คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : (sf) Devil Beside #epilogue | rapmonster x j-hope
Devil Beside
-Epilogue-
13.10.15
‘...จองกุก...’
‘ดูแลท่านแม่ให้พี่ด้วย.....’
เฮือก!
เด็กหนุ่มที่บัดนี้เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วผุดกายลุกขึ้นนั่งพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน เจ้าของชื่อ จอกุก ยกมือขาวที่สั่นเทาของตนลูบเบาๆที่หน้าอกหวังให้อาการใจเต้นไม่เป็นส่ำนี้เบาบางลงบ้างก็ยังดี
ดวงตากลมทรงเสน่ห์เบือนออกไปที่นอกหน้าต่างห้องบรรทม ดวงจันทร์สีเลือดดวงเดิมยังคงลอยนิ่งอยู่ตรงนั้นดังเช่นที่มันเป็นมานับหมื่นๆปี
ยามที่สติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ก็อดที่จะย้อนนึกถึงเสียงหวานที่แสนคุ้นเคยในห้วงความฝันไม่ได้ เสียงหวานที่ตราตรึงลงไปในทุกอณูของความทรงจำเฝ้าวนเวียนหลอกหลอนในทุกช่วงแห่งความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เอ่ยรำพึงรำพันถึงถ้อยคำเดิมๆที่ไม่ได้ยากเกินความสามารถของเขาเพียงสักนิด แต่กระนั้นเจ้าของเสียงหวานนั้นก็ไม่ยอมรามือจากไปไหน เขายังคงเอ่ยย้ำซ้ำราวกับจะสร้างความมั่นใจให้กับตนเองว่าจะได้รับสิ่งที่ตนต้องการจริงๆ
รุ่งอรุณมาถึงในที่สุด ท้องฟ้าที่เคยมืดสนิทกลับสว่างไสวสวยงาม หากแต่ดวงจันทร์สีเลือดก็ยังคงลอยเด่นอยู่ท่ามกลาท้องฟ้าเฉกเช่นเดิม ที่โลกปีศาจก็เป็นเช่นนี้...ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนพวกเขาก็จะมองเห็นดวงจันทร์ดวงโตได้อย่างชัดเจนเสมอ
ก๊อกๆ
มือขาวออกแรงเคาะแระตูไม้เนื้อดีเบื้องหน้าเบาๆสองสามครั้งอย่างมีมารยาท แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงเอ่ยตอบกลับมาสักนิด...ก็เป็นเฉกเช่นเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกี่ปี เสียงขานรับเบื้องหลังบานประตูก็ไม่เคยเล็ดรอดออกมาแม้สักครั้ง
“ขอประธานอภัยครับท่านน้า...”เสียงทุ้มของผู้มาใหม่เรียกให้ร่างโปร่งบางของใครบางคนที่นั่งทอดมองผืนฟ้าเบื้องหน้าอย่างนิ่งงันต้องหันกลับมาให้ความสนใจ
หญิงวัยกลางคนในเครื่องทรงสีขาวปลอดและเรือนผมสีดำขลับคือเจ้าของห้องคนปัจจุบัน ดวงตาคู่สวยและนัยน์ตาสีเงินยวงที่แสนคุ้นเคย ริมฝีปากบางสีสวยที่กำลังแย้มรอยยิ้มบางๆแสนงดงามให้กับเขาชวนให้หวนนึกถึงใครบางคนที่จากไปนานแสนนาน
“อรุณสวัสดิ์ครับ...อีกเดี๋ยวผมจะให้คนยกอาหารเช้าเข้ามาให้นะครับ...”ท่านน้าของเขาไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าที่ยังคงงดงามเสมอแม้เวลาจะล่วงเยไปนานเท่าใดยังคงแย้มรอยยิ้มบาง มันงดงามเหนือคำบรรยาย แต่กลับไร้ซึ่งชีวิตชีวา...
...ความงดงามที่นิ่งสงบราวกับรูปปั้นจากปฏิมากรชั้นหนึ่ง....
