ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( SF OS ; BTS ) ✩ Zillion HOPE ( all x j-hope )

    ลำดับตอนที่ #14 : (sf) Devil Beside #3 | rapmonster x j-hope

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 610
      7
      19 ต.ค. 58

    Devil  Beside

    -3-

    Rapmonster x j-hope
    19.10.15


     

     

    โฮซอกใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าที่เขาจะพยุงกายลุกขึ้นได้  ถึงเขาจะยังไม่หายดีแต่ผมก็ต้องยอมรับว่า พวกเขา มีพลังฟื้นฟูที่น่าทึ่งจริงๆ...

    โฮซอกหมุนตัวกลับมาหาผม  มือเรียวสวยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลของเขายกขึ้นมาตรงหน้าผม  แสงสีขาวนวลแสนอบอุ่นค่อยๆปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะไหลวนโอบล้อมไปทั่วทั้งร่างของผม  ความอุ่นว่านแผ่ไปทั่วทั้งกายแต่เพียงครู่เดียวมันก็ค่อยๆจางหายไปทิ้งไว้เพียงความรู้สึกสงบที่ล่องลอยอยู่ภายในใจของผมเท่านั้น

    “ยกมือขวาขึ้นมาสินัมจุน”โฮซอกเอ่ยบอกพร้อมๆกับที่มือเรียวของเขาค่อยๆจับมือของผมขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา  ตอนนั้นเองที่ผมสั่งเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกไปบริเวณหลังมือของตัวเอง

    อักขระบางอย่างที่มีหน้าตาคล้ายกลีบดอกไม้สามกลีบเรียงร้อยกันอย่างสวยความคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ที่หลังมือชวาของผม....

    “สามครั้ง....”

    “...?.....”

    “จากนี้ไปนายสามารถตายได้แค่สามครั้ง...”จนแล้วจนรอดคำอธิบายของจองโซวอกก็ไม่เคยช่วยให้ความกระจ่างกับผมเลยสักนิด  เขาบอกว่าผมสามารถตายได้สามครั้ง...ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆจะมีใครอยากลิ้มรสความตายตั้งสามครั้งกันล่ะครับ

    “ฉันให้พรนาย...ท่านแม่ฉันเคยสอนไว้  ทุกครั้งที่นาย ตาย กลีบดอกไม้นี่จะหายไปหนึ่งกลีบ  เมื่อไหร่ที่มันหมดนายจะไม่สามารถตายได้อีก....เพราะถ้าตายอีกคราวนี้นายได้ตายจริงๆแน่....”ผมได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่โฮซอกบอก....

    ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับกับการที่เรามีชีวิตสำรองในสถานการณ์แบบนี้  เพียงแต่ผมรู้ว่าพรวิเศาของโฮวอกมันต้องแรกมาด้วยอะไรสักอย่างแน่ๆ  ผมไม่ไว้ใจพลังนั่น....

    “สิ่งตอบแทนล่ะ....ครั้งนี้นายต้องแลกด้วยอะไร?”ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นนำเสียงของผมเป็นยังไง  แต่ดูจากอาการสะดุ้งโหยงเสียสุดตัวของโฮวอกแล้วผมก็คิดว่าเสียงผมมันคงต้องจริงจังมากน่าดู

    ก็มันน่าโมโหไหมล่ะครับ...ถึงจะพูดเอาไว้ว่าจะไม่อยากเป็นภาระของเขา....

    แต่ที่ผมเป็นอยู่นี่มันต่างจากคำว่าภาระตรงไหนกัน!

    “วิญญาณฉัน....”

    “ห๊ะ!”และคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของคนตัวบางตรงหน้าก็ทำเอาผมตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน  วิญยาณ...เดี๋ยวก่อน! ให้วิญญาณนี่มันก็เหมือนตายเลยไหมนั่น!

    จองโฮซอก!

    “เฮ้ อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ....แค่ส่วนหนึ่งของวิญญาณฉันเอง  ฉันยังมีชีวิตอยู่นี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย...”โฮซอกว่าก่อนจะเอื้อมมือมาจับต้นแขนผมเบาๆ  ใบหน้าสวยยู่ลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะทำแก้มป่องบ่นอุบอิบแบบที่มักจะทำเสมอเวลาที่ทำให้ผมโกรธ....

    ใช่ครับ...ผมกำลังโกรธ...

    “นัมจุนอ่า....”พอเขาเริ่มตีหน้าเศร้าเหมือนพร้อมจะปล่อยโฮผมก็เป็นต้องพ่ายแพ้ครับ  ผมถอนหายใจออกมาหนักๆเป็นการระบายอารมณ์ก่อนจะคว้าตัวเขาเข้ามากอดแน่นๆเป็นการทำโทษ

    “คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไรบอกฉันก่อนเข้าใจมั๊ย?  อย่าคิดเองเออเอง...เราคุยกันแล้วนะว่าเราจะเชื่อใจกันน่ะ....”ผมวางคางลงบนลาดไหล่บางของเขาซึมซับกลิ่นหอมสดชื่นราวกับดอกไม้งามกลางป่าใหญ่ประจำตัวเขาจนเต็มปอด

    ผมชอบกลิ่นนี้...กลิ่นที่ทำให้ผมสบายใจ...

    ผมไม่รู้ว่าจากนี้ไปเราจะมีโอกาสได้กอดกันแบบนี้อีกหรือไม่  สิ่งเดียวที่ผมรู้คือเราสองคนจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ...

    “อื้อ....ขอโทษนะ  ฉันแค่เป็นห่วงนาย...”โฮซอกพูดอู้อี้เพราะใบหน้าของเขาแนบสนิทไปกับอกของผม

    “ฉันก็เหมือนกัน....”ผมเอ่ยตอบ

    อีกเหตุผลที่ผมโกรธเขาได้ไม่นานก็เป็นเพราะผมรู้เหตุผลในการกระทำของเขา....ผมรู้ว่าทุกอย่างที่โฮซอกทำไปนั้น...มันก็เพื่อผมทั้งนั้น

    ...เช่นเดียวกับที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อเขา....

    ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆโฮซอกก็ผละออกจากอ้อมกอดของผมอย่างรวดเร็ว  มือเรียวของคนตัวบางกว่าออกแรงดันร่างของผมให้ถอยไปอยู่ด้านหลังก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาบังผมไว้  มันเป็นภาพที่น่าขันพอสมควรเมื่อตัวบางๆของเขากันยังไงก็ไม่อาจบังผมได้มิดหรอก

    “องค์ชายขอรับ...”จีมินที่ดูเหมือนจะจัดการกับเจ้าฟิวรี่ได้จนหมดแล้วรีบกระโจนมายังจุดที่พวกผมยืนอยู่  ใบหน้าของปีศาจตัวเล็กเต็มไปด้วยความหนักใจ  เขาเหลือบซ้ายแลขวาราวกับระแวงอะไรบางอย่างตลอดเวลา

    “มีอะไรรึเปล่า?”ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นว่าใบหน้าของโฮซอกก็เครียดขึงไม่แพ้องครักษ์ของเขาเลยสักนิด

    “...เขามาแล้ว....”โฮซอกตอบเบาๆก่อนมือขวาที่ไม่ได้บาดเจ็บของเขาจะกอบกำด้ามดาบแน่นจนขึ้นข้อขาว

    ผมขมวกคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น  เขา?....

    ใครกัน?....

     

    ครืนนนนนน!

    แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากเอ่ยถามแรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินราวกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงก็ทำให้ผมเสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว  โฮซอกเคลื่อนกายเข้าหาผมก่อนที่ดวงตาคู่สวยของงเขาจะจับจ้องไปยังพื้นถนนเบื้องหน้าด้วยความตึงเครียด

    ผมเบือนสายตาไปมองตามสายตาของเขาก็พบกับพื้นถนนสั่นสะเทือนที่กำลังปริแตก  รอยแยกของคอนกรีตนั้นอยู่ห่างจากเราไปราวๆห้าสิบเมตร  มันค่อยๆแยกออกจากกันช้าๆก่อนพื้นที่ระหว่างรอยแยกจะหล่นหายลงไปราวกับถูกสูบจากเครื่องดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูง

    ไอร้อนบางอย่างพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงสีแดงฉานที่ลุกโหมไปตามร่องคอนกรีตนั้น  เสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกที่ผมคุ้นเคยจากเจ้าหมายักษ์นับสิบตัวก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้งก่อนพวกมันจะพากันวิ่งกรูกันขึ้นมาราวกับฝูงผึ้งแตกรัง

    ผมยกสองแขนขึ้นกันศีรษะทันทีที่เห็นพวกฟิวรี่บินวิ่นออกมาจากใต้พิภพ  พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนน่าขนลุก  บินกันวุ่นวายไร้ระเบียบราวกับค้างคาวตาบอด

    โฮซอก!ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นตัวเองตะโกนดังแค่ไหน  แต่เพียงแค่เห็นว่าเจ้าฟิวรี่หน้าตาน่าเกลียดตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาโฮซอกอย่างรวดเร็วแล้วผมก็ลืมทุกอย่างไปเสียสิ้น  ถ้าหากเป็นในเวลาทั่วๆไป...หมายถึงในเวลาที่เขาปกติผมจะไม่เป็นกังวลเลย

    โฮซอกเก่ง...ผมเองรู้อยู่แก่ใจในความจริงข้อนั้น...

    แต่ในสภาพที่เพิ่งฟัดกับฝูงหมายักษ์มาหมดๆของเขามันช่างไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย  ยิ่งร่องรอยบาดแผลและหยาดเลือดที่ชโลมไปทั่วร่างเขาแบบนี้สถานการณ์มันยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเป็นเท่าตัว

    แกว๊กกกก!!!

    แต่ก่อนที่ฟันคมของเจ้าฟิวรี่ตัวร้ายจะโดนผิวเนื้อขาวๆของโฮซอกมันก็หยุดชะงักลงเสียก่อน  เสียงร้องโหยหวนของมันดังระงมไปทั่วพร้อมกับเปลวเพลิงสีแดงราวกับหยาดโลหิตที่พวยพุ่งแผดเผาจนร่างของมันมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี

    “อย่าทำอะไรเกินคำสั่ง”น้ำเสียงเย็นๆนั้นดังผ่านเสียงร้องงี้ดๆของอสูรกายหลายสิบตัวมาเรียบๆ  มันไม่ได้เป็นการตะโกนเสียด้วยซ้ำแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เรียกความสนใจของผมไปได้จนหมด....

