ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 64





    (นี้เป็นรูปจูจ้านจิ่นกับหลิวไห่ควานที่ไรท์เอามารวมกัน ว่าถ้าได้ลูกชายจะหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ตัดต่อเอาหยกโบตั๋นไปไว้ที่พู่ปลายขลุ่ยด้วย)

    ______________________________________________________________________________



    ตึง!

         'หมายความว่าไงกันเฒ่าแก่หลิน!ที่ว่าทุกห้องในโรงเตี๊ยมเต็มน่ะ!'


    เสียงทุกโต๊ะพร้อมกับน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจดังขึ้นมาของหญิงสาวนางนึงแล้วเหตุที่ทำให้นางไม่พอใจก็มาจาก ห้องพักในโรงเตี๊ยมเต็มหมดทุกห้องแล้ว นั้นก็เพราะเหล่าเซียนจากตระกูลหลานได้เหมาหมดทุกห้องไปแล้ว 

         ว่าก็ว่าเถอะเหล่าตระกูลหลานเองก็มิใช่คนถือตัวกัน(ทุกคน)เสียเท่าไร ถ้ายังพอมีห้องว่างเหลืออยู่บ้าง พวกเขาก็พร้อมที่จะปล่อยให้คนมาเช่าไปตามปกติ แต่เผอิญจำนวนเหล่าเซียน และลูกศิษย์ที่มากันมันดันพอดีกับจำนวนห้องพักในโรงเตี๊ยมนี้พอดีเลยเสียน่ะสิ



         คุณชายหลาน ยกจอกน้ำชาขึ้นจิบด้วยท่าทางนิ่งสงบแล้วดูจะไม่สนใจสิ่งรอบข้างอันใด แต่หารู้ไม่ ว่าหูนั้นก็รับฟังสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดรวมถึงเรื่องที่เด็กสาวคนนั้นพูดคุยกับเฒ่าแก่ก็ดังเข้าหูเขามาเหมือนกัน

    ส่วนมากเรื่องที่เด็กสาวคนนั้นพูดคุยกับเฒ่าแก่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไปที่เวลาคนที่มิได้เจอกันนานก็จะพูดคุย และปรับทุกข์กัน อาจจะมีพูดคุยถึงเรื่องของพวกเขาบ้าง ซึ่งนั่นก็มิใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนพูดถึง เพราะมีคนพูดถึงพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวานที่เข้ามาเยือนหมู่บ้านนี้แล้ว กลุ่มเซียนชุดขาวกับชุดดำหนึ่งคน นั้นเป็นที่สะดุดตาเป็นมิได้ 


    แล้วก็มีพูดคุยถึงมารดาของเด็กสาวคนนั้นด้วย....


    แต่ตอนที่ยังพูดคุยกันอยู่ อยู่ดีๆก็มีเสียงร้องลั่นมาจากนอกโรงเตี๊ยม ซึ่งเสียงนั้นก็เป็นเสียงของใครเป็นมิได้นอกจากผู้อาวุโสเพียงคนเดียวที่ร่วมเดินทางมาด้วยอย่าง เว่ยอู๋เซี่ยน 


         หางตาของหลานลู่แอบเห็นว่าเขากำลังวิ่งหนีหมาตัวนึงอยู่ พร้อมกับแหกปากร้องลั่นJ ก่อนที่ศิษย์พี่ทั้งสองจะรีบวิ่งตามออกไปดู


         บางทีหลานลู่ก็มิค่อยเข้าใจ บางทีผู้อาวุโสผู้นี้ตอนเวลาจริงจังก็พึ่งพาได้ และดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก และอาจจะดูน่ากลัวแล้วเป็นภัยได้ในเวลาเดียวกัน แต่พอเวลาอยู่ต่อหน้าสุนัข กลับเปลี่ยนเป็นคนละคนร้องแหกปากราวกับเด็กสามขวบ....


    มือยกจอกน้ำชาจอกสุดท้ายขึ้นดื่มแล้ววางลง ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะขึ้นไปพักแล้วเตรียมตัวออกล่าสำหรับเย็นวันนี้ ดวงตาคมของหลานลู่หันไปมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่กำลังพูดคุยอยู่กับเฒ่าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยม ก่อนเท้าที่กำลังจะก้าวเดินขึ้นไปชั้นสองจะเปลี่ยนกลับพาให้ตนเองเดินไปหาเด็กสาวคนนั้น

    ดวงตาคมจับจ้องมองไปที่ผมสีดำยาวรวบครึ่งสูงของนาง ตรงที่มัดผมของนาง หยกสีขาวปนเขียวนิดๆส่องแสงกระกายราวกับว่ากำลังเรียกร้องให้เข้าไปหา

    หลานลู่มิได้เข้าไปหานางในทันทีเพียงแค่ยืนดูอยู่ห่างๆ ตาก็จับจ้องไปที่หยกที่นางเอามาประดับเป็นที่มัดผม หูก็ฟังเรื่องที่นางพูดกับเฒ่าแก่ไปด้วยอย่างลืมตัว


          'หยกนั่น.....'


