ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 283
      16
      27 มิ.ย. 64



    (นี้เป็นรูปจูจ้านจิ่นกับหลิวไห่ควานรวมกัน ว่าถ้าได้ลูกชายจะเป็นยังไง//และไรท์ก็ตัดต่อเอาหน้าไปใส่ชุดของพี่ซีเเล้วก็เอาผ้าคาดหัวมาติด เนียนอยู่------)

    ______________________________________________________________________________



               ขณะเดินทางตระกูลหลานที่เว่ยอู๋เซี่ยนเป็นคนนำทาง เดินทางมายังหมู่บ้านในเขตกูซูที่แจ้งเหตุทุกข์ร้อนถึงสัตว์อสูรที่ออกอาละวาด 

    และการมาถึงของเหล่าเซียนตระกูลหลานนั้นก็เป็นที่จับตามอง และน่าสนอก สนใจจากชาวบ้าน ทั้งความหวังที่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะสามารถขับไล่สัตว์อสูรไปได้ กับอีกพวกที่สนอก สนใจในรูปลักษณะอันงดงามอันบริสุทธิ์ของเหล่าเซียนตระกูลหลาน

    แล้วไหนจะเว่ยอู๋เซี่ยนที่มีความแปลกแยกจากเหล่าเซียนคนอื่นๆ ทั้งการแต่งกาย กิริยามารยาทนั้นที่ช่างแตกต่างจากคนอื่นเป็นที่สุด แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ทำให้ความน่าสนใจในรูปร่างหน้าตา หรือที่ใครต่อใครได้ยินเรื่องของชายคนนี้มา ลดน้อยลงไปเลย


               แต่นอกจากเว่ยอู๋เซี่ยนแล้วยังมีอีกบุคคลนึงที่เป็นที่สนอก สนใจมิเเพ้กัน ทั้งข่าวลือที่พูดกันมาปากต่อปาก ที่มีเคร้าโครงจากเรื่องจริง ถึงมารดาผู้ให้กำเนิดของคนๆนี้ ที่ออกไปในทางด้านลบ และว่าร้ายซะส่วนใหญ่ 


    หลานลู่ นามรอง หลวนเฉิน บุตรชายของประมุขหลานแห่งกูซู ทั้งท่าทางที่สงบนิ่งนั้นทำให้นึกถึงผู้เป็นอาของเขามิใช่น้อย สงบนิ่งดุจสายน้ำ แต่ถ้าพูดถึงความเงียบขรึม และเย็นยะเยือกดุจน้ำเเข็งแล้ว ก็คงยังมิเท่าผู้เป็นอา อย่างหลานวั่งจีไปได้ และก็กิริยามารยาทที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีนั้นอีก

    แล้วก็ด้วยหน้าตาที่หล่อคมคาย ถึงแม้จะยังเยาว์วัยอยู่ก็ตามที แต่ก็เป็นที่หมายปองของสาวน้อย ลูกคุณหนูอยู่หลากหลายตระกูลอยู่เหมือนกัน ใบหน้าที่งดงามคมเข้ม พร้อมกับแววตากลมโตที่เพียงแค่สบตาก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แววตาดวงนั้นมักจะดูนิ่งเฉยอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ทำให้เหล่าสาวน้อยที่ผ่านพบเจอจะละสายตาจากเขาไปได้เลย


    ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมานี้มันขัดเกราให้คุณชายหลานผู้นี้เกือบเข้าขั้นคำว่าไร้ที่ติ.....เสียแต่ว่า...




    ด้วยชาติกำเนิดของเขา ที่ถูกตราหน้าว่า เป็นลูกของหญิงชั่ว...




    ตลอดทางที่ออกเดินทางมาผู้คนที่พบเจอนั้น มีทั้งตะลึงในความงาม เรียบเฉย และรังเกลียด โดยสายตาที่รังเกลียดนั้นจะมาในทั้งรูปแบบของการมองด้วยสายตา และพูดนินทา




    'คุณชายหลานคนนี้ไง'



    'มิอยากจะเชื่อ ว่าประมุขหลานจะมีบุตรชายกับผู้หญิงพันธ์ุนั้น'




    'ตระกูลหลาน ตกต่ำลงเรื่อยๆเพราะคนพวกนี้จริงๆ'




    'แม่เป็นอย่างไร ลูกก็คงเป็นเช่นนั้น'




              แล้วก็คำพูดดูถูกอีกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามา ทั้งคำพูดที่ดูถูกตนเอง ดูถูกตระกูล จนไปถึง มารดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งโดยส่วนมากแล้วที่ผู้คนจะพูดถึงมากที่สุด ก็จะเป็นเรื่องของมารดาของเขา



    ถึงแม้จะมิเคยได้พบหน้า ถึงแม้จะจำหน้าตาของท่านมิได้ แต่หลานลู่ ก็รู้สึกคับแค้นใจ ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้พูดจาดูถูกมารดาของเขายิ่งนัก มิใช่ว่าหลานลู่จะมิรู้ว่ามารดาของเขานั้นได้ทำเรื่องอันใดเอาไว้บ้าง


    เขารู้


    แล้วถ้าถามว่าเขารู้สึกเสียใจหรือไม่ที่มารดาของเขาทำเรื่องเช่นนั้นลงไป ก็ตอบได้เลยว่า เขาเสียใจ ที่มารดาของเขาทำเรื่องเหล่านั้นลงไป จนมิน่าให้อภัย หลานลู่ทั้งรู้สึกเศร้าใจ และผิดหวังกับสิ่งที่มารดากระทำไป

    แต่ เสียใจไป ผิดหวังไป จะได้อะไรขึ้นมากัน จะให้เขาไปขุดศพของมารดาขึ้นมาให้นางมาขอโทษพวกคนเหล่านั้นหรือไง หรือจะให้เขาไปนำคนที่ตายด้วยน้ำมือของนางกลับมาหรือ 


    แน่นอนว่าทำมิได้ สิ่งที่ศูรย์เสียไปแล้วมิมีทางได้มันกลับคือมา ทั้งคนที่ตายไป สิ่งที่เสียไป มิมีทางได้กลับมา


























    ภูเขาทางเหนือ




    "นี่เป็นตัวที่ 3 แล้วนะขอรับ"


             หลานซือจุยเอ่ยกับผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม หลังจากที่ไปสืบหาข้อมูลมาจากพวกชาวบ้าน ว่าสถานที่ที่พวกฉงฉีออกอาละวาดนั้นคือที่ไหน ก็ได้ความว่าพวกมันจะอยู่ระหว่างเส้นทางข้ามภูเขาทางเหนือ ที่จะเชื่อมไปอีกเมืองนึงที่อยู่อีกฝากของภูเขา

    เว่ยอู๋เซี่ยนก้มมองร่างของฉงฉีที่พวกเขาพึ่งจะจับมาได้ พร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ว่ามันแปลก


     ปกติพวกฉงฉีมิน่ามาอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งเช่นนี้ และก็มิน่ามาอยู่ในเขตพื้นที่ไกล้กันขนาดนี้ด้วย มันแปลกเกินไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนพวกมันคงอยู่ไกล้กับเขตของพวกตระกูลเวินซะเสียส่วนใหญ่ แต่หลังจากตระกูลเวินสิ้นอำนาจ พื้นที่เหล่านั้นก็ถูกตระกูลจินยึดไป หลังจากนั้นก็มิอาจทราบได้ว่าพวกฉงฉีนั้นหนีกระจายไปหลบซ่อนตัวที่ใดบ้าง


    "ผู้อาวุโสเว่ยดูนี่สิขอรับ"
    "หือ? นี่มัน"

