The love of guardian คุ้มครองรักนายแวมไพร์ ตอนที่ 1-2 - นิยาย The love of guardian คุ้มครองรักนายแวมไพร์ ตอนที่ 1-2 : Dek-D.com - Writer
×

    The love of guardian คุ้มครองรักนายแวมไพร์ ตอนที่ 1-2

    ฉันคือแวมไพร์ปฐพีที่โตมาพร้อมกับข้อมูลจากป้าที่เลี้ยงฉันว่าพ่อของฉันทิ้งฉันไปด้วยหน้าที่อันยิ่งใหญ่และหนทางเดียวที่ฉันจะพบพ่อได้คือ... ฉันต้องเป็นสุดยอดองครักษ์...ให้แก่เหล่าแวมไพร์เพชร

    ผู้เข้าชมรวม

    73

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    73

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  17 พ.ค. 57 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

    บทนำ

     

    ทุกๆ 30 ปี...

    การคัดเลือกองครักษ์ของเหล่าแวมไพร์จะมีขึ้น

    และเมื่อโอกาสของฉันมาถึง

    ฉันจะต้องทำมัน เพื่อตามหาพ่อของฉัน

    และเป้าหมายของฉัน

    คือ สุดยอดองครักษ์ที่มีหน้าที่คุ้มครองราชวงศ์ชั้นสูง

    เหล่าแวมไพร์เพชร

     

    บทที่ 1

    ฉันคือ ทิฟฟ่า

                   

                    แวมไพร์ปฐพีคือ 1 ในกลุ่มแวมไพร์ที่มีอยู่บนเมืองเฮโลน่าและฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พ่อของฉันทิ้งฉันไปด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ใจเพราะป้าออยล์บอกฉันเสมอว่าพ่อทิ้งฉันไปเพราะหน้าที่ของพ่อที่ต้องคุ้มครองแวมไพร์เพชรหรือพ่อฉันก็คือสุดยอดองครักษ์ที่เก่งมากคนหนึ่ง แต่ทำไมพ่อต้องทิ้งฉันละ?
                    “ทิฟฟ่า”
                    “ค่ะ”
                    ฉันตอบกลับกลับป้าออยล์ที่ตอนนี้กำลังปรุงพาสต้าเลือดอยู่ในครัว
                    “หลานรู้เรื่องแล้วใช่มั้ยว่าการคัดเลือกองครักษ์ทุก 30 ปีที่จะเริ่มขึ้นอีกครั้งสามวันข้างหน้านี้”
                    ป้าออยล์เตือนฉันเกี่ยวกับเรื่องการเข้ารับคัดเลือกซึ่งอายุฉันถึงเกณฑ์พอดี
                    “ทราบค่ะ และหนูคิดว่ามันอาจจะเกี่ยวกับการต่อสู้ซึ่ง...”

                    “หลานอย่าบอกเลยว่าหลานไม่พร้อม เมื่อหลายสิบปีก่อนพ่อของหลานอุ้มหลานมาฝากไว้ที่หน้าบ้านป้าและบอกกับป้าว่าเขาเป็นสุดยอดองครักษ์ ดูแลหลานให้เขาด้วย”
                    “ทราบค่ะและนี่เป็นทางเดียว...”
                    ให้ตายเถอะฉันถูกป้าออยล์บ่นอีกแล้วแต่ยังไงป้าออยล์ก็พูดถูกทางเดียวที่ฉันจะพบพ่อมันมีแค่ว่าวันหนึ่งฉันได้เป็นสุดยอดองครักษ์และวันนั้นฉันจะมีสิทธิ์เข้าพบพ่อที่เป็นรุ่นพี่
                    “หลานจะไปใช่มั้ย?”
                    ป้าออยล์ถาม
                    “คะ”
                    ฉันตอบทั้งดวงตาเหม่อลอยเพราะถ้ามีการต่อสู้ล่ะก็ ฉันแย่แน่ๆ
                    “ป้ารู้ว่าพลังของแวมไพร์ปฐพีน่ะ มันยากและอันตราย แต่หลานต้องสู้นะ”
                    “หนูจะตามหาพ่อค่ะป้า...” ป้าออยล์วางจานพาสต้าลงต่อหน้าของฉันและฉันคิดว่าคงไม่มีใครมาฟังเสียงฉันทานอาหารหรอกนะดังนั้นฉันจะเล่าเล่าเรื่องราวของฉันให้ทุกคนฟัง

                    ฉันชื่อทิฟฟ่า เป็นผู้หญิงผิวขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ร่างสูงตัวบางแต่พอมีอะไรให้ดูหุ่นดีแบบผู้หญิงเพราะฉันคือแวมไพร์ปฐพีซึ่งแหงล่ะ...ฉันจะไปสวยและหุ่นดีกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนแบบพวกแวมไพร์เลือดก็ไม่ได้ หลายคนอาจจะสงสัยแต่แวมไพร์ปฐพีน่ะ...แตกต่างกับใครยังไง คือเรื่องนี้อธิบายค่อนข้างยากนะเพราะฉันเองยังเพิ่งจะสามารถใช้พลังแยกวิญญาณได้เท่านั้นเอง พลังของแต่ละคนจะโผล่มาตามกาลเวลาซึ่งเราไม่มีครูและนี่คือเหตุผลที่ฉันยังไม่พร้อมจะเข้าร่วมคัดเลือก...

                    สามวันต่อมา...