    ในใจของหลานลู่มันกำลังเต้นรัว จนอดมิได้ที่จะยกมือขึ้นมากุม อาการเช่นนี้มันมิใช่ครั้งแรกที่เป็น 


         ครั้งแรก คือตอนที่พบกระบี่เล่มนั้นครั้งแรก



    'ทำไมต้องมาล่าด้วย! แล้วล่าไปทำไมกัน ตอนนี้พวกมันยิ่งมีน้อยๆอยู่ถ้ามาล่าพวกมันไปข้าก็แย่สิ!'


    เป็นอีกครั้งที่เด็กสาวคนนั้นตบมือลงกับโต๊ะของเฒ่าแก่แล้วพูดขึ้นมาด้วยท่าทางร้อนรน......



         ครั้งที่สอง คือตอนที่มองกระดาษม้วนภาพนั้น



    'แบบนี้แย่แน่ๆ แล้วแบบนี้พวกที่อยู่แถวน้ำตกจะรอดไหมนะ'


    นางเริ่มมีอากาณ์รีบร้อนหยิบอาวุธคู่กายอย่างคันธนูแล้วลูกศรมาคาดไว้ที่หลัง แล้วก็ที่นางพูดถึงน้ำตกด้วยงั้นหรือ น่าแปลกใจเสียจริง เพราะว่าสถานที่นั้นพวกเขาก็ตั้งใจที่จะไปช่วงพบค่ำนี้พอดีเสียด้วย


    เด็กสาวคนนี้ต้องรู้อะไรแน่ๆ....




         ครั้งที่สาม คือตอนที่บิดาสอนทำนองชิงซินให้





    'อะ อาฟางนั้นเจ้าจะไปไหนน่ะ!?'
    'ข้าต้องไปแล้ว ไม่งั้นข้าจะไม่มียามารักษาแม่ข้- อ่ะ!'


        
         ร่างของเด็กสาวคนนั้นหันกลับมาด้วยความรีบร้อน จนชนเข้ากับเขาเข้าพอดี จนนางเสียการทรงตัวแล้วจะล้มลงไป มิทันต้องคิดสิ่งใดมือก็ยืนออกมาไปจับมือของนางเอาไว้เสียแล้ว.
         


         และครั้งนี้ ที่ได้พบกับนาง ก็เป็นเช่นกัน









    "เด็กคนนั้นชื่อ ลู่ฟาง ขอรับคุณชาย แม่ของนางบอกให้ทุกคนในหมู่บ้านที่รู้จักเรียกนางเช่นนั้น"


         เฒ่าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดขึ้น เรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้ที่เขาพึ่งจะมีเรื่องกับนางไปแล้วเขาก็ได้ขอให้เฒ่าแก่ช่วยเล่าเรื่องของนางให้เขาฟังหน่อย

    ถึงตอนแรกเฒ่าแก่จะทำท่าทางกล้าๆกลัวๆว่าเขานั้นจะไปเอาเรื่องกับนาง แต่เขาก็ได้ให้เหตุผลไปว่า แค่อยากรู้เพราะนางเหมือนกับคนที่เขานั้นรู้จักจึงอยากทราบเรื่องราวของนางว่ามีส่วนเกี่ยวค่องกับคนรู้จักของเขาหรือไม่ แล้วเขาก็มิได้คิดที่จะเอาเรื่องนางด้วย จนเฒ่าแก่นั้นยอมที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเด็กสาวคนนั้น

     เด็กสาวที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆยามที่ได้มองหน้านางตรงๆ ตอนที่ช่วยนางจนเกือบจะล้มนั้นหลานลู่แอบแปลกใจมิได้กับใบหน้าของนาง โดยเฉพาะ แววตา


         แววตานั้น มันช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนในกระดาษภาพม้วนนั้นเสียเหลือเกิน....


    "จะว่านางเป็นเหมือนหลานสาวของข้าก็ได้ เพราะข้าเองก็ช่วยแม่ของนางเลี้ยงดูนางมาตั้งแต่นางยังเล็กๆ เพราะแม่ของนางนั้นดูแลนางเพียงคนเดียวมิไหว"
    "แล้วพ่อของนางล่ะ?"