    เว่ยอิงก้มมองไปตามมือที่ชี้ของหลานซือจุย ก่อนที่จะพบว่าที่หลังของฉงฉีที่พวกเขาจับมาได้นั้น มีรอยบางอย่าง เมื่อมองดูดีๆแล้วก็พบว่ามันเป็นรอยแผลที่ถูกแทง

    "ถูกแทงมางั้นหรือ อะไรกันเนี่ย นี่มันยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่อีกมิใช่หรือไงกัน"
    "ปกติผิวหนังของฉงฉีจะแข็งมาก จนยากที่จะมีอาวุธอะไรที่จะสามารถทำให้เกิดแลได้"
    "ถูกต้อง ปกติแค่กระบี่ธรรมดายังทำได้มากสุดแค่ลถลอก แต่ถ้าเป็นกระบี่ที่มีจิตวิญญาณของเซียน ถ้าผู้ใช้มีจินตานที่แข็งแกร่ง การที่จะสร้างบาดลบนผิวหนังของสัตว์อสูรที่แข็งแบบนี้ก็มิยาก อีกอย่าง ดูยังไงนี้ก็ไม่ใช่แผลที่เกิดจากการต่อสู้กันเองแน่"

    เว่ยอิงอธิบายพร้อมกับก้มลงไปมองที่บาดลของฉงฉีตนนี้อย่างละเอียดมากขึ้น จากสิ่งที่เขาพูดมามันมิได้เกินจริงอันใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นเซียนที่พึ่งฝึกตนแล้วจินตานไม่แข็งแกร่งมากอะไร แต่ถ้าสู้ดีๆละก็แค่แทงเข้าเนื้อนั้นมิใช่เรื่องยากเลย


    "แต่จากร่องรอยของบาดแลแล้วนั้น มันใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นรอยแทงของกระบี่นะ แถมยังจะมีอย่างอื่นปนอยู่ด้วยสิ"
    "อย่างอื่น? หรือขอรับ?"

    มือเรียวของเว่ยอิงลูบเบาๆไปที่บาดล ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นมาอยู่ในระดับหน้า กำนิ้วทั้งสามนิ้วลงไป เหลือไว้เพียงนิ้วกลางกับนิ้วชี้ พร้อมกับปิดเปลือกตาลงพร้อมกับท่องคาถาอะไรบางอย่าง ที่ซือจุยเองก็มิอาจเข้าใจ แต่อาจจะเป็นหนึ่งในวิชานอกรีดก็เป็นได้

    ชั่วพริบตามือเรียวที่ลูบไปบนบาดลก็ค่อยๆยกขึ้นมา เพียงมองด้วยตาเปล่าก็เห็น ซือจุยถึงกับถอยออกมาก้าวนึงอย่างตกใจ แต่ก็ยังคงรักษากิริยาสงบนิ่งเอาไว้ได้อยู่ 


    สิ่งที่ลอยติดมือของผู้อาวุโสเว่ยขึ้นมานั้นเป็นไอควันสีดำปนสีแดงเลือด ถึงจะเป็นเพียงเศษเสี่ยที่หลงเหลืออยู่ก็ตาม แต่ทั้งเว่ยอู่เซี่ยน และหลานซือจุยนั้นรู้จักมันดีว่ามันคืออะไร

    "นะ นี่มัน แรงอาฆาต ธาตุไฟ"













    "ระวัง!!"



    โครม!!


    สิ้นเสียงตะโกนของหลานจิ่งอี๋ร่างของสัตว์อสูรก็กระโจมลงมาจากฟ้า มันส่งเสียงคำรามดังกึกก้องจนเหล่าเซียนน้อยทั้งหลายต้องยกมือขึ้นมาปิดหู หางยาวๆของมันตวัดวนรอบตัวจนทำให้หลายคนกระเด็นไป

    "โธ่เว้ย! มันคลั่งใหญ่แล้ว!"

    หลานจิ่งอี๋บ่นออกมาอย่างหัวเสีย เพราะเขาทั้งต้องวิ่งหนี และค่อยโจมตีมันกลับไปอยู่ตลอดจนแทบจะทนมิไหวแล้ว ทำได้เพียงออกคำสั่งให้ใช้เชืกอาคมรัดตัวมันเอาไว้ แต่พอจับได้มันก็อาละวาดอีก ไม่มีเวลามากพอที่จะตั้งค่างกลขังมันเอาไว้เลย

    ฉงฉีที่ถูกเชือกอาคมรัดรอบตัวพยายามดิ้นไปมาให้หลุด พร้อมกับส่งเสียงร้อง ทั้งด้วยพละกำลัง และขนาดตัวที่ต่างกันมากทำให้เหล่าศิษย์ตระกูลหลานคนอื่นๆที่คอยจับเชือกเอาไว้เองก็ยากจะรับมือ


    กึก!


    จู่ๆเจ้าสัตว์อสูรก็หยุดนิ่งไปเสียดื้อๆ ทั้งจิ่งอี๋และเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างมึนงง แต่แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบลงไปในทันที เมื่อมีบทเพลงบรรเลงขึ้นมา


    "คุณชาย!?"



    สายตาของจิ่งอี๋หันกลับไปมองที่มาของเสียง ปรากฎว่าเป็นคุณชายของพวกเขานั่นเองที่เป็นผู้บรรเลงบทเพลง


         เสียงบรรเลงจากขลุ่ยเซียวที่มีพู่หยกสีขาวรูปดอกโบตั๋นที่อยู่ที่ปลายขลุ่ย....










    "หือ? บทเพลงนี้มัน"

    เว่ยอู๋เซี่ยนที่ตามมาที่หลังนั้นหยุดชะงักเมื่อได้ยินบทเพลงที่ตนนั้นรู้สึกคุ้นหู ข้างกันนั้นหลานซือจุยที่ตามมาก็หยุดเดินเมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสของตนนั้นก็หยุดเดินไปเสียดื้อ

    "ผู้อาวุโสเว่ย? มีอะไรหรือขอรับ?"

    เว่ยอู๋เซี่ยนไม่ตอบในทันที หูเงียบฟังบทเพลงที่แสนคุ้นหู ที่ไม่ได้ยินมานาน และยิ่งต้องขมัวคิ้มเป็นปมมากขึ้นเมื่อคิดได้ว่า ผู้ที่จะสามารถเล่นบทเพลงนี้ได้ มิน่าจะมาอยู่ที่นี่ หรือไม่ ก็มิน่ามีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

    "หรือว่า เจ๋ออู๋จวินจะ- ไม่สิ ไม่น่าใช่  ซือจุยตามมาเร็ว"


            ว่าจบเว่ยอิงก็รีบวิ่งไปยังจุดที่มาของบทเพลง ซือจุยเองก็รีบตามไปเช่นกัน เว่ยอิงคิดกับตนเองในใจ

         'บทเพลงนี้ ถ้าข้าจำมิผิดมันมิน่าจะมีใครที่สามารถเล่นหรือรู้เนื้อเพลงนี้ได้เลย นอกจากสองคนนั้น แล้วผู้ที่กำลังเล่นบทเพลงนี้อยู่นั้น หรือว่าจะเป็น....'


    "หรือว่าจะเป็นนาง?"






