที่ม่ีเพื่อนดูแลเอาใจใส่เก่งขนาดนี้ กับซันน่ะบางทีเราก็เหมือนแฟนกันมากๆเลยนะ คอยดูแลกันตลอด ตักเตือนเวลาทำผิด หรือแม้กระทั่งเวลานอนเรายังเคยเผลอกอดกันบ้างเลย
เพื่อนที่ไหนเขาทำกันแบบนี้วะ? ตลกชะมัด
“โอเคๆไม่ลืม เอาแบบสเปรย์หรือโลชั่นอะ”
“โลชั่นแล้วกัน” ซันตอบ
“ซันจะทาให้ชลลี่บ่อยๆเลย ฮี่ๆๆ”
รถทัวร์ขับมาถึงที่พักแรมของพวกเรา ฉันก้าวเท้าลงจากรถก่อนเดินเท้าต่ออีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรเหตุผลรถทัวร์ไม่สามารถขับเข้าไปถึงด้านในได้ กระทั่งเรามาถึงจุดหมาย ฉันกวาดตามองไปทั่วแต่พบเพียงสิ่งปลูกสร้างเล็กๆและโรงอาบน้ำที่อยู่ห่างไปไม่ใกล้จากสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น
ฉันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่สามแล้วนะ ทำไมถึงต้องมาเข้าค่ายเหมือนเด็กมัธยมแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ลมหายใจถูกถอนทิ้งเป็นระยะก่อนฉันจะวางกระเป๋าเป้ใบโตไว้ในเตนท์ส่วนตัวของฉันกับซัน
“ต้องอาบน้ำรวมจริงหรอ ให้ตายเถอะฉันไม่ได้เตรียมผ้าถุงมา” ซันบ่นอุบ
“นี่ซัน สมัยนี้ใครเขาใช้ผ้าถุงกันอยู่วะฮะ...นี่ เธอก็ใส่แค่ชุดชั้นในแล้วก็แอบไปอาบตอนที่เพื่อนคนอื่นนอนกันหมดแล้วดิ” ฉันยิ้มเล็กๆให้แผนการอันชาญฉลาดของตัวเอง
“เดี๋ยวฉันอาบเป็นเพื่อน ดึกแล้วคงไม่มีใครมาสนใจนมเธอหรอกนอกจากฉัน”
“นี่!!”
แค่หยอกเล่นพอหอมปากหอมคอเอง แล้วทำไมซันต้องตีฉันจนแขนชาขนาดนี้ด้วย มิหนำซ้ำใบหน้าเธอยังกลายเป็นสีลูกมะเขือเทศจนฉันเผลอหัวเราะออกมา
อย่างน้อยเรื่องสนุกในชีวิตของฉันก็คือซันนี่แหละ
ฉันไม่มีทางปล่อยให้เพื่อนคนนี้หายไปจากชีวิตแน่นอน ฉันสัญญา
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เราแอบย่องหนีผู้คุมมาอาบน้ำกันสองคนในเวลาตีหนึ่งเศษๆ ไม่ยักกะรู้ว่าสถานที่จัดแคมป์ของชมรมจะทุรกันดารได้มากขนาดนี้ ไฟก็ไม่มี ต้องใช้แฟลชโทรศัพท์เป็นแสงสว่างแทนอีก ลำบากชะมัดยาก
เราอาบน้ำและแต่งตัวกันอย่างทุลักทุเลก่อนที่ฉันจะส่งสัญญาณให้ซันเดินนำออกไปก่อน เผื่อผู้คุมถามจะได้ตอบว่าปวดท้องกลางดึกกะทันหัน
“แล้วเจอกันในเตนท์นะ แผนตามนี้”
ซันเดินกลับไปก่อนแล้ว ทิ้งให้ตัวฉันเองอยู่ในความมืดท่ามกลางป่าลึกที่มีเพียงเสียงจั๊กจั่นและเสียงใบไม้แห้งดังเป็นระยะ สัญชาตญาณบอกให้ฉันหันกลับไปมองข้างหลัง เมื่อฉันกำลังรู้สึกว่า...มีใครบางคนมองฉันอยู่จากตรงนั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า ระแวงไปเองมั้งเรา”
ฉันไม่ใช่คนกลัวผีและฉันไม่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณหรอกนะ ก็แค่ระแวงกลัวถูกผู้คุมจับไปทำโทษก็เท่านั้นเอง ช่วยไม่ได้อะนะ ก็ฉันไม่อยากอาบน้ำรวมกับคนอื่นนี่
ปึ้ง!
“...อะไรวะ”
คราวนี้ไม่ได้แค่เพียงรู้สึกว่ามีใครกำลังจ้องมอง แต่ฉันกลับรู้สึกขนลุกวูบวาบเมื่อเสียงของแข็งปะทะพื้นดินดังขึ้น มันเหมือนกับเสียงอะไรบางอย่างที่หนักมากๆนั้นตกลงมาจากกิ่งไม้
ปึก!