“นางกำนัลบอกผมว่าท่านน้าไม่ยอมทานอาหารมาสองวันแล้ว มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีแดงเพลิงน่ายำเกรงในฉลองพระองค์เต็มยศเดินตรงเข้าไปหาใครอีกคนช้าๆ แววดาที่ดุดันเสมอยามทอดกายนั่งบนบัลลังก์แปลเปลี่ยนเป็นแววตารักใคร่และเสียในทียามเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีตรงหน้า
“...หากท่านน้าไม่ยอมทานอาหารจนล้มป่วยขึ้นมา...ผมรับรองว่าพี่โฮซอกจะ....”
“จองกุก...”กำลังจะเอ่ยโน้มน้าวให้ท่านหญิงตรงหน้ายอมทางข้าวสักมื้อริมฝีปากได้รูปก็ต้องชะงักลงก่อนเมื่อนำเสียงหวานที่ไม่ได้ยินมาหลายปีเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆจากริมผีปากสีสวยนั่น
“...ครับ?”ถึงจะประหลาดใจเพียงใดที่วันนี้ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังรับคำอย่างมีมารยาทเฉกเช่นที่ควรทำ
“...เมื่อไหร่เราจะปล่อยให้น้าไป...”น้ำเสียงหวานนั้นเอ่ยถามแผ่วเบาพร้อมกับรอยยิ้มบาง หากแต่สำหรับคนฟังแล้วประโยคนั้นมันไม่ได้งดงามอย่างภาพที่เห็นเลยแม้แต่น้อย
“...ผมสัญญากับพี่โฮซอกไว้ว่าจะดูแลท่านน้าให้ดี...”
“...แต่น้าอยากไปหาโฮซอก...”น้ำเสียงหวานและแววตาเว้าวอนของสตรีตรงหน้าเรียกให้ดวงใจกล้าแกร่งของผู้ที่เป็นถึงราชาปีศาจถึงกับสั่นไหว ดวงตากลมทรงเสน่ห์ของชายหนุ่มปิดเปลือกตาลงช้าๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตนให้คงที่
...จะได้ไม่พลั้งเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรออกไปอีก...
“...ต้องขออภัยด้วยครับท่านน้า...ผมต้องรักษาสัญญาสุดท้ายที่ให้ไว้กับพี่โฮซอก...”
...ในความฝันทุกๆคืน...
“...ไม่ต้องแล้วล่ะจองกุก...”รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นอีกครั้งบนเรียวปากสวยของคนที่มีศักดิ์เป็นน้าในความรู้สึก แต่ครั้งนี้รอยยิ้มนั่นมันกลับทำให้ราชาปีศาจรู้สึกแปลกไป จากว่าหวาดกลัวก็ไม่ใช้ หากจะเป็นการหวั่นเกรงก็ไม่เชิง...
...แต่บางอย่างกำลังร้องบอกว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว...
...อะไรบางอย่างที่เกินกว่าสิ่งที่เขาจะคาดคิด...
...อะไรกันนะ?...
“...เมื่อคืน....โฮซอกมาหาน้า...”
“...”
“เขาบอกว่าเขา...กลับมาแล้ว....”
Devil Beside
เสียงครืดคราดของผืนดินที่แยกตัวดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างไม่เป็นจังหวะ เสียงมันดังราวกับฟ้าผ่าก็ไม่ปาน แต่กระนั้นก็ไม่อาจดึงชายหนุ่มร่างสูงที่จมลงสู่ห้วงคิดของตนให้กลับออกมาสู่โลกความจริงได้เลยแม้สักนิด
‘เขากลับมาแล้ว’
ถ้อยคำเมื่อยามรุ่งสางของหญิงวัยกลางคนเจ้าของใบหน้างดงามและนัยน์ตาสีเงินแสนสงบนั่นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่ละออกไปไหน
ยอมรับอย่างไม่อาย...เมื่อยาวที่ได้ยินประโยคนั้นความรู้สึกหนาววาบก็แล่นริ้วไปทั่วทั้งร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ จองกุกไม่ปฏิเสธว่าคำพูดนั้นไร้มูลความจริงแค่ไหนเพราะเขาเองนี่แหละ....
...เขาเองที่ยืนมองร่างทั้งสองร่างหายลับไปในเปลวเพลิงสีดำสนิทนั่น...
...ไม่เหลือแม่แต่ร่องรอยใดๆให้ได้เก็บกลับไปเพื่อจัดพิธีศพให้สมเกียรติของผู้ที่จากไปเลยสักนิด...