           เมื่อมาถึงภาพเบืองหน้านั้นเป็นสัตว์อสูรที่ยืนนิ่งๆ   ที่ลายล้อมไปด้วยเหล่าลูกศิษย์ตระกูลหลานทุกคนที่ยังคงจับกระบี่ในมือแน่นไว้ในมือเตรียมพร้อมสู้ แต่กลับมิมีผู้ใดที่จะขยับกายเข้าไปไกล้เจ้าสัตว์อสูรนั้นเลยแม้แต่คนเดียว

    ยกเว้นเสียแต่ร่างของคุณชายหลานที่อยู่ไกล้มากที่สุด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใช้กระบี่ที่อยู่ข้างกายนั้นเลยแม้แต่น้อย     มือหนาที่ควรจะกวักแกว่งกระบี่แต่กลับกำลังบรรเลงบทเพลงบนขลุ่ยเซียว ท่วมทำนองบทเพลงนั้นช่างไพเราะ นิ่งสงบผู้ที่ได้ฟังนั้นต่างจิตรใจว่างเปล่า ราวกับว่าแรงโทสะที่มีก่อนหน้านี้นั้นจะหายไปจนหมดสิ้น


         เว่ยอิงจ้องมองไปที่คุณชายหลานด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ว่าเขาควรจะรู้สึกยินดี ที่คุณชายนั้นมีฝีมือเก่งกล้าขนาดนี้ หรือเขาควรที่จะกังวนใจเสียเอง ว่าคุณชายนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้รู้ทำนองของบทเพลงนี้ได้

    "ทำนองชำระใจ  ชิงซิน........."














         เมื่อเห็นว่าเจ้าสัตว์อสูรไม่อาละวาดแล้ว หลานลู่จึงหยุดเป่าก่อนที่จะหยิบเชือกเซียนออกมาแล้วพุ่งไปรัดตัวเจ้าสัตว์อสูร   ก่อนที่ร่างของมันจะหมดกำลังแล้วล้มลงไป

    ทุกสายตาจับจ้องมองไปอย่างปลาบปลื้มพร้อมกับพูดคุย และชื่นชมคุณชายของพวกตนที่สามารถกำราบสัตว์อสูรลงได้


    "จับไปรวมกับตัวอื่นๆ นี่น่าจะเป็นตัวสุดท้ายเราจะพาพวกมันลงใต้ กลับไปยังที่อยู่ของพวกมัน"  

    "ขอรับคุณชาย!" 


    เหล่าศิษย์ต่างขานรับ ก่อนที่จะช่วยๆกันใช้อาคมขนร่างของเจ้าสัตว์อสูรกลับไปยังที่ๆพวกตนจับพวกสัตว์อสูรไปรวมกัน เว่ยอู๋เซี่ยนพึงพอใจกับผลงานของคุณชายมาก  ก่อนที่จะเดินยิ้มเข้าไปหา

    "ทำได้ดีมากเลยอาลู่ ข้ามองไม่ผิดจริงๆที่เจ้ามีฝีมือ เลยไปขอร้องให้พาเจ้ามาด้วย"
    "ท่านพูดเกินไป ข้านั้นยังด้อยประสบการณ์ ยังต้องเรียนรู้จากท่าน ท่านอา และเหล่าศิษย์พี่อีกมากขอรับ"

    "ฮ่าๆ ไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้น คนเก่งมีความสามารถก็ต้องชื่นชม"


    หลานลู่ประสานมือขึ้นรับคำชม แต่ถึงอย่างนั้นทั้งทำนองบทเพลง และวิชากระบี่นั้นเขายังด้อยกว่าบุรุษตรงหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนจะพึ่งชนะวิชากระบี่กับเหล่าศิษย์พี่มาได้ก็ตามที ใจจริงนั้นอยากจะลองดวนวิชากระบี่กับเว่ยอู๋เซี่ยนดูสักครั้ง แต่บุรุษตรงหน้านั้นเหมือนจะละทิ้งวิชากระบี่ไปนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ไม่ได้ แค่บทเพลงที่บรรเลงออกมาจากขลุ่ยคู่กาย กับวิชาแปลกๆที่มีติดตัวนั้นก็ร้ายกาจยิ่งนัก

          ที่ผ่านมานอกจากเหล่าศิษย์พี่แล้วหลานลู่ก็ได้เรียนรู้วิชากระบี่มาจากทั้ง จินหลิง หลานวั่งจี อีกด้วยนั้นทำให้เขาสามารถใช้วิชากระบี่ของสองตระกูลนี้ได้อย่างดีเยี่ยม 

    แต่ทั้งที่ หน้าที่ควรสั่งสอนวิชาควรจะเป็นของบิดา แต่กลับให้ผู้อื่นมาสั่งสอนให้เสียแทน หลานลู่เองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่ท่านพ่อก็มีกระบี่คู่กาย แต่กลับไม่คิดจะแตะต้องแล้วมันก็ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่เรือนเหมันต์เลื่อยมาตั้งแต่จำความได้

    เขาไม่เคยเห็นบิดาใช้กระบี่เล่มนั้นเลย



    ท่านปู่ทวดหลานฉี่เหรินเล่าว่าท่านพ่อไม่ได้เป็นแบบนั้นตั้งแต่แรก แต่เพราะมีเหตุผลบางอย่างจึงไม่สามารถสั่งสอนวิชากระบี่ให้ได้





    "จะว่าไปอาลู่ บทเพลงเมื่อสักครู่ เจ้าไปร่ำเรียนมาจากไหนกัน?"

         ในระหว่างที่กำลังเดินทางไปหาที่พักโรงเตี๊ยมในเมืองเว่ยอิงก็เอ่ยถามถึงสิ่งที่ตนนั้นสงสัยส่วนผู้ที่ถูกถาม หลานลู่เงียบไปครู่นึงเหมือนใช้ความคิดก่อนที่จะตอบ


    "ท่านประมุขสอนข้าขอรับ"




         แต่ถึงจะไม่ได้สอนวิชากระบี่ให้ หรือสอนพวกเรื่องพื้นฐานต่างๆนาๆให้ก็ตาม แต่มันก็มีอยู่สิ่งนึง ที่หลานซีเฉินได้ถ่ายทอดสอนสั่งมันให้แก่บุตรชาย.....











    อีกด้านนึง







    "พี่ใหญ่ท่านเห็นอาเมิ่งบ้างหรือไม่?"



         เมิ่งเหยาเอ่ยถามกับพี่ชายร่วมสาบานของนางที่กำลังนั่งเตรียมขัดเช็ดดาบป้าเซี่ยเตรียมความพร้อมสำหรับการออกล่าในวันนี้ แต่วันนี้กลับต่างออกไปเล็กน้อย 


         ที่นั่งข้างๆพี่ใหญ่ที่ควรจะมีลูกสาวคนเก่งของนาง นั่งเตรียมความพร้อมอยู่ด้วยข้างๆกับว่างเปล่า....


         เนี่ยหมิงเจวี๋ยละความสนใจจากดาบคู่กายก่อนที่จะหันกลับมาตอบน้องร่วมสาบาน


    "อาเมิ่งออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว ไปพร้อมกับเจ้าหมานั่น มะรืนคงจะกลับ"
    "ไปแล้ว?....ทำไมถึงได้รีบร้อนเช่นนั้น"
    "นางบอกว่าอยากจะรีบหาแหล่งที่อยู่ของพวกฉงฉีที่หนีไปให้เร็วที่สุด หาเจอเร็ว เราก็อาจจะไม่ต้องย้ายไปที่อื่น แล้วจะได้มียามารักษาโรคร้ายของเจ้าด้วย"


    เมิ่งเหยาเงียบ และตั้งใจฟังสิ่งที่พี่ใหญ่ของนางบอก คนๆนี้ดูเปลี่ยนไปมากดูมีเหตุมีผล ดูใจเย็นขึ้นเยอะ ซึ่งช่างแตกต่างกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ยิ่งนัก


         เมิ่งเหยาหันกลับไปมองที่นอกหน้าต่าง ในใจนั้นก็เป็นห่วงลูกสาวตัวดีของนางเหลือเกิน แต่มิได้เป็นห่วงว่านางจะบาดเจ็บกลับมา เพราะถึงยังไงนางก็มีฝีมือเพราะได้คนอย่างเนี่ยหมิงเจวี๋ยเป็นคนสอนสั่ง ฝึกวิชาเองกับมือตั้งแต่เล็กๆแล้ว 


    เผลอๆหลานเมิ่งอาจจะเเข็งแกร่งกว่านางสมัยก่อนเสียอีกด้วยซ้ำ....


