คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 - surely my sins have found me out.
“รอตรงนี้นะเอย ห้ามไปไหนนะ”
“รู้หน่า
สั่งเหมือนเราเป็นเด็กอะ แกไปเหอะ” เอยพยักพเยิดหน้าบอกว่าไม่เป็นไร
นั่งขัดสมาธิรอบนเก้าอี้ตัวยาวในลานจอดรถของร้านที่เราสังสรรค์กันจนตีหนึ่งนิดๆก่อนจะเปิดเกมในโทรศัพท์มาเล่น
พอออกจากร้านมาเพื่อนๆบางส่วนก็แยกย้ายกันกลับ
เหลือแค่เขา จัสมิน ตงที่ต้องกลับรถคันเดียวกันแล้วก็จ๊าบ
ตอนนี้ทั้งสามคนไปสูบบุหรี่ในที่ที่ร้านจัดไว้ให้
เขาที่ไม่สูบและโดนควันบุหรี่จังๆที่ไรจะหายใจไม่สะดวกทุกทีเลยต้องนั่งรอตรงนี้
คนตัวเล็กที่พอนั่งขัดสมาธิแบบนี้แถมยังถูกจ๊าบจับติดกระดุมจนถึงคอตั้งแต่ออกจากร้านแล้วดูเหมือนเด็กๆไม่มีผิดจดจ่อกับเกมที่ทั้งชีวิตเล่นเก่งอยู่เกมเดียวอย่างบอมเบอร์แมน .. คุณหมอในคราบเด็กติดเกมที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกใครบางคนมองอยู่ก้มหน้าจนแทบชิดเกมในมือ
“ชิน
มึงมองอะไรวะ .. อ้าว กูนึกว่ากูตาฝาด”
“หมอเอยนี่หว่า”
จิมมี่ผิวปากอย่างอารมณ์ดี มองตามทิศทางที่เพื่อนตัวสูงมองอยู่
พรุ่งนี้เขากับมันมีถ่ายแบบที่สตูดิโอแถวลาดพร้าว
จากที่คิดว่าจะเผาหัวกันต่อหลังเล่นจบก็เปลี่ยนไปเป็นกินข้าวมันไก่ซอยสามแล้วนอน
ไก่ไง
ไม่อ้วนหรอกหน่า
“เอ้า เพื่อนมึงไปแล้วน่ะ”
“เสือไม่สิ้นลาย”
มีนยักไหล่มองชินตะที่สาวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งเล่นเกมไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ตัวเล็กนิดเดียวและดูเหมือนจะเล็กลงเรื่อยๆทุกครั้งที่เจอ
แปลกชะมัด
..
เจอกันแค่ครั้งนั้น ก็เจอกันเรื่อยๆมาตลอดเลย
“ฮึ่ย”
เอยงึมงำกับตัวเอง
กดปุ่ม play
again ใหม่เมื่อเล่นด่านนี้ยังไงก็ไม่ผ่าน ที่จริงเล่นมาเป็นอาทิตย์แล้วด้วยซ้ำ
แต่ยังไม่ทันจะเริ่มเดินเกมก็ถูกสัตว์ประหลาดชนจนหัวใจลดเพราะมือใครสักคนเคาะลงบนหัวจนคนตัวขาวสะดุ้งโหยงเหมือนแมว
“เฮ้ย!”
“ไง”
“ตกใจหมดเลย
เล่นเกมแพ้แล้วด้วยเนี่ย” บอกแบบเมาๆเพราะก็เมาจริงๆแต่ไม่ได้มากขนาดนั้น
จ๊าบเคยบอกว่าเวลาเอยเมาน่ะห้ามแกล้งเพราะจะขี้หงุดหงิดเอาซะมากๆ
หงุดหงิดไม่พอยังเพิ่มงอแงไปด้วยอีก
“จะรับผิดชอบยังไงเนี่ยๆๆๆ”
เจ้าของใบหน้าหล่อร้ายกับต่างหูห่วงสีเงินเลิกคิ้วมองคนที่ดิ้นๆเหมือนเด็กๆ
..
นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นหมอ เขาคงคิดว่าเด็กมัธยมแอบแม่มาเที่ยวร้านเหล้า
“เราเล่นจนปวดหัวแล้ว
ชินก็มาแกล้งเรา”
เขาแกล้งคนตรงหน้างั้นเหรอ
ชินตะครุ่นคิดกับตัวเองเพราะถ้าจะให้พูดตามตรง เขาไม่เคยแกล้งใครมาก่อน
หมายถึงแกล้งเพราะด้วยความรู้สึกมันเขี้ยวแบบที่รู้สึกว่าอยากจะบีบแก้มเกมเมอร์ตัวกระจิ๋วที่นั่งหน้างออยู่แบบนี้น่ะ
“เกมอะไร”
“บอมเบอร์แมน”
“เด็ก”
“ว่าเราอีกแล้ว”
โทรศัพท์ในมือถูกริบไปถือไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะนั่งลงข้างๆโดยไม่ลืมจะฝากกระเป๋าเบสไว้กับคนตัวเล็กกว่า
ชินตะได้ยินเสียงบางคนงอแงและชะโงกหน้าเข้ามาดูเขาที่เริ่มต้นเล่น
“เฮ้ย ..
