ในชีวิตคุณ เคยเจออะไรที่มันขัดหูขัดตามาก ๆ บ้างไหม
ติ๊งงงง ~
ประตูสแตนเลสเปิดออกเมื่อเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมหยุดนิ่งสนิท
ด้านหน้าคือหญิงสาวสูงสักราว ๆ 170
เซนติเมตรกำลังก้าวเข้ามา ขาเรียวยาวที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นทำให้ฉันนึกอิจฉา
แอบไล่สายตามองคนมาใหม่อย่างระมัดระวัง รู้ดีว่ามันเป็นการเสียมารยาท แต่ขอเถอะ
ขนาดขายังสวยขนาดนี้ แล้วหน้าตาจะสวยขนาดไหนกันนะ แม้ท่ายืนจะ เอ่อ.. เรียกได้ว่าไม่เป็นกุลสตรีศรีเซาธ์โคเรียสักเท่าไหร่นัก
รวมถึงการกระดกเท้าเบา ๆ เป็นจังหวะนั่นด้วย แต่โดยรวมยังถือว่าน่ามองอยู่ดี
มือล้วงในกระเป๋าคาดว่าคงกำโทรศัพท์เครื่องบางอยู่
สังเกตจากการที่มีสายสีขาวที่คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากหูฟังต่อยาวจากกระเป๋ากางเกงไปด้านบน
ถ้าให้เดามืออีกข้างก็น่าจะอยู่ในตำแหน่งไม่ต่างกัน ..ดูเป็นผู้หญิงสายชิล ถ้าฉันเป็นผู้ชายและมีคนอื่นนอกเหนือจากฉันกับหญิงสาวอีกคน
พนันได้เลยว่าเบ จูฮยอนคนนี้จะต้องโดนหาว่าเป็นพวกโรคจิตแน่นอน
ละสายตาจากเรียวขาอันน่าดึงดูดนั่นเพื่อลองสำรวจท่อนบนของร่างกายบ้าง
ไม่ทันจะได้พิจารณาสัดส่วนทองคำก็รู้สึกว่าใบหน้าสวยของตัวเองมันกระตุกยิก ๆ
เมื่อสิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเสื้อยืดสีครีมที่เหมือนจะไม่รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า
“เตารีด”
...นี่มันอาชญากรรมชัดๆ
ในชีวิตคุณ เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกอาฆาตไหม
ตั้งแต่เข้าลิฟต์มาก็รู้สึกแปลก ๆ ชอบกล ครั้งแรกเหมือนถูกจ้องมองกึ่ง
ๆ ลวนลามทางสายตา
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรเมื่อที่ตรงนี้มีเพียงฉันกับหญิงสาวอีกคนที่ดูท่าทางยังไงก็ไม่ใช่พวกโรคจิต
เธอทำเพียงก้มหน้ามองพื้น
ใบหูสองข้างคงกำลังทำหน้าที่นำคลื่นเสียงจากอุปกรณ์เข้าสู่โสตประสาทตัดขาดโลกรอบตัวอย่างสิ้นเชิง
นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฉันจะได้แอบมองเธอ ...สวยมาก ให้ตายสิ
โชคดีชั้นที่สองเมื่อตำแหน่งที่เราสองคนยืนนั้นมันเยื้องกัน
ฉันอยู่ด้านหน้าในขณะที่เธอยังคงยืมก้มหน้าอยู่ด้านหลัง และโชคดีชั้นที่สามเมื่อ ณ
ตอนนี้ดูจะไม่มีใครอื่นอยากออกไปไหน ตลอดทางที่เจ้ากล่องเหล็กเคลื่อนที่ลงจึงมีเพียงฉันกับแม่สาวกระต่ายน้อยเท่านั้น
บรรยากาศที่กำลังดีให้หัวใจได้ระริกระรี้จู่ ๆ
ก็คล้ายมีเมฆทมิฬเข้าปกคลุม ขนทั่วร่างพากันลุกอย่างตื่นเต้นโดยไร้สาเหตุ
หลังคอเย็นวูบวาบเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่อยู่ตรงนั้น รู้สึกอึดอัดดั่งอากาศโดยรอบกำลังกดดันมาที่นี่
ลองสำรวจร่างกายตัวเองก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติจากภายในแต่อย่างใด
สิ่งที่สัมผัสได้อยู่ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย มันเหมือนฉันกำลังโดนปองร้าย
เหมือนฉันกำลังถูก..อาฆาต
เหงื่อผุดขึ้นตามไรผม มือเรียวที่ซุกในกระเป๋าสั่นอย่างห้ามไม่ได้
พยายามควบคุมสติตัวเองไม่ให้เตลิดเลยไปไหน นึกสงสัยว่าอีกคนนั้นรู้สึกถึงความแปลก
ๆ ในลิฟต์นี้บ้างไหม แต่เธอยังคงนิ่งอยู่ท่าเดิม
หรือว่าเธอจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านี้
หรือว่าเธอ..ไม่ใช่คน
“เพ้อเจ้อ! ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าดูหนังผี หนังสยองขวัญเยอะ เกมผีนั่นก็ด้วย”
“ไม่ได้เพ้อเว้ยนี่ฉันเจอจริง ๆ
มันเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมาก เหมือนที่เคยดูในหนังเลย”
“ฟังฉันนะคัง คยอนวอน แก! คิด! ไป!