    "อือ...เรื่องนั้นข้าเองก็มิรู้หลอกต้องขออภัยคุณชายด้วย ตอนที่ข้าพบนาง และแม่ของนาง พวกเขามีกันแค่สองคน เร่ร่อนไปเรื่อยด้วยร่างกายที่ทั้งเหนื่อยล้าของคนเป็นแม่แต่ก็ต้องกอดกุม และอุ้มนางที่ตอนนั้นยังเล็กอยู่ จนล้มหมดสติไปจนข้าไปพบแล้วช่วยดูแลจนหายดี"


    หลังจากนั้นเฒ่าแก่ก็เล่าต่อว่าเมื่อเด็กสาวคนนั้นอายุได้ราว 5 ขวบ สองแม่ลูกก็แยกตัวออกไป ไปใช้ชีวิตกันเอง แต่ก็ยังมีแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเฒ่าแก่อยู่บ้างตามเรื่องที่เขานั้นเผลอได้ยินตอนที่เฒ่าแก่กับนางคุยกัน

    หลานลู่นั้นแอบรู้สึกสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆสองแม่ลูกนั้นถึงแยกตัวออกไป ทั้งที่อยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้นั้นก็น่าจะดีกว่าแท้ๆ ทั้งมีที่อยู่อาศัยดีๆ ได้หลับสบาย มีของกินดีๆ ถึงจะมิได้ร่ำรวยอะไรมากแต่ก็สามารถใช้ชีวิตไปได้อย่างมิขาดสน แต่เลือกที่จะออกไปใช้ชีวิตกันเองเหมือนเดิมแบบนั้นทำไม

         เมื่อถามแบบนั้น เฒ่าแก่จึงบอกว่าจริงๆแล้วนั้นแม่ของเด็กสาวคนนั้นป่วยด้วยโรคที่มิมีทางรักษา แต่มิรู้ว่าเกิดจากอะไร ทางเดียวที่จะรักษาหรือบรรเทาอาการให้คงตัวได้นั้น จำเป็นต้องดื่มเลือดของฉงฉี ดังนั้นเด็กสาวจึงหันมาทำอาชีพเป็นพรานล่าสัตว์ และล่าฉงฉีเพื่อที่จะเอาเลือดของมันมารักษาแม่ของนาง เพราะงั้นการแยกตัวออกไปอยู่ในที่ไกลๆจากหมูบ้านแต่อยู่ไกล้กับป่านั้นทำให้ง่ายต่อการออกล่ามากกว่า

    แต่ลำพังแค่ตัวเด็กสาวเพียงคนเดียวนั้นจะไปสู้แรงกับสัตว์อสูรตัวใหญ่ยักษ์เพียงคนเดียวได้อย่างไงกัน และยิ่งเป็นคนธรรมดาที่มิได้ร่ำเรียนวิชาจากสำนักไหนมาด้วยแล้ว การที่จะไปล่าสัตว์อสูรนั้นเป็นไปมิได้เป็นแน่



    แล้วเฒ่าแก่ก็บอกอีกว่า หลังจากที่สองแม่ลูกแยกตัวออกไปนั้นเหมือนแม่ของนางจะได้พบกับพี่ชายที่แยกจากกันมานานจึงได้ไปอาศัยอยู่ด้วยกันสามคน จนคนที่มิรู้เรื่องเมื่อไปพบเจอเข้า อาจจะคิดว่าเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก เสียมากกว่าที่จะเป็นพี่น้องที่น้องสาวมีลูกติดมาซะเสียด้วยซ้ำ ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่จะเห็นชายคนนั้นมาที่หมู่บ้าน และมาพบกับเฒ่าแก่พร้อมกับเด็กสาว

         เฒ่าแกยอมรับว่าตนนั้นแอบหวาดกลัวรูปร่างอันใหญ่โต และใบหน้าแสนจะถมึงทึงของชายคนนั้นมากตอนที่พบกันครั้งแรก บรรยากาศรอบๆตัวชายคนนั้นที่ปล่อยออกมามันช่างมิสมควรเข้าใกล้เสียเหลือเกิน 

    ช่างแตกต่างจากคนน้อง แม่ของเด็กสาวคนนั้นยิ่งนัก ถ้าพี่ชายของนางมีบรรยกาศที่มิควรเข้าไกล้ แต่คนเป็นน้องกลับมีบรรยากาศที่ชวนให้น่าเข้าหาเสียเหลือเกิน


    "แม่ของอาฟางนะขอรับ นางเป็นคนขยันมีใบหน้าที่ปลื้มยิ้มพิมพ์ใจที่แสงงดงาม ใครเห็นก็ต่างพายิ้มตามไปด้วย น่าเสียดายพวกหนุ่มๆ และพ่อหม้ายหลายๆคนในหมู่บ้านที่เคยสนใจนาง เพราะนางนั้นมีลูกแล้วนางจึงมิสนใจชายใด และมิต้องการผู้ใดมาอยู่ข้างกายนอกจากลูกของนาง อ่อ ยกเว้นพี่ชายของนางอีกคนนะขอรับ ช่วงนั้นตอนที่นางมาอยู่ใหม่ๆโรงเตี๊ยมข้าน่ะมีคนเข้ามาเต็มเลย เพียงเพื่อจะมาเชยชมแม่ของอาฟาง แต่นางก็มิสนใจ ไม่สิ ไม่ใยดีสายตาของพวกหนุ่มๆที่มองมาเลยเสียมากกว่า"


