เจ้าทุย : มนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งที่กำลังจะหายไป - นิยาย เจ้าทุย : มนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งที่กำลังจะหายไป : Dek-D.com - Writer
×

    เจ้าทุย : มนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งที่กำลังจะหายไป

    เจ้าทุยหรือควาย เป็นสัตว์ที่กำลังจะหายไปในโลกปัจจุบัน เนื่องจากคนส่ววนมากหันไปนิยมวัตถุมากกว่าสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

    ผู้เข้าชมรวม

    393

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    393

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    e-receipt e-receipt
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                              
                  ** เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนสารคดี .......

                 เจ้าทุย  :   มนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งที่กำลังจะหายไป
                  แสงสีทองทอแสงอยู่บนปลายฟ้า    หมอกควันสีขาวล่องลอยท่ามกลางท้องทุ่ง   ไม่นานก็กลั่นตัวรวมกันเป็นหยาดน้ำเล็ก ๆ ตกลงบนยอดหญ้า   อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น   ทำให้รู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่กำลังจะเข้ามาในไม่กี่วัน   ถนนสีดำสายเลียบปราศจากการวิ่งของรถลา  นี้คงเป็นเพราะว่าผู้คนยังนอนหลับใหลอยู่บนที่นอนอันอบอุ่น    มันเป็นภาพที่แปลกตาอย่างมาสำหรับข้าพเจ้าที่ไม่เคยได้ตื่นทันเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเลยสักครั้งเดียว  ก็คงนับตั้งแต่เข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามละมั่ง    ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้เห็นบรรยากาศที่สวยงามอย่างนี้มาก่อนเลย   
    บนถนนบริเวณที่นั่งท่านข้าวต้มอยู่ในขณะนี้เมื่อคืนยังมีรถยนต์จำนวนมากวิ่งกันเกลื่อนกลาด
        เครื่องยนต์ส่งเสียงรบกวนอย่างน่ารำคาญและยังมีฝุ่นปลิวอยู่อย่างคับคั่ง   แต่เวลานี้ข้าพเจ้ากลับไม่พบความวุ่นวายเหล่านั้นเลย   ดวงตาทั้งคู่กลับได้เห็นภาพ   ชายชราคนหนึ่งเดินเท้าเปล่า  
    ในมือถือไม้เรียวยาวไว้คอยไล่สัตว์สี่ขาที่เดินอยู่ด้านหน้าแก    เสียงเดินที่หนักแน่นผสมผสานกับเสียงระฆังที่หอยอยู่บนคอทำให้ต้องหันไปมองดูว่าเป็นเสียงอะไร
       เมื่อมองไปก็ทำให้เห็นควาย  5  ตัวเดินเกาะกลุ่มกันอยู่ข้างถนน 
    ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางสิ่งหรูหราและความเจริญนั้นจะยังคงมี
      "ควาย"   เดินอยู่ข้างถนนให้เราได้พบเห็นกัน  
    เนื่องจากหมู่บ้านในละแวกนี้ส่วนใหญ่ได้ทำพื้นที่ที่ว่างเปล่าเป็นหอพักไปเสียแล้ว    และคนส่วนมากก็หันไปใช้รถไถนากันหมดแล้วเพื่อช่วยผ่อนแรงในการทำงานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็หันมาทำงานทางด้านบริการค้าขายให้กับนักศึกษามากกว่าที่จะทำไร่ไถ่นาเหมือนอย่างแต่ก่อน   ทำให้หลายคนขายควายที่มีอยู่ทิ้งไป    เพื่อแลกกับเงินที่จะนำมาลงทุนในการเปิดร้านค้าขาย   มีเพียงกลุ่มคนที่ไม่รู้จะทำอะไรเพราะไม่รู้เรื่องการตลาดเท่านั้นที่ยังคงใช้ชีวิตเป็นชาวนาต่อไป
       แต่คนกลุ่มนั้นกับเป็นเพียงผู้สูงอายุที่มีอายุมากแล้ว  
    ซึ่งเราไม่รู้ว่าพวกเขาจะรักษาควายไทยไปได้แค่ไหนกัน  
    เพราะพื้นที่หมู่บ้านข้างมหาลัยกลายเป็นพื้นที่ในการหาผลกำไรไปหมดเสียแล้ว
                 โดยทั่ว ๆ  ไปควายเป็นสัตว์มีสี่ขา 
    เท้าเป็นกีบตัวขนาดใกล้เคียงกับวัวโตเต็มวัยเมื่ออายุระหว่าง  5-8 ปี 
    น้ำหนักตัวผู้โตเต็มวัยโดยเฉลี่ย 520 - 560  กิโลกรัม ตัวเมียเฉลี่ยประมาณ  360
    - 440   กิโลกรัม  ตัวผู้จะใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย  มีผิวสีเทาถึงดำ
    (บางตัวมีสีชมพู เรียกว่า ควายเผือก) มีเขาเป็นลักษณะเด่นเฉพาะตัว
    ปลายเขาโค้งเป็นวงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว    ควายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  
    ลูกควายจะกินนมแม่จนอายุประมาณ 1.5 ปี 
    โดยจะเจริญเติบโตใช้แรงงานได้ระหว่างอายุ 2.5- 3  ปี   ช่วงที่ใช้งานได้เต็มที่
    คือระหว่างอายุ 5-8 ปี  ซึ่งแต่ละตัวจะใช้งานได้จนอายุย่างเข้า 20 ปี 
    อายุควายโดยทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 25 ปีเพียงเท่านั้น
                