เอง!”
ฉันรู้ว่ามันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ
แต่มันเกิดขึ้นจริง ๆ ฉันเล่าทุกอย่างแบบไม่ได้เสริมเติมแต่งแม้แต่นิดเดียว
แล้วดูเจ้าเพื่อนตัวดีนี่สิ นอกจากหาว่าฉันเพ้อแล้วยังทำท่าว่าเอือมระอาใส่กันอีก
จริงอยู่ที่ฉันชอบเรื่องราวอะไรแบบนั้นแต่ฉันแยกแยะได้น่า
ฉันไม่ได้เก็บมันเอามาจิตนาการต่อเสียเมื่อไหร่ มีบ้างที่เก็บไปฝันก็เท่านั้น
อยากจะน้อยใจคนด้านข้างให้หนักที่ไม่ยอมเชื่อกัน
ก็นึกขึ้นได้ว่ายัยนี่คงไม่มีทางง้อเด็ดขาด
ดูจากการโซ้ยรามยอนแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้างนั่นสิ งอนไปก็ต้องหายเองอยู่ดี
กินเสร็จก็แยกย้ายกันกลับห้องใครห้องมัน ครั้นอยากจะขอไปค้างห้องเพื่อนสนิทเพราะยังฝังใจกับเหตุการณ์นั้นไม่หายก็รู้สึกกระดากใจที่จะไปเป็นส่วนเกินให้ห้องหอของคู่รัก
ตัดใจพาตัวกลับไปยังที่เดิมคิดในแง่ดีปลอบใจตัวเองเข้าไว้ว่ามันคงไม่เกิดขึ้นซ้ำสองหรอก
...มั้ง
อีกแล้ว... ฉันเจอกับยัยเสื้อยับนี่อีกแล้ว เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เจอกันในช่วงค่อนไปทางดึกแบบนี้
แน่ล่ะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอยังคงใส่เสื้อยืดยับ ๆ ออกไปข้างนอกเสมอ
อย่าว่าแต่เสื้อเลยกางเกงก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก
และทุกครั้งที่เห็นมันช่างกวนใจจนอยากจะเข้าไปถามว่าให้ฉันรีดเสื้อผ้าให้เอาไหม
คงต้องโทษตัวฉันเองที่เป็นคนประเภทนี้
ถึงได้รู้สึกหงุดหงิดกับคนแปลกหน้าเพียงเพราะเสื้อผ้าของเธอมันไม่เคยสัมผัสกับเตารีดเลย
แต่หล่อนเป็นผู้หญิงนะ ควรรักษาภาพพจน์ไว้บ้างสิ การแต่งตัวเป็นสิ่งแรก ๆ
ที่คนอื่นจะมองเห็น แล้วแบบนี้จะไปสร้าง First
impression ให้ใครเขาได้เหรอ
อดคิดไม่ได้เลยว่าแฟนเจ้าตัวจะรู้สึกยังไงเวลาเจออะไรแบบนี้
เอ๊ะ..นี่ฉันกำลังเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นหรือเปล่านะ
บางทีคงมีแค่ฉันนี่แหละที่ขัดใจเรื่องพวกนี้
ติ๊งงงง ~
ลิฟต์หยุดที่ชั้น 11 ซึ่งห้องของผู้หญิงคนนั้นตั้งอยู่
แค่เธอเดินออกไปฉันก็ไม่ต้องทนเห็นเสื้อยืดยับ ๆ นั่นอีกแล้ว แต่เพราะความกวนใจหลายครั้งหลายคราจนไม่อยากจะทนส่งผลให้ฉันก้าวตามเธอออกไป
“คุณ.. คุณ.. นี่คุณ”
“ค..คะ”
“ทำไมคุณไม่รู้จักรีดเสื้อบ้างคะ
มันยับยู่ยี่แบบนี้คุณกล้าใส่ออกมาข้างนอกได้ไง
ถ้าคุณไม่รู้จักเตารีดหรือรีดผ้าไม่เป็นเนี่ยร้านซักรีดก็มีเยอะแยะ
ที่คอนโดเราก็มีบริการซักรีด ฉันว่าคุณไปใช้บริการบ้างเถอะค่ะ อย่าใส่เสื้อยับ ๆ
แบบนี้อีกเลย เห็นแล้วมันบ่งบอกว่าคุณเป็นคนไร้ระเบียบแค่ไหน”
ไปแล้ว.. แม่กระต่ายสาวเมื่อตอนแรกพบนั้นไปแล้ว ทิ้งให้ฉันยืนงง กลางชั้น 11
หลังจากที่เธอเรียกและร่ายคาถาอะไรไม่รู้ยืดยาว
เพราะมัวแต่มองหน้าสวย ๆ นั่นทำให้เลยทำให้ได้ยินไม่ชัดนัก เสื้อยับ
ซักรีดอะไรก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวเธอสวยเป็นบ้า ตัวเล็กน่ารักน่าพกพา แต่พอนึกไปถึงเหตุการณ์ประหลาดที่มักจะเกิดขึ้นเวลาเราสองคนอยู่ในลิฟต์แล้วนั้น