“โอ๊ย” บางอย่างปลิวมากระแทกศีรษะของฉันอย่างเต็มแรง โชคดีที่มันไม่ใช่หินหรือของแข็งขนาดที่ทำให้ฉันหัวแตกได้
“เม็ดอะไรวะเนี่ย ใต้ต้นพิกุลมีเม็ดแบบนี้ด้วยหรอ”
ฉันพึมพำคนเดียวในความมืด เก็บเมล็ดพันธุ์ประหลาดนั้นใส่กระเป๋ากางเกงก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนกับ...ขาคนที่ห้อยลงมาจากต้นไม้
วินาทีนั้นสติของฉันจึงหายไป ภาพตรงหน้ากลายเป็นเรือนไม้เก่าขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่จนเกินไป กลิ่นของดอกไม้ลอยแตะจมูกช่างหอมสดชื่นอย่างกับบ้านคนไทยสมัยก่อนที่พ่อแม่เคยเล่าให้ฟัง
ภาพของชายหนุ่มรูปหล่อฉายขึ้นตรงหน้าฉัน สันจมูกคมกริบ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มและมีรูปปากที่หนาแต่ดูรับกับใบหน้า เขานั่งอยู่ริมบ่อน้ำกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง เธอหน้าตาสะสวยอย่างกับเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ผิวพรรณผ่องใส รูปร่างผอมบางแต่ดูเข้ากันไปหมดทุกส่วน
เธอสวยมากจริงๆ...ผู้ชายคนนั้นโชคดีจัง
“พี่ทัตจะไปเมืองกรุงจริงหรือ เพราะเหตุใดจึงทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวล่ะ”
“พี่ไปทำงานเก็บเงินแต่งเมียน่ะสิ มีนาอยู่ที่นี่เถอะ...แค่รอพี่กลับมาก็พอ”
“พูดแบบนี้ฉันก็เขินแย่ล่ะสิ”
ใบหน้าขึ้นสีเลือดเมื่อชายหนุ่มที่รักที่สุดเผยความจริงออกมา ว่าเขากำลังจะขอเธอแต่งงาน
“ฟังนะมีนา” ชายหนุ่มพูดต่อ
“พี่รักเธอสุดหัวใจ แล้วไม่ว่าสิ่งใดรวมถึงความตายก็ไม่อาจพรากเราสองคนจากกันได้”
เหมือนละครน้ำเน่าเลยอะ ทำไมฉันต้องมาฝันเห็นอะไรแบบนี้ด้วยนะ
แต่เดี๋ยวนะ....ฉันเผลอหลับตอนไหนวะเนี่ย?
วูบ
ฉันไม่ได้หลับนี่หน่า จู่ๆภาพซ้อนละครน้ำเน่าเหล่านั้นก็หายไปจากสายตาของฉัน เหลือทิ้งไว้เพียงความมืดและเงียบสงัดใต้ต้นพิกุลนี้
“ชล! ชล!”
เสียงเรียกของอาจารย์เอมดังขึ้นสองสามรอบทำให้ฉันหลุดจากภวังค์ความคิด ไหนซันบอกว่าจะแอบกลับเตนท์เงียบๆไง ไหงไปเรียกอาจารย์มาแบบนี้ฉันก็โป๊ะแตกน่ะสิ
“ค่ะอาจารย์เอม หนูอยู่นี่ค่ะ!”
“ชลหายไปไหนมาลูก? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? อาจารย์กับเพื่อนๆตามหาเราซะให้ทั่วเลย”
“หนูสบายดีค่ะ ไม่เป็นอะไรเลย”
“เฮ้อ...โล่งอกไปทีที่เจอนะ” อาจารย์เอมพูดจาแปลกๆทั้งที่ซันเพิ่งเดินกลับเตนท์ไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วเองนะ แถมฉันเองก็ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาเรียกฉันเลย
หลอกกันหรือเปล่าเนี่ย
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะอาจารย์?”
“อาจารย์ต้องถามหนูชลมากกว่า ว่าชลน่ะหายไปไหนมาตั้งสี่ชั่วโมง”
“คะ? สี่ชั่วโมง? แต่หนูเพิ่ง...เอ๊ะ”
อาจารย์เอมยื่นหน้าจอมือถือให้ฉัน ปรากฏตัวเลขบนนาฬิกาดิจิตัลเป็นเวลา ตีห้าครึ่ง
บ้าหน่า...ตอนอาบน้ำเสร็จมันเพิ่งตีหนึ่งกว่าๆเองนะ ฉันเองก็ใช้เวลาเดินเล่นแค่สิบนาทีเอง
แล้วทำไมถึงกลายเป็นสี่ชั่วโมงได้นะ
“ไม่เป็นไรๆกลับมาก็ดีแล้ว อาจารย์นึกว่าเราจะซวยกันหมดแล้วซะอีก”
“คือหนูเพิ่งเดินแค่สิบนาทีเองนะคะอาจารย์ ไม่เชื่อถามซันสิ”
“ชล…”
ซันโผกอดฉันพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ชลหายไปสี่ชั่วโมงจริงๆ ซันนึกว่าจะเสียชลไปแล้ว ฮึก”
นั่นแหละค่ะเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับฉัน ตลกดีเนอะที่จู่ๆฉันก็วาร์ปหายไปไหนก็ไม่รู้ตั้งสี่ชั่วโมง
ทั้งๆที่ฉันยังไม่ทันร้องเพลงจบเลยด้วยซ้ำ...
เมล็ดพันธุ์ประหลาดมักได้มาจาก ป่าหิมพานต์ ผืนป่าแห่งนี้คือดินแดนแห่งตำนานมักกะลีผล ตามตำนานเล่ากันว่าป่าหิมพานต์เป็นดินแดนแห่งโลกทิพย์ทับซ้อนมิติกับโลกมนุษย์ บ่อยครั้งที่เริื่องเหนือธรรมชาติจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคที่เปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
มักกะลีผลออกผลเป็นหญิงสาวรูปงาม ตำนานไม่ได้กล่าวไว้ว่าพวกเขารับประทานอะไรเป็นอาหารหรือใช้ชีวิตอยู่ได้นานที่สุดกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี แล้วจะเป็นไปได้ไหม? ที่เมล็ดพันธุ์ที่ฉันได้มามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้
ฉันไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ
แต่บางสิ่งบางอย่างดลใจให้ฉันนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับป่าหิมพานต์และหญิงสาวที่เกิดจากต้นไม้ที่เรียกกันว่า “มักกะลีผล หรือ นารีผล”
มือเรียวหยิบเมล็ดพันธุ์พิลึกออกมาจากกล่องใสที่แข็งแรงเป็นพิเศษ นั่งมองมันอยู่สักพัก ชั่งใจว่าฉันควรจะลองพิสูจน์เรื่องเหนือธรรมชาติหรือไม่
“นารีผลจะมีจริงได้ไงวะ ก็แค่มีเมล็ดตกใส่หัวเฉยๆ มันอาจจะเป็นเมล็ดผลไม้พันธุ์หายากก็ได้...เพ้อเจอจริงๆเลยฉัน”
ฉันกำลังจะเก็บมันใส่กล่องดังเดิมแต่กลับชะงักขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
แต่ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย จริงไหม?