    ไม่สิ....ต้องเรียนว่าจากทุกชีวิตในที่นั้นเลยก็ว่าได้

    “องค์ชายจองกุก......”เสียงของจีมินสั่นเทา  ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นวูบไหวเสียจนน่ากลัว  ผมเห็นเขาเบือนหน้าหนีไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมอง  กระทั่งคันธนูทองแดงของเขาก็ยังถุกนำมาใช้ค้ำยันร่างกายที่จู่ๆก็คล้ายว่ามันจะหมดแรงเอาเสียดื้อๆ

    “ตั้งสติไว้จีมิน”โฮซอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบไม่แพ้กัน  จะต่างกันก็ตรงที่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย

    “ขอโทษทีเสียมารยาทครับพี่โฮซอก”น้ำเสียงที่ดังขึ้นนั้นมันยังคงราบเรียบแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเคารพนับถือ....

    อสูรกายมากมายพากันเปิดทางให้กับผู้มาใหม่  พวกมันเคลื่อนกายออกไปด้านข้างอย่างว่าง่ายและรวดเร็วราวกับมีใครเอาไม้บรรทัดมากวาดพวกมันออกไปเป็นเส้นตรง  ปลายรองเท้าหนังสีดำสนิทเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น

    “จองกุก....”โฮซอกเอ่ยเรียกอีกคนเสียงเครียด  เขาอาตัวเองเข้ามาบังผมเอาไว้ในขณะที่ดวงตาคู่สวยของเขายังไม่ละออกจากคนที่สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้เลยสักนิด

    ฝีเท้าของคนที่ชื่อจองกุกหยุดลงหลังจากที่ตัวเขาอยู่ห่างจากพวกเราไปประมาณสิบเมตรเศษๆ  ผุ้มาใหม่ในสายตาของผมคือเด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ถ้าหากให้คาดคะเนอายุแล้วผมคงตอบว่าประมาร 18 ปี....

    แต่ก็นั่นแหละ....ประสบการณ์ของผมบอกให้รู้ว่าเขาคงอายุมากกว่านั้น....

    คนตรงหน้าผมเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม  จะเรียกได้ว่ามีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจเลยล่ะ  พูดตามตรงก็คือผมไม่เคยเห็นใครในโลกนี้หล่อเท่าเขามาก่อน....

    และก็นั่นอีก....เขาไม่ใช่คนในโลกแน่ๆผมแน่ใจ

    อันที่จริงคือเขาไม่ใช่ คน เสียด้วยซ้ำ....

    เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนตรงหน้าผมอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทเช่นเดียวกับโฮซอก  แต่สิ่งที่ต่างกันมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้มตัวในของเขาและเขาสีโลหิตสองข้างบนหัวของเขานั่นแหละ

    ดวงตาของเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลไม่แพ้ของโฮซอกเลย  ก็แน่ล่ะพวกเขาเป็นพี่น้องกันนี่นา  ถึงจะบอกว่าคนละมารดา...แต่อย่างไรเสียพวกเขาสองคนก็มีสายเลือดร่วมกัน  ผมลอบมองแก้วตาสีเงินแสนลึกลับของโฮซอกก่อนจะเบือนสายตาไปยังแก้วตาสีแดงราวกับลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงของคนที่ได้ชื่อว่า น้องชายของโฮซอกแล้วก็พบว่ามันช่างเหมือนกันเหลือเกิน...

    ผมหมายถึงแววตาน่ะนะ...

    มันเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยสักนิด....

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”น้องชายของโฮซอกเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ  ถึงมันจะดูเหมือนการทักทายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกันตามประสาพี่น้อง  แต่เชื่อผมเถอะครับว่าถ้าคุณมายืนอยู่ตรงนี้มันจะเปลี่ยนเป็นหนังคนละม้วนอย่างสิ้นเชิง

    “พี่สบายดีไหมครับ....ไม่กลับบ้านเป็นร้อยปีไม่นึกว่าจะสนิทชิดเชื้อกับพวกมนุษย์เสียขนาดนี้....”เด็กหนุ่มเขาแดงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆที่ในสายตาของผมผมคิดว่ามันคือการยิ้มเยาะชัดๆ

    โฮซอกไหวกายเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับตัว  ผมไม่รู้ว่าเจ้าเด็กตรงหน้านี่เก่งกาจแค่ไหน  แต่เห็นอาการระวังตัวแจของคนตัวบางข้างหน้าผมแล้วก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

    “ตัวพี่มีแต่กลิ่นมนุษย์...”คนที่ดูเหมือนจะชื่อจองกุกเอ่ยหลังจากที่เขาโน้มกายเข้ามาใกล้กับโฮซอกและเอาปลายจมูกโด่งๆนั่นมาแตะที่เรือนผมนิ่มเบาๆ...

    มันรวดเร็วและบางเบา....เบามาก...

    แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก....

    เฮ้! นี่มันแฟนผมนะเว้ย!

    จู่ๆจะให้ใครก็ไม่รู้เอาจมูกมาซุกน่ะ ยอมได้ที่ไหนกัน!

    “นายต้องการอะไรจองกุก”และดูเหมือนว่าโฮซอกจะรับรู้ความไม่พอใจของผมได้  เพราะเขาเบี่ยงใบหน้าหลบปลายจมูกโด่งนั้นอย่างรวดเร็ว  ฝ่ามือเรียวก็เอื้อมมากอบกุมมือของผมเอาไว้แน่น

    “หมอนั่นยังไม่ได้บอกพี่เหรอ?”เจ้าเด็กยักษ์จองกุกถามก่อนที่เขาจะเหลือบตาไปมอง หมอนั่น ที่ว่า  ผมมองเห็นจีมินเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่สายตาคมดุดันของผู้มาใหม่ตะหวัดมอง  อย่าว่าแต่จีมินเลยครับ ขนาดผมคนที่ไม่ได้ถูกจ้องมองตรงๆอย่างเขายังอดที่จะหวาดหวั่นกับสายตานั่นไม่ได้เลย

    “...นายก็รู้ว่าพี่ไม่ได้อยากครองบัลลังก์”โฮซอกเอ่ยตอบ  เขายืนจ้องตากับจองกุกอย่างไม่เกรงกลัว  แก้วตาสีเงินของโฮซอกที่เคยสุกสกาวเช่นไรตอนนี้มันกลับยิ่งสว่างไสวมากไปกว่านั้น 

    ...เพราะมันเป็นแววตาแน่วแน่ของคนที่ตัดสินใจแล้ว...

    “ผมรู้ครับ....”จองกุกยกยิ้มบางก่อนที่เขาจะค่อยๆหลับตาลงแล้วเอ่ยตอบ  เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะผละห่างออกไป รักษาระยะห่างให้เท่าเดิมเหมือนก่อนหน้านี้

    “...แต่พวกสภาไม่รู้”จองกุกเอ่ยเสียงเรียบอีกทั้งดวงตาสีเพลิงของเขาก็ลุกโชนราวกับมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้น...ไม่สิ  มีเปลวเพลิงอยู่ในดวงตาของเขาจริงๆพวกมันลุกพรึ่บพั่บโหมกระพือราวกับไฟป่าในฤดูหนาว

    “...งั้นพี่จะไปพูดกับพวกเขาเอง  พี่ไม่ได้อยากครองบัลลังก์...พี่แค่อยากใช้ชีวิตสงบๆอยู่ที่นี่  อยู่กับคนที่พี่รัก...”โฮซอกเอ่ยตอบก่อนที่ฝ่ามือเรียวที่กอบกุมมือของผมอยู่จะกระชับแน่นขึ้นไปอีก

    ...ไม่น่าเชื่อว่าคำบอกรักของเขาจะทำให้ความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาของผมถูกพัดปลิวหายไปจนหมด...

    ...โฮซอกบอกรักผมบ่อยจนคำว่ารักแทบจะไม่ใช่คำพิเศษอีกแล้ว...แต่ทุกครั้งมันก็จริงใจเสียจนอุ่นซ่านไปทั่วทั้งใจ...

    มือเรียวที่กอบกุมมือของผมเอาไว้ออกแรงดึงเล็กน้อยให้ผมขยับกายตาม  โฮซอกสะบัดมือหนึ่งครั้งดาบเล่มใหญ่ในมือของเขาก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย  เขาจูงมือผมเดินตรงไปด้านหน้าฝ่ายร่างสูงของคนที่เป็นน้องชายไปโดยไม่คิดจะชายตามองเลยสักนิด

    ...ผมไม่รู้ว่าเขาจะลากผมไปไหน...

    พรึ่บ!

    แต่ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านพ้นร่างของจองกุกพวกเราก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเสียก่อน  ผมตกใจจนแทบกระโจนถอยหลังเมื่อเห็นว่าพื้นถนนเบื้องหน้าห่างจากปลายรองเท้าหนังของโฮซอกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรมีเปลวไฟสีโลหิตกำลังลุกโชนอยู่ตรงนั้น

    “พี่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น...”น้ำเสียงเย็นยะเยียบที่ไร้อารมณ์ดังขึ้นเรียกให้ขนอ่อนทั้งร่างกายของผมพากันตั้งชันอย่างไม่ได้นัดหมาย  จองกุกไม่ได้ขยับกายไปไหนแต่ดวงตาสีเพลิงของเขากลับเหลือบมองมาที่พวกเราทั้งคู่อย่างเอาเรื่อง

    “ทำไม?”ฝ่ายโฮซอกเองก็เอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แพ้กัน  ฝ่ามือที่เคยอบอุ่นของเขาก็ยังคงอบอุ่นอยู่เช่นเคย  หากแต่ผมกลับรู้สึกหนาวสะท้านราวกับว่าคนที่กอบกุมมือผมอยู่ไม่ใช่โฮซอกคนเดิมที่ปมเคยรู้จัก  ดวงตาสีเงินของเขาวาววับจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายเขม็ง

    “....”จองกุกไม่ได้ตอบคำถามของโฮซอก  แต่ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นกลับจ้องมองโฮซอกด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก

    ...ผมมองเห็นร่องรอยของความเสียใจอยู่ภายในนั้น...

    “...ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามพี่....”จองกุกกระแอมไอสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบและแววตาว่างเปล่าราวกับแววรวดร้าวเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

    “...ถ้างั้นพี่ก็จะไป...”โฮซอกตอบก่อนที่ขาเรียวภายใต้กางเกงสแลกขมุกขมอมจะเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง  แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะลากตัวผมให้เดินตามไปด้วย  ผมเหลือบมองด้านหลังเห็นจีมินรีบเดินตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆ  เขาเดินก้มหน้าตลอดราวกับไม่ต้องการที่จะมองเห็นอะไรทั้งนั้น

    ...ดูเหมือนเขาจะกลัวจองกุกมากทีเดียว...

    ผมจะไม่บอกว่าเขาขี้ขลาดหรอก เพราะตัวผมเองที่เพิ่งเคยเผชิญหน้ากับเขาครั้งแรกยังรู้สึกหวั่นเกรงเขาได้ขนาดนี้...