ขนก็พากันลุกชันทั่วร่าง ...บรื๋อ~~~~
ฉันพาตัวเองกลับเข้าห้องอย่างไม่ค่อยเข้าใจตัวเองนัก
ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันไม่ตามเจ้าหล่อนไปเพื่อถามถึงสถานการณ์เมื่อครู่นี้ เธอเป็นใคร
ชื่ออะไร อยู่ชั้นไหน ห้องไหนก็ไม่รู้ แล้วแบบนี้ฉันจะไปหาเธอได้จากไหนกัน
หรือจะต้องลองให้ลิฟต์เสี่ยงทายดู
เย อิ เย อิ เย ~
‘นี่ฉันทำบ้าอะไรลงไป ยัยจูฮยอนเอ๊ย
ไปทำแบบนั้นกับคนไม่รู้จักได้ยังไง แล้วเขาจะมองฉันเป็นคนยังไงกัน’ ก่นด่าตัวเองในใจเสียยกใหญ่หลังจากทำเรื่องที่น่าไม่อายจากอารมณ์ชั่ววูบ
ถึงฉันจะเป็นคนเจ้าระเบียบและรักการรีดผ้ามากแค่ไหน
แต่ฉันก็ไม่ควรจะไปทำอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
บนโลกนี้คงไม่มีใครเข้าไปต่อว่าคนไม่รู้จักเพียงเพราะเขาไม่รีดเสื้อหรอกจริงไหม
แต่ฉันได้ทำมันลงไปแล้ว
หากพรุ่งนี้หรือวันต่อ ๆ ไปบังเอิญได้เจอกันอีก
ฉันจะทำยังไงดี หล่อนคงไม่เข้ามาด่าทอฉันคืนหรอกใช่ไหม
เราอยู่คอนโดเดียวกันมีโอกาสได้เจอกันอีกแน่ หรือฉันจะขายแล้วย้ายคอนโดหนีดี
บ้าน่า..ได้ยังไงกัน พี่ชายฉันได้ฆ่าตายพอดี เขาอุตส่าห์ยกมันให้
ฉันควรไปขอโทษเธอ ใช่..มันควรเป็นแบบนั้น
พรุ่งนี้ฉันจะไปขอโทษเธอ หวังว่าเธอจะไม่โกรธกันนะ
ติ๊งงงง ~
ตัวเลขสีแดงหยุดค้างที่เลข 11 หัวใจฉันเต้นรัว
มือชื้นเหงื่อกำลังสั่น ลุ้นว่าหน้าประตูนั่นจะใช่ผู้หญิงคนนั้นอีกไหม
เหมือนโลกหมุนช้าลง ภาพสโลว์โมชั่นของประตูลิฟต์ที่กำลังเปิดออกค่อย ๆ
เผยให้เห็นร่างของผู้เข้ามาใหม่ เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้าวเข้ามา
ไม่ทันที่ฉันจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะยังไม่พร้อมเจอหล่อนสักเท่าไหร่ตากลมก็ต้องเบิกกว้างเมื่อด้านหลังผู้ชายคนนั้นคือเธอ
‘ทำตัวให้ลีบเข้าไว้’ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด
ในลิฟต์ช่วงเช้าแบบนี้คนค่อนข้างเยอะ และด้วยความที่เป็นคนตัวเล็กอยู่แล้วทำให้ฉันหลบหลังคนอื่นได้อย่างง่ายดาย
วันนี้เธอดูแปลกตาจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ ปกติฉันจะเจอเธอในลุคเสื้อยืดยับ ๆ
เท่านั้น แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาฉันตอนนี้คือเสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีขาวที่เรียบกริบ
สกินนี่ยีนส์กับรองเท้าผ้าใบสีดำยี่ห้อดัง ที่ไหล่ข้างหนึ่งมีกระเป๋าเป้สีดำ
มืออีกข้างถือแจ็คเก็ตหนังเอาไว้
ต้องขอบคุณที่เธอเลือกยืนในจุดที่ทำให้ฉันสามารถมองเห็นเธอได้อย่างชัดเจน
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ยังไม่สายเท่าไหร่นักสำหรับคนที่มีสอบตอนแปดโมงครึ่งแบบฉัน
ทำให้มีเวลาโอ้เอ้ในร้านสะดวกซื้ออย่างใจเย็น