    "อาเมิ่งโตขึ้นเยอะแล้วนะ"


    เมิ่งเหยาหันหน้ากลับไปหาพี่ใหญ่ที่จู่ๆก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เนี่ยหมิงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมาสบตากับน้องสาวร่วมสาบานด้วยใบหน้าที่ดูจริงจังมากขึ้น


    "เมื่อไรเจ้าจะบอกนาง เรื่องพ่อ และพี่ชายของนางกัน?"


    เมิ่งเหยาเมินปากแน่นเมื่อได้ยินประโยคคำถาม ถึงนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ใหญ่ของนางตั้งคำถามเช่นนี้ขึ้น แต่ทุกครั้งที่จะต้องตอบ ในใจของเมิ่งเหยาก็รู้สึกเจ็บปวดที่จะพูดมันออกมาทุกครั้ง


    "ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธน้องรอง เรื่องที่เขาทำกับเจ้าจน.....เอ่อ.."


     เนี่ยหมิงเจวี๋ยดูลำบากใจที่จะพูดคำต่อไปออกมา แต่น้องสาวร่วมสาบานของเขากลับสายหน้าช้าๆว่าไม่เป็นไรก่อนที่นางจะพูดต่อ


    "แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคงโกรธเขาเรื่องนั้นอยู่ แต่ ข้าก็รู้สึกขอบคุณเช่นกัน เพราะว่าเขาได้มอบสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตให้กับข้า อีกครั้ง.....ทั้งที่คนอย่างข้า ไม่ควรได้รับมันเลยจริงๆ"


    "ใช่ คนอย่างเจ้าไม่ควรได้รับมันอีก"


     เนี่ยหมิงเจวี๋ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แวบนึงในแววตาของเขามันปรากฎความรู้สึกที่ผิดหวังขึ้นมา แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่มันจะกลับไปเป็นปกติ เมิ่งเหยาที่ได้ยินแบบนั้นก็ยกยิ้มสมเพชตัวเองว่ามันก็จริงนั่นละ

    "ถ้าเป็นจินกวงเหยาคนนั้นข้าคงพูดเช่นนั้น แต่เจ้าในตอนนี้ ข้ากลับมองว่าเจ้าควรได้รับมัน เพื่อแก้ไขสิ่งที่ตัวเจ้าได้ทำพลาดไป"


         มือใหญ่ที่ทั้งแข็งกระด้าน และเย็นเฉียบที่ไร้ชีวิตนั้นยื่นมากอดกุมมือเรียวบางที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวเอาไว้อย่างทะนุถนอม เมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมามองพี่ใหญ่ที่ย่อตัวมานั่งให้อยู่ระดับเดียวกับนาง


    "และจากที่ข้าเห็นมาจนถึงตอนนี้ ข้าว่าข้าคิดไม่ผิด"


    ใบหน้างามของเมิ่งเหยาจากตอนแรกที่ยกยิ้มสมเพชตนเองนั้นก็ดูตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่พี่ชายร่วมสาบานของนางพึ่งพูดออกมา ดวงตาใสแอบมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่เล็กน้อย ก่อนที่เพียงกระพริบตา น้ำตาใสนั้นก็หายไปเหลือไว้เพียงขอบตาที่แดงขึ้นมาเล็กน้อย



    รอยยิ้มที่เนี่ยหมิงเจวี๋ยนั้นคิดถึงมาโดยตลอด รอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มจอมปลอม หรือรอยยิ้มอาบยาพิษของ 'จินกวงเหยา' แต่เป็นแค่รอยยิ้มที่แสนจะธรรมดา ของเด็กสาวธรรมดาๆคนนึงที่ชื่อว่า 'เมิ่งเหยา' ครั้งในอดีตกลับมาปรากฎตรงหน้าเขาอีกครั้งนึงแล้ว


    "ขอบคุณพี่ใหญ่ และก็ขอโทษท่านด้วย สำหรับทุกสิ่ง"


    มือบอกบางที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวนั้นกอดกุมมือใหญ่ที่ไร้ชีวิตนั้นตอบ ตั้งแต่ที่ได้รับโอกาศในการใช้ชีวิตต่อ เมิ่งเหยาก็คิดมาโดยตลอดว่า ถ้าตอนนั้นนางไม่เลือกเคียดแค้นคนๆนี้ ตอนนี้มือคู่นี้ มันจะยังอบอุ่นเหมือนครั้งในอดีตอยู่หรือไม่


    มือใหญ่ที่ทั้งขาวซีด และปรากฎลวดลายสีดำขึ้นมาตามมือ และเมิ่งเหยารู้ดีว่าตามแขน คอ ลำตัว ของคนตรงหน้าที่มีผ้าพันแผลพันปิดเอาไว้นั้น ก็มีลวดลายสีดำนี้ขึ้นมาปรากฎอยู่เช่นกัน


         เพียงแค่มองในใจของเมิ่งเหยาก็รู้สึกผิดบาปกับคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก



    "พี่ใหญ่ เรื่องที่ท่านถามข้าก่อนหน้านี้ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกอาเมิ่งเอง"
    ".....เจ้าแน่ใจแล้วงั้นหรือ? ที่ข้าถามเพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าพร้อมแล้วหรือยัง ถ้าเจ้ายังไม่พร้อม จะรออีกหน่อยก็....."

    "จะช้าหรือเร็ว อาเมิ่งก็ต้องรู้เข้าสักวันอยู่ดี"


    เนี่ยหมิงเจวี๋ยมองใบหน้าที่อยู่ๆก็ยิ้มเศร้าๆขึ้นมา จนเขาแอบโทษตนเองในใจที่ไปเร่งรัดน้องหญิงสามคนนี้ นางอาจจะยังไม่พร้อมก็ได้  แต่เมิ่งเหยาก็ส่ายหน้าแล้วก็พูดตอบเขา


    "เรื่องนี้อาเมิ่งควรได้ยินจากปากข้าเอง และข้าก็อยากจะบอกตอนที่ข้ายังสามารถพูดได้ ในใจข้าก็แอบกลัวเช่นกัน ถึงข้าจะรู้ว่าเขาคนนั้นไม่มีทางเหมือนกับจินกวงซ่าน ที่ทำกับลูกตนเองเหมือนที่เขาทำกับข้า แต่ถ้าเลือกได้ ให้ไม่รู้เลยยังจะดีเสียกว่า......"



    ใบหน้างามของเมิ่งเหยาก้มลงต่ำลง ภาพเหตุการ์ตลอด3ปีหลังจากเหตุการณ์ที่วัดกวนอินวลกลับมาในหัวของนางอีกครั้ง 


    "ว่านางกับพี่ชายฝาแฝดของนาง เกิดมาได้อย่างไร"












    อีกด้านนึง





    ตึง!



    "หมายความว่าไงกันเฒ่าแก่หลิน!ที่ว่าทุกห้องในโรงเตี๊ยมเต็มน่ะ!"