    “...พี่จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!เสียงตะโกนกร้าวดันขึ้นหลังจากที่เราเดินจากมาได้เพียงสิบก้าวเท่านั้น  เสียงกราดเกรี้ยวที่ดังขึ้นรียกให้อสูรกายนับร้อยตัวส่งเสียงร้องแกว๊กๆอย่างน่ารำคาญ  ผมไม่รู้ว่าพวกมันเป็นอะไร  หวาดกลัวหรือกำลังฮึกเหิมกันแน่....

    แต่ที่แน่ๆคือพวกเรากำลังจะไม่ปลอดภัย!

    สิ้นเสียงตะโกนนั้นเจ้าฟิวรี่ฝูงใหม่ก็พากันบินตรงมาหาพวกเราทั้งสามคน  พวกมันอ้าปากกว้างอวดเขี้ยวแหลมน่าขยักแขยง  บางตัวมีของเหลวเหนียวหนืดย้อยยืดลงมาจากปากชวนคลื่นไส้นัก

    ...ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าที่โลกปีศาจนี่เขาไม่ให้อาหารเจ้าพวกนี้กินรึไงนะมันถึงได้ทำหน้าอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าขนาดนี้...ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ขวางหน้ามันอยู่ก็ผมนี่แหละ!

    หวืด!

    “แกว๊ก!!!”เสียงร้องแหลมหัวด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นที่ข้างหูผม  หันไปก็ต้องตกใจจนแทบหงายหลังเมื่อภาพที่เห็นคือใบหน้าของเจ้าฟิวรี่ที่เข้าประชุดตัวผมจากด้านหลัง  แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็คือดาบเล่มใหญ่ของโฮซอกที่เจ้าของมันใช้แทงทะลุใบหน้าของเจ้าอสูรกายห่างจากใบหน้าของผมไปเพียงสองเซนติเมตรเท่านั้น!

    “....โฮซอก.....”ผมเอ่ยเรียกเขาเบาๆ  แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ  เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยถามว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่าเหมือนที่เขามักจะทำเสมอด้วยซ้ำ  ขนอ่อนทั่วร่างของผมลุกชันขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุยามที่เผลอสบนัยน์ตาสีเงินทรงอำนาจคู่นั้น....

    ...ปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่าโฮซอกในตอนนี้ ทำให้ผมหวาดกลัว...

    “...นายจะไม่ยอมให้ฉันไปใช่มั๊ยจองกุก...”โฮซอกเดินผ่านตัวผมไปเพื่อกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าน้องชาย  ปลายดาบเล่มใหญ่ของเขาถูกยกขึ้นชี้ตรงไปที่ระดับใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยมือเดียว  ใบหน้าของโฮซอกนั้นราบเรียบเอาจริงเอาจัง  แต่ทว่าสายตาของเขากลับดุดันเชือดเฉือนจนน่าพรั่นพรึง

    อาการแบบนี้ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง....มันคือตอนที่เราเคยทะเลาะกันครั้งที่รุนแรงที่สุด  แต่ตอนนั้นโฮซอกยังอยู่ในรูปลักษณ์ของ มนุษย์  ตอนนี้มันถึงได้น่ากลัวมากกว่าครั้งนั้นหลายขุม

    “ผมก็อยากปล่อยให้พี่ไปเงียบๆ.....”ฝ่ายคนที่โดนปลายแหลมของคมดาบจ่ออยู่ที่กลางหน้าผากไม่ได้แสดงทีท่าหวาดหวั่นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว  เจ้าของชื่อจองกุกยังคงเอ่ยประโยคต่อมาด้วยใบหน้าราบเรียบและน้ำเสียงเนิบนาบเฉกเช่นเดิม

    “...แต่ผมไม่มีทางเลือก...”

     

    “...พี่ต้องหายไปซะโฮซอก!

     

    สิ้นเสียงตะโกนกร้าวของเด็กหนุ่มจองกุกดาบเล่มใหญ่ของโฮซอกก็ถูกปัดเบี่ยงทิศทางออกด้วยดมของดาบอีกเล่ม  เสียงโลหะปะทะกันดังลั่นไปทั่วบริเวณราวกับเป็นระฆังสัญญาณเตือนให้ความชุนลมุนเริ่มขึ้นในตอนนั้น

    “ท่านนัมจุนขอรับ!”เสียงตะโกนของจีมินดังขึ้นฝ่าเสียงกรีดร้องน่ารำคาญของอสูรกายทั้งหลายมาพร้อมกับที่ดาบเก่าๆขึ้นสนิมที่ผมคุ้นตาจะถูกโยนส่งมาให้  ในเวลานั้นผมไม่คิดอะไรอีกแล้วครับนอกจากรับมามาเหวี่ยงเพื่อป้องกันตัวเองอีกครั้ง

    ผมมองเห็นจีมินกำลังง่วนกับการจัดการเจ้าหมายักษ์มากมายที่พุ่งไปรุมเขาราวกับมองเห็นเนื้อชั้นดี  ดูเหมือนผมจะไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกมันเลยสักนิด  คงจะเป็นอย่างที่โฮซอกเคยบอกว่าพวกมันทำอะไรผมไม่ได้เพราะผมไม่ได้มาจากโลกปีศาจ ดูเหมือนหมาล่าวิญญาณพวกนี้จะล่าเฉพาะสิ่งที่มาจากโลกปีศาจเพียงเท่านั้นจริงๆ

    ...เห็นแบบนี้ผมก็สบายไประดับหนึ่งครับ  อย่างน้อยสิ่งที่ผมต้องระวังก็เหลือแต่เจ้าพวกฟิวรี่ค้างคาวผีพวกนี้เท่านั้นแหละ...

    ผมไม่รู้ว่าผมเหวี่ยงดาบฟันเจ้าพวกนี้ไปกี่ตัว  รู้แต่ว่าผมเหวี่ยงไปรอบตัวสะเปะสะปะ  และแน่นอนว่าสะดุ้งทุกครั้งที่คมดาบปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง  ถึงจะฟันมาหลายทีแล้วในวันนี้แต่เอาจริงๆผมไม่มีทางชินกับเรื่องวกนี้แน่ๆ

    ...แน่ล่ะครับใครจะไปชินล่ะ! ผมใช้ชีวิตเป็นพนักงานออฟฟิสรายได้ต่ำมาตลอดนะ!

    งั่ม!

    และดูเหมือนว่าผมจะเหม่อลอยโดยไม่ได้ตั้งใจ  เจ้าฟิวรี่ตัวหนึ่งถึงได้สบโอกาสลงเขี้ยวที่ต้นแขนซ้ายผมอย่างไม่ปราณีทันที  ความเจ็บร้าวแล่นไปทั่วทั้งแขน  มันชาแข็งจนขยับไม่ได้ราวกับว่าแขผมกลายเป็นหินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

    “...ชิบ...!

    ...ไม่ใช่เหมือนครับ....

    ...แขนซ้ายผมกลายเป็นหินไปแล้วจริงๆ!

    ให้ตายเถอะ! ผมสบถหยาบคายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเหลือบมองแขนที่ความเจ็บปวดหายไปก็พบว่ามันกลายเป็นหินไปแล้ว! พูดตามตรงก็คือตอนนี้ผมสติแตกมาก...ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้  แน่ล่ะ! มันจะมีสักกี่วันที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแขนของตัวเองกลายเป็นหินน่ะ!

    “ตัดมันออกนัมจุน!ผมได้ยินเสียงตะโกนมาจากไกลๆ  หันกลับไปมองก็พบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขา  โฮซอกกระโดดหลบคมดาบของจองกุกที่ฟาดลงมากลางลำตัวก่อนทำท่าจะกระโจนเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว  แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิดเมื่อดูเหมือนจองกุกจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น

    “...นัมจุนตัดแขนออก! คำสาปของฟิวรี่มันจะลามไปทั่วทั้งตัวนาย  มันเข้าสู่หัวใจเมื่อไหร่เราจะแก้ไม่ได้...นายตายได้สามครั้ง แต่เป็นหินนายจะไม่ตาย!”ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมเบิกตาโตขนาดไหนตอนที่มองกลับไปที่คนพูดอย่างโฮซอก

    ...ผมได้ยินไม่ผิดใช่มั๊ยเขาบอกให้ผมตัดแขน เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!

    ผมเหลือบมองไปยังแขนข้างนั้นแล้วก็พบว่ามันกำลังลามขึ้นมาจริงๆ  ให้ตายเถอะ! พูดง่ายแต่มันทำยากนะเรื่องแบบนี้ แค่ผมลองจิตนาการสมมุติเอาว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหนผมก็แทบจะกัดลิ้นให้ตายๆไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

    พวกฟิวรี่ที่บินเข้ามาไม่ปล่อยให้ผมได้มีโอกาสตัดสินใจ  มันโฉบเข้ามาหาแขนอีกข้างของผมอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็เหวี่ยงดาบเก่าๆในมือใส่มันจนเต็มแรง  เสียงร้องแกว๊กดังขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะลอยละลิ่วออกไปหลายสิบเมตร

    ความรู้สึกชาหนึบและหนักหน่วงลามขึ้นมาตามแขนจนตอนนี้แขนซ้ายของผมกลายเป็นหินไปหมดแล้ว  อีกแต่ไม่ถึงคืบมันก็จะลามขึ้นมาถึงหัวไหล่  ผมรู้ตัวตอนนั้นว่าผมจำต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็เพื่อรักษาชีวิต...

    ...แต่...ผมไม่ได้มีความกล้ามากมายขนาดนั้น...

    ...ผมแค่...ผม....

    “นัมจุน!”เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้ผมหันไปให้ความสนใจ มองเห็นโฮซอกกำลังลงดาบใส่จองกุกที่ถอยร่นไปอย่างดุดัน  ดวงตาคู่สวยของเขาเบือนมาสบผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแววอ้อนวอน

    ขอร้อง....เขากำลังขอร้องให้ผมเชื่อใจเขา....

    “เชื่อฉันนัมจุน...ได้โปรด...”เสียงของเขาที่เอ่ยอ้อนวอนออกมานั้นไม่ได้ดังไปกว่าเสียงประดาบและเสียงกรีดร้องของเหล่าอสูรกายพวกนี้เลยสักนิด...

    ...แต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน....

    มองเห็นแววตาอ้อนวอนที่ฉายแววโศกศัลย์คู่นั้นแล้วผมก็สำนึกได้ว่าผมกำลังจะทำเขาร้องไห้  ก็อย่างที่โฮซอกบอกว่าหากผมกลายเป็นหินเพราะคำสาปมันยิ่งกว่าตายเสียอีก  เพราะผมจะกลายเป็นหินทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

    ...ผมมีพรของโฮซอกอยู่  มันทำให้ผมตายได้สามครั้ง...

    เพราะงั้น...ถึงจะเจ็บจนตาย  หรือสุดท้ายจะเลือดออกจนตาย...ยังไงผมก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง...