ความจริงแล้วฉันเป็นพวกตื่นสายถึงสายมาก ๆ เข้าเรียนเข้าสอบอย่างฉิวเฉียดทุกที แต่ที่วันนี้สามารถออกมาสูดอากาศยามเช้าได้ก็เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับต่างหากล่ะ
ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าเพราะอะไร
ก็ผู้หญิงคนเมื่อคืนเธอเข้ามารบกวนจิตใจฉันเป็นบ้า
เสร็จภารกิจการตามหาอาหารเช้าที่ใช้เวลาไม่นาน
ฉันก็ออกจากร้านพร้อมกับกาแฟกระป๋อง แซนด์วิชทูน่า ขนมปังไส้ถั่วแดง ไส้กรอก
และน้ำเปล่า มื้อเช้าเป็นสิ่งสำคัญ..ต้องจัดเต็ม
ป้ายรอรถประจำทางคือจุดหมายต่อไป
สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่บ้านมีฐานะปานกลางการจะออกรถเอามาขับใช้สักคันคงทำไม่ได้ง่าย
ๆ หรอกใช่ไหมล่ะ จะซื้อจักรยานสักคันยังคิดแล้วคิดอีก ที่ได้มาอยู่คอนโดดี ๆ
ในเมืองหลวงแบบนี้ก็เพราะผลบุญจากการเป็นญาติห่าง ๆ ของเจ้าของห้องทั้งนั้น
จึงได้เช่าในราคาแสนถูก อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดไปยกเว้นเรื่องกิน
“ผู้หญิงคนนั้นนี่หว่า”
บังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต
นึกว่าจะมีโอกาสได้เจอเธอแค่ในลิฟต์นั่นซะอีก
การได้มาเจอที่ป้ายรถเมล์แบบนี้เหมือนสวรรค์ได้ลิขิตมาแล้ว
“หวัดดีป้า”
แอบเนียนเดินไปใกล้ไม่ให้เธอได้รู้ตัว
เอ่ยทักทายยามเช้าด้วยท่าทีกวน ๆ ดูเธอจะชะงักไปนิดเหมือนตกใจที่เจอ แน่ล่ะ
ในเมื่ออยู่ดี ๆ เธอก็เข้ามาต่อว่าฉันเสียยืดยาวเรื่องเสื้อที่มันยับยู่ยี่
ตอนนั้นมัวแต่เพ้อเพราะความสวยน่ารักที่โดนใจอย่างมากจึงไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
กว่าจะรู้ตัวว่าเธอพูดอะไรออกมาบ้างก็ตอนที่หลุดจากภวังค์นั่นแหละนะ
พอลองปะติดปะต่อจากสิ่งที่เธอพูดมากับสิ่งที่ฉันพบเจอ
เหตุการณ์ประหลาดพวกนั้นมันเกิดขึ้นเพราะว่าฉันใส่เสื้อไม่ได้รีด ...แบบนี้ก็ได้เหรอ
เอาเถอะถึงเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่แปลกไม่น้อยในความคิดฉันแต่ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า
เธอนั้นช่างน่าสนใจ
ฉันอยากจะหายไปจากตรงนี้ หลบจากในลิฟต์แล้วยังต้องมาเจอที่นี่อีกเหรอ
แต่เอ๊ะ.. เมื่อกี๊ยัยเสื้อยับนี่ทักทายฉันยังไงนะ ป้าเหรอ? ยัยนี่เรียกฉันว่าป้า!!!
“ย๊า!!
เรียกใครว่าป้า ห้ะ!”
หันไปแว้ดใส่คนตัวสูงด้านข้าง ที่ยังคงยืนยิ้มให้อยู่แบบนั้น
“ก็ป้านั่นแหละ วันนี้เสื้อฉันไม่ยับแล้ว
เป็นไงล่ะ”
ท่าทางกวนประสาทนั่นทำให้ฉันอยากจะเป็นบ้า
แถมยังอวดเสื้อล้อเลียนฉันอีก ความคิดที่เคยอยากจะขอโทษมันหายไปหมดแล้ว
“เป็นบ้าหรือเปล่า มายืนแอ่นตัวอวดเสื้อใส่คนไม่รู้จัก”
ขมวดคิ้วใส่ไปที ยืนแอ่นส่ายไปมาแบบเทเลทับบี้นั่นคิดว่าน่ารักมากหรือไงกัน
“ถ้าฉันบ้า ป้าก็บ้ากว่า
มีที่ไหนมาด่าคนไม่รู้จักแค่เพราะไม่รีดเสื้อ”
บ้าเหรอ ป้าเหรอ แค่! ไม่! รีด! เสื้อ! เหรอ!!! ปรี๊ด เบ
จูฮยอนปรี๊ดแล้วเมื่อได้ยินสิ่งที่ยัยตัวสูงนี่พูดออกมา ว่าฉันว่าป้า
บอกฉันว่าบ้าฉันยังโกรธน้อยกว่าการที่เธอทำเหมือนว่าการรีดผ้ามันไม่สำคัญอะไร
ฉันทนไม่ได้!!