    เรื่องเล่าส่วนนี้หลานลู่นั้นมิได้สนใจเท่าไร เพราะมันก็คงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ชายหนุ่มจะหลงหญิงงาม ต่อให้ฝ่ายหญิงจะเคยมีสามี มีลูกแล้วก็ยังคงมีบางคนที่มิสนใจ ขอเพียงได้เชยชมความงามก็เพียงพอ


         ก่อนที่เขาจะตัดจบบทสนทนาเพราะดูเหมือนว่าจะมิได้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่เฒ่าแกก็พูดถึงเรื่องบางอย่างออกมาเสียก่อน


    "นางงดงามมาก ราวกับบุผางาม จนคนในหมู่บ้านต่างเรียกนางว่า 'แม่ดอกโบตั๋น' เลยลjะขอรับ"

    "ดอกโบตั๋น? ทำไมถึงเรียกกันเช่นนั้น?"

    "เพราะว่ากลิ่นกายของนางนั้นหอมราวกับดอกโบตั๋นยังไงละคุณชาย ใบหน้าอันขาวนวนยิ่งกว่ากลีบดอกโบตั๋นหิมะเสียอีก แล้วก็นางมีของติดตัวมาอยู่อย่างหนึ่ง แล้วนางมอบมันให้แก่อาฟาง นั้นก็คือหยกโบตั๋นน่ะขอรับ"



         แววตาเบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น มือที่กำดอกโบตั๋นหยกที่ว่าแน่นขึ้นใต้แขนเสื้อ


    มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือ หลานลู่คิดกับตนเองในใจว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือว่าอย่างไรกัน ดอกโบตั๋นหยก นั้นมันก็อาจจะมิได้มีแค่ของเขาเพียงอันเดียวก็ได้ แต่มันจะบังเอิญไปรึเปล่า ที่เด็กสาวคนนั้นก็มีมัน และยังได้รับมันมาจากมารดาของนาง


    เช่นเดียวกับหลานลู่ที่ได้รับมันเป็นของดูต่างหน้าท่านแม่ที่จากไปแล้ว.... 


    "คุณชาย ข้าขอถามอะไรท่านเสียหน่อยจะได้หรือไม่?"
    "อะไรหรือ?"


         เสียงของเฒ่าแก่เรียกให้หลานลู่หลุดออกมาจากความคิดของตนก่อนที่จะหันกลับมาตอบคำถามของเขา


    "ท่านเป็นญาติกับอาฟางรึเปล่า แววตาของท่านนั้นคล้ายกับนางมาก จนข้าเผลอลืมตัวไป คิดว่ากำลังคุยเล่นอยู่กับนาง"


         'แววตางั้นหรือ'


         จะว่าไปตอนที่สบตานางตอนนั้น ครู่หนึ่งหลานลู่แอบคิดว่ากำลังมองตนเองผ่านเงาสะท้อนจากกระจกอยู่เสียอีกยังไงอย่างนั้น แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่จะมีคนที่มีใบหน้าคล้ายกับตนเองน่ะ ทั้งที่มิได้มีความเกี่ยวข้องกันมาก่อน.....


         แต่ว่าเหนือสิ่งอื่นใดที่หลานลู่รู้ก็คือ นางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับใครบางคนในกระดาษภาพม้วนนั้นเป็นแน่ และมิแน่ว่าถ้าเขาได้พบนางอีกครั้ง เขาอาจจะได้รู้อะไรมากกว่านี้ก็ได้ 


    แล้วถ้าได้พบกับแม่ของนางด้วยแล้วละก็....อาจจะได้พบคำตอบ





    "มิรู้สิ ก็คงเป็นเช่นนั้น"




















    "คุณชาย"


         หลานลู่ละสายตาออกจากดอกโบตั๋นหยกในมือก่อนที่จะหันกลับไปหาคนที่เรียกตน ซือจุยยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆเมื่อคุณชายหันกลับมา 

    "ตอนนี้เราเตรียมการพร้อมแล้ว ผู้อาวุโสเว่ยให้ข้ามาตามคุณชาย ถ้าท่านพร้อมเราก็จะไปกันเลยขอรับ"

    "ข้าพร้อมแล้ว"

    หลานลู่รับคำก่อนที่จะเอาดอกโบตั๋นหยกใส่เข้าไปเก็บใส่อกเสื้อ ก่อนที่จะหยิบทั้งกระบี่อ่อน และขลุ่ยเซียนคู่กายติดตัวแล้วลงไปข้างล่างพร้อมๆกัน