    ...ผมเชื่อโฮซอก...

     

    ฉัวะ!

    เสียงเชือดเฉือนดังก้องไปทั่วทั้งหู  ในทีแรกมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด  แต่ทันทีที่ผมสำนึกได้ว่าแขนข้างซ้ายไม่ได้อยู่ติดตัวผมอีกต่อไปแล้วนั่นแหละครับที่ความเจ็บปวดมั่นแล่นริ้วขึ้นมาจนถึงปลายสุดของเส้นประสาท

    ผมไม่รู้ว่าผมกรีดร้องดังแค่ไหน  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้พยายามเหวี่ยงดาบปกป้องตัวเองอย่างที่ควรจะทำหรือไม่  ความเจ็บปวดมันบดบังทุกสิ่ง บดบังทุกๆอย่างจนผมไม่สามารถนึกถึงอะไรได้อีก

    นานเท่าไหร่ก็ไม่อาจคะเนได้ที่ทุกอย่างล้วนขาวโพลนและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด  ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใบหน้าของผมแนบลงที่พื้นถนนเสียแล้ว  หูของผมไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น  มันมีเสียงวี้ๆวิ่งวนไปหมด  แถมสายตาก็ยังพร่าเบลอเกินกว่าจะประมวลผลภาพได้  ไม่รู้ว่าเพราะผมกำลังร้องไห้หรือว่าเพราะความเจ็บปวดกันแน่ที่ทำให้ผมมองไม่เห็น

    ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงผมร้องไห้หรือไม่  ร่างกายของผมไม่รู้สึกอะไรเลย.....

    ...ไม่เลยสักนิด...

    บางทีนี่ผมอาจจะกำลังตายอย่างช้าๆ  เลือดคงไหลออกจากแผลไม่หยุด...แต่เอาเถอะผมไม่ได้สนใจมันมากนักก็ในเมื่อตอนนี้ผมไม่เจ็บสักนิด  จะไหลออกจนตายก็ไหลไปเถอะ...ก็เป็นอย่างที่โฮซอกบอกแหละครับ...

    ...ตอนนี้ผมคงเหลือตายได้อีกสองครั้ง....

    ผมจำได้ว่ามันยังไม่ค่ำตอนที่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับผม  แต่ตอนนี้มันกลับมืดมิด....โอเค...ผมมองไม่เห็นอะไรแล้ว...

    แย่...นี่มันแย่มากๆ

    ผมมองไม่เห็น...ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ขยับตัวก็ไม่ได้...โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ยังได้ยินเสียงแว่วๆ  แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเบาลงเรื่อยๆเหมือนกัน...

    ...คงใกล้แล้วมั้ง...

    ...อ่า  ขอโทษนะโฮซอก พรที่นายให้ฉันใช้ไปแล้วหนึ่งข้อทั้งที่เพิ่งเริ่มการปะทะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย...

    ..หวังว่านายจะรู้นะโฮซอก...

    ...ฉันรักนาย...

     

    “นัมจุน!!!!

     

    Devil  Beside

     

    “....จุน....”

    ...เสียงใคร...

    “...นัมจุน....”

    ...เรียกชื่อผม?

    “นัมจุน”

    ...เสียงเหมือนโฮซอก?...

    ...ใครคือโฮซอก?...

    “...นัมจุนได้โปรด...ตื่นเถอะ...”สัมผัสเย็นๆเปียกชื้นของอะไรบางอย่างแตะลงที่ใบหน้าของผมทำให้สติของผมเริ่มกลับมา...

    ...ผมชื่อคิมนัมจุน..ผมกำลังถูกฝูงฟิวรี่รุมทึ้ง...

    ...ผมโดนกัด....แขนของผมเป็นหิน...แล้วจากนั้นก็...

    เฮือก!!!

    ผมสะดุ้งพรวดขึ้นมาเต็มแรง  เบิกตากว้างลมหายใจก็หอบถี่...ความรู้สึกมันเหมือนผมถูกกดน้ำไว้เป็นเวลานานแล้วพอได้อากาศหายใจผมก็รีบสูดมันเข้าปอดอย่างตะกรุมตะกราม

    “..นัมจุน!”เสียงเอ่ยเรียกชื่อพร้อมกับร่างของใครบางคนที่โถมเข้าใส่ผมจนเต็มแรงไม่ได้ทำให้ผมตกใจไปได้เท่ากับสัมผัสเปียกชื่นที่หัวไหล่เลยสักนิด  คนตัวบางโถมกายกอดผมเอาไว้แน่น  สองแขนบางภายใต้ชุดสูทนั้นก็กอดกระชับรอบเอวของผมแน่นราวกับว่ากลัวผมจะกายไปไหน

    “...ฮึก...ฉันคิดว่าพรนั่นจะไม่ได้ผลกับนายซะแล้ว...ฉันกลัวว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมา ฉัน.....ฉัน....”ประโยคที่เหลือนั้นขาดหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นจนตัวโยน  โฮซอกที่ซุกอยู่ตรงอกผมนั้นร้องไห้งอแงเป็นเด็กน้อย  เสียงสะอื้นนั้นมันช่างน่าสงสารเสียจนผมอดที่จะยกแขนขึ้นกอดปลอบเขา

    ...แขน...

    ตอนนั้นเองที่ผมสำนึกได้ว่า...ผมตัดแขนตัวเองไปแล้ว...

    น่าเสียดายที่ต้องมาเสียแขนซ้ายไปแบบนั้น  แต่นั่นมันก็เพื่อรักษาชีวิตผมเอาไว้...

    ...รักษาสัญญากับโฮซอก...

    กำลังตัดพ้อกับโชคชะตาและพยายามทำใจยอมรับกับการเสียแขนอยู่ดีๆผมก็ต้องชะงักไปอีกครั้งเมื่อเผลยกมือซ้ายขึ้นลูบเรือนผมนิ่มของโฮซอก....

    ครับ....มือซ้าย....

    “เฮ้ย!”ผมร้องลั่นพลางรีบยกแขนขึ้นมาดูทันที  แขนซ้ายของผมยังอยู่ดี  ถึงปม้ตอนนี้แขนเสื้อยืดที่สวมใส่ในตอนแรกจะหายไปแถมสวนที่เหลืออยู่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดก็ตามที

    ...แต่แขนของผมก็อยู่ครบ...

    “...ทำไม...”

    ...แขนฉันถึงยังอยู่....

    ผมอยากจะเอ่ยถามโฮซอกออกไปแบบนั้น  แต่เพราะความตกตะลึงทำให้ผมถามไม่ออก  และโฮวอกก็เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่  เขาผละห่างออกไปนั่งข้างๆผมก่อนจะใช้แขนเสื้อสูทมอมแมมของตนเองเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ

    “ผลของพรน่ะ....แต่ว่าขอโทษนะ  ฉันใช้พรข้อที่สองของนายมาทดแทนเพื่อรักษาแขนนาย...”โฮซอกเอ่ยออกมาเบาๆ ใบหน้าของเขาฉายแววความลังเลอย่างเห็นได้ชัด  พอเห็นแบบนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะต้องคว้าตัวเขาเข้ามาในอ้อมกอด

    ...บางทีอาจจะถึงคราวที่ผมต้องปลอบเขาบ้างเสียแล้ว...

    “ไม่เป็นไรน่า...อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังตายได้อีกครั้งนะ”ได้ยินแบบนั้นโฮซอก็ทำท่าจะปล่อยโฮออกมาอีกรอบร้อนถึงผมและจีมินต้องช่วยกันปลอบยกใหญ่...

    ...ให้ตายเถอะ  เจ้าชายปีศาจของผมนี่ขี้แงจริงๆ...

    “แล้วนี่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง  แล้วพวกน้องชายนายล่ะ”หลังจากที่ใช้เวลาสักพักในการปลอบคนขี้แงให้หยุดร้องไห้ได้สำเร็จผมก็เพิ่งสังเกตว่ารอบตัวตอนนี้ไม่ใช่ถนนหลวงอีกแล้ว  แต่มันกลับกลายเป็นป่ารกร้างที่ดูเหมือนจะถูกปล่อยปะละเลยมาหลยสิบปี

    “องค์ชายพาท่านนัมจุนหนีมาขอรับ...ข้าใช้สัตว์รับใช้ถ่วงเวลาพวกเขาไว้...น่าจะได้อีกสักพัก”จีมินเป็นคนเอ่ยตอบคำถามนั้น

    “ตอนนี้ฉันว่าเราควรหนีได้แล้วล่ะ....เอาไว้สงสัยอะไรฉันจะบอกระหว่างทางนะ...”โฮซอกเอ่ยแนะนำ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย  ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุดคือการหนีครับ

    ถามว่าทำไมถึงไม่สู้น่ะเหรอ?

    เรามีปีศาจสะบักสะบอมสองตนกับมนุษย์ไร้ความสามารถอีกหนึ่ง...

    ...จะไปสู้กองทัพอสูรกายพร้อมรบของอีกฝ่ายได้ไงล่ะครับ...

    “เฮ้จีมินไหวรึเปล่า...”ระหว่างที่เราเดินเข้าป่ามาได้สักพักผมก็สังเกตเห็นว่าท่าเดินของจีมินแปลกไป  มันดูขัดๆเหมือนจะก้าวไม่ถนัดเท่าใดนักปมเลยเอ่ยถามออกไป  เจ้าของชื่อก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองผมช้าๆ  เขาอึกอักสอดส่องสายตาไปทั่ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไหร่นัก

    ผมกับโฮซอกหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย  สื่อสารกันผ่านทางสายตาก็เหมือนจะรู้ว่าเราควรต้องทำอะไร  ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้  ผมจัดการคว้าเกราะที่ขาของเขาออกทันที

    “จีมิน!”แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ทำเอาลมแทบจับ  ขาข้างหนึ่งของเขาภายใต้เกราะนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่น่าประคองสติเดินมาได้อย่างที่เขาทำอยู่

    “มานั่งนี่ฉันจะรักษานาย”โฮวอกออกคำสั่งเรียกเอาทั้งผมและจีมินต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว  จีมินส่ายหน้าดิกเขารีบคว้าเกราะจากมือผมไปเตรียมจะใส่กลับเหมือนเดิม  แต่ไม่ครับ....ผมไม่ยอมคืนให้เขาแน่ๆ...

    “ได้โปรดขอรับองค์ชาย  ข้าทนเห็นท่านเจ็บปวดเพราะข้าอีกไม่ได้แล้ว...”ใบหน้าน่ารักขององครักษ์ตัวเล็กฉายแววอ้อนวอนอย่างเหลือล้น  ในตาเรียวคู่นั้นมีน้ำใสๆเอ่อคลอ  พอเห็นเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นโฮซอกก็ได้แต่เม้มปากแน่นอย่างใช้ความ

    ...ดูเหมือนเขากำลังหนักใจกับเรื่องนี้...