         น้ำเสียงหวานใสแต่ติดห้าวของสตรีวัยแรกรุ่นในอาภรณ์สีดำ ที่หลังมีอาวุธธนูสีแดงเลือดคู่กายคาดอยู่ ถ้ามิเห็นใบหน้าที่งดงามดูจิ้นลิ้นกับน้ำเสียงใส ใครหลายคนคงคิดว่านางเป็นเด็กหนุ่มหน้าหวานก็เป็นได้ ถ้ามองจากการแต่งกายเพียงอย่างเดียว

     มือบางตบลงบนโต๊ะของเฒ่าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมหรือที่ใครๆก็ต่างเรียกเขาว่า 'เฒ่าแก่หลิน' ที่เป็นชายชราอาวุโสคนนึง จนเขาสะดุ้งตกใจมิได้


    "ไอ้หยา! ใจเย็นๆก่อนสิอาฟาง!ก็อย่างที่ข้าบอกไปนั้นล่ะ ตอนนี้ห้องเต็มหมดแล้ว เพราะมีเหล่าเซียนจากตระกูลใหญ่มาเช่าห้องที่นี่จนเต็มหมดแล้วตั้งแต่เมื่อเย็นวาน และก็คิดว่าพวกเขาน่าจะอยู่กันอีกสักวันสองวันด้วย"


    เฒ่าแก่หลินที่เป็นคนรู้จักกับเมิ่งเหยา เพราะว่าสมัยก่อนเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยนางเอาไว้ ให้ที่อยู่ที่กินช่วยเหลือราวกับลูกคนนึง และเขาก็เอ็นดูหลานเมิ่งเหมือนหลานสาวคนนึงเช่นเดียวกัน จนสองแม่ลูกนั้นก็แยกตัวออกไปใช้ชีวิตด้วยตนเอง แต่ก็ยังมีแวะเวียนมาเยี่ยมเฒ่าแก่คนนี้กันบ้าง

    บางทีหลานเมิ่งกับเนี่ยหมิงเจวี๋ยก็แวะมาพักที่โรงเตี๊ยมนี้กันบ้าง เวลาที่ต้องเดินทางออกไปล่าไกลๆ แล้วไม่อยากจะนอนพักกลางป่า 


    "แบบนี้ก็แย่สิตั้งแต่เดินทางมาข้ายังหาห้องเช่าไม่ได้เลย...กระว่าจะมาขอนอนโดยไม่เสียเงินที่นี่เสียหน่อย..."
    "เดียวเถอะ! ข้าได้ยินนะ ที่ข้าไม่เคยเก็บเงินเจ้าตอนที่มานอนที่นี่เพราะเห็นแก่แม่เจ้าหลอก!"
    "แหม! หูดีจริงๆเลยนะเฒ่าแก่ ฮ่า ฮ่าๆ!"


    ถึงประโยคหลังๆหลานเมิ่งจะแอบพูดเบาๆแต่เฒ่าแก่หลินคนนี้ก็หูดีเสียเหลือเกิน หูดีกว่าคนแก่ทั่วไปที่อายุขนาดนี้แล้วก็ต่างหูตึงกันไปหมด แต่กับเฒ่าแก่หลินคนนี้กลับหูดีกว่าใครเลยเสียนี่


    "จะว่าไปพูดถึงแม่เจ้าแล้ว เป็นอย่างไรบ้างละอาการดีขึ้นบ้างรึยัง?"


         เมื่อพูดถึงท่านแม่หลานเมิ่งก็หุบยิ้มลงแล้วแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาแทน


    "ก็ดีๆหายๆ ไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงไปกว่านี้"

    "งั้นหรือ ช่างน่าสงสารแม่เจ้าเสียจริง ทั้งที่อายุยังไม่ถึงครึ่งชีวิตก็มาล้มป่วยลงเช่นนี้ ชะตาของแต่ละคนนี้ยากจะหยั่งรู้เสียจริง บางคนยังหนุ่มยังสาวอยู่เลยก็มาล้มหายตายจากไปเร็วกว่าบางคนที่อยู่มาจนเส้นผมขาวโผลนเช่นข้า กลับยังคงต้องดิ้นลนมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่รู้ด้วยว่าจะตายเมื่อไร"

    "เฒ่าแก่หลินอย่างพูดเช่นนั้นสิ ท่านน่ะยังแข็งแรงดีจะตาย ข้ายังจำตอนที่ท่านให้ข้าขี้หลังท่านแล้ววิ่งไปทั่วโรงเตี๊ยมนี้ได้อยู่เลยนะ ถึงตอนนี้ท่านจะให้ข้าขี่หลังไม่ได้แล้ว แต่ท่านยังมีแรงมาเถียงกับข้าได้ขนาดนี้ คงอยู่ไปได้อีกสักร้อยปีเลย"

    "ฮ่าๆ เจ้าก็พูดไปอาฟาง ร้อยปีงั้นรึ พอแล้วละ ข้าอยู่มาจนจะครบร้อยปีอยู่แล้วจะให้อยู่ไปอีกร้อยปีคงจะไม่ไหว อีกอย่างถ้าข้าอยู่นานขนาดนั้น เดียวคนที่รอข้าอยู่ก็งอนจนหนีไปเกิดใหม่โดยไม่รอข้ากันพอดีสิ"


         ใบหน้าของเฒ่าแก่หลินหันกลับไปมองรูปที่แขวนเอาไว้พบพนัง มันเป็นรูปวาดของสตรีวัยชราคนนึงที่มีใบหน้ายิ้มอันแสนอ่อนโยน และที่ข้างใต้รูปก็มีกระฐางธูบปักเอาไว้อยู่กับพวกของเส้นไหว้เล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นการเคารพแด่ดวงวิญญาณของคนในรูปวาดนั้น


    หลานเมิ่งมองท่าทางแบบนั้นของเฒ่าแก่หลินที่ช่วยเลี้ยงดูนางมาก็อดยิ้มอย่างเป็นสุขกับเห็นใจมิได้ ภรรยาของเฒ่าแก่หลินนั้นจากไปนานแล้ว แล้วพวกเขาก็ไม่มีลูกมีหลานให้เลี้ยงดูหรือจะมาสืบทอดกิจการโรงเตี๊ยมนี้ต่อเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฒ่าแก่หลินนั้นคงจะเหงามากเป็นแน่




    "จะว่าไปเฒ่าแกหลินที่บอกว่ามีตระกูลเซียนใหญ่มาพักที่นี่จนห้องเต็มเนี่ย ตระกูลไหนหรือเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ?"

    "อ่อ เรื่องนั้นน่ะ-"






    "อ๊ากกกกกกกกกกก!!ไม่นะ!ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย!!"






         ยังไม่ทันที่เฒ่าแก่หลินจะได้ตอบคำถามก็มีเสียงร้องที่ดังสนั่นของใครบางคนดังขึ้นมาจากข้างนอกโรงเตี๊ยม จนทำให้หลานเมิ่งกับเฒ่าแกหลินหันกลับไปมองเช่นเดียวกับผู้คนที่อยู่ข้างนอก และในโรงเตี๊ยมด้วย 

    ก่อนที่จะเห็นแวบๆว่าเป็นเสียงของชายหนุ่มคนนึงที่ใส่อาภรณ์สีดำทั้งตัวปนสีแดงด้วยบางส่วน เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างอยู่


    "นั่นเสียงผู้อาวุโส่เว่ยมิใช่หรือ?"


    หลานเมิ่งหันกลับไปมองเหล่าผู้คนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาวลายเมฆากับมีผ้าคาดอยู่ที่หัว ที่รีบลงมาจากชั้นสองของโรงเตี๊ยมหลังจากที่ได้ยินเสียงร้องที่ดังสนั่นของชายคนนั้น

    ชายหนุ่มคนนึงที่อายุมากกว่านาง เขาดูเป็นคนเรียบร้อยหน้าตาดีติดหวานนิดๆเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ชายอีกคนที่ถือได้ว่าหน้าตาก็ดีพอใช้ได้ แต่ดูจะเป็นคนซนๆหน่อยกับดูจะขี้โวยวายด้วยจะเอ่ยต่อ

    "ให้ตายสิ!ไหนว่าจะไปหาสุราดื่มเฉยๆไง แล้วไหงถึงไปแหกปากโวยวายแบบนั้นล่ะ?!"
    "ไปดูกันเถอะ ผู้อาวุโสเว่ยอาจจะเกิดปัญหาก็ได้"
    "เชื่อเขาเลย พอไม่มีหานกวนจวินคอยคุมก็ก่อเรื่องซะแล้ว"
    "ไปเถอะ"


    แล้วสองคนนั้นก็เดินผ่านหลานเมิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก นางได้แต่มองตามพวกเขาออกไปก่อนที่จะหันกลับมาหาเฒ่าแก่หลินว่านั่นน่ะหรือ เหล่าเซียนตระกูลใหญ่ที่พูดถึงน่ะ?