                    “ผู้เข้าคัดเลือกทุกคนประจำที่และกรอกใบสมัครให้เรียบร้อยได้แล้วนะ”
                    เสียงองครักษ์รุ่นพี่ประกาศเสียงก้องเพื่อแจ้งให้ผู้เข้าร่วมรู้ว่าตอนนี้ใกล้เวลาทดสอบแล้วและฉันมาที่นี่คนเดียวเพราะฉันไม่มีเพื่อนเลยสักคนตั้งแต่จำความได้ ในเมืองเฮโล่น่านั้นเด็กคนไหนที่ไม่พ่อแม่ยืนยันเด็กคนนั้นจะถูกรังเกียจ อาจจะเพราะฉันไม่รู้ว่าแม่คือใครพ่อฉันทิ้งฉันทำไมหรือจริงๆแล้วฉันเป็นลูกมนุษย์หมาป่าที่ยังไม่โตเต็มที่รึเปล่าแต่ฉันใช้พลังแวมไพร์ปฐพีได้นะ??แล้วทำไมฉันยังไม่มีเพื่อนในเมืองเฮโลน่า
                    “เฮ้...เธอชื่อทิฟฟ่าใช่มั้ย?”
                    “ค่ะ การทดสอบจะเริ่มแล้วหรอคะ?”
                    “ใช่ ถึงเวลาของเธอแล้ว”รุ่นพี่ที่น่าจะเรียกว่าลุงอายุราวๆ 50 ปีเดินเข้ามาหาฉันด้วยลักษณะหน้าตารูปร่างหยุดลงแล้วประมาณ 20 ปีเอ๊าะๆและฉันก็เช่นกัน...ความแก่หยุดลงแล้ว แต่ถึงแม้ความแก่จะหยุดลงแล้วยังไงเหล่าแวมไพร์ก็มีอายุขัยเท่ากันมนุษย์และพระอาทิตย์ทำอะไรผิวหนังเราไม่ได้
                    ฉันเดินเข้ามาในห้องทดสอบแบบใจเต้นแข่งกับกลองเพลงร็อคพร้อมกับบรรยากาศที่ดูเย็นชาโอบอุ้มห้องเอาไว้บวกกับรุ่นพี่ผู้หญิงผมแดงนั่งนิ่งอยู่แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องทำได้เพราะไม่งั้นฉันก็คงต้องรอต่อไปอีก 30ปีแหง
                    “ว้าว ทิฟฟาร่า การ์เดอร์”
                    เสียงทักทายแรกของรุ่นพี่องครักษ์สุดร็อคทักทายฉันด้วยน้ำเสียง เอิ่ม..แบบว่า...เธอจะเริดไปมั้ย
                    “รายงานตัวเธอซะ”
                    “ฉันชื่อ ทิฟฟาร่า การ์เดอร์ เชื้อสายแวมไพร์ปฐพี อายุไม่แน่ชัดแต่ฉันหยุดความแก่ลงแล้วคะ
    !
                    ฉันรายงานด้วยท่าทางมั่นใจพร้อมกับข้อมูลทั้งหมดที่ฉันมี
                    “พ่อแม่เธอละ? มีมารับรองบ้างมั้ย?”
                    ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะต้องจำใจตอบว่า
                    “ไม่มีค่ะ”
                    “ไม่มีปัญหาเรื่องมนุษย์หมาป่าหรอกถ้าเธอหยุดแก่ลงแล้ว เอาละ เข้าเรื่อง”
                    รุ่นพี่ยืนขึ้นมาวนรอบตัวฉันแล้วมองไปรอบๆเหมือนกับฉันเป็นตัวประหลาดที่โผล่มาจากส่วนไหนของโลก
                    “เธอคงเพิ่งจะสามารถใช้พลังได้พลังเพียงแค่พลังเดียวใช่มั้ย? งั้นบอกมาสิ พลังนั้นคืออะไร...”
                    “แยกวิญญาณค่ะ”
                    “โอ้ ไม่นะ เธอผ่านเข้ารอบแรก เจอกันอาทิตย์หน้าไปได้แล้ว”
                    รุ่นพี่ทำตาโตอย่างไม่น่าเชื่อก่อนจะอนุญาตให้ฉันผ่านเข้ารอบแรกแบบไม่ต้องต่อสู้ให้เสียเวลา แต่...ฉันผ่านแล้ว เย้
    ^0^
                    “รุ่นพี่คะ แต่ฉัน...”
                    “ฉันบอกว่าผ่านก็พอแล้วทิฟฟาร่า”
                    ฉันคิดว่าถ้าฉันถามรุ่นพี่ไปอีกมีหวังโดนเอาดินมาอุดจมูกตายแน่ๆฉันจึงเดินออกมาจากห้องทดสอบและต้องตกใจทันทีเมื่อฉันเห็นยอดผู้เข้าร่วมคัดเลือกที่มีน้อยนิดตั้งแต่แรกของการทดสอบจนตอนที่ฉันเดินออกมา
    ทำไมมีคนมาสมัครน้อยจังนะ ฉันตั้งคำถามกับตัวเองแต่น้อยๆยิ่งดีต่อตัวฉันเองไม่ใช่หรอ
                    “คนต่อไป”
                    เสียงรุ่นพี่ขานเรียกชื่อผู้เข้าสมัครคนอื่นๆยังคงดำเนินต่อไปแต่ยังไงซะวันนี้ฉันต้องกลับไปที่บ้านแล้วรายงานป้าออยล์ว่าตอนนี้ฉันเข้าใกล้พ่อฉันไปอีกก้าวแล้วล่ะ

     

    บทที่ 2
    คัดเลือกรอบที่ 2

     