เปรี้ยง!
ฟ้าผ่าลงมาไม่ไกลจากละแวกบ้านของฉันสักเท่าไร จู่ๆความคิดพิศดารก็แล่นเข้าสมอง ฉันลุกออกจากโต๊ะทำงานและมุ่งตรงไปยังสวนหลังบ้าน หยิบอุปกรณ์ทำสวนอย่างจอบ เสียม และพลั่วออกมา ก่อนขุดดินและฝังเมล็ดพันธุ์นั้น
ใครจะรู้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของฉัน...
เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
***
สามวันให้หลัง
ขณะที่พ่อแม่และน้องชายได้มีโอกาสไปค้างแรมที่ต่างจังหวัดและปล่อยให้ฉันอยู่บ้านเพียงลำพัง จู่ๆก็มีหญิงสาวปริศนายืนอยู่หน้าประตูบ้าน ฉันมองลอดหน้าต่างออกไปพบร่างกายของเธอชุ่มฉ่ำไปด้วยเม็ดฝนที่กระหน่ำตกลงมา ฉันเองก็ไม่ใช่คนใจร้ายที่สามารถทนมองผู้หญิงตากฝนได้นานๆหรอกนะ มันอันตรายจะตายจริงไหม ฉะนั้นจึงตัดสินใจถืออาวุธมีดไว้เพื่อป้องกันตัวก่อนใจกล้าจะบังคับให้มือเรียวเอื้อมไปเปิดประตูต้อนรับหญิงสาวผู้น่าสงสาร
แต่ภาพตรงหน้าทำให้ฉันถึงกับอุทานออกมาอย่างแรง
“เชี่ย!”
ปั้ง!
ออกแรงปิดประตูพร้อมขยี้ตาตัวเองสองสามรอบ นี่ไม่ใช่ภาพทิพย์ที่ฉันมองเห็นอีกใช่ไหม? ผู้หญิงคนนั้นหน้าเหมือนคนในนิมิตของฉัน...ฉันจำไม่ผิดแน่ๆ แต่เหตุผลที่ฉันตกใจขนาดนั้นไม่ใช่เพราะเธอหน้าเหมือนผู้หญิงที่ชื่อมีนา
แต่เป็นเพราะเธอไม่สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้นต่างหากล่ะ
สงสัยแต่ก็กลัวจะเป็นพวกโรคจิต ฉันชั่งใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเปิดประตูให้หญิงสาวผู้น่าสงสารเข้ามาหลบฝนภายในห้องรับรองแขก
“เธอเป็นใคร? แล้วทำไมสภาพถึง...เละเทะขนาดนี้”
โพล่งปากถามพร้อมหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาห่อหุ้มร่างกายของเธอ จะพูดไปก็อดที่จะมองไม่ได้หรอกเพราะสัดส่วนของผู้หญิงคนนี้ช่างดูดีไปหมดทั้งตัวจริงๆ
...อยากล้างตาจัง
“…”
“ฉันให้เธออยู่ได้ไม่นานหรอกนะคะ เห็นใจหรอกถึงให้เข้ามาอยู่ในบ้านแบบนี้”
“ข้าขออยู่เพียงชั่วครู่ จับตาดูไม่่หนีห่าง”
ว้อท!!?
“จับตาดูอะไรของเธอเนี่ย เป็นพวกโรคจิตเปล่าเนี่ย กรี๊ด!”
เผลออุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อจู่ๆผู้หญิงตรงหน้าก็ลุกขึ้นพรวดพลางทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้บนพื้น
“ทำอะไรเนี่ย หยิบผ้ามาคลุมเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
อือหือ...คมชัดยิ่งกว่าหนังระดับโฟร์เคเลยแม่คุณเอ๊ย
“ได้โปรดอย่าใจร้ายนักเลย” เธอพูด
“นายท่าน”
จู่ๆหญิงสาวปริศนาก็เดินเข้ามาประชิดตัวฉันใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ร่างเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้ากำลังสัมผัสลงบนหน้าตัก เธอใช้ส่วนสงวนที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสะวันนาแนบลงบนต้นขาของฉัน ใบหน้าจดจ้องเข้ามาในดวงตาของฉันราวกับสะกดจิต
ฉันกลืนน้ำลายดังอึกเมื่อเรียวปากบางนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กระทั่งมันไปหยุดอยู่ข้างๆใบหู ผู้หญิงคนนี้เงียบไปพักหนึ่งก่อนกระซิบบางคำออกมาทำเอาฉันขนลุกซู่
“เรียกข้าว่า มีนา และข้าคือนารีผลที่ท่านสร้างมากับมือ”
ตบหน้าตัวเองสิบครั้งก็ยังเจ็บ ฉันไม่ได้ฝันไป...ผู้หญิงร่างเปลือยที่กำลังนั่งคร่อมฉันอยู่คือนารีผลที่ฉันปลูกไว้อย่างนั้นหรอ
“ไม่จริงน่า” ฉันตัวสั่น
ความคิดพันกันยุ่งเหยิงไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะฉันอ่านบทความเกี่ยวกับป่าหิมพานต์มากจนเก็บไปฝัน...แต่มันกลับเป็นความฝันที่เสมือนของจริงเสียมากๆ
“ฉันไม่เชื่อว่าเธอเป็นพวกอมนุษย์ เธออาจจะเป็นแค่โรคจิตที่เข้ามาขโมยของก็ได้ ฉันน่ะไม่เชื่อ...”
เพล้ง!