“แค่เหรอ เธอบอกว่ามันแค่ไม่รีดเสื้อเหรอ
เธอมองเป็นเรื่องเล็กน้อยได้ยังไงกัน เธอรู้มั้ยว่าการรีดผ้ามันมีคุณค่า
ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ต้องใช้ความอดทนและความประณีต บรรจงวางเตารีด ค่อย ๆ
เลื่อนมือไปตามซอกมุม เธอต้องเริ่มจากการรีดปกเสื้อ แขน แล้วค่อยรีดตัว
ห้ามลงน้ำหนักมือมากเกินไป เธอต้องใส่ใจแม้กระทั่งว่าผ้าแบบไหนใช้ไฟเท่าไหร่
เวลาที่กลิ่นของความร้อนกระทบเส้นใยผ้ามันลอยเข้าจมูก จะรู้สึกได้ถึงความเป็นระเบียบ
เมื่อสวมใส่จะให้ความรู้สึกที่มั่นใจ ดูดี และที่สำคั —”
“พูดอะไรของป้าอ่ะ
รถมาแล้วฉันไปนะ บาย”
หลังจากยืนกระพริบตาปริบ ๆ
ฟังคนตรงหน้าร่ายยาวเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่ของการ เอ่อ.. รีดผ้า ไปสักพัก
ฉันก็คิดว่าควรต้องไปแล้วเมื่อรถประจำทางจอดเทียบป้าย
อยากจะขำแต่เธอดูจริงจังจนฉันขำไม่ออก แอบรู้สึกผิดนิด ๆ
ที่บังอาจใส่เสื้อไม่ได้รีด
เหมือนตัวเองได้ก่ออาชญากรรมอันร้ายแรงที่อาจทำให้โลกนี้ถึงกาลล่มสลาย
แต่นั่นมันเสื้อยืดไง จำเป็นต้องรีดเหรอ แค่เสื้อยืดอ่ะ
ปล่อยป้าขี้บ่นไว้ที่ป้ายนั่น
เหมือนเธอจะรู้ตัวแล้วว่าได้ทำอะไรลงไปถึงได้ยืนหน้าเจื่อนแบบนั้น
จะบอกให้ก็ได้ว่าบทสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้เสียงเบาจนได้ยินกันสองคน แต่มันทั้งบริเวณต่างหากล่ะ
ไม่ได้ตั้งใจจะให้เธอเผชิญหน้ากับความอับอายเพียงคนเดียวหรอกนะ
แต่ฉันเองก็กำลังจะสายแล้ว ถ้าฉันไปสอบไม่ทันนี่มันหายนะยิ่งกว่าการไม่รีดเสื้อยืดซะอีก
เป็นอีกครั้งกับการที่ออกไปหาอะไรกินยามดึกกับเพื่อนสนิท
อะไรที่ว่าก็หนีไม่พ้นรามยอนในร้านสะดวกซื้อนั่นแหละ
ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้เพื่อนตัวดีได้ฟัง
แน่นอนว่าเจ้านี่หัวเราะเสียลั่นร้านจนคนมอง
ฉันอยากจะเคืองที่หล่อนบังอาจขำป้าผู้น่ารักของฉัน แต่เข้าใจเพื่อนดีเพราะมันเป็นเรื่องตลกจริง
ๆ
กำลังจะเลี้ยวเข้าประตูคอนโด
สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กของใครคนนึงพอดี ผมดำรวบขึ้นเป็นก้อนตรงกลางศีรษะ
ตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย ผิวขาวราวกับน้ำนม และส่วนสูงที่ไม่น่าจะเกินร้อยหกสิบ
ทำให้คน ๆ นี้ดูน่ารัก ยอมรับว่าสนใจตั้งแต่ที่ได้เจอครั้งแรกแต่ไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จัก
คิดไปคิดมาก็คงไม่พ้นว่ามีแฟนแล้วเป็นแน่แท้ สวยขนาดนี้คงเหลือถึงฉันหรอกน่า
“ไงป้า กลับซะดึกเชียว”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกฉันว่าป้าสักที”
ยิ้มให้พร้อมยักคิ้วใส่อย่างกวน ๆ
ดูเธอจะหัวเสียไม่น้อยที่มาเจอฉัน คนน่ารักไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูน่ารักไปหมดสินะ
แม้แต่ตอนทำหน้าบึ้ง ขมวดคิ้วเป็นปมแบบนี้
“นี่เธอใส่เสื้อยับๆ นี่อีกแล้วเหรอ” นั่นไง
เหมือนเธอจะมีเรด้าจับเรื่องนี้โดยเฉพาะ เจอกันกี่ครั้งก็ไม่พ้นเรื่องนี้ทุกที