                    หลังจากการคัดเลือกรอบแรกผ่านมาแล้วหนึ่งอาทิตย์อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าฉันจะต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ใกล้กับปราสาทแต่ฉันก็ยังหวังอยู่ดีว่าครั้งนี้จะไม่มีการต่อสู้เพราะหลังจากวันที่ฉันได้ยินรุ่นพี่คนหนึ่งบอกว่า “เธอผ่านแล้ว” ฉันก็กลับบ้านมาฉลองกับป้าออยล์และเผลอดื่มแอลกอฮอล์ไปนิดหน่อยแต่พระเจ้าคงกลั่นแกล้งฉัน เฮ้อ...ฉันแพ้แอลกอฮอล์และ...ฉันหลับติดต่อกันไป 6 คืน ทำให้ตอนนี้ฉันฟื้นขึ้นมาพร้อมข่าวจากป้าออยล์ว่าอีก 7 ชั่วโมงข้างหน้าจะเช้าและฉันต้องเดินทาง
                    “ป้าไม่คิดจะปลุกหนูหน่อยหรอคะป้า?”
                    ฉันเดินโซเซเข้ามาหาป้าที่กำลังเตรียมเสื้อผ้าให้ฉันที่ห้องแต่งตัวโดยที่ฉันถามคำถามเดิมซ้ำไปมากว่าห้ารอบแล้วอย่างต่ำ
                    “ป้าไม่คิดจะปลุกเด็กขี้เซาที่สร้างพลังกำแพงปฐพีพร้อมกับดักที่เมื่อมีสิ่งใดเข้าใกล้แล้วจะชาชั่วขณะหรอกนะ มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย?”
                    “ไม่มีหรอกคะ แฮะๆ”
                    ฉันเดินโซเซออกมาที่หน้าบ้านอย่างเหนื่อยล้าและนี่คือผลกระทบที่ฉันนอนนานเกินไป แต่กำแพงปฐพีพร้อมกับดักนั่น...มันเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
                    “เฮ้ นั่นมันยัยทิฟฟ่า สาวน้อยจอมกากนะหรอ?”
                    เสียงของยัยบีแอลที่น่ารำคาญและเป็นคู่ปรับตลอดกาลของฉัน
                    “แล้วเธอจะมากวนใจฉันทำไมเนี่ยยัยบีแอลติ๊งต็อง อากาศดีพระจันทร์สวยๆเธอมีปัญหาอะไร”
                    ฉันยืนโพสท่ามั่นใจตอบยัยบีแอลไปแบบไม่กลัวและแน่ล่ะฉันไม่เคยกลัวยัยนี่เลย ยัยแวมไพร์ปฐพีที่ใช้เป็นแค่พลังพรางตัว...แต่ฉันก็ทำไม่เป็นหรอก
                    “ฉันเห็นเธอเดินออกจากห้องทดสอบไปก่อนใคร ฮิฮิ นั่นแปลว่าเธอไม่ผ่าน”
                    ยัยบีแอลพูดจาเยาะเย้ยฉันแต่ฉันอยากจะบอกจริงๆเลยว่า
                    “ฉันผ่านต่างหากยัยต็องการทดสอบง่ายขนาดนั้นและอีก 7 ชั่วโมงข้างหน้ามันก็ถึงเวลาที่ฉันจะต้องเดินทางไปอีกหมู่บ้านด้วย ฮ่าๆๆๆ”
                    ยัยบีแอลแสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่า
    ยัยนี่ผ่านได้ไง แต่เพราะฉันสวยและเก่งขนาดนี้มันคงไม่มีคำว่าแพ้หรอกมั้ง อิอิ มั้งนะ ?
                    “เธอคงเพี้ยนไปแล้วนะถึงกล้าบอกว่าการทดสอบมันง่าย ฉันยังต้องใช้เวลาพักฟื้นตั้ง 5 วันและเธอกับฉันคงต้องเจอกันอีกยกหนึ่งวันพรุ่งนี้แล้วล่ะทิฟฟ่า”
                    บีแอลเดินผ่านหน้าบ้านฉันพร้อมทิ้งระเบิดความสงสัยหล่นลงพื้นดัง ตู้ม
    !! แค่ฉันแนะนำตัวกับรุ่นพี่แล้วโพสท่าเป็นนางแบบให้รุ่นพี่เดินผ่านนี่คือยากหรอ งั้นแปลว่าฉันคือผู้โชคดีได้รุ่นพี่คนนี้สินะ...