จู่ๆแก้วน้ำที่ตั้งไว้บนโต๊ะกลับแตกกระจายอยู่กับที่ มันไม่ได้ร่วงหล่นลงมาแตกแต่อย่างใด หญิงสาวทำมันแบบนั้นอยู่สองสามครั้งจนแก้วเหล้าของพ่อจะแตกหมดครัวแล้ว
ปะ...เป็นไปไม่ได้
ความไม่ระวังทำให้ฉันไม่ทันสังเกตคนตรงหน้า ไม่สิ...ไม่เรียกว่าคน ให้เรียกว่าอมนุษย์จะดีกว่า จู่ๆมีนาก็โน้มตัวเข้าจู่โจมฉันอีกรอบพร้อมขยี้ริมฝีปากใส่ฉันอย่างหิวกระหายอย่างกับสัตว์ป่า
“อุบ”
ใช่ เธอจูบฉัน รุนแรงและหิวโหยอย่างกับพวกผู้หญิงคลั่งเซ็กส์ในหนังผู้ใหญ่สิบแปดบวก
“อะไรของเธอเนี่ย! เป็นผีแล้วยังเป็นเบี้ยนอีกหรือไง”
ฉันผลักมีนาออกไปพลางใช้มือเช็ดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ไม่รู้หรอกนะว่านารีผลเป็นมนุษย์สปีชีส์ไหน กินอะไร นอนกี่ชั่วโมง หรือแม้กระทั่งมีเพศสัมพันธ์แบบไหน
...ฉันไม่รู้อะไรเลย
“ขอแค่ครั้งเดียว แล้วข้าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อนายท่าน”
“ครั้งเดียวอะไรของเธอ” ฉันขมวดคิ้วต่ำ
“ขอเพียงข้าได้พลีกายถวายนายท่าน ครั้งเดียวเท่านั้น”
Holy shit! จู่ๆก็มีผีสาวสวยมาพลีกายถวายให้ถึงที่ นี่มันบุญหรือบาปกรรมกันแน่นะ ไอ้ชลเอ๊ย
“อะ...อะไรนะ” ฉันอ้าปากค้าง
“ขอแค่ส่วนนี้ของนายท่านอยู่ในตัวข้าก็เพียงพอ”
มีนายกมือของฉันขึ้นมาพลางลูบวนบนนิ้วเรียวไปมาอย่างหื่นกระหาย จู่ๆเธอก็เคลื่อนมันไปวางบนภูเขาทั้งสองลูกที่ประดับด้วยเชอร์รี่ชูชันตรงหน้าฉันเต็มสองลูกตา
ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความฝันแต่มันโคตรจะพิศดารเลย สงสัยการ ‘มีอะไรกับผี’ คงไม่ใช่รสนิยมของฉันสักเท่าไรนัก
“หยุดก่อนมีนา ฉันคิดว่าฉันไม่อยากทำตอนนี้ อึก”
มันเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน ทั้งที่ร่างกายกำลังต่อต้านแต่หัวใจกลับรู้สึกยอมรับมัน
ทั้งที่รู้สึกดี แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดบีบให้ฉันเรียนรู้วิธีที่จะปฏิเสธการกระทำของคนตรงหน้า สติของไอ้ชลคนนี้กลับมาแล้ว มือเรียวจึงออกแรงผลักร่างบางนั้นออกไปอีกครั้งพลันร้องไห้ออกมาอย่างตื่นกลัว
“นายท่านกลัวอะไรข้าหรือ? ข้าเพียงต้องการมอบความสุขให้นายท่าน...”
“ไม่! ฉันไม่อยากรับอะไรจากเธอทั้งนั้น!” ฉันตะคอกใส่นารีผล นารีผลที่ฉันปลูกมันด้วยมือของตัวเอง
“เธอเกิดมาแค่เพื่อสิ่งนี้หรือไง!”
“ข้าขอปฏิเสธ นายท่านกำลังเข้าใจข้าผิด ข้าเพียงเกิดมาเพื่อรับใช้นายท่าน...” มีนาร้องไห้
“ตลอดชั่วชีวิต”
เสียงครืนครานเริ่มลั่นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหยาดฝนที่เทลงมาจากท้องฟ้า ไฟฟ้าในบ้านของฉันดับ และใช่ ฉันกำลังรู้สึกกลัวมากๆ ผู้หญิงตัวเล็กๆต้องอยู่กับอมนุษย์เพียงลำพังในบ้านที่ไร้ซึ่งแสงสว่างหรือเสียงเพลง
“ต่อให้ท่านจะคิดว่าข้าเป็นสิ่งอื่นใด แต่สุดท้ายข้าก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง”
“…”
“ท่านลองสัมผัสมันสิ”
มีนาจับมือของฉันไปทาบวางบนแผ่นอกด้านซ้ายของเธอ ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงก้อนหัวใจที่กำลังเต้นไม่ต่างกับมนุษย์ มีนาหลับตาพริ้ม ยินยอมให้ฉันสัมผัสร่างกายของเธอเพื่อพิสูจน์ความเป็นมนุษย์อย่างไม่ขัดขืน
“ถ้าเป็นแบบนี้แล้วล่ะก็...” ฉันกระแอมเสียง
“ฉันจำเป็นต้องพาเธอไปอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยกับฉัน เพราะถ้าเธออยู่ที่นี่พ่อแม่คงสงสัยแน่ๆ”
“ข้ายินดีทำตามใจนายท่านทุกอย่าง”
“อื้ม ก็ดี”
ความเหนื่อยล้าทำให้ฉันอยากจะหนีจากเรื่องบ้าๆพวกนี้ หนีไปให้ไกลแต่ฉันทำไม่ได้ สองเท้าลุกออกจากห้องรับแขกก่อนนำอีกฝ่ายขึ้นมายังห้องนอนส่วนตัวของฉัน และเอ่ยปากให้เธอนอนห้องนี้ได้จนกว่าจะเช้า
“ฉันจะไปนอนโซฟาข้างล่าง เธอนอนที่นี่เถอะ”
“ข้าคงจะรู้สึกเสียใจหากนายท่านต้องลำบากเพราะข้า” มีนากล่าว
“ฉะนั้นนายท่านได้โปรดเอนกายลงเคียงข้างข้า บนเตียงไม้นี้เถอะ”
***
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นพร้อมปรากฏชื่อบนหน้าจอที่คุ้นเคย ซันโทรมาหาฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่เกิดขึ้นหลังจากหมกมุ่นอยู่กับสาวนารีผลแสนสวยคนนี้
“ว่าไงซัน”
“เย็นนี้ออกไปช่วยทำอุปกรณ์ที่ช็อปกันไปไหม คนที่ชมรมไปกันหมดเลยนะ”
เสียงใสดังทะลุโทรศัพท์มือถือทำเอาฉันเผลอฉีกยิ้มเล็กๆออกมา สายตากวาดมองไปทั่วห้องก่อนพบนารีนั่งอยู่บนขอบเตียงนอนและมองมาที่ฉันอย่างไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้
“เอ่อซันคือฉันอาจจะไม่...”