ทำได้ไงอะ”
เขาไม่ได้ตอบ
ทำเพียงแค่เดินเกมไปเรื่อยๆโดยที่มีกลิ่นหอมจางๆจากลมหายใจและร่างกายของคนข้างตัว
รู้ตัวอีกทีเอยก็ปรบมือเสียงดังพร้อมกับทำตาโตมองเขาที่เล่นผ่านด่านในรอบเดียว
“โห!
เล่นโคตรเก่งเลยอะ”
“it is just a
kid game.” (ก็แค่เกมเด็กๆ)
“ว่าเราทุกอย่างแหละ”
“ทำไมยังไม่กลับ”
“รอเพื่อนอะ
คุณล่ะ?”
“รอคุณกลับมั้ง”
“ … ”
เราสบตากันอีกครั้งเมื่อประโยคนั้นจบลง
ไม่มีรอยยิ้มบ่งบอกว่าอีกฝ่ายล้อเล่น ในขณะที่นัยน์ตาคมนั้นก็ไม่ได้บอกถึงความจริงจังเช่นกัน
เอยอ่านใจคนไม่เก่ง
แค่ให้เดายังเดาไม่ได้
ดังนั้นกับคนข้างๆตัวก็คงเป็นหมอกหนาๆที่เดาท่าเดาทางอะไรไม่ออก
“ยุงกัดมั้ย”
“มะ ไม่”
ส่ายหัวบอกพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ชินตะรู้แล้วว่ามันเป็นนิสัย
เพราะคืนนี้เขาเห็นคนข้างๆตัวยิ้มให้ใครต่อใครไปร่วมร้อยหนได้แล้ว
“คุณอายุยี่สิบห้าใช่มั้ย?”
เอยชะงักพลางพยักหน้า
แปลกใจที่วันนี้คนตัวโตกว่าชวนคุย .. หรือมันอาจจะเป็นคำถามเบสิกๆที่เราน่าจะรู้กันตั้งนานแล้วก็ไม่รู้แฮะ ทำไงได้ล่ะ บังเอิญเจอกันบ่อยขนาดนี้น่ะ
“จริงๆเรียกเอยก็ได้
เพื่อนเราก็เรียก”
“น้องเอย”
“เฮ้ย
ได้ยินเหรอ”
เอยทำหน้าหงอย
ไม่ชอบเลยเพราะมันทำให้เขาดูเหมือนเด็กๆ
“เราตัวเล็กกว่าเพื่อนในรุ่นอะ
มันเลยชอบเรียกเราน้องเอยๆ”
“ก็เหมือน”
“ทำไมคุณชอบว่าเราอะ”
“i’m just
telling.” (ไม่ได้ว่า แค่บอก)
“ก็หน้าชินดุอะ ตาก็ดุ”
“เหรอ”
“ไม่เคยมีคนบอกเหรอ” คนเมาว่าเสียงยานๆและเพราะว่าเมานั่นแหละถึงเอื้อมมือมาปัดผมที่ปรกตาเขาพลางบอกว่าเพราะตรงนี้นี่แหละยิ่งทำให้ดุไปกันใหญ่
“เนี่ย
แล้วพอผมปรกตาคุณแบบนี้นะ .. นึกว่ามาเฟียในหนัง หน้าดุอย่างกับพี่ชายจัสมินเลย” คนหน้าดุมองริมฝีปากสีสดที่ขยับพูดนั่นพูดนี่ไม่หยุด
“แล้วไม่กลัวเหรอ”
“ทำไมต้องกลัวอะ”
“ก็บอกว่าดุ”
“คุณก็ไม่เคยกัดเรานี่หว่า
ฮ่าๆ .. โอ๊ย”
สิสิรเบิกตากว้างเพราะถูกงับไหล่
เขาอาจจะใช้คำสวยหรูไป มันคือการใช้ฟันกัดลงบนไหล่ผ่านเนื้อผ้า
แบบที่เขาเจ็บจนน้ำตาไหล
“i do bite.”
(ผมกัดนะ)
เพราะว่าเรียนมาถึงได้รู้ว่าตอนนี้หัวใจสูบฉีดเลือดผิดปกติ
มันเร็วเกินไปจนกล้ามเนื้อหัวใจทำงานอย่างหนัก
บีบและคลายอย่างใจร้ายจนเขาวาบไหวในอก เอยมองอีกคนค้อนๆ
เขาคงไม่กล้ากัดคนหน้าตายกลับ ทำได้แค่คิดหาคำด่าในหัว แต่ค้นไม่เจอเลยสักคำ
สุดท้ายมันก็ยังอยู่ตรงนั้น
.. ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาในอก
“see you later.”