                    “เตรียมเท้าให้พร้อมตอนนี้ได้เวลาเดินทางระยะไกลกว่า 300 กิโลเมตรแล้ว ฮู้เย้”
                    เสียงรุ่นพี่ขาใหญ่คนก่อนที่คัดเลือกฉันดังลั่นไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถวพร้อมกับว่าที่รุ่นน้องอีกจำนวนกว่า 60 คนและดูเหมือนว่า 60 คนจาก 100 คนในวันนั้น
                    “ฉันอยากจะถามเธอจริงๆเลยทิฟฟ่าว่ารุ่นพี่องครักษ์หน้าโง่คนไหนที่กล้าคัดเธอเข้ามาในรอบสองกันนะ เธอเห็นรุ่นพี่องครักษ์ขาโจ๋ผมสีแดงคนที่สั่งการมั้ย? นั่นล่ะรุ่นพี่ที่คัดฉัน”
                    อากาศกำลังสงบกลับมีตัวป่วนแบบยัยบีแอลมา...อะไรนะ? รุ่นพี่คนนี้หรอที่ทำยัยบีแอลต้องพักฟื้นถึง 5 วัน
                    “นี่บีแอลรุ่นพี่คนนี้หรอที่ทำเธอสลบเมือกไปตั้ง 5 วัน?”
                    ฉันกระซิบยัยบีแอลด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดๆ
                    “แหง ล่ะ” แหม ยังจะทำหน้าสวย
                    “โอเค คนนี้แหละคัดฉันเข้า...”
                    “เด็กใหม่สองคนนั้นจะไม่ไปใช่มั้ย?”
                    ฉันก้มหน้าลงเพราะเสียงรุ่นพี่ผมแดงตะโกนลั่นมาจากหัวแถวพร้อมกับหน้าตาเหวอๆของยัยบีแอล
                    “เอาล่ะ เริ่มเดินทาง
    !
                    สิ้นเสียงรุ่นพี่ฉันและเหล่าแวมไพร์ปฐพีคนอื่นๆก็ออกเดินทางด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าเสือชีต้าร์เพื่อมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านทาเมีย ซึ่งก็คือหมู่บ้านที่ถูกจัดลำดับให้ว่าเป็นหมู่บ้านที่มีป่ารกทึบใหญ่และซับซ้อนที่สุดในเมืองเฮโลน่า เราทุกคนไม่รู้กติกาในรอบต่อไปหรือรอบที่ผ่านมาเลยเพราะหากการคัดเลือกจบไปอย่างไรคนที่ไม่ผ่านก็ต้องเข้าไปรับราชการเป็นทหารล้อมปราสาทหรือองครักษ์ให้พวกแวมไพร์เหล็กซึ่งก็คือเหล่าขุนนางที่เก่งๆในปราสาทอีกอยู่ดีและกฎอีกข้อหนึ่งหลังเกษียณแล้วก็คือ ห้ามแพร่งพรายเรื่องราวในปราสาทแม้แต่นิดเดียว...