    “งั้นเอาอย่างนี้...จีมิน...โฮซอกจะไม่รักษานาย  แต่เราจะปฐมพยาบาลเบื้องต้น....”พอเห็นว่าสถานการณ์นี้ตัดสินใจยากจนเกินไปผมเลยเลือกที่จะเป็นคนหาทางแก้ที่พอใจทั้งสองฝ่ายเอง

    “...แต่ฉันจะไม่ให้นายเดินอีกแล้ว  ในเมื่อนายบินไม่ได้แบบโฮซอก...ฉันจะแบกนายเองเข้าใจมั๊ย?”ทันทีที่ผมเสนอตัวปีศาจทั้งสองตนก็หันขวับมามองผมเป็นตาเดียว  สายตาตื่นตะลึงเชิงไม่เห็นด้วยของจีมินและแววตาเขียวปั๊ดอย่างไม่เห็นด้วยของโฮซอกเรียกให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆออกไปขัดตาทัพเพียงเท่านั้น

    “เอาน่า เราไม่มีเวลาแล้ว...จีมินเดินเองก็อาการหนักขึ้นแถยังช้าด้วย  อีกอย่างฉันก็แข็งแรงที่สุดในตอนนี้แล้วนะ...”ผมยกข้ออ้างที่คิดว่าน่าเชื่อถือที่สุดออกมาใช้ทันที  ผมไม่ได้โกหกนะ  สภาพตอนนี้ผมดูดีที่สุดจริงๆ เพราะผม เกิดใหม่ มาแล้วไงล่ะ ตอนนี้ร่างกายเลยฟิคปึ๋งปั๋งไร้บาดแผลใดๆ

    สุดท้ายแล้วทุกคนก็ยอมเห็นด้วยกับผม  พวกเราจึงได้ออกเดินทางได้คล่องขึ้นโดยที่ผมมีจีมินอยู่บนหลัง...จีมินบอกว่าที่มาของบาดแผลไม่ได้น่าอภิรมย์นัก เรื่องก็คือเขาถูกเจ้าหมายักษ์นั่นกัดเข้าเต็มรัก  แต่ก่อนที่พิษมันจะลามไปส่วนอื่นให้ทรมาณเล่นเขาก็ตัดการเฉือนเนื้อบริเวณนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล

    ...ได้ยินแบบนั้นผมก็ดันนึกถึงตอนที่ตอนเองตัดใจเฉือนแขนตนเองออกมาตะหงิดๆ...

    ...มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอยากพูดถึงจริงๆนั่นแหละ...

    ระหว่างทางพวกเรากูคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้  ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไรจองกุกถึงต้องไล่ล่าโฮซอกด้วย  ทำไมถึงไม่อยากให้โฮซอกขึ้นครองบัลลังก์ก่อนแล้วสละบัลลังก์ให้เขา  และคำตอบที่ได้ยินจากโฮซอกก็ทำให้ผมเริ่มครุ่นคิด

    ...ชาติพันธุ์มันสำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?

    “...ฉันเข้าใจจองกุก  เพราะถ้าฉันเป็นเขาก็อาจจะทำแบบเดียวกัน...บัลลังก์ของโลกปีศาจที่ผ่านมามีแต่สายเลือดแท้ทั้งนั้น  ฉันเป็นรัชยายาทคนแรกที่เป็นเลือดผสม...ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ฉันเป็นลูกครึ่งสวรรค์....”โฮซอกเอ่ยก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างคนที่ยอมรับความจริงในทุกๆอย่าง

    “...อันที่จริงแล้วประชาชนส่วนมากก็ไม่เห็นด้วยถ้าหากฉันจะขึ้นครองบัลลังก์  แต่เพราะพวกเรายึดถือ กฎมลเทียรบาล มาก่อนสิ่งใดเสมอทำให้พวกเขาต้องยอมจำนน...ยิ่งฉันมีราชาปีศาจคอยสนับสนุนด้วยยิ่งแล้วใหญ่....”

    “แค่เรื่องที่นายเป็นลูกครึ่งสวรรค์น่ะหรือ?  ไม่ใช่ว่านายเลือกที่จะเป็นปีศาจเต็มตัวแล้วเหรอ?”ผมเอ่ยถามตามที่สงสัย  ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเหยียดเรื่องชาติพันธุ์กันแบบนั้นด้วย  ไม่น่าเชื่อว่าแม่แต่ในโลกปีศาจก็มีเรื่องความขัดแย้งทางชาติพันธุ์แบบนี้อยู่เหมือนกัน

    “...มันเป็นเรื่องของเกียรติยศในราชวงศ์น่ะ  อาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อย...แต่ฉันก็เป็นจุดด่างพร้อยดีๆนี่เอง...”ชั่วขณะผมเห็นแววตาเศร้าโศกของเขา  แต่มันก็เปลี่ยนกลับมาเด็ดเดี่ยวเช่นเดิมได้อย่างรวดเร็ว

    “...เกียรติยศที่ทำให้ต้องมาเข่นฆ่าคนในครอบครัวเนี่ยนะ...เกียรติแบบไหนกัน?”ผมไม่รู้หรอกครับว่าเผลอใส่อารมณ์ลงไปเยอะแค่ไหน  แต่มันก็คงจะมากพอให้น่าขันเพราะผมแอบเห็นโฮซอกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

    ...ถึงสุดท้ายแล้วเขาจะกลับมาเป็นจริงเป็นจังอีกครั้ง...แต่การได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยดูเหมือนจะทำให้ความตึงเครียดของเขาลดน้อยลงได้แหละครับ...

    ...แค่เห็นเขายิ้มได้ผมก็ดีใจ...

    “มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก...จองกุกคิดไปไกลกว่านั้น  เขาไม่ได้ทำลงไปเพราะต้องการอำนาจ  เราโตมาด้วยกัน...ฉันรู้จักเขาดี...”โฮซอกอธิบายให้ผมฟัง  แก้วตาสีเงินของเขาเต็มไปด้วยแววของความเอ็นดู

    ...ในเวลาแบบนี้เขาก็ยังคงเป็นโฮซอก...

    เขากำลังแก้ต่างให้จองกุก  เขาพยายามบอกว่าจองกุกมีเหตุผลในการกระทำ...ดูๆไปแล้วเหมือนเขาจะไม่คิดติดใจอะไรด้วยหาดพวกเราหนีไปได้...

    ...ทั้งๆที่น้องชายที่รักของเขากำลังตามฆ่าพวกเราเนี่ยนะ?...

    ...จองโฮซอก...

    ...เขาบริสุทธิ์เกินไปจริงๆ...

    โฮซอกไม่ควรต้องมาเจอเรื่องงี่เง่าพวกนี้เลยสักนิด  เขาจิตใจดีมาก มีเมตตามากกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก...

    ...จองโฮซอกเป็นนางฟ้าจริงๆ...

    ...เขาไม่ใช่ปีศาจอย่างที่บอกหรอก...

    ...ไม่ว่าโฮซอกจะรู้ตัวหรือไม่....

    แต่เขาเหมาะกับสวรรค์มากกว่าใครๆ...อาจจะมากกว่าเทวดาขี้เท่อที่เหยียดเขาเพียงเพราะปีกสีดำนี่เสียอีก...

    “...ถ้าเกิดประชาชนไม่ยอมรับคนที่จะขึ้นมาครองบัลลังก์แล้วล่ะก็...นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

    “...”

    “...ก่อกบฏน่ะสิ  และเมื่อถึงตอนนั้นต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอนไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ...หากประชาชนชนะ  ผู้ปกครองที่ไม่ได้รับการยอมรับย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้...หรือถ้าฝั่งผู้ปกครองชนะ...ก็ต้องมีการล้มหายตายจากจากการปะทะแน่นอน...”โฮซอกอธิบาย  เขาทอดมองไปยังป่าทึบด้านหน้าราวกับกำลังจมอยู่ในความคิดตนเอง  แต่ก็แค่พักเดียวเท่านั้น  เขาหันมาส่งยิ้มบางๆให้ผมราวกับจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่เลย

    ...สงสัยว่าผมคงคิดตามจนคิ้วแทบผูกโบแล้วกระมัง...

    “...จองกุกคิดไปถึงตรงนั้น  การสูญเสียคือสิ่งที่พวกเราในฐานะชนชั้นปกครองไม่อาจปล่อยผ่านได้  ยิ่งเป็นการสูญเสียหรือความเสียหายที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกันยิ่งแล้วใหญ่....”ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้นตามที่โฮซอกเร่งจังหวะ  เหลือบไปมองจีมินที่อยู่ด้านหลังก็พบว่าเขาหลับไปแล้วเพราะความเหนื่อยล้าและพิษบาดแผล  โฮซอกเอื้อมมือเรียวของเขาขึ้นมาขยี้ผมคนที่หลับเป็นเด็กน้อยอยู่บนหลังของผมอย่างรักใคร่เอ็นดูก่อนจะเอ่ยต่อ

    “...จองกุกน่ะทำเพื่อเกียรติของราชวงศ์...ทำเพื่อความเป็นระบบของโลกปีศาจ  เขาพยายามสร้างความพอใจให้กับทุกฝ่ายโดยที่ไม่ทำลายกฎมลเทียนบาลที่ถือเป็นบรรทัดฐานของโลกเรา...ทั้งหมดนั้นก็เพื่อโลกปีศาจทั้งนั้น...”

    “....”

    “จองกุกน่ะ...ต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย...”โฮซอกเอ่ยก่อนที่เขาจะยกรอยยิ้มบางๆ

    ...เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมไม่ชอบรอยยิ้มของเขา....

    ..รอยยิ้มแสนเศร้าแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย...

    “...โฮซอก...”เดินไปได้สักพักโฮซอกก็กันให้ผมหยุดฝีเท้า  เห็นคนที่เดินนำหน้าอยู่เริ่มสอดส่องสายตาไปทั่วอย่างหวาดระแวงแล้วก็รู้สึกคนลุกอย่างประหลาด

    “นัมจุนฟังนะ....”โฮซอกหมุนกายกลับมาหาผม  ฝ่ามือเรียวของเขาก็จับที่ต้นแขนของผมเอาไว้แน่น  ใบหน้าจริงจังของเขามันทำให้ผมสังหรณ์บางอย่าง...บางอย่างที่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก...

    “...นายต้องวิ่งนำหน้าไป  เราต้องไปให้ถึงน้ำตกก่อนพวกนั้นจะตามมาทัน น้ำเป็นธาตุสวรรค์เป็นพิษกับพวกสัตว์อสูร...ฉันจะคอยคุ้มกันหลังให้...”โฮซอกเอ่ยก่อนจะเดินสวนผมไปที่ด้านหลังทั้งที่ผมยังไม่ทันตอบตกลงเสียด้วยซ้ำ

    ...เฮ้เดี๋ยวนี่เขาหมายถึงให้ผมล่วงหน้าไปก่อนงั้นหรือ?...