หรือฉันควรต้องรีดเสื้อนี่ดีนะ แต่ว่ามันจำเป็นด้วยหรือไง
“แล้วจะให้ฉันเรียกว่าอะไรล่ะ
ฉันไม่รู้จักชื่อป้านี่” ยักไหล่ทำเป็นเมินต่อประโยคนั่น ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไร
เพราะฉันหาเรื่องถามชื่อคนตัวเล็กนี่ได้อย่างเนียนๆ แล้วน่ะสิ ฉลาดใช่มั้ยล่ะ ^^
“ฉันชื่อเบ จูฮยอน
ทีนี้ก็เรียกเลิกฉันว่าป้าสักที”
“โอเค ฉันคัง คยองวอน
ยินดีที่ได้รู้จักนะป้าจูฮยอน”
เธอแนะนำตัวด้วยความเหวี่ยงตามสไตล์
ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่านี่คือปกติ หรือเป็นเฉพาะกับฉันกันแน่
แต่ฉันก็ไม่เสียมารยาทให้เธอต้องรอนาน แนะนำตัวกลับทันที
พร้อมกับฉีกยิ้มให้หนึ่งที ไม่ต้องเดาเลยล่ะว่าปฏิกิริยาของเธอที่มีต่อประโยคต่อท้ายชื่อฉันนั่น
จะเป็นยังไง
“ย๊า!!
ฉันอายุมากจนพอให้เธอเรียกป้าเหรอ”
ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ...
“ป้าอายุเท่าไหร่” ได้ชื่อแล้วก็ถึงข้อมูลพื้นฐานอันต่อไปต่อไป
การรู้อายุอาจไม่ได้ทำให้การปฏิบัติของฉันที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปได้หรอก
แต่รู้ไว้น่าจะดีกว่า ซึ่งฉันประเมินคร่าวๆ แล้ว ถ้าไม่อายุเท่ากัน
ก็คงห่างกับฉันบวกลบไม่เกินสองปี
“27
ถามทำไม” ผิดคาด
ใครจะไปคิดว่าห่างกันตั้งหกปี นี่คนอายุใกล้จะสามสิบงั้นเหรอ
ทำไมดูเด็กกว่าฉันที่เพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ไม่ใช่เพราะฉันหน้าตาล้ำอายุหรอก
แต่หล่อนดูเด็กกว่าวัยต่างหากล่ะ
“ฉัน 21
ห่างกันพอให้เรียกป้าได้อยู่ดี”
“ไอ้เด็กนี่!!!”
การกวนประสาทคู่สนทนาให้อารมณ์เสียนั้นดูจะเป็นเรื่องสนุกที่ฉันพึงกระทำ
ไม่เพียงหน้าตาที่เด็กกว่าวัยหรอก กิริยา
ท่าทางก็ดูไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่วัยยี่สิบเจ็ดสักนิด ช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียนี่กระไร
อมยิ้มกับท่าทางนั้นไม่นานก็นึกได้ว่าเราสองคนยืนคุยกันหน้าคอนโดมาพักนึงแล้ว
สมควรแก่การจะก้าวเท้าเข้าสู่ชายคาสถานที่พักของสองเราเสียที
“ไม่เข้าคอนโดเหรอ” เอ่ยชวนและผายมือประหนึ่งตัวเองเป็น
gentleman เรียกค้อนจากคุณสุภาพสตรีได้อีกวงใหญ่
ตลอดทางจากประตูจนกระทั่งเข้ามาอยู่ในลิฟต์
การสนทนายังคงบรรยากาศแบบเคย นั่นคือมีหนึ่งคนที่หงุดหงิด และอีกคนที่ยิ้มกว้าง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครมีอาการแบบไหน
แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันย่อท้อที่จะคุยกับหล่อนแต่อย่างใด เรื่องที่คุยก็คงไม่พ้นเรื่องเสื้อยับๆ
นี่ที่ดูมันจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเธอไม่น้อย
ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่หรอก มันดูแปลกๆ
นะที่คนเพิ่งรู้จักกันคุยกันด้วยบรรยากาศแบบนี้
เป็นคนอื่นคงจะต่อว่าและหาว่าเธอเพี้ยน
แต่ไม่ใช่กับฉันที่สุดแสนจะยินดีปล่อยให้เป็นแบบนี้ไป เพราะคนอย่างคัง คยองวอนน่ะ