และรอยฟันที่เอยพนันว่าต้องขึ้นรูปอยู่บนผิวขาวๆของเขาแน่ๆ
⎯
“ไอ้ชิน”
เจ้าของชื่อไม่ตอบ
ทำแค่ป้องมือกันลมตอนที่จุดไฟแช็กเพื่อติดบุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก
ลมเย็นๆพัดเอากลุ่มควันสีขุ่นไป .. ตาคมจ้องมองมันอย่างเอื่อยเฉื่อย
ไร้ความรู้สึกใดๆ
“มึงรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าทำอะไรลงไป”
“อะไร?”
จิมมี่สบตากับเพื่อนที่เขาพอจะจับทางมันได้บ้างอย่างคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่ชินตะย้ายมาไทยตามพ่อที่เป็นทูต
หน้าตาร้ายๆของมันนี่แหละที่ดึงดูดใครๆเข้าหา
แถมใจร้ายๆของมันก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้คนชอบเอาชนะทุกคนฝันว่าสักวันมันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าและอ้อนวอนขอความรักกลับคืนจากคนพวกนั้นบ้าง
แต่ไม่เลย
ชินตะไม่เคยรักใครเลย
“มึงแกล้งเขา”
“ … ”
“มึงชวนเขาคุย ..
มึงแตะตัวเขา มีปฏิสัมพันธ์”
บางคนหยุดสูบบุหรี่เพื่อสบตากับเพื่อนสนิท
ไม่ใช่ไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป
“มึงไม่ทำแบบนั้นชิน”
“แล้วไง”
“มึงไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร”
แต่แล้วยังไง
เขาถามเพื่อนผ่านสายตาอีกครั้ง
ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างคนไม่คิดอยากจะสู้กับมนุษย์เข้าใจยากแบบเขา ที่จริงเขาน่ะ
..
ไม่มีอะไรให้ทำความเข้าใจเลยด้วยซ้ำ
“แม่งเอ๊ย
มึงทำกูปวดหัว”
“เป็นเหี้ยอะไรนักจิมมี่”
“มึงไปแกล้งเขาทำไมวะ
ก็กูไม่เคยเห็นอะ”
“มึงดูเขาดิ”
ชินตะพยักพเยิดหน้าให้เพื่อนดูคนที่วางเกมเพราะโดนกลุ่มเพื่อนรุมหอมหัว
เขาพอจะรู้จักผู้ชายตัวสูงกับรอยยิ้มสดใสคนนั้นมาก่อนเพราะเคยถ่ายแบบสตูฯเดียวกันอยู่สองสามครั้ง .. ถ้าจำไม่ผิดคงจะชื่อจัสมิน
“เขาเป็นแบบนั้น
เป็นมึงไม่อยากแกล้งหรือไง?”
“แล้วมึงเป็นอะไรมาเบรกแตกแกล้งเขาอะ
คนมีเป็นล้าน”
“ก็ที่ผ่านมากูไม่เคยเจอใครเหมือนเขาเลยไง”
ประโยคธรรมดาๆที่ชินตะอาจไม่ได้ใส่ใจเลยแต่มันกระทบใจคนฟังที่ทำแค่เงียบเพราะอยากให้มันพรั่งพรูออกมามากกว่าเก่า บางครั้งคนเราแสดงพฤติกรรมออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ .. เมื่อเจอสิ่งเร้าที่เข้าไปยึดพื้นที่ในใจ
ก็ถ้าชินตะมันจะมีหัวใจขึ้นบ้างล่ะก็นะ
“กลับยัง
เดี๋ยวกูไปส่ง วันนี้มึงมาแท็กซี่นี่”
“มีนัด”
“ไหนบอกจะกินข้าวมันไก่กันไง
นี่ไอ้เจ๋งกับไอ้มีนก็เทกูไปแล้วนะ”
“take it easy, Jim.”
“มึงไม่ต้องเลย
จะไปมีเพศสัมพันธ์อีกแล้วเหรอ?” จิมมี่แหวใส่เพื่อนที่ดับบุหรี่แล้วแสยะยิ้มร้ายๆใส่เขา
ไอ้นี่มันร้าย ร้ายอยู่ในสันดาน แก้ไม่หาย ร้ายไม่มีใครเท่า
ใครจะไปหยุดมันได้วะ
“ชินคะ”
“fu.ck you, Shinta.”
ไม่มีวันซะหรอก
“later.”
จิมมี่ชูนิ้วกลางใส่เพื่อนตัวเองอีกทีตอนที่เห็นว่าผู้หญิงที่สวยที่สุดคนนั้นเขย่งตัวกดจูบลงบนแก้มมันและมันไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากเดินไปที่ลานจอดรถ
ดีลง่าย .. แค่สวย เซ็กซี่ ตรงสเปก มันก็ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว
เขาถอนหายใจออกมา
มองตามแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสนิทที่สวมแค่เสื้อยืด
ยีนส์และรองเท้าผ้าใบแต่กลับปั่นหัวผู้หญิงได้ง่ายๆ
ไม่รู้ทำไมคนเราถึงชอบความไม่ชัดเจนนัก จะว่าไม่ชัดเจนก็ไม่เชิง
เพราะสำหรับชินตะแล้วมันไม่เคยเป็นความรักหรือชอบเลย
มันเป็นแค่ความใคร่
..