“ช่วงนี้เธอมัวแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้องนะชล ออกมาหาเพื่อนบ้างไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
น้ำเสียงของซันเริ่มจริงจังขึ้นแต่ฉันเลือกไม่ได้หนิ ถ้าปล่อยให้มีนาออกไปเดินเพ่นพ่านในโลกมนุษย์คงไม่ดีแน่ๆ สมองขบคิดหาทางแก้ไขเพราะถ้าหากฉันเบี้ยวนัดซันอีกล่ะก็มีหวังเธอบุกมาหาฉันที่ห้องแล้วเจอมีนาแน่ๆ
โป๊ะแตกก็คราวนี้ล่ะ เอาไงเอากันก็ได้วะ!
“โอเคฉันจะไป ขอเวลาครึ่งชั่วโมงนะ”
กดวางสายพลางถอนหายใจ ชุดนักศึกษากระโปรงพลีทคงจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายสำหรับการพลางตัวเป็นมนุษย์ให้กับมีนา
“ใส่ชุดนี้ซะ เธอต้องออกไปข้างนอกกับฉัน”
“จริงหรือนายท่าน!” มีนาฉีกยิ้มกว้างเผยเหงือกสีชมพูสดพร้อมฟันที่เรียงสวยดูเป็นธรรมชาติ
ให้ตายเถอะ น่ารักเป็นบ้า
“อื้ม แล้วก็อย่าเที่ยวไปทำแบบนั้นกับใครล่ะ คงจะไม่ดีแน่ถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอไม่ใช่คน”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ไม่ๆๆๆ แล้วเธอช่วยเอ่อ...พูดภาษาคนปกติได้ไหม?”
“…”
“อย่างเช่นฉันกับเธอ คุณ เรา เค้า ตัวเอง แต่อย่ามึงกับกูก็พอ เข้าใจ...” เอ่ยกำชับพลางหันกลับไปมองเจ้าของร่างที่เพิ่งเปลี่ยนจากชุดลำลองเป็นชุดนักศึกษาหญิง
“…ใช่ไหม”
สวยฉิบหาย
มีนาดูดีจนแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ฉันอ้าปากค้างให้กับงามของผู้หญิงคนนี้จนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าฉันน่ะแอบหลงเสน่ห์มีนาขึ้นมาบ้างนิดนึงแล้วล่ะ
“ฉันต้องพูดแบบนี้หรอคะ คุณชล”
“อือ อะแฮ่ม” ฉันกระแอมเสียงเล็กๆ
“นั่นแหละพูดปกติแบบที่ฉันพูดกับเธอน่ะ ถ้าใครถามก็บอกว่าเธอเป็นรุ่นน้องต่างคณะที่เพิ่งย้ายเข้ามาเป็นรูมเมทฉันก็แล้วกัน”
“ค่ะ คุณชล” น้ำเสียงคนตรงหน้ากำลังโจมตีหัวใจของฉันอย่างรุนแรง ท่องกับตัวเองไว้ว่าฉันจะหลงรักอมนุษย์ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
“เปลี่ยนชุดเสร็จก็ไปกันได้แล้ว”
“เชี่ยยยยยยย นั่นเด็กไอ้ชลหรอวะ สวยเปลืองมากแม่ง”
ฉันวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะ สองขาก้าวเข้ามานั่งพร้อมกับมีนาที่เดินตามมาไม่ห่าง จวนเจียนจะหมดความอดทนเพราะพวกเพื่อนผู้ชายเอาแต่มองมีนาตาเป็นมัน แถมยังถามโน่นถามนี่สร้างความรำคาญให้แก่เธอไม่ใช่น้อย
แววตาสีดำนิ่งสนิทประกายลุ่มลึกไม่อาจเข้าถึงความคิดของมีนาได้ เธอยิ้มบางๆให้ชายหนุ่มพลางหันมามองหน้าฉันราวกับเธอไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวใดๆ
“เออคนนี้แฟนกูเอง พวกมึงเลิกถามมากได้แล้ว! น้องเขารำคาญ” ฉันตอบปัดๆ
“อะหูยยยยย ที่หายไปหลายวันนี่มึงแอบเก็บเมียไว้ในห้องนี่เอง เปิดตัวขนาดนี้ไม่เกรงใจซันหน่อยหรอวะ นั่นก็เมียมึงหนิ”
“เมียพ่อมึงสิ” ฉันตะโกนด่าไอ้พวกชอบลามปาม
“ซันเป็นเพื่อนสนิทเฉยๆย่ะ”
ฉันมองไปยังหญิงสาวผมสีบลอนด์อ่อนที่ช่วยรุ่นพี่อีกกลุ่มอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านัยน์ตาคู่นี้มันกำลังอัดแน่นไปด้วยความกังวลบางอย่างท่ี่แล่นเข้ามาระหว่างฉันกับซัน
ฉันเคยชอบซัน
ไม่สิ...