มีอะไรแอบแฝงอยู่เสมอ
แล้วใครจะไปคิดล่ะว่าการสนทนาแบบนี้จะทำให้ฉันได้รู้ข้อมูลสำคัญมา นั่นคือ เธอ! ยัง! ไม่! มี! แฟน!! ดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่คนสวยขนาดนี้จะโสด
แต่มันเป็นไปแล้ว หัวใจของฉันเต้นอย่างลิงโลดจนแทบกระเด็นออกมานอกอก
อยากจะวิ่งออกจากลิฟต์ไปกู่ร้องให้ก้องด้วยความยินดี
“นี่เลยชั้นเธอแล้วนี่
ไม่กลับห้องเหรอ” เสียงหวานปลุกจากวังค์แห่งความสุข
เธอคงไม่ได้สังเกตหรอกว่าฉันไม่ได้กดหมายเลขชั้นของตัวเอง มีเพียงของเธอเท่านั้น
ซึ่งดูแล้วอยู่ชั้น 29 โน่น สูงชะมัด
“รู้ด้วยหรือไงว่าฉันอยู่ชั้นไหน”
“เจอเธอบ่อย ๆ คงไม่รู้เลยล่ะมั้ง”
โอ ฉันควรรู้สึกยังไงดี
คิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่าเธอแอบสนใจฉันอยู่หน่อยๆ
ถึงแม้ว่าเรื่องที่เธอสนใจมันจะเป็นเรื่องเสื้อก็ตามที
แต่การสนใจเรื่องเสื้อของฉัน = สนใจฉัน ฮริ๊ง~
“อืมมม ฉันแค่อยากขึ้นไปส่งป้าก่อนน่ะ” หยอดไปหนึ่งหลอดให้พอกรุบกริบ
เผื่อเธอจะรู้สึกใจเต้นกับความอบอุ่นของฉัน
“เพื่อ?” แต่จากการตอบรับนั้น
ทำให้ฉันเก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน
“ไม่รู้สิ แค่อยากหาเรื่องอยู่ด้วยนาน ๆ แหละมั้ง
เอ่อ..ฉันหมายถึงยังอยากคุยกับป้าต่อน่ะ คือ..มะ หมายถึงว่าอยากทำความรู้จักอีกสักหน่อย”
ฉันอดจะเลิกคิ้วกับประโยคนั่นไม่ได้
คำพูดตะกุกตะกักกับท่าทางเขินอายนั่นดูไม่เป็นคนตัวสูงจอมกวนเลยสักนิด
ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเจ้าเด็กปากเสียนี่จะอยากขึ้นมาส่ง หรืออยากรู้จักฉันทำไม
แต่ในเมือเธอหวังดีฉันก็ควรน้อมรับความหวังดีนี้ไว้ อย่างน้อยๆ
เราก็อยู่คอนโดเดียวกันมีโอกาสได้เจอกันบ่อย รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย
ถ้าตัดเรื่องความกวนนั่นออกไป คัง
คยองวอนก็ดูเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย อารมณ์ดี หน้าตาดี สัดส่วนรูปร่างดี ติดที่ท่าทางดูตรงกันข้ามกับความสวยงามที่มี
คงออกแนวผู้หญิงสบาย ๆ ลุย ๆ แมน ๆ
แต่ดูรวม ๆ แล้วมีสเน่ห์เหลือเกิน ~
เอาล่ะ ในเมื่อเธออยากจะคุยกับฉันต่อ
ฉันก็ไม่เกี่ยงอะไร แต่หัวข้อบทสนทนาตอนนี้ฉันคงให้ได้แค่เรื่องเสื้อนั่น
ฉันอยากจะรู้เหตุผลว่าทำไมเธอชอบใส่เสื้อยับ ๆ อาจจะดูแปลกนะ แต่มันคาใจฉันมานาน และคาใจหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อฉันเห็นว่าเธอก็มีเสื้อเรียบ
ๆ ใส่ อย่าหาว่าฉันบ้าหรือเพี้ยนอะไร
เพียงแต่ฉันคิดว่าการใส่เสื้อผ้ายับมันเสียบุคลิก มองแล้วไม่สบายตาสักเท่าไหร่
แล้วฉันก็ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้
เธอรีดผ้าไม่เป็น เสื้อผ้าพวกนี้เธอแค่ใส่มันอยู่ห้องกับออกไปร้านสะดวกซื้อหน้าคอนโดก็เท่านั้น
ส่วนพวกเสื้อผ้าบางชุดที่ต้องใส่อย่างเป็นทางการ เธอจะส่งร้านจ้างรีดเอา แต่ที่ไม่ส่งรีดทั้งหมดเพราะมันเปลืองเงิน
อืมมมม...