แล้วครั้งจะบอกว่าคนคนนั้นกำลังจะกลับมา...ไม่สิกลับมาแล้วหลังจากที่จัดงานศพกันใหญ่โตผ่านไปกว่าเจ็ดปีอย่างนั้นหรือ?
...ช่างไร้สาระนัก...
แสงสว่างแรกของพื้นพิภพลอดผ่านรอยแยกของผืนดินเบื้องบนลงมาช้าๆ ขายาวภายใต้กางเกงสแลกเนื้อดีก้าวช้าๆไปตามขั้นบันไดหินสลักสวยงาม ใช้เวลาเพียงไม่นานสายลมเอื่อยๆของโลกมนุษย์ก็หอบเอากลิ่นของทุ่งหญ้ากว้างเข้ามาปะทะกายตน
ดวงตาทรงเสน่ห์หรี่ลงเล็กน้อยเพื่อปรับสภาพให้สามารถมองเห็นในแสจ้าได้อย่างไม่ระคายดวงตานัก กลิ่นของความมีชีวิตชีวาของโลกมนุษย์ช่างสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ให้กับชายหนุ่มได้เป็นอย่างดีทีเดียว
...ต่างจากโลกปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตายและดวงวิญญาณเพียงเท่านั้น หากถามว่าตัวเขาพึงพอใจกับกลิ่นอายแบบไหนมากกว่าจองกุกก็คงไม่อาจตอบได้...
..เพราะเขานั้นชื่นชอบพวกมันทั้งคู่...
ยังจำได้ดีถึงครั้งเยาว์วัยที่เด็กชายจองกุกตัวน้อยเดินต้อยๆตามพี่ชายจอมซนอย่างโฮซอกขึ้นมาบนพื้นพิภพ ลักลอบกันขึ้นมาเพียงสามสหาย จองกุก โฮซอก และจีมิน...
เด็กชายผมแดงตัวเล็กที่แสนซุกซนแต่ทว่ากลับเต็มไปด้วยความใส่ซื่อเมื่อครั้งเก่าก่อนเติบใหญ่จนกลายเป็นองครักษ์มากฝีมือ จองกุกจำได้ดีว่าเจ้าของรอยยิ้มกว้างและดวงตาเรียวรีคู่นั้นน่ารักมากเพียงใดยามที่เจ้าตัวหัวเราะ
...ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่รู้สึกหลงรักและไม่อาจละสาตาจากใบหน้าน่ารักของคนต่ำศักดิ์กว่าได้...รู้ตัวอีกทีก็ตกหลุมรักลงไปจนหาทางขึ้นไม่ได้เสียแล้ว...
ในคราแรกที่จองกุกตระหนักได้ถึงปัญหาที่จะตามมาหากพี่ชายตัวบางของเขาขึ้นครองบัลลังก์เขาใช้เวลากว่าสองปีในการยอมรับมัน...
ประชาชนมากมายยึดถือเรื่องสายเลือดและชาติพันธุ์มากกว่ากฎมลเทียรบาลเสียอีก แล้วหากว่าท้ายที่สุดแล้วกฎที่เปรียบเสมือนบรรทัดฐานของสังคมถูกมองข้าม ไม่มีใครที่คิดจะทำตาม....
...เมื่อถึงตอนนั้นเผ่าพันธุ์ของเขาจะอยู่เช่นไร...
...ประชาชนจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อสังคมเกิดขาดระเบียบ...
...ยุคแห่งการแย่งชิงและเข่นฆ่าจะไม่กลับมาอีกครั้งอย่างนั้นหรือ?...
นั่นแหละที่ทำให้จองกุกตัดสินใจ....ตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้เขาต้องเสียใจไปตลอดชีวิต จองกุกไม่คิดว่าเรื่องที่ลงมือทำไปนั้นเป็นสิ่งผิดพลาด เพียงแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะลงมือทำและนั่งอมยิ้มรับผลของมันได้...
...แต่สิ่งที่ถูกต้องกับความต้องการของเขา...
...อย่างไหนกันล่ะที่ควรเลือกเก็บเอาไว้...อย่างไหนกันล่ะที่ต้องละทิ้งไป...
แต่ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็หาคำตอบไม่ได้เด็กหนุ่มจองกุกในตอนนั้นจึงจำต้องช่างน้ำหนักโดยเอาตำแหน่งแหละหน้าที่ตอนนั้นขึ้นมาใช้...