ซันกับฉันเราเคยชอบกัน
ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าความรู้สึกของซันมันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม ซันเองก็คงจะไม่โอเคที่ฉันพามีนามาด้วยแบบนี้ จู่ๆก็มีผู้หญิงสวยเข้ามาในชีวิตแถมยังตามแจไปไหนต่อไหนไม่ให้ห่าง คงไม่แปลกหรอกมั้งที่ซันจะนอยด์ฉันบ่อยๆ
เรามองหน้ากันอยู่สักพักในระยะห่างเกือบยี่สิบเมตร ฉันถอนหายใจ
“ทำไมมันไม่เข้ามาหามึงวะ มันเป็นคนโทรไปชวนมึงหนิ”
“ไม่รู้ว่ะ” ทำได้เพียงตอบปัดๆกลับไป
ฉันบอกความจริงกับซันไม่ได้ ต่อให้อมพระมาพูดเธอก็ไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามจะสื่อ จะให้พูดว่ามีนาเป็นมนุษย์ที่เกิดจากต้นไม้จากเมล็ดพันธุ์ลึกลับเนี่ยอะนะ...เหอะ แค่เกริ่นหัวข้อเฉยๆคนฟังยังหัวเราะเลย
“คุณชลดูเป็นกังวลกับคนชื่อซันเสียจริง” มีนาขมวดคิ้ว เม้มปากเป็นเส้นตรงพลางมองมาที่ฉัน
“พามีนาออกมาเที่ยวเพื่อมองหญิงอื่น จิตใจทำด้วยอะไร”
สถานการณ์ไม่ดีนักเมื่อมีนาเอาแต่ทำท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจพลางพูดจาตัดพ้อโน่นนี่นั่นจนพวกเพื่อนผู้ชายหันมองฉันเป็นตาเดียว มีนามองมาอย่างคาดโทษเมื่อฉันเอาแต่ส่งข้อความอธิบายเรื่องผู้หญิงคนนี้ให้ซันรับรู้
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อน พลบค่ำแล้วมักอันตราย”
“เธอจะกลับคนเดียวไม่ได้นะมีนา รอฉันก่อน ฉันยังไม่เสร็จธุระ”
“แล้วพบกันค่ะ”
มีนาลุกออกไปโดยไม่รอฉัน คนสองใจทำได้เพียงนั่งมองผู้หญิงสองคนสลับกันไปมาอย่างสับสน ฉันควรจะอยู่ท่ี่นี่ อธิบายความจริงให้ซันฟัง หรือฉันควรจะวิ่งตามมีนากลับไปดีนะ
“กลับดีๆนะจ๊ะน้องมีนา ถ้าไอ้ชลมันไม่สนใจเดี๋ยวพวกพี่ไปส่งเอง ฮิ้ว”
เพี้ยะ!
ฉันฟาดแรงๆไปบนท่อนแขนของเพื่อนชาย
“ปากดีนักนะพวกมึง ไม่มีใครจะไปไหนทั้งนั้น นั่งลง!”
จู่ๆก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิดในขึ้นมาอย่างกะทันหัน สมองประมวลหาเหตุผลทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์มาเพื่ออธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่อาจหาเจอ มีนาทำตัวเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหัวใจฉันทั้งๆที่เราไม่เคยเป็นอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
“บ้าชะมัด”
ฉันตัดสินใจทิ้งซัน เก็บข้าวของทุกอย่างใส่กระเป๋าแล้ววิ่งตามมีนาออกไปในความมืด
ปั้ง!
หากเปรียบหัวใจของฉันเป็นดั่งกาน้ำมันคงจะเป็นกาน้ำที่ถูกเติมเต็มด้วยไฟร้อนแรงจนเดือดปุดๆ ความรู้สึกรุนแรงค่อยๆก่อตัวขึ้นเมื่อฉันมองหน้าผู้หญิงคนนี้ หอบหายใจรุนแรง หนักและถี่ ก่อนกัดฟันกรอดเพื่ออดทนต่อความรู้สึกที่กำลังจะระเบิดออก
“บอกแล้วไงว่าอย่าทำตัวมีปัญหา ฉันไม่ชอบ”
ฉันโมโหมีนามากที่เธอทำตัวงี่เง่า แต่ดูไปดูมาก็ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่กำลังรู้สึกอึดอัด
“ข้าดูไร้ค่าสำหรับท่านมากเหลือเกิน” มีนาตะเบ็งเสียง
“เธอทำตัวเอง”
“ท่านไม่เคยต้องการข้า ไม่เคย!”
“กรี๊ด!”
เพล้ง! ปั้ง!
ความรู้ในอินเทอร์เน็ตไม่เคยบอกไว้ว่านารีผลนั้นมีอารมณ์ที่รุนแรงเหนือมนุษย์ทั่วไป ดวงตากระตุกเล็กน้อยเมื่อเก้าอี้ตัวโปรดลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน ก่อนจะค่อยๆแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและร่วงลงบนพื้น ชิ้นถัดไปเป็นกรอบรูปครอบครัวที่ฉันหวงมาก ใช่...เธอทำมันแตก แล้วฉันก็ไม่แน่ใจด้วยว่าของระบายอารมณ์ชิ้นต่อไปสำหรับมีนาจะเป็นกระดูกของฉันหรือเปล่า
มีนากำลังใช้พลังของตัวเองทำลายข้าวของส่วนตัวของฉันด้วยความโกรธ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะมีนา!”