    ซือจุยมองคุณชายที่เดินนำหน้าตนไปเงียบๆ แต่ในใจนั้นกำลังเกิดคำถามที่มิรู้ว่าเขาควรจะพูดมันออกไปดีหรือไม่

    ตั้งแต่ที่ตนเองกับจิ่งอี๋ และเว่ยอิงกลับมายังโรงเตี๊ยมเขาก็สังเกศเห็นว่าคุณชายดูแปลกไป ซึ่งอาการแปลกๆที่เขาเห็นนั้น เว่ยอิงกับจิ่งอี๋นั้นไม่ทันเห็นหรือไม่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย


         ถึงแม้ว่าคุณชายของพวกเขานั้นปกติจะชอบทำหน้านิ่งๆอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่ก็มิได้ไร้ความรู้สึกหรือจะสงบนิ่งได้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกับหลานวั่งจี โดยปกติเวลาเมื่ออยู่กับพวกเขาที่เป็นศิษย์พี่ คุณชายก็จะผ่อนคลายลงมาบ้าง มียิ้มมีหัวเราะพอควรตามความเหมาะสม เวลาที่จิ่งอี๋เล่นมุขหรือเวลาทะเลาะกับประมุขจิน

    ยิ่งตอนอยู่กับจินหลิงจะยิ้ม และหัวเราะเป็นพิเศษ


    แต่วันนี้ท่าทางของคุณชายดูเงียบผิดปกติ คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนกับกำลังคิดมากเรื่องอะไรอยู่สักอย่าง แล้วไหนจะเอาแต่จ้องมองดอกโบตั๋นหยกในมืออยู่ตลอดเวลาเลยด้วย


    หยกโบตั๋น......


         ซือจุยหันไปมองขลุ่ยเซียวที่คุณชายแนบเอาไว้ที่เอว พู่ที่แขวนเอาไว้ที่ปลายขลุ่ยนั้นสายไปมาตามการเดิน และหยกที่ถูกเอามาแขวนประดับกับพู่นั่นก็เด่นสะดุดตามิใช่น้อย มันเป็นของที่คุณชายนั้นพกติดตัวเอาไว้อยู่ตลอด เพราะมันเป็นของสิ่งเดียวที่มารดาของเขาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ 


         และถ้าซือจุยตาไม่ฝาดไป ถ้าหยกอันนั้นมันยังแขวนอยู่ที่ขลุ่ยเซียวข้างกาย แล้วหยกที่เขาเห็นคุณชายเอาใส่อกเสื้อตนเองก่อนหน้านี้ มันมาจากไหนกัน?



    "ศิษย์พี่"


    เสียงเรียกของคุณชายทำให้ซือจุยหลุดออกมาจากความคิดของตนเองก่อนที่จะรู้ตัวว่าตอนนี้ตนนั้นได้ลงมาชั้นล่างที่ทุกคนกำลังนั่งรออยู่แต่ตัวเขากับคุณชายนั้นหยุดยืนอยู่ที่บันไดขั้นสุดท้ายพอดี คุณชายหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะสื่อว่า เขาเป็นอะไรรึเปล่า


    "ขอรับคุณชาย คือว่า ข้ากำลังคิดอะไรอยู่เลยมิทันฟัง ท่านพูดว่าอะไรหรือ?"
    "เปล่าหรอก ข้าเพียงเห็นศิษย์พี่เงียบไปเลยเรียก"
    "อ่อ เช่นนั้นก็มิมีอะไรต้องเป็นห่วง คุณชายท่านสบายใจได้"


         คุณชายมองกลับมาด้วยแววตาที่ยังคงมีความคาใจอยู่ แต่ก็ไม่อยากตื้อถามเอาความ  แต่ว่าทั้งคู่ก็ยังมิมีใครที่เดินเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆเลย


    "คุณชาย มีเรื่องอะไรคาใจท่านอยู่งั้นหรือ"


    จนสุดท้านซือจุยก็ได้เอ่ยถามสิ่งที่ตนนั้นคาใจออกไปจนได้ ถึงแม้ว่าเขาอยากให้คุณชายพูดออกมาเองก็ตามที แต่ด้วยความเป็นห่วง และกลัวว่าอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ตอนปฏิบัติภารกิจเพราะมีสิ่งที่ค้างคาใจอยู่จนมิมีสมาธิก็เป็นได้


    คุณชายหันกลับมามองศิษย์พี่ของตน มือหนาข้างซ้ายนั้นยกขึ้นมาจับขลุ่ยข้างกายเอาไว้อย่างกับต้องการที่ยึดเหนี่ยว เขาเงียบไปครู่นึงก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาตอบ


    "ศิษย์พี่เลือดของฉงฉี มันสามารถรักษาโรคร้ายอะไรได้งั้นหรือ?"