...สิ่งมีชีวิตทั้งหมดย่อมเกิดมาพร้อมกับหน้าที่ แล้วตัวเขาเล่า? เกิดมาพร้อมกับหน้าที่หรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้นแล้วหน้าที่ที่ว่านั้นคืออะไร?
จองกุกได้คำตอบในวันก่อนที่ผู้เป็นบิดาจะสิ้นพระชนม์และเรียกเขาเข้าไปพบ...
‘ดูแลประชาชนของเราด้วย...ให้พี่ชายของเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่าที่เขาเลือก...เจ้าก็เช่นกัน...’
นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้ายที่ออกจากปากของผู้เป็นบิดา ราชาปีศาจผู้ซึ่งกำลังประชวรหนักและต้องการมอบบัลลังก์ให้กับใครสักคนเพื่อให้ตนได้จากไปอย่างเป็นสุข
...และจองกุกคิดว่านั่นเป็นเขา...
ให้โฮซอกได้ใช้ชีวิตอย่าที่เขาต้องการ....
จองกุกยึดถือสิ่งนั้นเป็นหลัก....เขาเองก็เช่นกัน หากโฮซอกมีความสุข จีมินก็จะมีความสุข...และหากจีมินมีความสุข จองกุกก็เช่นกัน....
หากการที่โฮซอกไม่กลับมายังโลกปีศาจหลายร้อยปีเช่นนี้ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าความสุขของพี่ชายเขาไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
...หากความสุขของโฮซอกคือการใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน จองกุกก็จะสืบทอดบัลลังก์ให้เอง...
...แต่การเจรจามันไม่เป็นเช่นนั้น สภาปีศาจไม่ยอมให้เขาขึ้นครองบัลลังก์หากยังมีโฮซอกอยู่...ไม่สิ ตาเฒ่าพวกนั้นไม่ยอมให้ใครครองบัลลังก์ทั้งนั้นหากยังมีโฮซอกอยู่...
...พูดให้ถูกคือไม่ยอมให้แม้แต่โฮซอกได้ครองบัลลังก์...
...บอกแล้วว่าพวกหัวโบราณยึดถือกับเรื่องชาติพันธุ์มากกว่าที่คิด...
...อาจจะถือว่าเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่งก็ว่าได้ ตั้งแต่ครั้งเมื่อเยาว์วัยแล้วที่จองกุกได้รับรู้ว่าไม่ค่อยมีคนพอใจกับการมีอยู่ของพี่ชายต่างมารดาคนนี้เท่าไหร่นัก แต่เพราะโฮซอกยังคงเป็นโฮซอกที่ร่าเริงเสมอเขาจึงได้วางใจ....
...วางใจว่าพี่ชายของเขาจะอยู่ได้อย่างสงบสุขในบ้านของเรา เพียงแต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น การหนีออกจากบ้านไปกว่าร้อยปีนั่นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพี่ชายของเขาคงจะหมดความอดทนลงเสียแล้ว...
...จองกุกไม่มีทางเลือกเพราะในการประชุมไม่มีใครสนับสนุนการขึ้นครองบัลลังก์ของเขาโดยที่โฮซอกยังมีชีวิตอยู่ ทุกเสียงลงมติให้กำจัดพี่ชายต่างมารดาคนนี้ทิ้งเสีย...และสภาก็อยากให้โฮซอกจากไปเงียบๆเสียด้วยซ้ำ...
...จองกุกเลยอาสาทำงานนี้ด้วยตนเอง อาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวที่คิดจะเอาหน้าจากการสังหารพี่ชายตนเอง แต่เป็นเขาที่ลงมือไม่ดีกว่าหรือ การจากไปของพี่ชายคงไม่ต้องทรมาณนัก และหลังจากไปแล้วถ้อยคำสุดท้ายของพี่ชายจะได้รับการทำตามแน่นอน...
...และสุดท้าย เพื่อรักษาชีวิตจีมินและท่านน้าผู้เป็นมารดาของโฮซอกเอาไว้...
...ไม่ว่าอย่างไรจองกุกก็ต้องขึ้นเป็นผู้ครองบัลลังก์ให้ได้...