ที่เจ้าตัวบอกออกไปตรงๆแต่คู่นอนมักไม่ยอมรับ
ความอยากครอบครองไม่เคยมีในหัวมัน เหมือนกับความโอนอ่อน การยอมแพ้ รอยยิ้ม
ความอบอุ่นใดๆ ..
ชินตะไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น มันทื่อ เถรตรงและค่อนข้างเลือดเย็น
“ … ”
แถมยังคาดเดาไม่ได้อีกต่างหาก
“กลับกันเถอะลูกพ่อ
ตาหนูจะปิดแล้ว ตัวแม่งก็อย่างซีด ถ้านุ่งโจงกระเบนกูนึกว่าพกกุมารทองมาด้วย”
“จ๊าบเลิกแกล้งเราสักทีได้ปะ”
“เนี่ย
มึงโอ๋เอยเลยนะ มึงทำน้องทำไม?”
“จ๊าบ ขอโทษเอย”
ตงจื้อสั่ง เอ็นดูเอยที่มักโดนแกล้งหอม แกล้งหยอกเสมอ จะทำยังไงได้ล่ะ น่ารักเอง
ให้ไปโทษใคร บางครั้งเขายังอยากบีบแก้มแรงๆเลย
“เบะเข้าไป
พ่อขอโทษนะลูก”
“ไม่ให้อภัย!”
“มึงดูเอาเหอะไอ้จัส
กวนส้นตีนไม่มีใครเกิน”
“โธ่ น้องเอยยยย”
เอยแลบลิ้นใส่เพื่อนก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งเพราะอยากจะกลับแล้ว
แต่พอลุกขึ้นไวๆโดยที่ลืมไปว่าตัวเองดื่มไปเยอะพอสมควรเลยหัวมันก็หมุน
ทรงตัวได้อีกทีก็ตอนที่ตงจื้อเข้ามาพยุง
เขาบอกขอบคุณแล้วยิ้มกว้างให้แฟนของเพื่อนสนิท
ขนาดตงยังสูงกว่าเขาเลย
ให้ตาย
.. ว่าแต่
“ … ”
นั่นชินตะนี่
“อ้าว
มือเบสใช่มั้ยคนนั้น หล่อฉิบหาย”
“เออ
หน้าดุกว่าพี่กูอีก ตกใจเลย” จัสมินพึมพำ จะว่ายังไงดี ถึงพี่ชายเขาจะดูดุ
แต่มันดุที่ตา พอมีแก้มเข้ามามันเลยทำให้ดูเบบี้เฟซแล้วก็เป็นหมูอ้วนแบบที่พี่ตี้เรียก
แต่ผู้ชายคนนั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง พอนึกดีๆเขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหน
อาจจะเป็นตอนถ่ายแบบหรืออะไรก็ไม่รู้แหละ
“มองตามเขาจังน้องเอย
ชอบเหรอ”
“ปะ เปล่า ..
รู้จักกันๆ”
“เอ้า ไม่บอกล่ะว่าเป็นเพื่อน”
จ๊าบถาม
“ก็ไม่ใช่เพื่อน
เขาเป็นคนไข้แล้วบังเอิญเจอกันบ่อยๆเลยพอคุยได้” เอยยิ้ม
ถอนสายตาออกจากคุณคนนั้นที่เดินไปพร้อมกับผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อย
ที่จริงบนโต๊ะอาหารวันนั้น เขาได้ยินบทสนทนาที่พอจะปะติดปะต่อได้
คืนนั้นที่เจ้าตัวคิ้วแตกน่ะเป็นเพราะไปฟัดกับแฟนของผู้หญิงคนหนึ่งมา
‘ไอ้ชินตะมันเป็นชู้ครับ’
‘นิสัยเลวสิ้นดี
แต่ไม่อยากว่าเพื่อนมากหรอกครับ เลยหลอกตัวเองว่าเป็นรสนิยม’
ก็ดูร้ายสมเป็นเจ้าตัวดี
“แม่งดูแบดบอยสัดๆเลย”
“คือมันร้ายแบบไม่ใช่เพราะลุคอะ
เธอว่าไงตง?”