    ซือจุยเมื่อได้ยินคำถามนั้นก็ถึงกับทำหน้าตาประหลาดใจในทันทีที่ได้ยินคำถาม แล้วคิดกับตนเองว่านั่นเป็นเรื่องที่คาใจของคุณชายจริงๆหรือที่ถามแบบนั้นเพียงเพราะต้องการจะเปลี่ยนเรื่องกันแน่ แต่พอมองแววตาอันใสซื่อ?นั้นแล้วมันทำให้รู้ว่า คุณชายนั้นถามจริงๆมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

    "คุณชายไปได้ยินมาจากไหนกันขอรับ?"
    "ข้าได้ยินเฒ่าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมพูดกับหลานสาว ทำไมรึ มันมิถูกหรือ?"
    "กะ ก็...มิใช่ว่ามิถูกซะทีเดียวขอรับ"

    ซือจุยแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมา แต่ก็มิแปลกใจเท่าไรที่คุณชายจะมิรู้เรื่องนี้ เพราะว่าเรื่องสัตว์อสูรนั้นก็มิได้มีการสอนอย่างละเอียจเท่าเรื่องวิชาการ และการปฎิบัติตนสักเท่าไร ส่วนน้อยเลยด้วยที่จะมีคนรู้ถ้าตั้งใจที่จะศึกษามันจริงๆ

    แล้วถ้ากลับกันว่าตัวซือจุยนั้นรู้หรือไม่ ก็บอกได้เลยว่าถ้าผู้อาวุโสเว่ยไม่บอก เขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเช่นกัน

    "คุณชายเคยได้ยินหรือไม่ ว่าฉงฉีนั้นเป็นทั้งเทพและอสูร"
    "ข้าเคยได้ยิน แต่ว่า มันก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละพื้นที่"

    "ขอรับ แล้วที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันมีทั้งคุณและโทษ ท่านถามว่าเลือดของมันสามารถรักษาโรคร้ายได้หรือไม่นั้น ในด้านคุณมันสามารถรักษาหรือบรรเทาจากอาการโรคร้ายได้ ส่วนโทษนั้น เอ่อ... ขึ้นอยู่กับคนที่กินเข้าไปขอรับ"

    "คนที่กินเข้าไปงั้นหรือ?"

         ซือจุยพยักหน้ารับ ก่อนที่จะพูดต่อประโยคต่อไป

    "ตามเรื่องเล่า ฉงฉีดักจับกินมนุษย์ ซื่งถ้าพบคนดีๆ มันจะกินจมูกของคนๆนั้น แต่ถ้าพบเจอคนชั่ว มันจะจับสัตว์ไปให้เป็นของขวัญซะเสียอย่างนั้น....สรุปง่ายๆก็คือ ถ้าคนที่มีจิตใจดีกินเข้าไปก็จะได้โทษ แต่ถ้าเป็นคนชั่ว ก็จะได้รับคุณขอรับ."












    อีกด้านนึง








         ในเขตป่าที่ไม่ไกล้ไม่ไกลจากตัวหมู่บ้าน ได้มีสถานที่อันสวยงามอย่างน้ำตกกลางป่าที่ไหลตกทอดกันลงมาเป็นชั้นๆอย่างสวยสดงดงาม ต่อให้ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้วจนเข้า*ยามซวี แล้วก็ตาม ยามซวี (ประมาน19:00-20:59 น.)

         แต่ความงดงามของผืนป่า และผือน้ำนั้นก็มิได้ลดน้อยลงไปเลย แต่ใครจะรู้เล่าว่า ณ สถานที่อันสวยงามเช่นนี้นั้น จะมีอันตรายแบบไหนซ่อนอยู่กัน

     
         ร่างขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดหลังม่านหลังน้ำตกนั้น กำลังซ่อนตัว เพื่อรอบางสิ่งที่กำลังมุ่งหน้ามาหาตัวมันเองอย่างเตรียมพร้อม แววตาคมดุดันของสัตว์ร้ายนั้นส่องประกายใต้เงามืด







         ไม่ไกล้ไม่ไกลจากน้ำตก ร่างบอบบางของเด็กสาวกับหนึ่งสุนัขสีดำกำลังยุ่งอยู่กับการหาบางสิ่งบางอย่างอยู่


    "ทำไมถึงหามิเจอกันนะ ไปอยู่ที่ไหนกัน"


         หลานเมิ่งเดินมองไปตามพื้นพร้อมทั้งยังคอยล้วงมือหาตามในอกเสื้อ และในสัมภาระที่ตนเอามาด้วยว่ามันยังอยู่หรือไม่ แต่ก็ไร้วี่แววจากสิ่งที่ตนนั้นกำลังค้นหาอยู่

    อาหยางเจ้าสุนัขดำเองก็ดมตามพื้นช่วยเจ้านายของมันหาไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย

    "ไม่นะ ข้าต้องทำหล่นเอาไว้แถวๆนี้เป็นแน่ ก็เราน่ะวิ่งตรงมาทางนี่นิน่า หรือว่าจะหล่นหายไปตรงหมู่บ้านจริงๆกัน"

    หลานเมิ่งนึกย้อนไปตอนที่ตนนั้นวิ่งหนีออกมาจากโรงเตี๊ยมของเฒ่าแก่หลินนั้น  ตนก็วิ่งตรงเข้ามาในป่า  แล้วก็มุ่งตรงมาเรื่อยๆเพื่อที่จะไปให้ถึงน้ำตกโดยไว  แต่ระหว่างที่วิ่งมานั้นก็รู้สึกว่า 
    ศีรษะของตนเองนั้นมันโล่งๆ....