                    “เอาล่ะสุดท้ายพวกเธอก็เดินทางมาถึงในระยะเวลาแค่...เหงื่อยังไม่ทันผุด ดังนั้นเข้าไปยืนในกลมที่เขียนไว้ที่พื้นคนละจุดหรือเลือกสัญลักษณ์ที่ตัวเองชอบแล้วรอสมาชิกใหม่ในกลุ่มของเธอ บาย”
                    ฉันเดินทางมาจนถึงอีกหมู่บ้านอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิดและหลังจากรุ่นพี่แร็ปตดยังไม่ทันหายเหม็นเธอก็กระโดดพุ่งหนีจากพวกเราไปพร้อมทิ้งคำสั่งไว้ให้ เราทุกคนจากหมู่บ้านแวมไพร์ปฐพีเลือกจุดที่ตัวเองชอบโดยที่ฉันไปสะดุดตาเข้ากับสัญลักษณ์วงกลมว่างเปล่าที่เป็นรอยซ้อนอยู่ในวงกลมวงใหญ่ แต่ทำไมฉันถึงมาสะดุดตากับมันทั้งๆที่ยัยบีแอลกลับทำหน้าเลิศเลอบนสัญลักษณ์รูปกระต่ายน้อยน่ารัก
                    ขณะนี้เราทุกคนเลือกจุดของตัวเองเสร็จเรียบร้อยพร้อมบรรยากาศมืดๆชวนขวัญผวาบวกกับความตื่นเต้นขนาดมโหฬารที่จะได้พบสมาชิกกลุ่มอะไรสักอย่างที่ฉันไม่แน่ใจเพราะหลังจากรุ่นพี่ผมแดงแร็ปเสร็จก็ไม่มีรุ่นพี่ที่ไหนมาให้ข้อมูลอีกเลย ฉันยืนรอบนวงกลมนี่มากว่า 30 นาทีแล้วนะ ทำไมยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเนี่ย
                    ...วู๊บ...
                    เสียงวงแหวนพลังดังขึ้นจนทั่วพื้นที่ที่ฉันยืนอยู่และสิ่งที่ปรากฏออกมาจากวงแหวนคือ รุ่นพี่ดูเถื่อนๆคนหนึ่งซึ่งจากท่าทางแล้วดูเหมือนว่ารุ่นพี่คนนี้คือแวมไพร์เหล็กเพราะนัยน์ตาสีเทาประกายของเขา
                    “ยินดีต้อนรับเข้าสู่การคัดเลือกองครักษ์รอบที่ 2 ในรอบนี้ พวกเธอทุกคนจะมีสมาชิกกลุ่มทั้งหมด 3 คนและชื่อกลุ่มเป็นของตัวเอง สมาชิกจะมาจากต่างเชื้อสายทั้งหมดและพวกเธอจะต้องพึ่งกลุ่มของพวกเธอจนกระทั่งการคัดเลือกรอบที่ 4...คงพร้อมแล้วสินะ”
                    สิ้นเสียงของรุ่นพี่ไม่นานนักแสงจากวงกลมก็สว่างขึ้นจนตาของฉันต้องหลับปี๋
                    ...วู๊บ...
                    วงแหวนพลังปรากฏขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ สมาชิกแวมไพร์ผู้หญิงโผล่ขึ้นมาพร้อมกับวงแหวนอีก 2 วงและกลุ่มของฉันมี 3 คน รวมฉันด้วย
                    “ไง ฉันทิฟฟ่า เป็นแวมไพร์ปฐพี พลังของฉันคือการสอดแหนมด้วยการแยกวิญญาณ”
                    ฉันทักทายสมาชิกกลุ่มของฉันอย่างเป็นมิตรโดยที่คนหนึ่งสนใจฉันอย่างดีส่วนอีกคนก็ไม่มีท่าทีมองมาที่ฉันเลยสักนิด
                    “ไง ฉันชื่อเจย์นะ เป็นแวมไพร์แสง พลังของฉันคือค้นหาระยะ 10 กิโลเมตรในที่ที่มีแสงและพรางตัวให้พวกเธอทุกคนล่องหน”
                    สาวน้อยเสียงหวานผิวขาวผ่องตัวเล็กน่ารักที่ชื่อว่าเจย์แนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรและพลังของเธอที่ทำเอาฉันจุกแทบพูดไม่ออก
                    “และฉัน เมลี่ เป็นแวมไพร์เลือด พลังของฉันคือการกินเลือดเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนแถมยังสามารถเป็นผู้แจกจ่ายเสบียงให้คนอื่นโดยที่เลือดอยู่ในตัวฉันมากแค่ไหนก็ได้”
                    และแวมไพร์ท่าทางหยิ่งคนนั้นคือเมลี่ซึ่งฉันกะแล้วไม่มีผิด สวยราวกับนางฟ้า หุ่นดีมีทุกอย่างแล้วก็รวมทั้งหมดสวยขนาดนั้นต้องเป็นแวมไพร์เลือดแน่นอน ฉันละเบื่อจริงๆพวกที่สวยกว่าเนี่ย...
                    “เอ้อ ฉันยังมีอีกพลังคือการค้นหาผู้สูญหายจากการชิมเลือดคนที่มีเชื้อสายเดียวกัน แต่...ฉันค้นหาได้วันละครั้งเท่านั้นนะ”
                    ฉันยิ้มตอบกลับเมลี่แบบฝืนๆเพราะในตอนแรกฉันคิดว่าฉันจะมีเพื่อนพลังเดียวเป็นเธอแต่สุดท้ายก็มีฉันคนเดียวสินะที่ด้อยกว่าใครๆ
    TOT
                    “รับภารกิจ”
                    เสียงรุ่นพี่แวมไพร์เหล็กดังขึ้นอย่างกังวานจนทำให้ทุกสายตาที่อยู่ที่นี่กว่าเกือบ 200 คนต้องหันมอง
                    ...จี๊ด...