“อืม .. ดูรักใครไม่เป็น”
ประโยคนั้นของตงจื้อดังอยู่ในหัวสิสิร .. เจ้าของฤดูหมอกครุ่นคิดกับตัวเอง มันมีด้วยเหรอ คนที่รักใครไม่เป็น อย่างน้อยๆการรักคนในครอบครัวก็ควรจะเป็นพื้นฐานของคนปกติรึเปล่านะ
“เน้นมีอะไรกันอย่างเดียว
ป้าบๆ” จ๊าบทำท่าประกอบแต่โดนจัสมินซัดหัวไปที
ตงจื้อไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากลากเอยไปขึ้นรถเพราะไม่อยากอยู่กับพวกประสาท
และนี่คืออีกหนึ่งคืนที่โคตรจะเหนื่อยกายแต่ใจสุขดีของเอยเลย
○
.
แผ่นหลังกว้างไร้ผ้าผ่อนสะท้อนอยู่ในกระจกเมื่อบางคนเอี้ยวตัวไปมอง
ชินตะสบถเป็นภาษาแรกที่เขาพูดได้ก่อนจะปรายตามองคู่นอนที่ไร้ผ้าผ่อนเช่นกัน
ไม่มีหรอกไอ้คำว่า
make
love หรือ pillow talk
เซ็กซ์ก็คือเซ็กซ์
เสนอไว้ก็รับมาแล้วจบไปง่ายๆ .. ไม่มีรักหรือเสน่หาปะปนอยู่แต่อย่างใด
“ชิ”
[ว่าไงครับพี่ชาย]
“มึงอยู่ไหน”
[บ้านครับ พี่โปรดจะมาเหรอ]
“อืม ..
จะเข้าไปเอาของ”
[พ่อไม่อยู่
มาได้เลย]
“เจอได้”
[ไม่อยากเจอไม่่ใช่เหรอ
รู้หน่า]
เขาไม่ได้ตอบอะไรน้องชายไป
บอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวเจอกันก็แค่นั้น ชินตะหยิบเสื้อผ้าที่ตกบนพื้นมาสวม
ติดกระดุมลวกๆ เสยผมหน้าด้วยความรำคาญก่อนจะคาบบุหรี่ จุดแล้วเดินออกจากห้องของผู้หญิงที่เขาจำชื่อได้ไม่ถนัดนัก .. เป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาไม่ชอบขับรถเอง
แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ล่ะก็ไม่มีเกี่ยง
อาจเพราะเป็นคนไม่ชอบรอ
เวลารถติดน่ะปวดหัวฉิบหาย .. ขับมอเตอร์ไซค์คันละล้านมันยังไวกว่ารถสี่ล้อคันละสิบล้านที่ติดแหง็กอยู่แบบนั้นค่อนวันไม่ได้ไปไหน
และนั่นแหละ เรียกแท็กซี่กลับบ้านเพราะนี่มันยังเช้าอยู่เลย
ขึ้นทางด่วนก็ไม่น่าติดมาก
ตาคมมองออกไปนอกกระจกรถที่เคลื่อนไวๆขึ้นสะพาน
แดดแรกของวันทำให้เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนตื่นเช้าแม้เมื่อคืนจะสังสรรค์จนหัวหมุน
เคยได้ยินว่าช่วงวัยรุ่นเรามักทำอะไรเกินตัว ทำงานหนัก โหยหาชื่อเสียง
วิ่งไล่ชัยชนะ ดื่มมากเกินไป
และรักใครสักคนจนเสียจุดยืน
“ … ”
โชคดีที่เขาไม่เคยรู้สึกมากเกินไปกับข้อสุดท้ายที่กล่าวมา
ชินตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข้อความจากกลุ่มเพื่อน
เขามีเพื่อนในโปรแกรมสนทนาอยู่แค่ไม่ถึงยี่สิบคน แน่นอนล่ะว่าไม่มีพ่อ
เขาเบื่อพ่อตัวเองจะตายชัก
“ว่า”
[อย่าลืมนะไอ้หน้าสัด
วันนี้มีซ้อมตอนบ่ายสอง กูเห็นมึงไม่ตอบตั้งแต่เมื่อคืน
รู้สันดานว่าตื่นเช้าเลยตั้งนาฬิกาปลุกแล้วโทรมาด่ามึง]
“เช็กข้อความแล้ว แล้วก็ .. fu.ck you, Meen.”
[you
son of a b.itch, Shinta!]
พอด่ากันจนพอใจไปคนละหมัดก็กดตัดสาย
ที่จริงงานดนตรีไม่ได้รับตลอด ทำแก้เบื่อแล้วก็เพราะเรียนมาด้านนี้
พวกเขาทั้งสี่คนจบคณะดุริยางคศิลป์มาด้วยกัน ทำวงตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วและเบาลงไปมากเมื่อออกมาทำงานที่ตัวเองชอบ
หลักๆของเขากับจิมมี่คือถ่ายแบบ มีถ่ายให้ฝั่งเกาหลีกับญี่ปุ่นบ้างตามวาระโอกาส
ส่วนมีนกับเจ๋งทำงานเบื้องหลังอยู่ที่ค่ายเพลงเล็กๆแต่มีศิลปินตัวโหดอย่างอดีตวงกัมพ์อยู่
ชินตะจ่ายค่าแท็กซี่และไม่ได้รับเงินทอนเพราะเขาอึดอัดเกินกว่าจะนั่งอยู่ในรถที่มีกลิ่นแอร์ทื่อๆแบบนี้
คนตัวสูงเหวี่ยงประตูรถปิดและเดินเข้าคฤหาสน์หลังโตที่ไม่ค่อยได้กลับ
“สวัสดีตอนเช้าครับพี่ชาย”
คนเป็นพี่ตอบกลับไปด้วยภาษาญี่ปุ่น
เราทั้งคู่ตื่นเช้า มันถูกฝึกจนเป็นนิสัยไปแล้วและคงแก้ไม่หาย เขารับชาจากมือน้องชายที่ไม่ได้เจอกันมาร่วมเดือน
เราอายุห่างกันห้าปี ..