    ควายจึงเป็นเสมือนกับลมหายใจของชาวนาที่ทำงานเกี่ยวกับการเกษตรกรรม  
    เมื่อถึงเวลาทำนาหรือลงนาของชาวบ้าน  
    ควายจะเป็นเสมือนเพื่อนยามยากที่ทนต่อดินฟ้าอากาศ  
    สู้งานทุกอย่างไม่เคยท้อหรือเหนื่อยกับงานที่ทำและควายยังเป็นสัตว์ที่มีมานานตั้งแต่สมัยอดีต
       ซึ่งปู่ย่าตายายของเราต่างให้ความสำคัญอย่างมาก  ทั้งเป็นอาหาร 
    และเป็นพาหนะในการเดินทาง  
    นอกจากนี้นายทองเหม็นแห่งหมู่บ้านบางระจันก็ขี่ควายออกไปรบ   
    ซึ่งเป็นการบอกให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสัตว์สี่ขาที่เรากำลังให้ความสำคัญน้อยลงในเวลานี้
                 ความยิ่งใหญ่ของควายในเวลานี้ไม่มีให้เราได้เห็นอีกแล้ว  
    ควายเวลานี้ไม่ได้อยู่ตามท้องทุ่งสีเขียวหรือสีเหลืองทองอีกต่อไป   
    แต่กลับนอนอยู่ตามโรงฆ่าสัตว์ที่รอคอยความตายอย่างน่าสงสาร
                  ปัจจุบันสัตว์เหล่านี้กลับถูกมองข้ามไป    
    เมื่อความเจริญเข้ามาถึงแน่นอนว่าไม่มีใครต้องการที่จะมีชีวิตแบบดั้งเดิม   
    ที่ต้องคอยไล่ควายออกไปท้องนาและคอยเดินตามหลังควายเวลาไถนาหรือปลูกข้าวอีกต่อไป
       
    ในเมื่อโลกเรามีเครื่องอำนายความสะดวกมาทดแทนทุกอย่างก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไป
                 ทำให้ควายกลายเป็นเพียงภาพที่ดูเลือนลางอยู่เบื้องหลังของท้องนา  
    ที่ไม่มีวันจะขึ้นมาเป็นภาพที่ดูชัดเจนได้อีกต่อไปเหมือนดั่งแต่ก่อน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น