“…”
“…”
“เมื่อนายท่านบอกให้ข้าหยุด ข้าก็จะหยุด”
ด้วยความสัตย์จริง ฉันชอบมีนามากและเริ่มชอบเธอมาสักพักแล้ว ทว่าฉันเพียงต้องการเวลาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกับนารีผลก็เท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้เธอกำลังทำให้ฉันโกรธมาก
“เธอต้องการให้ฉันต้องการเธอมากใช่ไหม”
“ท่านรู้ดี”
“ได้”
ถอดเสื้อเชิ้ตของตัวเองออกจนเหลือแค่สปอร์ตบาร์สีดำ ฉันผลักคนอารมณ์ร้ายติดกับผนังห้องนอนก่อนจู่โจมเธอด้วยจูบที่ร้อนแรงกว่าครั้งไหนๆ ร่างของมีนาอ่อนยวบลงพร้อมกับพลังของเธอ ฉันออกแรงฉีกเสื้อนักศึกษาที่มีนาใส่มันอยู่ออกพร้อมปลดเปลื้องเสื้อผ้าทุกชิ้นบนร่างกายอีกฝ่ายออกอย่าไม่ปรานี ก่อนบดเบียดสัมผัสบนเรียวปากใส่ต้นคออ่อน ทรวงอก หน้าท้องแบนราบ จนกระทั่งถึงบางส่วนที่เธออยากให้ฉันทำมันจนแทบขาดใจ
มีนาตอบรับการกระทำของฉันราวกับเธอรอเวลานี้มานานมากแล้ว เราเคลื่อนย้ายเสียงเพลงแห่งความเร่าร้อนมาบรรเลงบนเตียงนุ่มแทนผนังห้อง เล้าโลมไปมาอย่างหิวกระหาย พลางร้องครางออกมาดั่งสัตว์ป่าที่ถึงเวลาผสมพันธุ์
“ข้าต้องการนายท่าน ข้ารู้ว่านายท่านก็ต้องการข้าเช่นกัน”
อารมณ์ชั่ววูบทำให้ฉันตกเป็นเบี้ยล่างของนารีผล เธอขยับสะโพกใส่ฉัน ยั่วยวนฉัน จูบฉัน เล้าโลมฉัน ทำอยู่แบบนั้น ครอบครองฉันไว้แบบนั้นตลอดทั้งคืน
ฉันตั้งใจจะรักษาเธอ ดูแลเธอ ก้าวผ่านทีละขั้นและปฏิบัติเหมือนเธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่แล้วตัณหากลับนำพาเรามาถึงจุดที่ไม่ควรเหมาะ มีนาได้สิ่งที่เธอต้องการ ส่วนฉันทำได้เพียงจมปลักกับความทุกข์และความกังวลนับต่อจากนี้
ค่ำคืนของเราผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้...มีนาก็ได้สิ่งที่เธอต้องการแล้ว
ฉันก็คงจะไม่จำเป็นสำหรับเธออีกต่อไป
***
มนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดียรัจฉาน เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็มักจะเทมันทิ้งง่ายๆ
ไม่มีใครเคยบอกว่าเมื่อมักกะลีผลหรือนารีผลได้สิ่งที่ต้องการภายในเจ็ดวัน ร่างของพวกเธอก็สลายหายไปตามกาลเวลา เหลือทิ้งไว้เพียงซากกิ่งไม้และใบไม้แห้งอยู่เคียงข้างในห้องนอนขนาดเล็ก
นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วแต่ฉันยังคงคิดถึงเรื่องนั้นเสมอ มีนาทำให้ฉันรู้สึกผิดแปลกกับหัวใจดวงเล็กราวกับฉันกำลัง ‘ตกหลุมรัก’ แต่แล้วเธอก็จากฉันไปโดยไม่มีคำลา สิ่งที่นารีผลตนนี้ทิ้งไว้ทำให้ฉันตระหนักถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องเวร เรื่องกรรม รวมถึงผลพ่วงจากชาติปางก่อน
เรื่องเหนือธรรมชาติมันเกิดขึ้นได้กับทุกคน
ฉันตัดสินใจโดดเรียนวิชาวันศุกร์แล้วกลับมาอยู่บ้านยาวๆจนถึงวันจันทร์ ความทรงจำระหว่างฉันกับมีนามันตราตรึงจนฉันไม่อาจทนอยู่คนเดียวได้
ก๊อกๆๆ
“ชลลูกเปิดประตูให้แม่หน่อยสิ”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างแรง ก่อนเดินไปเปิดประตูต้อนรับผู้เป็นแม่
“คะแม่?”
“น้องพาแฟนมาที่บ้านน่ะ เป็นบ้าอะไรไม่รู้จู่ๆก็บอกว่าจะพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วย”
“เดี๋ยวนะ”
ไอ้น้องชายตัวแสบ นอกจากจะทำตัวเกเรจนเรียนไม่จบแล้วยังจะมีหน้าพาผู้หญิงเข้าบ้านอีกหรอ ฉันไม่อาจทนดูแม่เป็นกังวลได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจถามกลับไปตรงๆ
“ไม่ใช่ว่ามันไปทำผู้หญิงเขาท้อง...”
“อือ” แม่หยักหน้างึกๆ
“ไอ้จอมมันบอกว่าเมียมันท้อง เลยจะพามาอยู่ที่นี่”
ให้ตายเหอะ น้องฉันเพิ่งอายุสิบเจ็ดเองนะ!
โคตรซวย
บอกแล้วว่าชีวิตของฉันมันบัดซบและโคตรจะไม่สมบูรณ์แบบสุดๆ ลมหายใจถูกถอนทิ้งก่อนฉันจะลงไปพบปะน้องชายและผู้หญิงใจง่ายที่ห้องโถงของบ้าน
“จอมขวัญ แกต้องคุยกับพี่เรื่องผู้หญิงที่แก...”