    “โฮซอก!”ผมเอ่ยรั้งเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากไป  ฝีเท้าของโฮซอกชะงักลงเล็กน้อย  แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับมามอง

    ...ผมไม่อยากแยกจากเขาตรงนี้...

    ...ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกหากเราแยกกันตรงนี้....

    ...มันอาจจะเป็นแค่ความคิดมากของผมเอง.....แต่อย่างไรเสียผมก็อยากให้พวกเราไปพร้อมกัน....

    “...ม...”กำลังจะเอ่ยขอร้องว่าไม่แยกกันได้ไหม ให้เขาไปกับผมได้ไหมผมก็ต้องชะงักปากไว้เสียก่อนเพราะโฮซอกหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผม  เขาเขย่งกายเล็กน้อยก่อนจะแนบริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นลงบนปากผมแผ่วเบา

    ในขณะที่เขากำลังจะผละห่างก็เป็นผมเองนี่แหละครับที่ตัดสินใจกดแนบจูบของเราให้แนบแน่นขึ้นไปอีก  ใจจริงอยากจะเอื้อมมือไปคว้าตัวเขาเข้ามาโอบกอดอีกสักครั้ง  แต่น่าเสียดายที่ผมต้องแบกจีมินที่หมดสติเอาไว้

    “....แล้วฉันจะตามไปนัมจุน  ฉันสัญญา...”ทันทีที่ผมปล่อยให้ริมฝีปากของเขาเป็นอิสระ  โฮซอกก็เอ่ยออกมาเบาๆ  เขากระซิบออกมาทั้งที่ริมฝีปากของเรายังอยู่ใกล้กันจนแทบชิด

    ผมจ้องมองเข้าไปในแก้วตาสีเงินยวงคู่นั้น  มันฉายแววแน่แน่เด็ดเดี่ยวเหมือนเช่นทุกครั้ง...โฮซอกตัดสินใจแล้ว...และเขากำลังขอให้ผมเชื่อใจเขา..

    ...และน่าแปลกที่ผมเชื่อเขา...

    “...ในตัวนายมีวิญญาณของฉันอยู่...”

    “....”

     

     

    “...จำไว้นะนัมจุน....ฉันจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ....”

     

    โฮซอกเอ่ยทิ้งไว้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่จะหมุนตัววิ่งกลับไปอีกทางทันที  ผมมองจนแผ่นหลังบางๆทว่าสง่างามของเขาหายลับเข้าไปในแนวป่าแล้วก็หมุดตัวกลับเพื่อวิ่งตรงไปยังตำแหน่งของน้ำตกที่โฮซอกว่าทันที

    ...เอาเข้าจริงผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันอยู่ตรงไหน...

    ...แต่อะไรบางอย่างบอกว่าผมรู้ว่าควรไปที่ไหน...

    ...อะไรบางอย่างที่ผมคิดว่ามันคือโฮซอก...

    ตอนนี้ผมแยกกับเขามาพักหนึ่งแล้ว  ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแต่ความอุ่นซ่านภายในร่างของผมยังคงอยู่  วิญญาณของโฮซอกยังคงอยู่  ผมคิดว่าเขาจะไม่เป็นอะไร...

    เสียงซ่าๆของสายน้ำที่กระทบกันเรียกให้ผมหูผึ่ง  หัวใจลิงโลดยิ่งกว่าสิ่งใดเมื่อค้นพบว่าเสียงนั้นคือน้ำตกไม่ผิดแน่นอน  อีกนิดเดียวผมก็จะถึงน้ำตกแล้ว...อย่างน้อยถ้าไม่ต้องมาคอยห่วงผมกับจีมิน  เขาน่าจะทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น...

    กรรรรร!!

    กำลังจะออกวิ่งตรงไปที่น้ำตก  เสียงคำรามของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นเสียก่อน  พอหันหลังกับไปผมก็ตกใจจนแทบทำจีมินบนหลังหลุดมือ  มันคือเจ้าหมายักษ์สุนัขล่าวิญญาณตัวมหึมานั่นเอง  และแน่นอนว่ามันไม่ได้มาตัวเดียว  พวกมันกันถึงห้าตัว!

    “...ท่าน...นัมจุน...”เสียงเอ่ยเรียกจากด้านหลังดังขึ้นเรียกให้ผมต้องเบือนหน้ากลับไปให้ความสนใจ  จีมินในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงเริ่มขืนกายจะลงจากหลงผมให้ได้  จนในที่สุดเท้าทั้งสองข้างของเขาก็สัมผัสกับผืนดินได้ในที่สุด....

    ....แต่ก็ได้เท่านั้น....

    ทันทีที่ผมปล่อยให้เขาเป็นอิสระจีมินก็ล้มลงทันที  เขาไม่ได้หมดสติ...แต่ให้พูดกันจริงๆสภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างกับการหมดสติเท่าใดนัก  เขาในตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้ไปฟัดกับเจ้าหมาบ้านี่เลย  แค่ยืนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

    “...ท่านนัมจุน...ล่วงหน้าไปที่น้ำตกก่อนเถอะขอรับ...เดี๋ยวทางนี้ข้าจัดการเอง...”จีมินเอ่ย  เขาพยายามฝืนตัวลุกขึ้นยืนจนผมต้องรีบตรงเข้าไปประคอง  ผมส่ายหัวก่อนจะส่งยิ้มให้เขาบางๆ

    “...มันทำอะไรฉันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ...ฉันไม่ได้มาจากโลกปีศาจนะ....”ก็อย่างที่บอกไปแหละครับว่าเจ้าหมานั่นทำอะไรผมไม่ได้  อย่างมากก็แค่การขู่ให้กลัว..ซึ่งใช่ มันทำสำเร็จ ผมกลัว....

    “...ไม่ขอรับ...ท่านตายไปแล้ว...ตอนนี้ท่านก็เปรียบเหมือนดวงวิญญาณจากทุ่งวิญญาณ....”

    ...ชิบ....ย....

    กรรรรรรร!

    ยังไม่ทันที่จะสบถออกมาได้เต็มคำ  ร่างของผมก็ลอยละลิ่วจากแรงตะปบของเจ้าหมายักษ์  ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วหน้าท้องจนต้องเบ้หน้า  คามแสบร้อนคือสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น  ให้ตายเถอะ! แม้แต่เล็บมันก็มีพิษงั้นเหรอครับ!

    “...หนีไปขอรับท่านนัมจุนเฉือนพิษออกแล้วหนีไปขอรับ!”จีมินตะโกนลั่นก่อนเขาจะโยนดาบเก่าๆที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งมาให้

    ...โอเค นี่ผมต้องใช้มันตัดเนื้อตัวเองอีกแล้วเหรอเนี่ย!

    ผมกัดฟันก่อนจะลงมือตามที่จีมินบอกทันที  โชคดีที่ครั้งนี้ผมโดนแค่ถากๆเท่านั้น มันไม่ได้ร้ายแรงเหมือนตอนที่โดนคมเขี้ยวของฟิวรี่แผลเลยไม่ใหญ่มาก  ผมฉีกชายเสื้อยืดมอมแมมของตนเองมามัดปากแผลเอาไว้ลวกๆ  อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ชะลอให้เลือดไหลออกจากตัวได้ช้าลงแล้วล่ะครับ

    เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง  พอผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเจ้าหมาบ้าพวกนั้นกำลังไล่ฟัดจีมินที่สะบักสบอมอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผมมองเห็นคนตัวเล็กนั้นสู้สุดชีวิตเพียงเพื่อถ่วงเวลาให้ผมวิ่งหนีเอาตัวรอดได้...

    ...เท่านั้นจริงๆ...

    ...จีมินไม่นึกถึงตัวเองเลยด้วยซ้ำ...

    ...เขาไม่ต้องทำให้ผมขนาดนี้ก็ได้....ผมไม่ใช่คนรู้จักของเขาด้วยซ้ำ...

    ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจได้...

    “กรรรรร!”เสียงร้องโหยหวนของเจ้าหมายักษ์หนึ่งตัวดังขึ้นเพราะคมดาบที่ฟาดฟันลงที่ปลายจมูกของมัน  ผมถลาตัวเข้าไปหาจีมินแล้วเริ่มเหวี่ยงดาบฟาดเจ้าหมาบ้าพวกนี้อย่างรุนแรงทันที

    ผมไม่รู้หรอกครับว่าจีมินตะโกนห้ามผมกี่ครั้ง  ไม่รู้ว่าตัวเองฟันพวกมันไปกี่แผล....ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนงับเข้ากี่จุด....

    ...แต่สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือผมไม่อาจทิ้งให้จีมินที่พยายามปกป้องผมและโฮซอกมาตายตรงนี้แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดได้แน่ๆ...

    ...ขอโทษนะโฮซอก....

    ...ฉันอาจจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนายไม่ได้....

    ...แต่ฉัน....รักนายนะ...

    ...จองโฮซอก...

    รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ล้มลงที่พื้นอีกครั้ง ความรู้สึกหนาวเหน็บเข้ามากอบกุมหัวใจ  ผมรู้ได้ทันทีว่าเวลานั้นมาถึงอีกแล้ว...ผมกำลังจะตายอีกครั้ง...

    ความหนาวเหน็บและเงียบงันโรยตัวไปทั่วทั้งบริเวณ...ไม่สิ  รอบตัวผมไม่ได้เงียบเลยสักนิด  แต่หูของผมเองที่ไม่ได้ยิน....

    ...ผมเคยคิดว่าใครจะไปชินกับความเจ็บปวดกัน...แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกชินกับความตายเสียอย่างนั้น...

    ...ผมตายมาหนึ่งครั้งแล้ว...และนี่ก็เป็นครั้งที่สอง...

    ...ให้ตายเถอะจะมีใครที่มีโอกาสลิ้มรสความตายหลายรอบได้แบบผมบ้างนะ...

    ...คงไม่มี....และผมก็ภาวนาให้ไม่มีจริงๆ...

     

     

    แหมะ

    ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ของเหลวบางอย่างหยดลงที่ปลายจมูก  ประสาทสัมผัสที่ยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนักของผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

    สักพักกว่าที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมกลับคืนมา  กลิ่นคาวคลุ้งลองเข้ามาในประสาทการรับรู้ของผมในที่สุด  ตอนที่จมูกของผมกลับมาได้กลิ่นอีกครั้งกลิ่นแรกที่รู้สึกได้ดันเป็นกลิ่นคาวเหม็นโฉ่จนต้องเบ้หนาเสียอย่างนั้น

    ...ให้ตายเถอะ!