    "คนพวกนั้น...."

    "นั้นล่ะเหล่าเซียนตระกูลใหญ่ที่ข้าพูดถึง พวกเขามาจากทางเหนือของหมู่บ้านเราน่ะ รู้สึกว่าจะชื่อ ตระกูลหลาน แห่งกูซูนะ"

    "ตระกูลหลาน...ทางเหนือ...แล้วพวกเขามาทำอะไรที่หมู่บ้านนี้ละท่านรู้ไหม?"
    "อืม...ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันน่ะว่ามาล่าสัตว์อสูร"
    "ล่างั้นหรือ ที่นี้ถ้าพูดถึงสัตว์อสูรก็มีแต่....!?...ฉงฉี!"


    หลานเมิ่งเผลอแสดงสีหน้าตกใจออกมาเมื่อนึกขึ้นมาได้ละแวกนี้ สัตว์อสูรที่มีมันก็มีแต่ฉงฉีที่เป็นตัวยาชั้นดีที่จะเอาเลือดของพวกมันมาทำเป็นยารักษาให้กับท่านแม่ของนางได้ แล้วถ้าพวกตระกูลหลานอะไรนั่นมาล่ามันไปแล้วนางจะเอาเลือดที่ไหนมารักษาท่านแม่ของนางกันล่ะ


    ตึง!


    "ทำไมต้องมาล่าด้วย! แล้วล่าไปทำไมกัน ตอนนี้พวกมันยิ่งมีน้อยๆอยู่ถ้ามาล่าพวกมันไปข้าก็แย่สิ!"

    เป็นอีกครั้งที่มือบางตบลงบนโต๊ะของเฒ่าแก่หลินอย่างร้อนรนเสียยิ่งกว่าตอนที่นางรู้ว่าห้องพักเต็มเสียอีก

    "ไอ้หยา! ข้อมูลที่ลึกมากกว่านี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ก็ได้ยินเขาพูดๆมากันแบบนั้นน่ะสิ"
    "แบบนี้แย่แน่ๆ แล้วแบบนี้พวกที่อยู่แถวน้ำตกจะรอดไหมนะ"

    หลานเมิ่งเริ่มที่จะคิดมาก เพราะว่าถ้าพวกตระกูลหลานมาจับพวกฉงฉีไปหมดนางก็จะไม่มียาไปรักษาท่านแม่ของนาง จนนางคิดขึ้นมาได้ว่าระแวกนี้มันมีน้ำตกอยู่ไกล้ๆแล้วช่วงกลางคืนพวกฉงฉีมันจะออกมาอยู่แถวๆนั้น และไม่แน่ว่า นั้นอาจจะเป็นกลุ่มสุดท้ายในระแวกนี้แล้วด้วย

    "อะ อาฟางนั้นเจ้าจะไปไหนน่ะ!?"
    "ข้าต้องไปแล้ว ไม่งั้นข้าจะไม่มียามารักษาแม่ข้- อ่ะ!"


    ตึก!


    หมับ!


    ร่างของหลานเมิ่งนั้นชนเข้ากับใครบางคนเข้าพอดี และเพราะด้วยตัวนางเองที่รีบร้อนจนไม่ทันระวัง ร่างของนางเกือบจะหงายหลังล้มลงไป แต่ก็มีมือคู่นึงมาจับเข้าที่แขนของนางเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่จะช่วยดึงให้นางกลับมายืนตัวตรง

    "อาฟาง! เจ้าเป็นยังไงบ้าง? "

    เสียงของเฒ่าแก่หลินดังขึ้นพร้อมกับเดินออกมาจากหลังโต๊ะแล้วเข้ามาดูอาการของคนที่เป็นเหมือนกับหลานสาวของตน หลานเมิ่งหลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือก็กลับมายืนตัวตรงแล้วสายหน้าตอบเฒ่าแก่หลินไปว่านางมิเป็นอะไร


    "อ่า! ขอบคุณคุณชายมากขอรับ อาฟางขอบคุณคุณชายเขาซะสิ"


    หลานเมิ่งหันกลับไปมองหน้าคนที่ตนเองทั้งพึ่งชนแล้วได้รับการช่วยเหลือพร้อมๆกัน นางก็พบว่าคนที่นางชนนั้น เป็นชายหนุ่มดูอายุไกล้เคียงกับนาง แต่ความรู้สึกมันบอกนางว่าเขาน่าจะแก่กว่านาง 


    แล้วก็เขาสูงกว่านางไม่มาก ใบหน้านั้นที่ยังอ่อนเยาว์อยู่แต่ก็แอบมีความคมเข้ม คิ้วหนา ผมเงางาม แต่งกายอาภาพรสีฟ้าขาวดูสง่างามมาก จนแม้แต่นางเองยังแอบตกใจกับความงามของบุรุษตรงหน้ามิได้ 

    แต่ก็แค่ตกใจ ไม่ได้ลุ่มหลงในความงาม


    "ขอบคุณคุณชาย แล้วก็ขอโทษท่านด้วย ข้ากำลังรีบจนไม่ได้มองทางให้ดีจนชนท่าน"
    "ไม่เป็นไร"


         น้ำเสียงเข้มๆแต่กลับลื่นไหลน่าชวนฟังนั้นเอ่ยออกมาสั้นๆ ถ้าเป็นหญิงสาวคนอื่นๆมาได้ยินคงอยากให้เขาพูดอะไรให้มากกว่านี้ เพราะอยากจะฟังน้ำเสียงนั้น แล้วไหนจะท่าทางนิ่งๆดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยนั้นอีกล่ะ




         มันช่างหยิ่งยโสซะเหลือเกิน........




    หลานเมิ่งแอบหงุดหงิดกับท่าทางนิ่งๆนั้น แล้วไหนจะใบหน้าที่ไม่เออไม่อ่อ ไม่ยิ้มไม่อะไรเลยนั้นอีก ในสายตาของหลานเมิ่งถ้าเมื่อกี้เขาไม่พูดอะไรออกมานางคงคิดว่าเขาเป็นใบ้ ไม่ก็เป็นหุ่นกระปอกเดินได้แล้ว



         'ไอ้หน้าตานิ่งๆดูหยิ่งๆแบบนั้น ถ้าเด็กมาเห็นเข้าคงได้ร้องไห้กันแน่ๆ'



         แล้วไหนจะ แววตานั้นอีกล่ะ แววตาที่หลานเมิ่งแอบคิดว่ามันคล้ายกับนางไม่ก็ท่านแม่ของนางเสียเหลือเกิน เมื่อคิดแบบนั้นนางก็รู้สึกแอบหงุดหงิดมิได้ ที่เผลอคิดว่า ไอ้คนหยิ่งๆนี้แอบคล้ายตนกับมารดา



    "ข้าขอตัวก่อนข้ากำลังรีบ แล้วคราวหลังข้าจะมาใหม่นะเฒ่าแก่หลิน คราวหน้าเหลือห้องเอาไว้ให้ข้าด้วยล่ะ"