นั่นหมายความว่าชิโร่อายุยี่สิบและถ้าจะให้พูดตามตรง
น้องเขาน่ะ นิสัยดีกว่าเขาเยอะ
“คอพี่มีรอยจูบอีกแล้ว”
“i see.” (อืม)
“what’s wrong
with those girls then?” (พี่ว่าผู้หญิงพวกนั้นเป็นอะไรนักหนา?)
“i don’t give a
x.” (ช่างแม่งเหอะชิ)
“but you should. it makes you look like you have been through hell.” (พี่ต้องแคร์หน่อยนะเว้ย
มันทำให้พี่ดูแย่ เหมือนผ่านสงครามมาเลยว่ะ)
ชิยักไหล่ มองพี่ชายที่แผ่นหลังมีทั้งรอยข่วนและต้นคอมีรอยคิสมาร์ก จะบอกว่าไอ้นิสัยชอบถอดเสื้อเดินโทงๆในบ้านนี่ก็เหมือนกันที่ทำเขาปวดประสาท แต่ไม่อยากบ่นมากนักหรอก
พี่ชายเขาน่ะ ..
moody ง่ายกว่าคนปกติตั้งสิบเท่า
“พี่จะนอนหน่อยมั้ย”
“อาจจะ มีซ้อม”
“วงพี่แม่ง viral
แล้วนะ เพื่อนผมมาถามใหญ่เลยว่าพี่ชายผมใช่มั้ย”
“ปวดหัว”
“หญิงเยอะเลยดิทีนี้”
คนเป็นพี่กลอกตา เยอะก็ไม่ได้หมายความว่าดี เห็นแบบนี้เขาก็เลือก ..
แต่มันก็ยังไม่เคยซ้ำหน้ากันอยู่ดีนั่นแหละ
ช่วยไม่ได้
เขาขี้เบื่อจะตาย
“เมื่อไหร่พี่จะมีแฟนสักที”
“มึงมีหรือไง”
“i won’t ever
tell you if I have one.” (ชิไม่บอกพี่หรอก ถ้าชิมีอะ)
“go f.uck
yourself, Pluem.” (ไปตายปลื้ม)
“นี่ถึงกับเรียกชื่อไทยเลยเหรอพี่โปรด”
คนตัวสูงกว่าไม่ได้ตอบ
เดินขึ้นชั้นสองเพราะเหนื่อยจะเสวนากับน้องชายตัวเอง .. ที่จริงตอนย้ายมาไทย
แม่ตั้งชื่อให้เขากับน้องทั้งๆที่เขาไม่เห็นว่ามันจำเป็นเลยสักนิด
แต่แม่ก็เอาแต่เรียกเราแบบนั้น ไม่เคยเรียกเราว่าชินตะกับชิโร่อีกเลยตั้งแต่ย้ายมาที่นี่
แม้กระทั่งวันสุดท้ายในชีวิตแม่
แม่ก็ยังเรียกเราว่าโปรดกับปลื้ม
‘โปรดรักน้องเยอะๆนะครับ’
‘ … ’
‘แม่รักโปรดกับปลื้มมากๆเลยนะลูก’
และสำหรับเขาแล้วมีแค่แม่กับน้องชายเท่านั้นที่ได้สิทธิ์เรียกเขาด้วยชื่อนี้
⎯
“พี่เอยคะ
หนูขอเข้าร้านนี้แป๊บนึงได้มั้ยคะ”
“ได้เลยค่ะ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบน้องอินเทิร์นที่วันนี้มีโอกาสพามาเลี้ยงปิ้งย่างที่ห้างแถวโรงพยาบาลสักที น้องวิ่งกรูกันเข้าไปในร้านเครื่องสำอางกันยกกลุ่ม
หลังจากที่โดนคนไข้ทักว่าคุณหมอหน้าซีดจังเลยทำให้น้องๆเสียความมั่นใจมั้ง
ผมคิดเอาเองนะ
เครื่องสำอางกับผู้หญิงเป็นของคู่กันนี่นา
“พี่เอยขาาา”
“อ้าว
ซื้อเสร็จไวจังค่ะ” ผมดันกรอบแว่นของตัวเองอย่างคนติดนิสัย
มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบถุงเครื่องสำอางแต่อย่างใด
“พี่เอยใช้ครีมอะไรเหรอคะ
หน้าใสจัง”
“แหะ ..