การปล่อยให้มีคนจากสวรรค์อยู่ในปราสาทมืดแบบนี้ไม่ค่อยมีคนเห็นด้วยมากนักหรอก...แต่ที่ทำอะไรไม่ได้เพราะมีบิดาของเขา ราชาปีศาจคอยปกป้องอย่างไรเล่า....
...จองกุกตัดสินใจเชื้อเชิญจีมินมาร่วมมือกับเขาเพื่อคิดหาทาง บางทีพวกเขาอาจจะแกล้งปลิดชีวิตโฮซอกแล้วพาพี่ชายของเขาไปหลบภัยก่อนได้....
...แต่ทันทีที่เขาเอ่ยคำว่าปลิดชีวิตโฮซอกขึ้นมา จีมินก็ไม่คิดจะฟังประโยคถัดไป ชายหนุ่มผมแดงมองเขาด้วยสายตาผิดหวังแล้วเอาแต่พร่ำบอกว่าจองกุกนั้นช่างชั่วร้าย พร่ำบอกว่าเขาไร้หัวใจแค่ไหนที่คิดจะสังหารพี่ชายของตนเอง
‘ท่านไม่คู่ควรกับการเกิดมาเป็นน้องชายขององค์ชายโฮซอกเลยจริงๆ’
ประโยคนั้นของจีมินดังก้องไปทั่วทั้งโสตประสาท จองกุกจำได้ดี...จำได้ว่าตอนนั้นเขาโกรธเกรี้ยวแค่ไหน จำได้ว่าโกรธถึงขั้นลงไม้ลงมือกับจีมิน โกรธจนเกือบจะฆ่าคนตัวเล็กกว่าให้ตาคามือ
...จองกุกผู้ไม่เคยอยู่ในสายตาของจีมินเลยสักนิด
...ต่างจากโฮซอกที่เปรียบเสมือนแสงสว่างของปีศาจตัวน้อยๆอย่างจีมินเสมอ...
เด็กหนุ่มจองกุกในอดีตรู้ตัวตอนนั้นเองว่าตนเป็นคนขี้อิจฉาเพียงใด อิจฉาที่คนที่รักเลือกพี่ชายของเขาแทนที่จะเป็นเขา...
...นั่นแหละที่ทำให้เขาตัดสินใจลั่นวาจาออกไปว่าจะไม่มีวันยกบัลลังก์นี้ให้กับใคร...และจะไม่มีวันปล่อยให้โฮซอกมีชีวิตอีกต่อไปแน่นอน....
...จีมินหนีห่างจากเขาไปได้ด้วยสภาพที่สะบักสบอมไปหมด ยามที่เห็นคนตัวเล็กดิ้นรนกระเสือกกระสนหนีไปนั่นแหละที่จองกุกเพิ่งจะรู้ตัว....
…จีมินผ่านเข้ามาในหัวใจโดยไม่ทันตั้งตัว....
...และก็จากไปโดยไม่ทันได้เตรียมใจเช่นกัน...
...จากไปทั้งที่ยังเข้าใจว่าเขาชั่วร้ายเพียงใด...โดยที่จองกุกยังไม่ทันได้แก้ต่างให้ตนเองเลยสักนิด....
...วันนี้คือวันครบรอบเจ็ดปีจากเหตุการณ์วันนั้น...
...วันที่จองกุกสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปทั้งสองคน...
สายลมเย็นๆที่พักผ่านไปหน้าพาให้เรือนผมสีดำสนิทของชายหนุ่มพลิ้วไหวไปตามแรงลม เปลือกตาขาวค่อยๆเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าเมื่อดวงตาของเขาปรับกับแสงสว่างได้แล้ว กลิ่นความมีชีวิตชีวาลอยอบอวลไปทั่วจนอดไม่ได้ที่จะต้องสูดกลิ่นอายเหล่านั้นเข้าไปให้เต็มปอด
ถนนที่เคยผุพังอย่างไรเมื่อเจ็ดปีก่อนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น สภาพรกร้างของถนนสายนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักสำหรับเขา เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาจองกุกให้ปีศาจรับใช้มาคอยเฝ้าวนเวียนไม่ห่าง หากพวกมนุษย์จะคิดว่ามันเป็นถนนผีสิงที่ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่รุ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
มองไปทางซ้ายมือก็พบถนนตัดใหม่ที่เลี่ยงบริเวณนี้ไปเล็กน้อยแล้วก็คิดว่ามนุษย์นี่ก็ไม่เคยหยุดหาทางเอาชีวิตรอดเลยสักนิด อาจะเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้กระมังพวกมนุษย์จึงได้ค้นพบทางออกของปัญหาได้เสมอ...ต่อให้ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตอันแสนสั้นนั้นในการไขปัญหาบางข้อก็ตาม...