    หลานเมิ่งรีบตัดจบแล้วหันไปพูดกับเฒ่าแก่หลิน ก่อนที่จะเดินผ่านคุณชายคนนั้นไป และนางก็หวังอย่างยิ่งว่าจะไม่ต้องเจอกับเจ้าคนหน้าหยิ่งนี้อีก


    "เดียวก่อน เจ้าน่ะ"


         แต่เหมือนว่าสิ่งที่นางหวังมันจะไม่ยอมเป็นจริงง่ายๆแฮะ


    "อะไรรึคุณชาย? หรือว่าท่านพึ่งนึกขึ้นได้ว่าจะเรียกค่าเสียหายที่ข้าชนท่านรึไง หรือว่า...คิดจะเกี้ยวข้าโดยการถ่ายโทษ ถ้าเรื่องนั้นไม่จำเป็น ข้าไม่เป็นไร และไม่ต้องการ"



         หลานเมิ่งถามออกไปอย่างเหมือนคนรู้ทัน เพราะพวกลูกคุณชายคุณหนูส่วนใหญ่มันมักทำแบบนี้กับพวกคนที่จนกว่าตน แค่เผลอทำอะไรขัดตาก็มักจะมาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้ และยากไร้ไม่มีเงิน ไม่มีจะกินแบบพวกนางอยู่แล้ว หรือไม่ก็พวกคุณชายที่เจอสาวงามที่ถูกใจก็จะหวังหาวิธีมาเกี้ยวพวกนางต่างๆนาๆ กับคุณชายคนนี้คงจะไม่ต่างกันหลอก 



    หลานเมิ่งไม่ได้หลงตัวเองหลอกนะว่านางก็เป็นสาวงามจนถูกหนุ่มมาเกี้ยว แต่นางก็เป็นสาวงามจริงๆนิน่า ก็ท่านแม่ชมนางออกจะบ่อย





    "เจ้ารู้แหล่งที่อยู่ของพวกฉงฉีสินะ"


    คุณชายคนนั้นไม่สนใจสิ่งที่หลานเมิ่งกล่าวหาตนแต่กลับเอ่ยถึงสิ่งที่ตนนั้นได้ยิน และคำถามนั้นเองมันก็ทำให้หลานเมิ่งแปลกใจมาก แต่พอนางลองมองดูกับคิดดูดีๆแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้านั้น แต่งกายเหมือนกับพวกเซียนจากตระกูลหลานสองคนก่อนหน้านี้เลย


         'ผ้าคาดหัว......แต่งกายสีฟ้าขาว.....หรือว่าคนๆนี้'


    "อ่อ นี่ท่านก็คงเป็นเซียนจากตระกูหลานอะไรนั่นสินะ แล้วไง ถ้าข้ารู้แล้วท่านจะทำไม"
    "ข้าบังเอิญได้ยินที่เจ้าพูด เรื่องน้ำตก"
    "นี่แอบฟังกันงั้นเหรอ"


         ไม่บ่อยนักที่คุณชายหลานจะขมัดคิ้วอย่างหงุดหงิดเช่นนี้ ปกติไม่เคยมีใครมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาเช่นนี้อย่างที่เด็กสาวทำมาก่อน แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนที่ใบหน้าจะกลับมานิ่งอีกครั้ง


    "ข้าขอถามเจ้าข้อนึง"
    "อะไรอีกล่ะ"


         หลานเมิ่งถามกลับอย่างหัวเสีย ทั้งที่นางกำลังรีบแต่ก็ถูกคุณชายคนนี้รั้งตัวเอาไว้อยู่ได้


    "อะไรที่เจ้าว่า 'แย่' "
    " 'แย่'? "

    "ถ้าพวกข้าล่าพวกฉงฉีไปจนหมดอะไรที่เจ้าว่าตัวเองจะแย่กัน?"




         ตึง!


         'ทำไมต้องมาล่าด้วย! แล้วล่าไปทำไมกัน ตอนนี้พวกมันยิ่งมีน้อยๆอยู่ถ้ามาล่าพวกมันไปข้าก็แย่สิ!'



         หลานเมิ่งนึกถึงสิ่งที่ตนเองพึ่งพูดออกไปเมื่อรู้ว่าพวกตระกูลหลานนั้นมาทำอะไรที่หมู่บ้านนี้กัน เพราะถ้าพวกเขาล่าฉงฉีไปหมด นางก็จะแย่จริงๆน่ะสิเพราะว่านางจะไม่มียามารักษาแม่ของนาง เลือดของพวกฉงฉีเป็นส่วนประกอบสำคัญเสียด้วย ไม่เช่นนั้นนาง และท่านแม่ของนางรวมถึงท่านลุงอาจจะต้องย้ายไปที่อื่นที่มีพวกมันอยู่ และการเดินทางมันก็จะลำบากเอามากๆ นางกลัวว่าร่างกายของท่านแม่จะรับไม่ไหวเสียก่อน


    "ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านเสียหน่อยจะอยากรู้ไปทำไมกัน!"


    คุณชายหลานมองท่าทางที่ดูจะอารมณ์เสีย และพร้อมจะเอาเรื่องเขาได้ทุกเมื่อ มองหญิงสาวตรงหน้า มันทำให้เขาคิดว่าทั้งสาเหตุที่พวกฉงฉีมันหนีไปทางเหนือ และร่องรอยแปลกๆตามที่ผู้อาวถโสเว่ยกล่าวมา เขาน่าจะได้คำตอบจากเด็กสาวคนนี้เป็นแน่


    "เจ้าพูดถึงยารักษาด้วย หมายความว่าเจ้าเอาเลือดของพวกฉงฉีไปทำยาสินะ"


         ถึงขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์อสูรแต่เลือดของพวกมันนั้นก็เป็นยารักษาชั้นดีเช่นกัน แล้วร่องรอยที่เหลือทิ้งเอาไว้ตามตัวของพวกฉงฉีที่พวกเขาจับมาได้ มันมีทั้งรอยอาคมของเชือดมัดเซียน และแรงอาฆาตจากบาดแผลที่เหลือทิ้งเอาไว้อยู่


    ถึงร่องรอยของแผลจากแรงอาฆาตเขาจะยังไม่รู้ แต่ร่องรอยจากเชือกเซียน เขาว่าเขารู้แล้วว่ามันมาจากไหน ดวงตาคมจับมองไปที่อาวุธคู่กายของเด็กสาวที่เป็นธนูสีแดงเลือด ร่องรอยอาคมที่เหลือทิ้งเอาไว้ มันตรงกับอาวุธนี้ของเด็กสาว



    เมื่อเห็นสายตาที่มองมามันทำให้หลานเมิ่งรู้ตัวว่าคนตรงหน้านั้นไม่ใช่คนที่ตนจะหยอกเล่นด้วยได้ง่ายๆเสียแล้ว และก็อยากจะตบปากตัวเองเสียจริงที่พูดมากเกินไป


    "ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า"


    หลานเมิ่งกล่าวแบบตัดจบและเตรียมที่จะหันหลังเดินจากไป แต่ว่ากลับถูกมือของคุณชายคนนั้นพุ่งมาหมายที่จะจับที่ไหล่ให้หันกลับมาคุยกับตน


    พริก ผลึบ!