    ผมค่อยๆพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเองขึ้นเพื่อมองความเป็นไปตรงหน้า  แต่เมื่อยามที่ดวงตาของผมมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งสิ่งที่ผมเห็นดันเป็น...สีแดง...

    ...สีแดงฉานของหยาดโลหิต...

    “...ท่าน.....นัมจุน...”เสียงนั้นเอ่ยเรียกผมผะแผ่ว  ดวงตาเรียวของใครบางคนจ้องมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่  ชั่วขณะที่ดวงตาของเราสองคนเผลอสบกันโดยบังเอิญแววตาอ้อนวอนของอีกคนก็ส่งตรงมาหาผมอย่างไม่คิดจะปิดบัง

    ...ไม่หรอก  ปิดบังไม่ได้ต่างหาก....

    ...เพราะดวงตาคู่นั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของผมไปเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น...

    “จี....มิน?”

    “หนีไปขอรับ....ได้โปรด...เพื่อองค์ชาย...”เสียงของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาอ่อนระโหยโรงแรง  จีมินส่งยิ้มบางๆให้ผมและเขาก็พูดได้เพียงเท่านั้นเมื่อร่างของเขากระตุกวูบอย่างแรงแล้วถูกเหวี่ยงออกไปอย่างไร้ปราณี

    ผมมองภาพเบื้องอน้าอย่างจกตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่ควรอยู่ตรงหน้าผมเมื่อครู่ถูกเหวี่ยงออกให้พ้นทางด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์ตนหนึ่ง  จีมินนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น...ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร...

    ดวงตาของเขายังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างอ้อนวอน  แต่เขาไม่อาจขยับกายไปไหยได้....เขาขยับไม่ได้เพียงเพราะร่างกายส่วนล่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตสิแดงฉาน...

    ....เขากำลังร้องไห้  ผมเห็นหยาดน้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย  ทั้งๆที่ไม่อาจขยับร่างกายได้อีกต่อไปแล้วแต่ริมฝีปาดอิ่มของเขาก็ยังคงขยับพร่ำบอกให้ผมหนีไปทั้งที่ไร้เสียง...

    ผมจ้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย...ในระหว่างที่ผมตายไปเขาต้องพยายามอย่างหนักแค่ไหนในการรักษาร่างกายของผมเอาไว้  จีมินที่ไม่อาจขยับร่างกายได้ดั่งใจพุ่งตัวเข้ามาปกป้องร่างกายเปล่าๆที่ไร้วิญญาณไปชั่วขณะของผมเอาไว้...

    เขายืนอยูตรงนั้น...เบื้องหน้าของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัว  แม้แต่คมเขี้ยวของสุนัขล่าวิญญาณจีมินก็ยอมรับมัน...เขายิ้มให้ผม...อ้อนวอนให้ผมหนีไป...ฝากฝั่งองค์ชายของเขาเอาไว้ที่ผม....

    ...จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต...

    ฉัวะ!

    ผมได้สติอีกครั้งในตอนที่มองเห็นหยาดโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไปทั่วด้วยคมเขี้ยวของสุนัขล่าวิญญาณตัวใหญ่  ร่างของจีมินกระตุกเบาๆทุกครั้งที่ถูกฝั่งเขี้ยวลงไป แต่แน่นอนว่าไม่มีเสียงกรีดร้องออกมาเลยสักนิด....

    ...จีมิน...ตายแล้ว....

    ภาพทุกอย่างตรงหน้าเกิดขึ้นราวกับภาพช้า  ผมมองเห็นรายละเอียดทุกสิ่งอย่าง  มองเห็นทิศทางการสาดกระเซ็นของหยาดเลือดหรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงฉีกทึ้งร่างไร้วิญญาณนั้น

    หนีไปขอรับท่านนัมจุน

    ...จีมิน....ฉันเสียใจ....

    หนีไปขอรับ!’

    ผมกัดฟันกลืนก้อนอารมณ์บางอย่างที่เอ่อล้นกลับลงไปในลำคออีกครั้งก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว  สบตากับร่างไร้วิญญาณของจีมินเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหมุนตัววิ่งตรงไปยังน้ำตกที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตรทันที

    “วิ่งเร็วนัมจุน!เสียงตะโกนที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังทำให้หัวใจที่เต้นช้าลงทุกขณะของผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หันหลังมองผ่านร่างใหญ่โตของสุนัขล่าวิญญาณไปก็คือร่างโปร่งบางของใครบางคนที่ผมเฝ้าคนึงหา

    ...โฮซอก...

    เขาอยู่ตรงนั้น  กำลังกระโจนเข้ามาหาผมด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าดูไม่จืดเลยสักนิด  โฮซอกสะบักสบอมไปทั้งตัวแต่โดยรวมดูเหมือนเขาจะปลอดภัยดี  ผมมองเห็นร่างสูงของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจองกุกเคลื่อนกายตามมาติดๆ  แต่สภาพอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่าโฮซอกเท่าใดนัก

    ...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเพียงแค่เห็นใบหน้าสวยของเขา....ผมก็รู้สึกอยากยิ้มออกมา...

    ...ยิ้มทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้ความหมายของมัน...

    ...ผมรู้เพียงแค่ว่าหัวใจที่บอบช้ำของผมกำลังถูกเยียวยาช้าๆเพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของเขา...

    โฮซอกจะรู้มั๊ยนะว่าเขาวิเศษแค่ไหน....

    ผมจำไม่ได้ว่าโฮซอกตะโกนบอกให้ผมเร่งฝีเท้าอีกกี่ครั้ง  จำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรนอกจากยิ้มให้เขาหรือไม่  จำไม่ได้ว่าใบหน้าสวยนั้นเปลี่ยนจากร้อนรนมาเป็นตกตะลึงตั้งแต่เมือ่ไหร่...

    ...เขาว่ากันว่าในวินาทีที่ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้....

    ...คนเราจะเห็นโลกหมุนช้าลง...

    สำหรับผมก็คงจะเป็นเช่นนั้น...

    ทุกอย่างรอบกายของผมเคลื่อนไหวช้าลงจนเหมือนภาพสโลว์  ผมมองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงของโฮซอกที่จ้องตรงมาทางนี้  ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาทั่วร่างจนหูอื้ออึงไปหมด

    ผมมองเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างที่พาดผ่านไปพร้อมกับหยาดโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไปทั่วทั้งคลองสายตา

    ...เลือด....

    ....ของผมเอง?....

    รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทั้งร่างร่วงลงกระแทกกับพื้นดินแข็งๆห่างจากน้ำตกเพียงเอื้อมมือ  หยาดน้ำเย็นๆแสนสดชื่นจากน้ำตกเบื้องหลังกระเด็นโดนใบหน้าของผมเล็กน้อย  มองจากมุมนี้น้ำตกนี้ก็สวยเอาเรื่องเหมือนกัน

    ...น่าเสียดายที่ผมน่าจะชื่นชมความงามของมันได้อย่างเต็มที่หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้...

    ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรเลย...ไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ...

    ...อันที่จริงแล้วความตายก่อนหน้านี้ควรจะสบายให้ได้แบบนี้มั๊ยนะ...

    จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นการตายจริงๆของผมแล้วใช่ม๊ยเนี่ย....

    ...รู้สึกผิดมากอยู่เหมือนกันที่ดูเหมือนชีวิตของผู้ชายโง่ๆที่จีมินเสียสละชีวิตของตนช่วยเอาไว้จะจบลงเร็วขนาดนี้...

    ...แล้วก็เสียใจที่ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับโฮซอกได้....

    ....ทั้งๆที่อยู่ห่างกับเขาแค่เอื้อมเท่านั้นเอง...

    เบือนใบหน้าไปฝั่งตรงข้ามกับน้ำตกก็มองเห็นโฮซอกกระโจนเข้ามาหาผม  เขาออกแรงเหวี่ยงดาบในมืออย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง  ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน  เขาดูโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้...

    ...ถ้าให้พูดกันตามจริง โฮซอกตอนนี้ดูเหมือนปีศาจขึ้นมาสักทีแหละนะ...

    ผมจำได้ว่ามันเป็นเพียงพริบตาเดียวที่เจ้าหมาล่าวิญญาณทั้งหายถูกเปลวเพลิงสีดำแผดเผาจนมอดไหม้หายไปหมด  โฮซอกโยนดาบเล่มใหญ่ทิ้งลงข้างกายรากับของไร้ค่าก่อนจะถลาตรงมาหาผม

    ฝ่ามือเรียวทั้งสองข้างของเขาค่อยๆประคองร่างของผมเข้าไปในอ้อมกอดที่สั่นเทานั้น  เขาร้องไห้....

    ....ร้องไห้จนตัวโยน....

    น่าสงสารจนผมต้อเอื้อมมือขึ้นไปซับน้ำตาให้เขา....

    ....และนั่นก็แทบจะเป็นเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่ผมมีในตอนนี้...

    “นัมจุน...ฮึก...นัมจุน  ฉันจะรักษา...ฉันจะรักษานายเอง...ฮึก นายจะไม่เป็นอะไรนะ...นายจะไม่เป็นอะไร...”เขาร้องไห้ไปเอ่ยปลอบประโลมไปจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์  ถึงเขาจะเอ่ยคำเหล่านั้นกับผม  แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ปลอบผมหรอก

    ...เขากำลังปลอบใจตนเองต่างหาก...

    แสงสีขาวนวลที่ผมคุ้นเคยสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง  น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมไม่อาจรับรู้ความอบอุ่นของมันได้เลยสักนิด  ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของเขาค่อยๆซีดเผือดลงเรื่อยๆ  จนกระทั่งเขาต้องหลุดร้องออกมาในที่สุด

    ...เห็นแบบนั้นผมก็ทนให้เขาทำตามใจอีกต่อไปไม่ได้แล้ว...

    ...เพราะผมรู้ดีว่ารักษาไปก็เท่านั้น....

    ...ผมไม่มีทางรอด....

    “โฮซอก....พอเถอะ....”ผมพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดเท่าที่มีเอ่ยบอกเขาออกไป  ผมส่งยิ้มบางๆให้เขาพร้อมกับกอบกุมมือเรียวที่กำลังสั่นเทาคู่นั้นไว้แนบแน่น  กระชับกอบกุมมันเอาไว้คล้ายการปลอบใจ

    ...มันน่าผิดหวังที่ผมไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขาได้...

    ผมเหลือบมองสภาพที่ชุ่มโชคไปด้วยเลือดของตนเองช้าๆ  โฮซอกเองก็มองตามเช่นกัน  สภาพของผมมันไม่น่าดูเลยสักนิด อยากจะจับใบหน้าของโฮซอกหันหนีเหลือเกิน  อันที่จริงที่ปมไม่รู้สึกเจ็บปวดที่โดนเจ้าหมายักษ์นั่นขย้ำเป็นเพราะ ส่วนที่โดนขย้ำ  ของผมนั้นหายไปแล้วต่างหาก...