...น่าอิจฉาไม่น้อย...
ดวงตากลมทรงเสน่ห์ทอดมองรอยแตกของพื้นถนนที่บัดนี้เต็มไปด้วยวัชพืชที่ชอนไชขึ้นมาตามการเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ไล่สายตาถัดไปอีกเพียงน้อยนิดก็พบกับแนวป่ารกที่ยังไม่มีใครคิดเข้ามาดูแล
ไม่ต้องให้ใครเอ่ยบอกชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทและดอกกุหลาบสีดำสนิทในมือก็ก้าวเดินตรงไปยังทิศทางที่เคยคุนกว่าเจ็ดปีที่ผ่านมาทันที
ใช้เวลาไม่นานร่างของเขาก็เดินลัดเลาะเข้าไปตามแนวป่าทึบจนเสียงน้ำสาดกระเซ็นดังเข้ามาในโสตประสาทผะแผ่ว ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่างเข้าไปในแนวป่าภาพเหตุการณ์เมื่อวันวานก็ลอยเข้ามาในหัวทุกครั้ง ทั้งเสียงกรีดร้องหรือแม้แต่เสียงกรีดร้อง
...นี่กระมังที่เขาว่า ‘ไม่มีผู้ชนะในสงคราม’ ทุกการสูญเสียทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้เสมอ ไม่ว่ากับใครก็ตาม...
...การได้ครองบัลลังก์อย่างที่หวังไม่ใช่สิ่งที่มีความสุขเลยสักนิด...
เสียงน้ำตกที่ดังชัดเจนขึ้นและแสงสะท้อนจากโลหะบางอย่างเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานเขาจะถึงที่หมายแล้ว คันธนูทองแดงของใครบางคนถูกปักทิ้งไว้ตรงนั้น ทิ้งเอาไว้ตรงที่ร่าเล็กของใครบางคนเคยนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
....ที่สุดท้ายสำหรับลมหายใจของคนที่เขารัก...
รองเท้าหนังคู่งามชะงักลงเล็กน้อยเมื่อพบความผิดปกติของอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขา ท่ามกลางป่ารกร้างที่น่าจะไร้ซึ่งผู้คนกลับมีร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ร่างสูงสมส่วนของใครบางคนที่คุ้นตาอย่างน่าประหลาด
ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นอยู่ในชุดสูทเรียบๆไม่ได้เป็นพิธีการมากนักแต่มันก็เป็นการแต่งกายแสนสุภาพ เรือนผมสีเงินนั่นช่างแปลกตายิ่งนัก มันสว่างไสวท่ามกลางความมืดทึบของผืนป่า
จองกุกมองเห็นชายหนุ่มคนนั้นขยับปากเอื้อนเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทว่ามันกลับแผ่วเบาจนเขาไม่สามารถจับใจความได้ ร่างสูงนั้นย่อกายลงส่งมอบช่อดอกลิลลี่สีขาวที่ถูกจัดเรียงอย่างสวยงามพร้อมกับริบบิ้นสีแดงสวยเฉกเช่นเดียวกับเรือนผมของใครบางคน เขาวางมันไว้เคียงข้างกับคันธนูทองแดงปักเอาไว้ตรงนั้น
“วันนี้ท้องฟ้าเหมือนจะร้องไห้นะครับ”เสียงทุ้มจากใครอีกคนเรียกให้จองกุกไหวกาย เมื่อพบว่าบทสนทนานั้นดูเหมือนจะเอ่ยกับตนชายหนุ่มก็ค่อยๆย่างเท้าเข้าไปยังที่หมายของตนทันที
“มันก็ร้องไห้อยู่ทุกวันนี่ครับ”จองกุกเอ่ยตอบ ชายหนุ่มทรุดกายลงวางช่อกุหลาบสีนิลกาลลงเคียงข้างกับช่อดอกลิลลี่นั้นช้าๆ เขาปิดเปลือกตาลงอธิฐานอะไรอีกเล็กน้อยก่อนจะหยัดกายขึ้นแล้วถอยห่างออกมาสามสี่ก้าว
“..ท้องฟ้าร้องไห้...หรือคุณมองเห็นว่ามันร้องไห้กันครับ?”คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้นเรียกให้รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นบนเรียวปากสีสวยของราชาปีศาจคนปัจจุบัน
...นั่นสินะ...