                    อยู่ดีดีฉันก็รู้สึกเหมือนโดนไฟจี้ที่ต้นแขนอย่างรุนแรงและเจ็บปวด ฉันจึงมองไปที่ต้นแขนตัวเอง เพื่อนๆทั้งในกลุ่มและนอกกลุ่ม มันเกิดอักษรขึ้นที่แขนของเราโดนแบ่งกลุ่มให้เห็นชัดเจนว่าฉันอยู่ในกลุ่ม
                    “เอเดน”เสียงเจย์
                    และต้องอีกอักษรใต้เอเดนคือ
                    “พลูโต”เสียงเมลี่
                    “โอเค ฉันต้องพูดอะไรรึเปล่า?”
                    ตามนั้นเลยเพราะฉันโดนทั้งสองคนพูดแย่งซีนไปในขณะที่กำลังอธิบายให้ทุกคนฟัง หรือฉันต้องขอบคุณพวกเธอมั้ยนะ
                    “จุดที่พวกเธอเลือกทั้งหมดนั้นคือจุดที่รุ่นพี่องครักษ์รุ่นที่ผ่านมารวมถึงสุดยอดองครักษ์...ได้กำหนดไว้ พวกเธอจะต้องตามหาดาบของรุ่นพี่ที่เธอเลือก อาทิเช่น กลุ่มเอเดน”
                    รุ่นพี่ชี้มาที่กลุ่มของฉันพร้อมกับสายตาอีกนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมอง
                    “กลุ่มเอเดน อาจจะไม่คาดคิดว่าจุดที่พวกเขาเลือกนั้นคือจุดของ 1 ใน 4 สุดยอดองครักษ์ที่เป็นเจ้าดาบที่ชื่อว่า พลูโต”
                    “โฮ้ววววว”
                    เสียงโฮ่ร้องของเพื่อนแวมไพร์ทั้งหมดที่กำลังตะลึงงันกับกลุ่มของฉันที่ได้ยืนบนจุดของสุดยอดองครักษ์...ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าจุดวงกลมว่างเปล่านี้จะมีค่าพอสู้กับกลุ่มอื่น
                    “สุดยอดองครักษ์คนนี้เป็นใครหรอคะรุ่นพี่?”
                    และนั่นเป็นเสียงอยากรู้อยากเห็นของฉันเอง
                    “เธอไม่มีสิทธิ์รู้สาวน้อย”
                    รุ่นพี่แวมไพร์เหล็กทิ้งคำตอบไว้ให้อย่างนุ่มนวลก่อนที่เขาจะหันไปอธิบายต่อว่า บลา บลา บลา แต่สรุปใจความได้แค่ว่า ทุกกลุ่มจะต้องตามหาดาบที่สลักอยู่ที่แขนของสมาชิกและนำมันกลับไปที่หมู่บ้านเฮลิคซึ่งอยู่ถัดจากหมู่บ้านนี้ไปโดยจะมีรุ่นพี่คนอื่นคอยเราอยู่ 7 กลุ่มในทั้งหมดจะผ่านเข้ารอบที่สาม แต่มีกติกาซึ่งสุดจะยุติธรรม คือ ห้ามซ่อนดาบของกลุ่มอื่นเพราะดาบทุกเล่มทีซ่อนอยู่รุ่นพี่เจ้าของดาบเป็นคนวางมันไว้เอง และ...
                    “ทิฟฟ่า...”
                    เสียงของเจย์ดังขึ้น
                    “รุ่นพี่บอกว่าดาบจะสลักชื่อของมันเองและดาบทุกเล่มมีเลือดของเจ้าของดาบลงนามไว้ ถ้าเราจะให้เมลี่ตามหามันคงจะตามหาได้เร็วขึ้น”
                    คำแนะนำของเจย์หลังจากที่ฉันใจลอยจนไม่ได้ฟังว่ารุ่นพี่หุ่นล่ำนั่นพูดอะไร
                    “แต่ฉันต้องรู้ก่อนนะว่าเจ้าของดาบพลูโตนั่น เชื้อสายไหนไม่งั้นถ้าฉันชิมผิดตั้งแต่แรกฉันก็ไม่มีพลังให้พวกเธออีกแล้วยกเว้นเสบียง”
                    เมลี่อธิบายพร้อมท่าทางประกอบซึ่งฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะเสนอวิธีไหนช่วยเพื่อนได้เลย
                    “ขอโทษนะทุกคน พลังของฉันมันไม่แน่นอนและอันตราย ฉันไม่รู้ว่าฉันจะ...”
                    “ทุกกลุ่มประจำที่ เริ่มได้
    !!!
                    เสียงรุ่นพี่หุ่นล่ำดังขึ้นแทรกระหว่างที่ฉันจะอธิบายและในตอนนี้ไม่มีสมาชิกในกลุ่มคนไหนฟังฉันอีกแล้ว ทุกกลุ่มมุ่งหน้าสู่ป่าทึบนั่นด้วยความรวดเร็วเท่าที่ตัวเองมีเพื่อตามหากุญแจไขประตูภารกิจต่อไป
                    “ทิฟฟ่า เมลี่ เราจะต้องไปทางทิศเหนือก่อน”
                    เจย์เสนอทางให้เราไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่มีคนไปน้อยมาก
                    “งั้นลุย”
                    เมลี่ไม่รอช้ารีบเดินทางออกหน้าพวกเราไปไกลส่วนฉันก็มีแค่หน้าที่ตามเท่านั้น
                    “ฉันจะหยุดอยู่ที่ยอดไม้ถัดจากที่นี่ไปทางสองนาฬิกาอีก 500 เมตร เราจะต้องปรึกษากัน”
