ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พยานรักแฝดหยกโบตั๋น [(ซีเหยา) อาเหยาเป็นผู้หญิง มีลูกแฝดกับพี่ซี]

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 2 มิ.ย. 65


     




    ______________________________________________________________________________

     

    ‘พี่รอง…ท่านตายด้วยกัน กับข้าเถอะ…’

     

    จินกวงเหยาเอ่ยพูดประโยคนั้นออกไปในที่สุด คำๆนี้นางนั้นก็เจ็บปวดมิใช่น้อย ที่จะเอ่ยมันออกมา เพียงแค่คิดว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ ที่นางจะได้เอ่ยกับคนตรงหน้าเพื่อลองใจ บุรุษที่เปลี่ยมดังแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ในชีวิต นางมิอาจได้รับมันจากผู้ใดได้อีกแล้วนอกจากมารดาของนางเอง

     

    มือข้างขวาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว กำกระบี่ซัวเย่ว์ของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนสายโลหิตไหลออกมาราวกับสายธารจากมือที่แสนบอบบาง ในขณะที่ถูกคมกระบี่แทงทะลุที่กลางอกไปจนถึงหลัง แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้นั้น มิอาจทำให้จินกวงเหยารู้สึกเจ็บปวดจนอยากจบชีวิตตนเองลงได้เลย ถ้ามิใช่เพราะว่า….

     

    มือของหลานซีเฉินข้างที่ยกขึ้นตั้งใจที่จะผลักหญิงตรงหน้านั้นให้ออกไป กลับลดมือลง  และได้กระทำสิ่งที่จินกวงเหยาต้องเบิกตากว้าง..

     

    มือของหลานซีเฉินเคลื่อนลงมากุมมือของนางเอาไว้ก่อนที่จะค่อยๆเคลื่อนกายเข้ามาโอบกอดร่างของนางเอาไว้ โดยระวังมิให้คมกระบี่นั้นแทงลึกเข้าร่างของนางไปมากกว่านี้

     

    หลานซีเฉินตั้งใจที่จะตายไปพร้อมกับนาง…

     

    เมื่อรู้แบบนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาอาบพวงแก้มงาม หลานซีเฉิน นะ หลานซีเฉิน จนวาระสุดท้ายท่านก็ยังคงเชื่อใจหญิงชั่วผู้นี้อยู่อีกงั้นหรือ จินกวงเหยาผู้นี้นั้นฆ่าผู้คนมามากมาย โกหกมานับครั้งไม่ถ้วน โกหกและหลอกใช้ท่าน ครั้งนี้ก็เช่นกัน….

     

     

     

     

    ท่านมิอาจตายพร้อมข้าได้หลอก หลานซีเฉิน…

     

     

     

     

    ‘ขอบคุณ หลานซีเฉิน….ข้า----…….’

     

     

     

     

    ผลัก!!

     

     

     

     

         รวบรวมพลังปราณที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้ไปรวมอยู่ฝ่ามือก่อนที่จะสะบัดมือของหลานซีเฉินออก แล้วผลักร่างของเขาออกไป หลานซีเฉินนั้นยังตกใจกับประโยชน์ของนางไม่ทันไร ร่างของเขาก็ถูกผลักออกมาเสียแล้ว แต่ในวินาทีที่ถูกผลักออกมามือของหลานซีเฉินยังคงยื่นออกไปหานาง เช่นเดียวกับจินกวงเหยาถึงแม้นางจะเป็นคนผลักเขาออกไปเอง แต่มือนั้นยังคงยกค้างเอาไว้เหมือนกับ เพื่อที่จะจับมือของหลานซีเฉินเอาไว้ มิใช่ผลักใสออกไปเสียเลย 

    มือนั้นสั่นสะท้านก่อนที่จะต้องจำใจลดมือลงเมื่อเห็นว่าหลานซีเฉินนั้นถูกน้องชายอย่างหลานวั่งจีช่วยพาออกไปแล้ว เหลือแต่เว่ยอู๋เซี่ยนที่หันมามองนาง ต่อให้นางนั้นจะทำเรื่องชั่วร้ายมากแค่ไหนหรือต่อให้โกหกมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แตสิ่งเดียวที่นางทำอย่างที่พูดไว้ก็คือ มิเคยคิดทำร้ายหลานซีเฉินเลย…

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนรีบหนีออกไปจากวัดกวนอินเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะถล่มลงมาแล้ว เมื่อที่นี้ไร้ผู้คนแล้ว จินกวงเหยาก็เบาใจ นางมองไปที่ร่างของประมุขซู ซุ่เซ่อ ที่เขาต้องมามีจุดจบแบบนี้ก็เพราะนางเช่นกัน จินกวงเหยาเอ่ยขอโทษเขาในใจ และขอบคุณที่ยอมสละกระทั่งชีวิตเพื่อหญิงชั่วเช่นนาง ก่อนที่จะหันกลับไปเผชิญหน้ากับเงาดำที่ยืนรออยู่ข้างหลัง เงานั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตสมกับเป็นนักรบ พร้อมกับอาวุธดาบใหญ่คู่กายที่ราวกับมัจจุราชที่มารอรับวิญญาณของนางไป

     

    ‘เนี่ยหมิงเจวี๋ย….มาจบเรื่องของเรากันเถอะ….’