         แต่ข้อมือของคุณชายก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือของเด็กสาวที่รู้ตัวทัน หลานเมิ่งหันกลับมาหมายที่จะหันข้อมือแล้วกดให้คุณชายคนนั้นลงไปนั่ง แต่กลับผิดคาดที่คุณชายคนนั้นกลับพลิกฝ่ามือจนหลุดออกมาได้ จนหลานเมิ่งต้องให้มือซ้ายหวังที่จะชกไปที่หน้าของเขา แต่คุณชายก็ปัดได้ แถมยังจับมือขวาของนางเอาไว้ได้อีก

    แต่แขนข้างซ้ายที่ถูกปัดของหลานเมิ่งนั้นยังพอกลับมาเเก้สถานะการได้ทัน นางใช้แขนข้างซ้ายพุ่งไปที่คางของคุณชายแต่ก็กลับถูกหยุดเอาไว้ได้ ตอนนี้ร่างของทั้งคู่ยืนชิดกัน ทั้งคู่ออกแรงกันอย่างมิมีใครยอมใคร

    เฒ่าแก่หลินที่เห็นเหตุการก็ไม่รู้ว่าจะเข้าไปห้ามยังไงดี ทำได้แค่หลบอยู่หลังโต๊ะแล้วโผล่หัวออกมานิดเดียว เพราะกลัวจะโดนลูกหลง



    "ฝีมือเจ้า ไม่เลว ทั้งที่เป็นสตรีบอบบางเช่นนี้"
    "หึ! ต่อให้เกิดเป็นหญิง ก็มิได้ด้อยไปกว่าบุรุษ แม่ข้าสอนว่าสตรีก็เก่งกาจกว่าบุรุษได้"
    "แม่เจ้า ป่วยอยู่สินะ"

         เมื่อได้ยินคำถามนั้นมันเหมือนกับไปกระตุ้นต่อมความโมโหของนางมากขึ้นไปอีก

    "เจ้าคนไร้มารายาท!"


         'กับเรื่องนั้นยังได้ยิน แบบนี้ไม่เรียกว่าบังเอิญได้ยินแล้ว แอบฟังเลยต่างหากล่ะ!'


    ขาข้างขวาของนางยกฝาดขึ้นมาเพื่อหมายที่อยากจะเตะเจ้าคุณชายนี้ให้กระเด็น แต่เขาก็รู้ตัวทัน จึงต้องปล่อยตัวนางแล้วกระโดดถอยออกไปตั้งหลัก



    ดิ้งๆ



    วัตถุบางอย่างตกลงมาที่พื้นแต่คนที่ทำมันตกนั้นไม่ทันรู้ตัวเพราะได้หันหลังวิ่งออกไปนอกโรงเตี๊ยมเสียแล้ว ร่างของหญิงสาวอาภรณ์สีดำมีธนูสีแดงคาดอยู่ที่หลัง วิ่งออกมาก่อนที่จะใช้นิ้วกดริมฝีปากแล้วเป่าลมออกมา


    ปี๊ด~!







    "โฮ่งๆ!"

    "ไม่น่าม่ายยยยย เอามันออกไปที ไม่เอาแล้วววว!!"

    "ให้ตายสิ! ทำไมไล่เท่าไรมันก็ไม่ไปสักทีน่าเจ้าหมานี่เนี่ย คนเขามองกันใหญ่แล้วนะ!"
    "ผู้อาวุโสเว่ยท่านไปทำอะไรมันรึเปล่าขอรับมันถึงกัดไม่ปล่อยเช่นนี้"


         อีกด้านนึงร่างของคนสามคนกับหนึ่งตัวกำลังเป็นที่จับตามองของผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นอย่างมาก ที่ร่างของคนอายุมากที่สุดในอาภรณ์สีดำกำลังหลบอยู่หลังของเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า เพื่อหลบหมาดำตัวนึง

    "ข้าจะไปทำอะไรมันละแค่ได้ยินเสียงข้าก็กลัวจะแย่แล้ว จะให้ข้าไปทำอะไรมัน อ้าก!! ไม่นะ! มันเข้ามาแล้ววววว!!"

    "โฮ่งๆ!"


    ปี๊ด~!


    เสียงผิวปากที่ดังมาแต่ไกลทำให้เจ้าหมาสีดำนั้นหยุดเห่า ก่อนที่มันจะวิ่งกลับไปอย่างง่ายดาย จนหลานซือจุยกับหลานจิ่งอี๋ยังอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่พวกตนนั้นต่างช่วยกันไล่มันไปแล้วแต่มันก็มิยอมไปเสียที จ้องแต่จะเข้าไปหาผู้อาวุโสของพวกตนอยู่ท่าเดียวเลย

    "พอจะไปก็ไปง่ายๆเลยแฮะเจ้าหมาดำนั้น"
    "เสียงผิวปาก...มันดังมาจากแถวๆโรงเตี๊ยมที่เราพักอยู่มิใช่หรือ มิแน่ว่าเจ้าของมันอาจจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั้นด้วยก็ได้นะ"
    "ห้ะ! ไม่เอาแล้วนะ! ถ้าข้าต้องเจอเจ้าหมานั้นอีกข้าขอไปนอนที่อื่นดีกว่า!!"

    หลานจิ่งอี๋มองผู้อาวุโสของตนเองด้วยความระอา หลานซือจุยนั้นก็ทำแค่ยิ้มแห้งๆกับนิสัยกลัวหมาจนขึ้นสมองของผู้อาวุโสเว่ยของเขา








         ร่างของเด็กสาวในอาภรณ์สีดำนั้นวิ่งหายลับตาไปจากหน้าโรงเตี๊ยมก่อนที่จะมีหมาสีดำตัวนึงวิ่งตามไปยังทิศทางที่นางวิ่งไปเช่นกัน

    คุณชายหลานลู่ไม่ได้มีความคิดที่จะตามไป ดวงตาคมก้มมองลงไปที่พื้นก่อนที่จะก้มตัวลงไปเก็บของบางสิ่งขึ้นมา 

    ตอนที่หลบลูกเตะของหญิงสาวคนนั้นมือของเขามันไปเกี่ยวผมของนางเข้าจนทำให้สิ่งที่มัดติดผมของนางนั้นหลุดตกลงมาด้วย


         เมื่อเก็บมันขึ้นมาดูหลานลู่ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเขาหยิบขลุ่ยเซียวของตนออกมาก่อนที่จะเอาพู่ที่ปลายขลุ่ยเอามาเทียบกับของที่ตนนั้นเก็บได้


    "เฒ่าแก่"


    เฒ่าแก่หลินที่แอบอยู่หลังโต๊ะนั้นแอบสะดุ้งเมื่อเขาถูกคุณชายหลานนั้นเรียกเอาไว้ ใบหน้าที่นิ่งสงบราวกับรูปปั้นนั้นหันกับมาหาเขา แต่แววตานั้นกลับดูจริงจังจนตัวเฒ่าแก่เองยังแอบเสียวสันหลัง


    "ช่วยเล่าเรื่อง ของแม่นางคนนั้นให้ข้าฟังที"


         มือหนาข้างที่ถือของที่เด็กสาวนั้นทำตกไว้นั้นกำแน่นขึ้นอย่างมิรู้ตัว หยกรูปดอกโบตั๋นในมือ และพู่หยกดอกโบตั๋นที่ปลายขลุ่นนั้นสะท้องแสงราวกับเชื่อถึงกันได้.......






    ___________________________________________________________________________


    (นี้ชุดออกล่าของน้องจะเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็นชุดปกติจะใส่สีขาวซีดๆเก่าๆหน่อย ที่ใส่สีดำเพราะเวลาเปื่อนเลือดมันจะมองไม่เห็นหรือมองยาก และพรางตัวตอนกลางคืนง่ายขึ้นด้วย)




    (นี้เป็นรูปจูจ้านจิ่นกับหลิวไห่ควานรวมกัน ว่าถ้าได้ลูกสาวจะเป็นยังไง/และไรท์ก็ตัดต่อเอาหน้าไปใส่ชุดสีดำกับถือธนู ตามภาพเลย)


    พี่น้องเจอกันแล้วเย้!

    พี่ซี่กับอาเหยา พ่อง้อ?แม่งอนชัดๆ....

    ส่วนอาลู่ เนี่ยเพราะอยู่กับหลานจ้านมากไปไง อิอิ^^
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×