ท้องฟ้าร้องไห้...หรือเขากันแน่ที่ร้องไห้....
“...วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ท้องฟ้าจะร้องไห้นะครับ...”เสียงทุ้มที่เคยคุ้นจากร่างสูงข้างกายไม่ได้เรียกให้ชายหนุ่มไหวกายได้เท่ากับประโยคต่อมาที่ดังขึ้นจากริมฝีปากหนานั่น
“...ว่าอย่างนั้นมั๊ยจองกุก...”
ดวงตากลมทรงเสน่ห์ของราชาปีศาจตวัดมองผู้พูดอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนเข้ามาในคลองสายตาความหนาวยะเยือกก็แล่นริ้วไปทั่วร่างกาย ราชาหนุ่มปฏิเสธไม่ได้ว่าในขณะนี้เขารู้สึกพรั่นพรึงแค่ไหน
“...คุณ...!”ถึงจะพบกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่จองกุกไม่มีทางลืมใบหน้าของคนคนนี้ได้แน่นอน ใบหน้าของมนุษย์คนสุดท้ายที่เขาพบเจอ ใบหน้าของคนรักต่างเผ่าพันธุ์ของพี่ชายเขา
...ใบหน้าของชายคนที่เขาเห็นว่าจบชีวิตลงด้วยคมดาบและเปลวเพลิงสีดำไปพร้อมๆกับผู้ลงมืออย่างพี่ชายเขา...
“...ผมบอกคุณแล้วว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ท้องฟ้าจะร้องไห้...”รอยยิ้มบางๆปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของอีกฝ่าย แต่ทว่านั่นมันกลับน่าขนลุกเสียจนจองกุกยังต้องยอมรับ
...คนตรงหน้านี้เป็นมนุษย์แน่หรือ?...
...มนุษย์ที่สร้างความพรั่นพรึงให้กับปีศาจแบบนี้มีด้วยอย่างนั้นหรือ?...
“...ดวงอาทิตย์....กลับมาแล้ว”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนเปลวเพลิงสีดำจะลุกท่วมแผดเผาดาบโลหะเล่มใหญ่ที่ถูกปักทิ้งไว้เคียงค้างกับคันธนูทองแดงเมื่อครู่จนร่องรอยความเก่าแก่ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลาจะลบเลือนไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
“...ทำไม...”
...คุณถึงยังมีชีวิตอยู่...
คำถามที่อยากจะเอ่ยถามออกไป แต่ทว่าความตกตะลึงกลับปิดปากเขาเอาไว้ จองกุกนึกโมโหตนเองไม่น้อยที่จู่ๆก็ดูเหมือนจะกลายเป็นใบ้ขึ้นมาเสียเฉยๆ อยากจะเอ่ยถามออกไปแต่ก็ไม่อาจทำได้ ตัวเขาเองยังเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบไม่ได้ด้วยซ้ำ เพียงแค่เห็นคนที่ควรจะตายไปแล้วมายืนยกยิ้มอยู่ตรงหน้าก็ราวกับถูกทุบด้วยค้อนจังๆที่กลางหัวอย่างไรอย่างนั้น
...ทั้งๆที่เห็นกับตาว่าทั้งสองร่างถูกแผดเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี...
สิ่งที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมีเพียงดาบเล่มใหญ่ประจำตัวของโฮซอกเท่านั้นที่ตกอยู่ที่เดิม...
“...โฮซอกมีพรวิเศษคุณน่าจะรู้....เขาเปลี่ยนวิญญาณของตนเองเป็นพลังชีวิตให้ใครคนอื่นได้....”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยอธิบาย คนรักของพี่ชายเอื้อมมือออกไปคว้าเอาดาบเล่มใหญ่ที่บัดนี้ไร้เจ้าของเอาไว้ จองกุกจ้องมองภาพนั้นไม่วางตา...ดาบนั่นเป็นสิ่งที่สืบทอดมาทางสายเลือด หากไม่ใช่เจ้าของมันอย่างโฮซอกแล้วย่อมไม่มีผู้ใดยกมันขึ้นมาได้ แม้แต่เขาเองก็ตาม...
...แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเขากลับยกมันได้อย่างง่ายดาย....
...นี่มันอะไรกันวะ!!
“...ตอนที่เจ้านี่ทะลุร่างของผม...โฮซอกเขาก็มอบพรให้...”จองกุกสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด โอเค...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เรื่องที่คนตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ก็พอมีความเป็นไปได้...
“..พี่โฮซอกมอบวิญญาณทั้งหมดเพื่อให้คุณมีชีวิตอยู่สินะ...”จองกุกเอ่ยสรุปกับตนเองพลางยิ้มบางๆ โฮซอกก็ยังคงเป็นโฮซอกสินะ...ไม่ว่าอย่างไรก็ใจดีเสมอ....
“...ถูกแค่ครึ่งเดียว...”แต่คำแย้งที่ได้รับจากอีกคนเรียกให้จองกุกต้องหันไปให้ความสนใจอีกครั้ง ชายหนุ่มคนนั้นสะบัดดาบเล่มใหญ่ในมือหนึ่งครั้งมันก็หายวับไปในอากาศทันที รอยยิ้มชวนหวาดหวั่นที่ระบายอยู่บนริมฝีปากได้รูปนั่นไม่ได้สร้างความพรั่นพรึงให้เขาไปได้มากกว่าประโยคที่เอ่ยถัดมาเลยสักนิด
“...เราสัญญากันไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างกันจวบจนวันสุดท้ายของลมหายใจ...”ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นปิดดวงตาข้างซ้ายของตนเอาไว้ ชายหนุ่มที่จองกุกไม่รู้จักแม้แต่ชื่อยกยิ้มเล็กน้อยที่ในสายตาของเขามันช่างน่าขนลุกเหลือเกิน ไม่นานเกินรอฝ่ามือนั้นก็ละออกจากดวงตาเผยให้เห็นนัยน์ตาที่เคยเป็นสีดำสนิทบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเงินยวงเช่นเดียวกับใครบางคนในความทรงจำ
และราวกับความทรงจำของเขาถูกดึงออกมาสร้างให้มีชีวิตอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มที่เคยนุ่มน่าฟังกลับถูกทับซ้อนด้วยเสียงหวานใสของใครบางคนที่จองกุกจำได้ดี...
...จำมันได้ดีและไม่มีวันลืม...
“...พี่จะอยู่เคียงข้างนัมจุนเสมอ...”
“...เราจะอยู่เคียงข้างกันตราบวันสุดท้ายของลมหายใจ...และจะไม่มีวันแยกจากกันนับแต่วันนี้เป็นต้นไป...”
Devil Beside
See your reflextion from the mirror, slowly close your eyes and then open.
Devil will not go anywhere, it stays with you.
Whatch out! — The DEVIL is BESIDE you.
TALK. อุอิอุอิ จบสมบูรณ์แล้วนาจา อิอิ บทส่งท้ายจบแล้วค่ะ จองกุกหล่อมาก เธอควรได้เป็นพระเอก เธอควรเป็นสามีของพี่ 55555555555 เป็นไงบ้างคะบทสรุปของเรื่อง อื้อ จริงๆแล้วที่คิดไว้มีรูทจบสองสามแบบแต่สุดท้ายก็เลือกแบบนี้เพราะมันดูเหมาะกับคำว่า ปีศาจจะอยู่เคียงข้าง เหมือนชื่อเรื่องดีอ่ะ 5555555555555
โอเค จากนี้ไปจะพักยาวแล้วจริงๆน้า อาจจะมีฟิคตามเทศกาลโผล่มาบ้าง แต่นอกนั้นจะเอาไว้หลังจากรวมเล่มเรียบร้อยทีเดียวเลยนะคะ ทีนี้ก็จะไปตั้งหน้าตั้งตาปั่นฟิคที่จะลงในเล่มแล้ว ยังไงใครอยากอ่านก็อย่าลืมอุดหนุนเราน้า เยิ้ฟฟฟฟฟ เอาไว้เจอกันเรื่องหน้าค่า ไปละ บ๊ายบายยยย
ความคิดเห็น