     

    พูดออกไปอย่างมิเกรงกลัว ก่อนที่ร่างของอดีตประมุขเนี่ยจะค่อยๆเดินเข้ามาไกล้ จินกวงเหยาร่างกายลงไปนั่งกับพื้น มิใช่เพราะหวาดกลัว แต่เพราะร่างกายนั้นเสียเลือดไปมากจนไม่มีแรงจะเหลืออยู่อีกแล้ว ดวงตาสวยปิดลงอย่างรอรับความตายที่จะเข้ามา มือบางยกขึ้นมาจับกระบี่ซัวเย่ว์เอาไว้ พร้อมๆกับที่มือของเนี่ยหมิงเจวี๋ยยื่นมาบีบเข้าที่คอของนางพอดี แต่ใบหน้างามนั้นมิได้มีความหวาดกลัวหรือเศ้ราเสียใจ หรือสำนึกผิดอยู่เลย มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมา กับรอยยิ้มสุดท้าย 

     

    ‘อย่างน้อย….ข้าก็ได้พูดบอกท่านไป หลานซีเฉิน…….’

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จินกวงเหยาเซียนตูหญิงคนแรก และจะเป็นคนสุดท้ายในประวัติศาสร์ของเหล่าเซียน  หญิงชั่วที่ได้กระทำสิ่งเลวร้ายเอาไว้มากมาย ได้จบชีวิตลงที่วัดกวนอิน ดวงวิญญาณของนางจะถูกผนึกไปพร้อมๆกับเนี่ยหมิงเจวี๋ย 

     

     

     

     

     

    นั่นคือสิ่งที่ผู้คนเอ่ยถึงนาง ผู้คนทั้งยุทธภพต่างเชื่อว่า จินกวงเหยานางจบชีวิตลงเช่นนั้น…

     

     

     

         แต่ว่า ในช่วงระหว่าง 3ปี ให้หลังจากเหตุการที่วัดกวนอิน ก็มีข่าวลือแปลกๆ ว่าวิญญาณของอดีตประมุขเนี่ย เนี่ยหมิงเจวี๋ย ออกอาละวาด เพื่อตามหาบางสิ่ง ซึ่งบางสิ่งที่ว่านั้น ผู้คนต่างคิดกันไปว่าอาจจะเป็น วิญญาณของจินกวงเหยา นางอาจจะหลุดออกมาจากการผนึกก็เป็นได้ ทำให้วิญญาณของอดีตประมุขเนี่ยออกอาละวาดเช่นนั้น

     

     

     แต่ข่าวลืนนั้นก็เงียบหายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยข่าวใหม่ที่น่าประหลาดใจที่สุด เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดในช่วงระยะ 3 ปีนั้นคือ ตระกูลหลาน มีคุณชายน้อย

     

    ประมุขหลานมีลูกหรือ แล้วใครคือแม่เด็ก นั้นคือสิ่งที่ผู้คนต่างอยากรู้กันมากที่สุดในช่วงนั้น แต่ว่า ก็มีคนบางกลุ่มที่บอกว่าคุณชายน้อยนั้นเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงก็เป็นได้ เพราะประมุขหลานนั้นมิมีสตรีนางไหนในดวงใจเลย แต่ก็มีอีกกลุ่มที่พูดกันว่า ประมุขหลาน หลานซีเฉิน นั้นสนิทสนมกับสตรีเพียงนางเดียว นั่นก็คือ อดีตประมุขจิน จินกวงเหยา อาจเป็นไปได้ว่าคุณชายน้อยนั้นอาจจะเป็นลูกลับๆของทั้งสองคนนั้นก็เป็นได้

     

    ซึ่งข้อมูลนี้ก็มิได้เป็นการเดามั่วซี้ซั้ว มันมีความเป็นไปได้สูงมาก และยังมีคนเห็นว่าหลังจากที่เปิดตัวคุณชายน้อยได้ไม่นาน ประมุขจินคนปัจจุบัน จินหรูหรัน ได้เดินทางมาหาคุณชายน้อย แล้วดูเหมือนว่าจะมีปากเสียงกับประมุขหลานเรื่องที่ทางตระกูลจินจะขอรับคุณชายน้อยไป

     