ยิ่งคุยเหมือนยิ่งสนิท
ทั้งที่หัวข้อสนทนามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น บรรยากาศดีขึ้นแต่ยังคงความมาคุนิด ๆ
อย่างเคยเพราะความกวนประสาทของเด็กตัวสูงด้านข้างนั่นแหละที่ชอบทำให้ฉันโมโห
ถ้าจำไม่ผิด ตั้งแต่ที่เคยคุยกันมาไม่มีครั้งไหนที่จะเป็นไปได้ด้วยดีเลย นี่ก็เพิ่งจะได้ลงมือฟาดกันไปเพราะความปากเสียนั่น
ติ๊งงงงง~
ตัวเลขสีแดงหยุดค้างที่เลข 29 พร้อมกับประตูสีเงินกรุด้วยสแตนเลสเปิดออก
ไม่ต้องเสียเวลามองหาว่าใครคือผู้ที่อาศัยอยู่ชั้นนี้ในเมื่อมีแค่เราสองคน
ฉันซึ่งอยู่ชั้นสิบเอ็ดคงไม่ใช่เจ้าของห้องแถวนี้เป็นแน่
“อยู่สูงเหมือนกันแฮะ” ฉันพึมพำขณะก้าวเท้าตามคนตัวเล็กออกไป
ไม่ได้อยากจะไปเข้าห้องสาวเจ้าอะไรเทือกนั้น แต่ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว
เดินไปส่งถึงหน้าห้องสักหน่อยคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าได้เข้าไปข้างในก็ดี
คนนำหน้าหยุดเท้าส่งผลให้ฉันต้องรีบเบรกเกือบหน้าทิ่ม
เธอหันหน้ามาเลิกคิ้วใส่ด้วยความหมายอะไรไม่รู้ ฉันก็ไม่ได้ฉลาดขนาดที่จะเดาท่าทางอะไรใครออก
“อะไรเหรอ”
“ถึงชั้นฉันแล้ว เธอก็กลับไปสิ”
เธอเอ่ยเหมือนเป็นการไล่
ไม่ใช่แค่คำพูดแต่เธอยังวาดสายตาไปยังเจ้าตู้โดยสารที่เราเพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่
“เอ่อ.. อ่า.. โอเค” ฉันยึกยัก แหม
มันก็เสียดายหน่อย ๆ ถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วแต่ไม่รู้ว่าเธอพักที่ไหน
ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรนะ แค่อยากรู้ไว้เฉย ๆ
แต่เธอเชิญขนาดนี้แล้วฉันก็คงไม่ตื้อจะอยู่ต่อแต่อย่างใด วันนี้ยอมถอยไปก่อนก็ได้
“เดี๋ยว –” เธอเอ่ยเรียกทำให้ฉันต้องหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวออก
หันหลังกลับไปหมองพลางเลิกคิ้วถามว่าเธอมีอะไรอีกหรือ “– คราวหน้าอย่าใส่เสื้อยับ ๆ
อีกนะ” ถ้าฉันตาไม่ฝาดไป นั่นเธอ..ยิ้มใช่ไหม
“ถ้างั้น–” ฉันเว้นวรรคชั่วครู่ เรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
เธอยังคงมองฉันด้วยสายตาอันน่าหลงใหลคู่นั้นจนฉันประหม่าที่จะเอ่ยประโยคถัดไป
“– ป้าก็ไปรีดให้ฉันสิ”
Special shot
“ย๊า!!!
คัง คยองวอน
ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าเวลาซักผ้าให้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย”
เสียงแว้ดจากคุณป้าขี้บ่นดังขึ้นทันทีที่หล่อนหยิบเสื้อตัวสวยจากราวตากผ้าที่มีเสื้อผ้าหลากสีแขวนเรียงรายอยู่
เสียงนั้นเปรียบเสมือนไฟฟ้าแรงสูงที่ช็อตจนฉันสะดุ้งต้องเด้งตัวจากโซฟาตัวยาวถลาเข้าไปหาแม่คุณทูนหัวทันทีทันใด
“โถ่ คุณผู้หญิงคะ
น้ำยามันหมดแล้วเค้ารีบด้วยอ่ะเลยไม่ได้ซื้อ”
คุกเข่ากอดเอวเล็กไว้พร้อมงัดเสียงสองสามสี่บวกทำตาแป๋วอ้อนวอนให้คุณนายท่านเห็นใจ
ฟึบ! เสื้อตัวสวยย้ายจากมือบางลงมาอยู่บนหน้าฉันทันที
“ไปซักใหม่เลยนะ แล้วซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มด้วย”
“จ้า ได้จ้า รับคำสั่งพร้อทำตามเดี๋ยวนี้แหละจ้า”
เธอสั่งด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ฉันรู้ชะตาตัวเองทันที
ไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ นอกจากต้องรีบไปหยิบตระกร้าแล้วกวาดเสื้อผ้าบนราวนั่นลงอย่างด่วนจี๋
เพิ่งจะตากเสร็จไม่ถึงชั่วโมง นี่ฉันต้องเหนื่อยอีกแล้วเหรอ T.T
เอาชีวิตจริงของคุณ เบ มาเขียนหรอคะไรท์ 55+ สนุกดีค่ะ