     ก่อนที่จะพบว่าดอกโบตั๋นหยกที่นางเอามาร้อยเป็นที่ผูกผมนั้นหายไป!


         ดังนั้นทั้งที่จริงๆแล้วนางควรที่จะไปถึงน้ำตกก่อนตะวันตกดินเสียด้วยซ้ำ แต่กลับต้องย้อนกลับไปตามทางที่ตนนั้นวิ่งมาแล้วคอยมองหาดอกโบตั๋นหยกของนางไปด้วย จนเวลาผ่านไปจนตะวันตกดิน


    "อย่ามองข้าแบบนั้นนะ! มิใช่ความผิดของข้าเสียหน่อยที่ทำมันหายน่ะ"

    นางขึ้นเสียงตะโกรธเถียง? กับอาหยางที่มองมาที่นางอย่างกับคาดโทษ ต่อให้มันพูดมิได้แต่ด้วยทั้งเเววตา และท่าทางแบบนั้นที่มันแสดงออกมามันอดมิได้ที่นางจะคิดแบบนั้น

         ส่วนอาหยางเองมันก็หันไปมองทางอื่นอย่างกับมิสนใจ ทำเป็นมิรู้มิเห็น

    หลานเมิ่งทำเสียงขึ้นจมูกอย่างขัดใจก่อนที่หย่อนกายนั่งลงกับขอนไม้ข้างทาง

    "เหอะ!......หรือว่าจะเป็นตอนนั้นกัน....."






         'เจ้าคนไร้มารยาท!'

    ตอนที่นางยกขาขึ้นหมายที่จะเตะคุณชายนั้นให้กระเด็น แต่เจ้าตัวเขาก็รู้ทันจึงต้องปล่อยมือที่จับล็อกมือของนางออกแล้วถอยออกไปตั้งหลัก และนั่นก็เป็นการเปิดโอกาศให้นางหนีออกมาได้

    หลานเมิ่งคิดย้อนกลับไปแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า ตนเองนั้นเผลอทำดอกโบตั๋นหยกหายตอนที่ปะทะกับคุณชายคนนั้นก่อนที่จะหนีมา


    ตึง!

    มือบางกำแน่นก่อนที่จะทุบลงกับขอนไม้อย่างอารมณ์เสียที่ตนเองนั้นเสียท่าเสียอากาณ์จนทำของสำคัญที่ท่านแม่ของนางนั้นมอบให้มาหาย แล้วก็นึกโกรธคุณชายคนนั้นในใจ มิรู้ว่าป่านนี้มันจะหายไปแล้วหรือโดนขโมยไปแล้วรึเปล่า หรืออาจจะแย่กว่าก็คือคุณชายคนนั้นจะเก็บมันไปได้รึเปล่า


    "สงสัยต้องกลับไปหาที่โรงเตี๊ยมของเฒ่าแก่หลินจริงๆ- อาหยางมีอะไร?"


         ในขณะกำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะลองกลับไปหาดูที่โรงเตี๊ยมของเฒ่าแก่หลินดีหรือไม่นั้น จู่ๆอาหยางก็มีท่าทางแปลกๆมันยืนขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางที่จะมุ่งตรงกลับไปยังหมู่บ้าน หรือก็คือเส้นทางที่พวกนางนั้นเดินมา 

    เมื่อหลานเมิ่งลองมองตามดูก็เห็นว่ามีแสงไฟจากที่ไกลๆกำลังตรงมาทางนี้ เหมือนจะเป็นกลุ่มคนจำนวนมิน้อยเลยด้วย


    "อาหยางหลบก่อน"

    นางออกคำสั่งก่อนที่ทั้งตัวนางกับอาหยางจะรีบวิ่งเข้าไปหลบหลังพุ่งไม้ และหมอบตัวให้ราบไปกับพื้น ชุดของนางที่เป็นสีดำอยู่แล้วมันยิ่งช่วยพรางตัวนางได้ดีในยามกลางคืน ส่วนอาหยางนั้นยิ่งมืต้องเป็นห่วงมันที่มีขนดำปกคลุ่มทั้วทั้งตัวนั้นยากต่อการมองหาในยามกลางค่ำกลางคืนอยู่แล้ว


    กลุ่มคนกลุ่มนั้นค่อยๆเข้ามาไกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่แสงไฟจากทั้งโคมไฟในมือ และยันต์อาคมในมือที่ให้แสงสว่างนั้นทำให้หลานเมิ่งมองเห็นกลุ่มคนกลุ่มนั้นได้อย่างชัดเจนจากที่ซ่อนของนาง


    กลุ่มคนในอาภรณ์สีฟ้าขาว และผ้าคาดหัวอันเป็นเอกลักษณ์นั้น


    "พวกเซียนตระกูลหลาน อ้ะ! นั่นมัน..."