                    เสียงของเมลี่ที่ตอนนี้ดูเหมือนเธอจะกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มไปซะแล้ว แต่ก็นะ เมลี่นี่แหละดูจะฉลาดและมีไหวพริบดีที่สุดกว่าเราทุกคนในกลุ่มต่างจากฉันที่แม้แต่โอกาสจะพูดยังโดนสิ่งแวดล้อมขัดคอเอาซะได้ตลอด
                    กลุ่มเอเดนเดินทางมาถึงที่หมายทั้งสามคนเรียบร้อยแล้วแถมสภาพรอบๆก็ดูมืดมัวน่านอนซะให้ฝันจริงๆ
                    “ฉันไม่รู้ว่าดาบพลูโตเป็นดาบของแวมไพร์เชื้อสายอะไรดังนั่นเราจึงต้องช่วยกันพิสูจน์”
                    เมลี่เปิดประเด็นคนแรกซึ่งตอนนี้เราอยู่บนต้นไม้สูงแถมรอบๆเราด้านล่างก็ยังมีแต่เหล่าแวมไพร์กลุ่มอื่นๆชุลมุนไปหมด
                    “ฉันจะค้นหาดาบระยะ 10 กิโลเมตรลองดูให้ แต่ถ้าดาบอยู่นความมืดหรือไกลกว่า 10 กิโลเมตรฉันก็อาจจะมองไม่เห็นมัน”
                    สิ้นเสียงเจย์ไม่นาน เธอก็เปลี่ยนนัยน์ตาสีฟ้าของเธอให้กลายเป็นสีเหลืองได้อย่างน่าอัศจรรย์แถมยังลอยขึ้นบนอากาศในสภาพแน่นิ่งไม่มีสิ่งใดรบกวนก่อนที่เธอจะส่งเสียงออกมาเบาๆ
                    “โอ้ พระเจ้า ฉันคงต้องพรางตัวพวกเธอทุกคนแล้วล่ะ”
                    เจย์เปลี่ยนสีของนัยน์ตาแล้วลอยลงมาที่ยอดต้นไม้เบาๆพร้อมกับสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
                    “เจย์ เธอโอเค รึเปล่า?”
                    ฉันถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเจย์มีท่าทางตกใจอย่างประหลาดแต่เธอก็ส่ายหัวบอกว่าไม่เป็นอะไรและพวกเรากลุ่มเอเดนก็ล่องหนกันหมดแล้ว
                    “เธอเจอกลุ่มอื่นฆ่ากันใช่มั้ย?”
                    “ใช่ เมลี่ ฉันเห็น แวมไพร์แสงกลุ่มฟินิกซ์ทำให้แวมไพร์ปฐพีตาบอดแถมแวมไพร์เลือดกลุ่มนั้นยังดูดเลือดแวมไพร์แสงของกลุ่มอื่นจนตาย...”
                    เสียงของเจย์สั่นเครือด้วยความกลัวซึ่งตอนนี้ฉันก็เป็นฝ่ายกลัวบ้างแล้วว่าฉันจะมีวันได้เจอพ่อมั้ย
                    “เจย์แล้วเรื่องดาบ เธอเห็นมันรึเปล่า?”
                    ฉันที่ตอนนี้มองไม่เห็นใครยกเว้นตัวเองได้ปลุกสติเจย์ให้ตอบเรื่องสำคัญ
                    “ไม่มีดาบของใครเลยที่ฉันมองเห็น”
                    “...” ทุกคนเงียบไปหมดเพราะถ้าเราจะเสี่ยงให้เมลี่ค้นหาแล้วผิดพลาดเราจะเสียพลังสำคัญไปเหมือนที่ตอนนี้เจย์ไม่สามารถค้นหาได้เนื่องจากเจย์กำลังคุ้มครองพวกฉัน
                    “ฉันจะลองใช้พลังของฉันดู...”
                    มันคงถึงเวลาแล้วที่ทิฟฟ่าคนนี้จะออกโรง ถึงแม้ว่าพลังของฉันจะอันตรายต่อฉันเองก็ตาม
                    “ทิฟฟ่าพลังของเธอ อธิบายมาได้มั้ย”
                    เสียงสงสัยของเมลี่ดังขึ้น
                    “พ่อของฉันเป็นผู้มีความรู้ในหมู่บ้านและฉันพอจะรู้อะไรมาบ้าง”
                    เมลี่ออกความเห็นว่าพ่อของเธอเป็นผู้มีความรู้และถ้าเดาไม่ผิดเมลี่น่าจะเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปแต่เธออาจจะหนีหน้าที่นั่นมาเพื่อเลือกจะเป็นองครักษ์
                    “พลังของฉันจะต้องแยกวิญญาณออกเป็น 500 ส่วนและเลือกสิงต้นไม้ต้นต่างๆเหมือนกับว่าฉันมีตาทั้งหมด 500 ดวง สิ่งที่ฉันทำได้คงจะแค่สอดแหนมมองไปมองมาแต่ฉันเคยลองใช้พลังนี้แล้วมีแวมไพร์ที่ไหนก็ไม่รู้มาโจมตี...มันทำให้ฉันกลับเข้าร่างมาพร้อมบาดแผล”
                    ฉันอธิบายพลังของฉันพร้อมกับเปิดบาดแผลที่เป็นรอยกว้างอยู่บริเวณข้างลำคอ และเพราะเหตุผลนี้ฉันจึงต้องไว้ผมยาวปกปิดมันเอาไว้
                    “ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าทิฟฟ่าที่ดูภายนอกซื่อบื้อขนาดนี้จะมีดีในตัว หึหึ”           
                    เมลี่หัวเราะเสียงติดอาถรรพ์แต่ฉันนะหรอจะมีดี
                    “ทำไมล่ะ เมลี่ พลังของทิฟฟ่ามันคืออะไรกันแน่”
                    เสียงนุ่มของเจย์ดังขึ้นอีกครั้งและนั่นยืนยันว่าเธอยังอยู่ตรงนี้และฟังฉันอยู่
     