พี่เอยไม่ได้ใช้อะไรเลยค่ะ” ถ้าแม่รู้ล่ะก็ แม่ต้องตีผมแน่ๆ
อย่างน้อยๆผมก็ควรทากันแดด
ถึงจะไม่เคยออกไปโดนยูวีที่ไหนเพราะวันๆก็หมกตัวอยู่แต่ในโรงพยาบาลก็เถอะ
ยังไงก็มีแสงจากหลอดไฟ แสงจากคอม สารพัดสารเพ แต่ผมก็ผู้ชายนี่นา
เวลาดูแลตัวเองก็เอาไปนอนหมดแล้ว
T-T
“จริงเหรอคะ
แต่ช่วงนี้พี่เอยปากแห้งจัง งั้นเดี๋ยวพวกหนูซื้อลิปมันให้นะคะ!
ตอบแทนที่พี่เอยดูแลพวกเราอย่างดีมาตลอดเลยย~”
“เฮ้ย
ไม่เป็นไรเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรเหมือนกันค่ะ~~”
เธอบอกอย่างร่าเริงแล้ววิ่งกลับเข้าร้านไป
ดูเหมือนจะถูกกลุ่มเพื่อนส่งมาถามว่าผมใช้ครีมอะไร ผมยืนเกาแก้มงงๆ
มองนาฬิกาข้อมือที่สวมแล้วคิดกับตัวเองว่าเด็กๆคงหายไปในดินแดนลี้ลับที่เราเรียกกันว่าอีฟแอนด์บอยราวๆชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
ขออย่าให้เกินนั้นเลย
ผมอยากกลับบ้านไปนอนจะแย่
“ไปซื้อไอติมกินดีกว่า”
ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์บอกเด็กๆในกรุ๊ปรวมว่าจะแยกไปซื้อไอศกรีม แต่เดี๋ยวยังไงจะกลับมารอหน้าร้าน .. เพื่อนๆหลายคนบอกว่าผมเข้าใจเด็กผู้หญิง
มันอาจจะจริงก็ได้ เพราะผมอยู่กับแม่มาตลอด นิสัยพูดคะขากับเด็กผู้หญิงก็ติดมาจากแม่ที่พูดครับกับผมเหมือนกัน
การมีตรรกะแบบแปลกๆนี้ของตัวเองเลยหลอมให้ผมกลายเป็นคนที่น้องๆอินเทิร์นพูดว่าใจละลาย
โธ่
ก็แค่พูดคะขาด้วย เวลาตรวจงานผมก็โหดอย่าบอกใครเลยนะ!
“สวัสดีค่ะ
รับรสอะไรดีคะ”
“ขอชิมได้มั้ยครับ”
ผมเกาะตู้กระจก มองเจลาโตหน้าตาน่ากินแล้วใจพองโต
“ได้เลยค่ะคุณลูกค้า”
ผมชี้ชิมรสนั้นที
รสนี้ที ในใจอยากจะสั่งทั้งหมดที่ชิมมาอย่างละสกู๊ปเลยด้วยซ้ำแต่ก็เกรงใจพุงตัวเองเป็นบ้า
สุดท้ายผมก็เดินออกมาจากร้านพร้อมกับเจลาโตทั้งหมดสามรส
ผมยิ้มแฉ่ง
ตักเข้าปากด้วยความรู้สึกสุขสุดขีด
นานๆทีจะได้มาห้าง
นานๆทีจะได้กลับบ้านไว วันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ
“ขอโทษครับ!”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังเมื่อเดินชนใครสักคนด้วยแรงที่ไม่น้อยเลย นิสัยเสียแบบนี้แหละ
ผมชอบจดจ่อกับของในมือ เช่นถ้าเล่นเกมก็จะเอาหน้าจุ่มลงไปในจอ(จ๊าบชอบล้อผมแบบนั้น) หรือเวลากินไอศกรีมก็จะเล็งว่าจะบาลานซ์แต่ละรสยังไงให้เท่ากันในคำเดียว
เอยนะเอยยยย
“ไง”
“คุณณณ”
ผมลากเสียงทำตาโต เขาตัวสูงกว่าผมแบบที่ผมไม่เคยชินเลยเวลาต้องยืนคุยกับเขา
เขาใส่เสื้อยืดตัวหลวมๆผ้าบางๆ มันทำให้ผมเห็นว่าเขามีรอยสักในร่มผ้าอีกหลายจุดรางๆ ผมย้ายสายตาจากตรงนั้นไปสบตาเขา
เขาทำหน้าดุใส่ซึ่งน่าจะเป็นหน้าปกติเขานั่นแหละ
“หวัดดี”
ผมยิ้มกว้างให้เขาเหมือนกับเวลาที่เจอเพื่อนโดยบังเอิญก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อเขาวางมือใหญ่ๆลงบนหัวผมแล้วโยกไปโยกมาเหมือนเป็นเกียร์รถ
“ยิ้มอะไร”
“เอ้า”
เขาดูงุ่นง่านอยู่พักหนึ่ง แต่ผมยังไม่ทันจะได้พูดอะไร
มีบางคนเรียกเขาด้วยภาษาญี่ปุ่น เขาไม่ได้หันไปมองแต่ผมเองที่กำลังสบตากับเด็กผู้ชายตัวสูงโปร่งคนนั้นอยู่
รอยยิ้มขี้เล่นต่างจากพี่ชายทำให้ผมนึกถึงจัสมิน
..