เหตุการณ์คล้ายกับครั้งเก่าเกิดขึ้นอีกครั้ง ขาทั้งสองข้างหยุดก้าว มือสั่น ตัวสั่นพร้อมเม็ดเหงื่อไหลซึมออกจากใบหน้า ดวงตาสั่นระริกเมื่อเงาสะท้อนในนั้นมันคือ มีนา
อย่างกับหัวใจถูกแช่แข็ง มีนากำลังนั่งอยู่ในบ้านของฉัน ข้างๆน้องชายของฉัน ในสถานภาพที่เป็นมนุษย์เต็มตัว
“แกออกไปก่อนไอ้จอม”
“ทำไมอะ? พี่จะทำอะไรแฟนผมหรือเปล่า? พี่อย่าทำอะไรเธอนะ เธอกำลังท้อง”
“บอกให้ออกไปก่อนไงวะ!” ฉันกระแทกเสียงใส่น้องชายจนมันจำใจต้องเดินออกไปทันที
ความเหน็บหนาวเกาะกุมหัวใจอย่างเหนียวแน่น ฉันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรที่มีนากลับมาในสภาพมนุษย์แถมยังอ้างว่าท้องกับจอมขวัญอีก เหมือนกับบาปกรรมในชาติปางก่อนกลับมาเล่นงานฉันเต็มๆโดยไม่อาจวิ่งหนีได้...ไม่ได้เลยสักนิด
มีนาพาฉันเข้ามาในห้องครัวที่อยู่ถัดไปจากห้องรับรองแขก เธอนั่งลงบนโต๊ะอาหาร กระชากปกเสื้อพร้อมออกแรงดึงฉันเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ ลำตัวของฉันอยู่กึ่งกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของมีนา วิญญาณเสือเจ้าป่าครอบงำหญิงสาวทุกครั้งที่เราอยู่ด้วยกัน ทั้งแม้ว่าเธอจะเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ตาม
“จูบฉันสิ ฉันรู้ว่าคุณรอมานานแล้ว”
“ไม่”
มีนาตั้งใจยั่วฉันเหมือนที่เธอเคยทำทุกๆครั้ง แต่ใครจะไปมีอารมณ์กันตอนรู้สึกตกใจกันล่ะ ฉันปัดมือเธอทิ้งพร้อมจ้องมองเธอด้วยสายตาพิจารณา
“เธอคือมีนา” ฉันพูดต่อ
“เธอทำแบบนี้ทำไม? แล้วเธอเป็นตัวอะไรกันแน่”
“จุ๊ๆๆ” อีกฝ่ายกระตุกยิ้มพลันยกนิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของฉัน แต่แล้วนัยน์ตาดุดันกลับจ้องมองมาทำให้ฉันเสียวสันหลังวาบ
เพราะไม่ว่ามองมุมไหนคนตรงหน้าก็คือมีนา
กวาดตามองให้ทั่วว่าน้องชายตัวแสบไม่ได้แอบมองเราสองคน มีนาฉกฉวยโอกาสนี้สอดมือเข้าใต้ร่มผ้าเพื่อลูบไล้ร่างกายฉัน เธอกัดริมฝีปากตัวเองเล็กๆเพื่อยั่วยวนให้ฉันตายใจ
“จะบอกอะไรให้นะคะ” เสือสาวกระซิบแผ่ว
“ฉันไม่ได้ท้อง”
เสียงหัวเราะเยือกเย็นฟังดูน่าขนลุก เธอสะบัดผมยาวตรงสีดำเข้มไปด้านหลังเผยซอกคอขาวที่ตัดกับเสื้อปาดไหล่สีแดงเผยคอระหงส์
ฉันกัดฟันแน่น พยายามขบคิดหาเหตุผลแต่ก็ไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้เลย
“ขอบคุณนะคะที่ทำให้ฉันได้กลับมาใช้ชีวิต”
“…”
“ถ้าฉันไม่โกหกว่าท้องกับจอมขวัญ...”
“…ฉันก็คงจะไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่กับคุณหรอกนะ”
มีนาฉวยโอกาสประทับจูบลงมาพลางใช้ฟันกัดเบาๆบนริมฝีปากล่าง เรียวปากเคลื่อนย้ายมาปะทะที่ข้างแก้มก่อนเธอจะแตะลิ้นร้อนลงบนใบหูของฉัน
“อย่าลืมสัญญาที่เคยให้กันสิคะ...”
“แม้แต่ความตายก็ไม่อาจพรากเราจากกัน”
“ใช่ไหมคะ....พี่ชนทัต”
ดวงตาเบิกโพลงทันทีที่เธอเรียกฉันด้วยชื่อนั้น ความทรงจำในชาติปางก่อนถูกฉายออกมาอย่างกับหนังในโรงภาพยนตร์ ฉันเคยเป็น ชนทัต ชายหนุ่มในอดีตชาติที่ทิ้งให้เธอเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว และตอนนี้ฉันคือ ชลธี หญิงสาวผู้ไร้เดียงสาที่โง่เก็บเมล็ดพันธุ์ลึกลับมาจากใต้ต้นไม้ที่มีนาเคยฆ่าตัวตาย และสร้างเธอ...ให้มีชีวิตอีกครั้ง
มีนาจะอยู่กับฉันตลอดทุกชาติไป ไม่ว่าเราจะรักกันหรือไม่
เธอไม่เคยจากไปไหน
เธอคอยฉันอยู่เสมอ
เพื่อกลับมารักกันอีกครั้ง
เพื่ออยู่ด้วยกันจนวันตาย ทุกๆชาติ และตลอดไป
“ตามคำสัญญา”
จบบริบูรณ์
อาถรรพ์นางคอย
#MelodyOfMiChaeng
โอ้โห....แปลกใหม่มาก ๆ สำหรับพล็อตนี้ค่ะ ไปสุดมาก พาหักโค้ง ตกน้ำ ขึ้นบก ลงเขา แม่จ้าวววว เลิฟฟฟฟ ฮ่า ๆ ถ้าไรท์มีไฟพล็อตนี้อยู่ อยากขอเป็นเรื่องยาว หรือ SF ก็ได้นะคะ มันแปลกแะชอบมากจริง ๆ งื้ออออ
หลอนดีค่ะ