    ...ตั้งแต่เอวลงไป....ไม่ได้อยู่กับผมอีกแล้ว...

    ....สิ่งที่เห็นมีเพียงหยาดโลหิตสีแดงฉานที่เจิ่งนองไปทั่วต่างหาก....

    ได้ยินคำห้ามปรามของผมดวงตาคู่สวยนั้นก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ทำนบน้ำตาจะหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันที  โฮซอกคุกเข่าร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย  ภาพนี้มันช่างบาดใจของผมจริงๆ...เจ็บปวดกับภาพนี้มากกว่ารู้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เสียอีก

    ...คิมนัมจุนคนไม่เอาไหนที่ทำให้โฮซอกร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

    สักพักทีเดียวกว่าที่โฮซอกจะหยุดร้อง....ไม่สิเขาไม่ได้หยุดร้องไห้แต่เขาเพียงแค่ไม่ได้คร่ำครวญเท่านั้น  น้ำตาของเขายังคงไม่แห้งเหือดไปไหน  ขอบตาของเขาบวมช้ำจนน่าสงสาร  โฮซอกหลับตาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาบางของตนขึ้นในเวลาต่อมา

    แววตาโศกเศร้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว....

    “อย่าห่วงนะนัมจุน...นายทำได้ดีมาก  นายรักษาสัญญาได้ดีมาก...”โฮซอกเอ่ยบอกกับผมเบาๆ  มือเรียวข้างหนึ่งก็เอื้อมมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือของผมเอาไว้  ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของผมเบาๆอย่างรักใคร่

    “จองกุก...”โฮซอกเอ่ยเรียกชื่อใครบางคนแผ่วเบาแต่ทว่าผมคิดว่าเขาได้ยิน  เจ้าของชื่อที่ยืนห่างออกไปหลายสิบเมตรขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น  ผมเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววรวดร้าวของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อแล้วก็ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณไปให้เขาเบาๆ

    ...อย่างน้อยในระยะเวลาสั้นๆสุดท้ายของชีวิตผม  เขาก็ปล่อยให้ผมได้อยู่กับโฮซอกโดยไม่คิดจะฉวยโอกาสนี้ทำร้ายโฮซอกเลยสักนิด  เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...เฝ้ามองดูบทสรุปนี่อย่างเงียบๆเท่านั้น...

    “...พี่สัญญากับนัมจุนไว้....”ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในรัศมีการสนทนา  โฮซอกก็เริ่มเอ่ยความจำนงของตนทันที

    “....”

    “...เราสองคนสัญญากันไว้ว่าจะจากโลกนี้ไปพร้อมๆกัน....”พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มรู้ว่าเขาต้องการอะไร  กำลังจะเค้นเสียงเอ่ยค้านแต่โฮซอกกลับหันมาส่งยิ้มให้ผมเสียก่อนราวกับรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร

     

    “...นายช่วยให้พี่เป็นคนเลือกจากไปพร้อมกับเขาเองได้มั๊ย?”

     

    จองกุกเบิกตากว้างด้วยความตกใจ  แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หลับตาลงแล้วพยักหน้ารับในที่สุด  อย่าว่าแต่เขาเลยครับที่ตกใจในการตัดสินใจของโฮซอก  แม้แต่ผมเองก็ยังอดตกใจไม่ได้เลย

    ....ทั้งๆที่รู้ว่าอย่างไรเสียตัวผมเองก็ไม่มีทางรอด  และโฮซอกก็รักษาให้ผมไม่ได้...โฮซอกรักษาบาดแผลได้ แต่เขาคืนชีพคนตายไม่ได้...

    ....ทั้งๆที่รู้แบบนั้นแต่ผมกลับอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ...

    ...มันเป้นความเห็นแก่ตัวของผมเอง  ทั้งๆที่เขาก็เคยบอกกับผมไปแล้วว่าไม่ต้องการชีวิตยืนยาวที่แสนเดียวดายแบบนั้นอีกแล้วก็ตาม...

    “...รอเดี๋ยวนะนัมจุน...”โฮซอกเอ่ยก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ผม  รอยยิ้มหวานๆที่ทำให้ผมตกหลุมรัก...รอยยิ้มที่ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงงดงามเสมอในความคิดของผม

    ...ผมนึกขอบคุณร่างกายตนเองที่ฝืนเอาไว้ได้จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มนั้น...อ่า ขอบคุณที่ภาพสุดท้ายที่ตาของผมเห็นคือรอยยิ้มหวานๆของเขา...

    ก่อนที่ดวงตาของผมจะมืดสนิทผมมองเห็นลางๆว่าโฮซอกเดินกลบไปคว้าดาบเล่มใหญ่ของเขามาถือเอาไว้  ไม่นานนักหลังจากนั้นร่างของผมก็ถูกโอบกอดเอาไว้อีกครั้งด้วยแขนข้างเดียวของเขา

    “...นัมจุน...เจ็บแป๊บเดียวนะ...”โฮซอกเอ่ยปลอบผม  ใจจริงอยากจะตะโกนบอกเขาเหลือเกินว่าปมไม่เจ็บอีกแล้ว  ผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว  แต่ก็เหนื่อยล้าและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นได้

    “...ขอบคุณนะนัมจุนที่รักฉัน...ขอบคุณที่รักษาสัญญา...ขอบคุณนะ...”คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมอดที่จะยกยิ้มบางๆไม่ได้  ดูเหมือนเรี่ยวแรงของผมตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น  ผมไม่รู้ว่าโฮซอกทำสีหน้าแบบไหน  สิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นและน้ำเสียงกระซิบแสนหวานที่ราวกับบทสวดส่งวิญญาณที่ไพเราะที่สุดของเขาก็เท่านั้นเอง

    ปลายดาบเล่มใหญ่แทงทะลุผ่านร่างของผมไปจากด้านหลังสู่ด้านหน้าก่อนที่โผล่พ้นเสื้อสูทสีดำสนิทของโฮซอกออกไป  ดาบโลหะเล่มโตเปรียบดังสายใยที่เชื่อมเราสองคนไว้ด้วยกันท่ามกลางความอบอุ่นของอ้อกอดและหยาดโลหิตที่ไหลรินไม่ขาดสาย

    ผมมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมือมิดในคลองสายตา  โฮซอกอยู่ตรงนั้น...เขายิ้มกว้างและเอื้อมมือออกมาหาผม  ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจับมือเรียวนั่นเอาไว้...

    ...เราสองคนจับจูงกันเดินตรงไปยังแสงสว่างที่ปลายทางนั้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขและความอบอุ่นที่ล้นทะลักไปทั่วทั้งใจ...

    ...ผมรู้ในตอนนั้นทันทีว่าต่อจากนี้ไปเราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีก...

    ...พสกเราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ...

    ...ขอบคุณครับพระเจ้า...

    ...ขอบคุณโลกใบนี้....

    ...ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ผมมีคนรักที่วิเศษขนาดนี้...

    ...ขอบคุณที่ทำให้ช่วงชีวิตสั้นๆของผมงดงามจนไม่อาจลืมเลือนได้ไม่ว่าจะอีกกี่ชาติภพ...

    ...ขอบคุณที่ส่งจองโฮซอกมาให้ผมรัก...

    ...และขอบคุณโฮซอก...

    ...ขอบคุณที่รักฉัน...

    ...ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันจวบจนวินาทีสุดท้าย...

    ...ขอบคุณ...

     

     

    “...เราจะอยู่เคียงข้างกันตราบวันสุดท้ายของลมหายใจ...ฉันสัญญานัมจุน...”

     

     

     

     

     

    END.

     

    TALK. เอ้าสามสี่ปรบมือค่ะ!!! เอ้าปรบมือสิคะรออะไร จบแล้ววววววว เย้!!!!! ฮื่อออออออออออออออ ดีใจแรงมากที่ในที่สุดก็จบสักที  แล้วนี่ใครขว้างสากมาคะ เฮ้!

     

    จะบอกว่าเรื่องนี้พล๊อตเป็นแบบนี้จริงๆค่ะ  ไม่ได้เพิ่งมาเปลี่ยนหรืออะไรทั้งนั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเพชรไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น 5555555555555

     

    โอเคค่ะเข้าเรื่องเนอะ ตอนนี้ยาวมากกกกก ตอนแรกว่าจะแบ่งเป็นสองตอน แต่มันก็สั้นไปอ่ะค่ะ เลยช่างแม่ง รวมเลยละกัน 555555555555

     

    ตัวเนื้อเรื่องจบเท่านี้ค่ะ  แต่เดี๋ยวจะมีบทส่งท้ายอีกบท เป็นเนื้อหาสั้นๆ บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ยังไงก็อย่าลืมติดตามนาจาร์ อิอิ

     

    โอเคค่ะ ต่อไปคือเรื่องรวมเล่ม เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายในบทความที่เอาลงรวมเล่มค่ะ  เพชรจะพักการอัพชอทฟิคไว้ก่อนจนกว่าจะแต่งเรื่องที่จะลงในเล่มครบนะคะ แต่รหัสแดงจะยังเรื่อยๆเท่าที่ว่างเหมือนเดิมค่ะ

     

    รวมเล่มที่คิดไว้คร่าวๆจะมี 9 เรื่องค่ะ โดย 7 เรื่องมาจากบทความนี้ คือ

    ·       Jungkook’s essay

    ·       BUD Hormones

    ·       Lust

    ·       Time Machine

    ·       Doll’s maker secret

    ·       Between two pairs of converse

    ·       Devil Beside

    ·       แล้วก็เรื่องใหม่ที่ลงเฉพาะในเล่มอีก 2 เรื่องค่ะ

    ส่วนอีกสองเรื่องนี่คู่ใครอะไรยังไงจะแจ้งอีกทีตอนเปิดจองเนอะ  รวมแล้วจะประมาณ 350 หน้าค่ะ ราคาก็น่าจะประมาณ 350 นี่แหละค่ะ แต่ยังไม่เปิดเร็วๆนี้เนอะ รอแต่งให้จบก่อน 555555 ส่วนของแถมมีแน่ๆจ้าไม่ต้องห่วง 5555

     

    ใครสนใจก็เก็บตังค์รอไว้ได้เลย 555555555555 แล้วก็ชอทฟิคเรามีแท็คแล้วน้า สามรถไปสกรีมกันได้ #ficzillionhope นี่จ่ะ ยาวหน่อยแต่รับรองไม่ซ้ำ 5555555

     

    โอเคค่า ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ มาอีกทีน่าจะตอนเปิดจองเลยทีเดียว 55555555 เจอกันค่า บ๊ายบายยยยย เยิ้ฟฟฟฟฟฟ

    。SYDNEY♔ Tiny Grey Pointer
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×