แต่มันเป็นรอยยิ้มที่มีความเจ้าเล่ห์นิดๆจนผมเงอะงะที่จะยิ้มตอบกลับไป
“พี่ทำอะไรอยู่”
“ยุ่งอะไร”
“เป็นเพื่อนกันๆ”
ผมชี้เข้าหาอกตัวเองแล้วชี้เข้าหาคนที่คนมาใหม่เรียกว่าพี่
ชินตะชะงักไปก่อนจะยักไหล่แล้วโยกหัวผมแรงๆเหมือนจะบอกให้ไปได้แล้ว
“พี่ชื่ออะไรครับ”
“พี่ชื่อเอยครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
.. ผมชื่อชิโร่”
น้องชายเขาแน่ๆล่ะมาแนวนี้
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้กับเด็กอัธยาศัยดี ต่างจากพี่ชายที่ยืนกลอกตาเหมือนกับว่าตรงนี้มันโคตรจะน่าเบื่อ
“คุณจะมาโยกหัวเราทำไมนักวะ”
แล้วผมก็แหวขึ้นมาเพราะเขาไม่ได้ทำมันด้วยความรู้สึกว่าเอ็นดูหรืออะไรทั้งนั้น
เขาทำมันแรงๆเหมือนจะทดลองกับตัวเองว่าคอผมจะหักมั้ยถ้าเขาทำแรงขึ้นเรื่อยๆ
ให้ตาย
“ฮึ”
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ!”
“น่าสนใจดีนะครับพี่ชิน
:)”
ผมพยายามต่อสู้
แต่เพราะมือข้างหนึ่งถือถ้วยไอศกรีมอยู่ก็เลยตัดใจและยอมแพ้
ผมตักไอศกรีมเข้าปาก
คาบช้อนค้างไว้แบบนั้นแล้วยักคิ้วใส่เขาเป็นเชิงบอกว่าแน่จริงทำให้แรงกว่านี้สิ
“อื้อ!”
ไอ้มนุษย์เลือดเย็น
ผมอยากจะโพล่งด่าเขาไปแบบนั้นแต่ทำไม่ได้เพราะดันคาบช้อนอยู่
เขาโยกหัวผมแรงมากๆจนผมเกือบหงายหลัง ผมเอาช้อนออกจากปาก
หมายมั่นปั้นมือว่าจะด่าเขาให้เปิงเลย
ผมไปเรียนรู้คำด่ามาจากจ๊าบแล้ว!
“นี่คะ .. ”
“พี่เอยคะ”
น้องๆอินเทิร์นที่น่าจะตามหาผมอยู่เรียกผมจากด้านหลัง
ผมหันกลับไปมอง มีของพะรุงพะรังเต็มมือเด็กๆ จะบอกว่ากลุ่มนี้น่ะหญิงล้วน .. และเพราะว่าเป็นผู้หญิงนั่นแหละ
ถึงได้มองไปที่ไอ้คนเลือดเย็นที่พยายามโยกหัวผมจนคอเกือบเคล็ด
“พะ
พี่เอยรู้จักกับพี่ชินตะด้วยเหรอคะ”
“ค่ะ”
ผมมองสายตาเด็กๆแล้วกลั้นยิ้มกับตัวเอง
ตายแน่ๆ
ตายแน่ๆนายคนดังคนนั้นน่ะ
“ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ”
“หนูขอจับมือ!”
ผมสบตากับเขาที่มีสีหน้าเซ็งสุดๆอย่างเห็นได้ชัด
นาทีนั้นผมบอกกับตัวเองว่าเด็กๆทุกคนต้องได้รูป ได้จับมือ ได้ทุกอย่าง ทั้งหมดเพื่อแก้แค้นไอ้คนที่มันพยายามจะฆ่ากัน
“ได้เลยค่ะ
พี่เขาใจดีมากๆเลย เนี่ย .. จะลองกอดดูก็ได้ พี่เขาไม่ว่าเลยสักคำ”
สุดยอดไปเลยสิสิร!
tbc.
ไม่มีอะรัย แบนิสัยตัวละครให้ศึกษากันไปก่อน
เหย จริงๆมันอาจจะไม่เศร้าอะ เก็ทมะ
เริ้บๆคับ ♡
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น