                   “พลังของทิฟฟ่า  เป็นพลังที่สืบทอดกันมาของแวมไพร์ปฐพีแต่ก็พบได้ไม่มากนักและพลังนี้แสดงให้เห็นว่าทิฟฟ่า สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในต้นไม้โดนไม่ต้องการอาหาร ทิฟฟ่าสามารถสอดแนมได้กว้างไกลโดยที่แสงและความมืดไม่สำคัญและสุดท้าย...ทิฟฟ่าสามารถนำผู้หลบภัยเข้าไปอยู่ต้นไม้และวิญญาณส่วนต่างๆของเธอจะปกป้องเขาเหมือนกับว่า ณ ที่แห่งนั้นมีทิฟฟ่าอีกคนดูแลอยู่”
                    “พลังของฉันมันมีวันทำได้ขนาดนั้นเชียวหรอ”
                    ฉันแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเองหลังจากที่เมลี่อธิบายออกมาให้ฟังอย่างแจ่มกระจ่าง
                    “ว้าว ทิฟฟ่า ฉันดีใจจังที่ได้อยู่กลุ่มกับเธอถึงแม้วงกลมที่ฉันเลือกจะเป็นวงสุดท้ายหลังจากที่เพื่อนของฉันยึดอันอื่นไปหมด”
                    เสียงของเจย์ที่ร่วมยินดีดังขึ้นพร้อมกับความจริงที่ว่าวงกลมที่น่าภาคภูมิใจนั่นเป็นเพียงวงกลมเศษ
                    “อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้เรื่องพลังของตัวเอง?”
                    ให้ตายเถอะฉันนี่มันโง่จริงๆ
                    “แล้วแผลล่ะเมลี่ มันแปลว่าอะไร”
                    ฉันชี้ไปที่แผลของฉันอีกครั้งแม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆจะมองไม่เห็นมัน
                    “แผลเป็นของเธอจะผุดขึ้นมาและชัดขึ้นเรื่อยๆเพื่อแสดงว่าเธอสามารถใช้มันได้มากแค่ไหนไม่ได้เกี่ยวกับที่เธอโดนทำร้ายเลยสักนิดและเพราะว่าแวมไพร์ส่งกระจกไม่ได้สินะเธอถึงไม่รู้ว่าแผลที่คอของเธอมันมีลักษณะคล้ายๆกับ...”
                    เสียงเมลี่เงียบลงพร้อมกับความสงสัยหลังจากที่เจย์คลายพลังออกเผยให้เห็นแผลที่คอของฉันและขณะเดียวกันนั้นกลุ่มฟินิกซ์แวมไพร์ฆาตกรก็กระโดดผ่านมา เราทุกคนเงียบกันหมดเพราะถ้าเกิดการต้อสู้ขึ้นมาจริงๆฉันคิดว่ากลุ่มเอเดนนี่แหละที่น่าจะตาย
                    “แผลของฉันมันเหมือนกับอะไร เมลี่”
                    หลังจากที่ฉันเห็นว่ากลุ่มฟินิกซ์วิ่งล่วงหน้าออกไปไกลแล้วฉันจึงวกกลับมาที่คำถามเดิม
                    “เจย์คลายพลังของเธอ...พระเจ้า...แผลเป็นที่คอของเธอกับสัญลักษณ์ดาบพลูโตเป็นสัญลักษณ์เดียวกัน”
                    ฉันรีบมองไปที่แขนของเพื่อนๆหลังจากที่เจย์คลายพลัง ทุกคนตะลึงงันไปกับความคลายคลึงของแผลเป็นฉันกับสัญลักษณ์ดาบพลูโต
                    แต่ฉันมองไม่เห็นคอตัวเองนี่
    !!
                    “ทิฟฟ่าฉันว่าเราไม่ต้องให้เธอแยกวิญญาณให้เสียเวลาหรอก เอาเลือดเธอมา”
                    เมลี่ไม่รอรีบพุ่งตัวเข้ามาหาฉันอย่างรวดเร็วจนฉันแทบหัวใจวาย
                    “เธอมีหน้าที่ให้เสบียงนะเมลี่ อย่าเพิ่งหิวตอนนี้สิ เดี๋ยวฉันรีบค้นหาดาบให้ก็ได้นะ
    TT
                    ฉันรีบอ้อนวอนเมลี่สุดกำลังเพราะว่าถ้าฉันตายตอนนี้แล้วอนาคตที่สดใสนั่นที่ฉันมองเห็นล่ะ
                    “ฉันจะเอาเลือดเธอไปตามหาดาบต่างหากเล่าทิฟฟ่า”
                    อ้าว...ฉันลืมไปหรอเนี่ย ขายหน้าจริงๆเลย
                    “ฮ่าๆๆๆๆ”
                    เจย์หัวเราะฉันเบาๆก่อนที่ฉันจะหลับตาปี๋แล้วยื่นแขนของฉันไปให้เมลี่กัดและ...
                    “เลือดเธออร่อยจังเลยทิฟฟ่า...”
                    เมลี่สบถออกมาว่าเลือดฉันอร่อยงั้นหรอ พระเจ้าขา ทิฟฟ่าไม่เคยเกลียดพระเจ้าพระเจ้าอย่าเกลียดทิฟฟ่านะ
                    ความรู้สึกของฉันตอนนี้คือเลือดไหลออกจากตัวไปเหมือนโดนปลิงตัวเล็กเกาะที่แขนแต่ตอนนี้ปลิงตัวนี้มันกินเลือดฉันจนอ้วนเกือบเท่านิ้วเท้าได้แล้วมั้ง
                    “เรียบร้อยสักที กว่าจะหาเม็ดเลือดที่มีกลิ่นได้เนี่ย มันยากจริงๆนะ”
                    สุดท้ายเมลี่ก็ดื่มเลือดฉันจนเสร็จแล้วผละแขนฉันออกมาเบาๆเผยให้เห็นรอยเขี้ยวที่ค่อยๆจางลงจนตอนนี้ไม่เหลือรอยอะไร
                    “พลังเธอสยองจังเลยเมลี่”
                    เจย์ทำหน้าหยีใส่พลังของเมลี่แต่ฉันก็กำลังสะบัดมือไปมาเพราะความรู้สึกเย็นที่ช่วงเย็นมันยังไม่หมดไป เฮ้อ สงสารพร้อมสัตว์ที่ฉันกินมันจัง
                    “เอาเลยนะ”
                    เมลี่ใช้สมาธิของเธอหลังจากที่เธอดูดเลือดฉันเพื่อตามหากลิ่น แต่ทำไมเมลี่ถึงมั่นใจนักว่าดาบพลูโตจะเป็นของแวมไพร์ปฐพีทั้งที่แค่ฉันมีสัญลักษณ์ที่คอเหมือนกัน
                    “โชคดีจริงๆที่กลุ่มเอเดนเลือกมาที่ทิศเหนือก่อน”
                    “ทำไมล่ะเมลี่”
                    เสียงเจย์ถามขึ้นด้วยความสงสัยแต่มาทางทิศเหนือก็ไม่ดีเสมอไปหรอกหลังจากที่ฉันเห็นกลุ่มฟินิกซ์จอมโหดนั่น
                    “มีดาบของแวมไพร์ปฐพีอยู่ใกล้ๆที่นี่แค่ 3 เล่มเท่านั้นแต่ฉันรู้สึกกลิ่นเลือดของทิฟฟ่าจะคล้ายๆกลิ่นเลือดบนดาบของดาบทางฝั่งโน้นมากกว่า”
                    เมลี่ชี้นิ้วไปทางที่กลุ่มฟินิกซ์เดินทางล่วงหน้าไปเมื่อกี้ซึ่งต่อให้ฉันจะหวั่นแต่ฉันก็คิดว่ากลุ่มเรายังมีเจย์อยู่ทั้งคน
                    “เอาล่ะ เจย์เธอคุ้มกันพวกเราที ส่วนเมลี่เธอดูดเลือดฉันเยอะไปหน่อยนะขอเลือดคืนหน่อยสิ”
                    เจย์รับทราบคำสั่งจากฉันเป็นอย่างดีส่วนเมลี่นี่สิ กว่าจะยื่นแขนคืนมาให้ฉันดูดเลือดนี่มันมันลำบากจริงๆ...

     
     
     
     
     
     
     
     
     
     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น