    ในกลุ่มเหล่าเซียนนั้นหลานเมิ่งสังเกตเห็นใครบางคนที่คุ้นตา ที่เดินตามหลังคนที่เดินนำหน้าที่แต่งกายแปลกแยกจากผู้อื่นด้วยอาภรณ์สีดำแดง

    ใบหน้าที่นิ่งๆหยิ่งๆจนหน้าหมั่นไส้นั้น นางมิมีทางลืมได้หลอก


    "นั้นมันเจ้าคุณชายนั้นนิน่า บ้าเอ๊ย พวกนั้นตามมาจนถึงนี่จนได้...ข้าต้องรีบแล้ว มิงั้นจะมิเหลือ ฉงฉีให้ล่าอีกในละแวกนี้"

    ในขณะที่หลางเมิ่งกำลังจะรอให้กลุ่มเซียนตระกูลหลานเดินจากไปให้ไกลเสียก่อนนางถึงจะลุกแล้วรีบวิ่งอ้อมไปอีกทางเพื่อที่จะไปตัดหน้าล่าฉงฉีก่อนที่พวกเขาจะไปถึง

    แต่สายตาของนางก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่สะท้อนแสงจากโคมไฟมาจากบริเวณเอวของคุณชายหลานผู้นั้น ของสิ่งนั้นเป็นไปมิได้ที่นางจะมองผิดไป



    ดอกโบตั๋นหยก...



    เก็ก!




    "หือ?"

    "มีอะไรหรือจิ่งอี๋?"

    หลานซือจุยหันกลับมาถามสหายของตน เมื่ออยู่ดีๆหลานจิ่งอี๋ก็หยุดเดินแล้วหันกลับไปมองที่ข้างทาง นั่นจึงทำให้เหล่าขนะเดินทางต้องหยุดตามไปด้วย เว่ยอู๋เซี่ยนกับหลานลู่จึงหันกลับมามอง

    "ข้าได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรหลบอยู่หลังพุ่งไม้นั้นเลย"

    จิ่งอี๋พูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่พุ่งไม้ที่ตนนั้นได้ยินเสียงแปลกๆมาจากตรงนั้น และเขาก็คิดว่าเขานั้นมิได้คิดไปเองเป็นแน่


    เก็ก!

    เป็นอีกครั้งที่มีเสียงแปลกๆดังออกมา และครั้งนี้ทุกคนก็เห็น และได้ยินเช่นกันว่ามีเสียงดังออกมา และพุ่งไม้นั้นก็ขยับ เหล่าเซียนทั้งหลายต่างจับกระบี่ของตนอย่างเตรียมพร้อมรับมือ

    "ทุกคนถอยออกมา!"

    เว่ยอู๋เซี่ยนบอกกับทุกคนก่อนที่ตนนั้นจะเดินมายืนบังหน้ารับ ก่อนที่จะหยิบขลุ่ยประจำกายของตนออกมาเตรียมพร้อม ถึงยังไงเขาที่เป็นผู้อาวุโสสุดก็ต้องออกมารับหน้า รับผิดชอบดูแลเด็กๆพวกนี้มิให้เป็นอันตรายมาก

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบมีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านมากับเสียงที่ดังมาจากพุ่งไม้นั่นมิยอมหยุด เว่ยอู๋เซี่ยนเดินนำหน้าออกไปก่อนที่จะยื่นมือออกไปแหวกพุ่งไม้นั้นออก




    และทันทีที่แหวกพุ่งไม้นั้นออกสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ก็ปรากฎตัวออกมา อยู่ต่อหน้า....












    (นี้เป็นรูปจูจ้านจิ่นกับหลิวไห่ควานที่ไรท์เอามารวมกัน ว่าถ้าได้ลูกชายลูกสาวจะหน้าตาเป็นยังไง แล้วก็ตัดต่อเอาหยกโบตั๋นไปใส่ไว้)
    ______________________________________________________________________________


    บอกตากตรงว่าตอนนี้แอบตันนิดๆ อาจมีการแก้ไขภายหลังก็ได้ถ้าไรท์กลับมาอ่านอีกทีแล้วมันรู้สึกแปลกๆก็จะมารีใหม่นะคะ

    เจอคำผิดจ้องขอโทษด้วยนะคะ
    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×