    นั่นยิ่งชัดเจนเข้าไปอีกว่าข่าวลืนนั้นคือความจริง จินหลิน นั้นรักท่านอาหญิงเล็กของเขามากๆ แล้วการที่เขาจะมาเอาตัวคุณชายน้อยที่มีสายเลือดของนาง และเขามีศักดิ์เป็นญาติทางฝั่งแม่ของคุณชายน้อยต้องการที่จะพากลับไปจินหลิงไถ นั้นยิ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าคุณชายน้อยนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจินเป็นแน่

     

    แต่จนแล้วจนเล่าประมุขหลานก็มิยอมมอบคุณชายน้อยให้ จนเกือบจะมีเรื่องกัน แต่เป็นประมุขเจียงเข้ามาห้ามเอาไว้ให้หลานชายใจเย็น แล้วให้ทำข้อตกลงในการเลี้ยงดูคุณชายน้อยเหมือนคราวตอนที่ประมุขเจียง เจียงเฉิง กับอดีตประมุขจิน จินกวงเหยา ช่วยกันเลี้ยงดูจินหลิงนั่นละ


     ถึงแม้จินหลิงจะมิชอบใจแต่ก็ต้องยินยอม 

     



         คุณชายน้อยจะอยู่ในการเลี้ยงดูของประมุขหลาน แต่จะต้องให้คุณชายน้อยไปมาระหว่างจินหลิงไถกับอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่เพื่อให้การสั่งสอน และเลี้ยงดูสลับกันไปมา  และด้วยเหตุนี้เองมันจึงเป็นที่ประจักแล้วว่า

     

     

     

    หลานซีเฉิน มีลูกลับๆกับ จินกวงเหยา จริงๆ…

     

     

     

     

         คุณชายน้อยเต็บโตขึ้นมาเป็นบุรุษที่สง่างามมิเเพ้ผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาคมสันนั้น กับแววตากลมโตที่แสนอ่อนโยน มันช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนที่จากไปแล้วเหลือเกิน 

     

    คุณชายน้อยเต็บโตขึ้นมาโดยได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากคนรอบข้าง มีทั้งหลานจิ่งอี๋ กับหลานซือจุยเป็นพี่เลี้ยง เป็นศิษย์พี่ที่คอยอยู่เคียงข้างแล้วให้คำปรึกษา และเป็นเพื่อนเล่น 

    เว่ยอู๋เซี่ยน กับหลานวั่งจี คอยให้การสั่งสอนวิชาศารต์ต่างๆ แต่โดยส่วนมากผู้ที่สอนจะเป็นหลานวั่งจีซะส่วนใหญ่ แล้วเวลาที่สองคนนี้อยู่ด้วยกัน มันจะเงียบมาก หรือเป็นเพราะคุณชายน้อยอยู่กับผู้เป็นอามากเกินไปจนติดนิสัยเงียบครึมมาก็เป็นได้

    ส่วนผู้มีสถานะเป็นท่านปู่ อย่างหลานฉี่เหรินนั้น ต้องบอกว่าในช่วงแรกๆนั้นถึงจะมีอคติอยู่บ้าง เกี่ยวกับมารดาของคุณชายน้อย แต่เขาก็อดสงสารเหลนของตนเองมิได้จริงๆ เพราะชะตากรรมของเหลนตัวน้อยของเขานั้นช่างเหมือนกับพ่อกับอาของเขาเมื่อครั้งวัยเยาว์มิมีผิด

    แล้วเพราะแบบนั้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปมาทดแทนความรักของมารดา ถึงเขาจะเข้มงวด แต่เขาก็คอยชี้แนะ และสั่งสอนตามสมควร แล้วคุณชายน้อยเองก็มิทำให้เขาผิดหวังเสียด้วย หลานฉี่เหรินแอบชื่นชมเหลนน้อยคนนี้ในใจเสมอมา....


         ลูกไม้หล่นมิไกลต้นจริงๆ ซึ่งความหมายในที่นี้นั้น หลานฉี่เหรินมิได้หมายถึงนิสัย แต่เป็นชะตาที่ต้องพลัดพรากจาก มารดาอันเป็นที่รักต่างหากล่ะ.......

     



         ส่วนผู้ที่เป็นบิดาอย่างหลานซีเฉินนั้น ทั้งรัก และทะนุถนอมคุณชายน้อย มิว่าต้องการสิ่งใดก็จะหามาให้ แต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจ คุณชายน้อยกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นมิเคยรู้สึกได้รับความรักจากบิดาเลย ทุกครั้งที่พบหน้ากันก็นับครั้งได้ แต่สิ่งที่คาใจมาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้ก็คือ

     

    บิดามิเคยสบตาเขาโดยตรงเลยสักครั้ง….

     



    ชีวิตของคุณชายน้อยนั้นเรียกได้ว่าแทบจะดีเริ่ดไปเสียหมด แต่มันก็ยังมีบางสิ่งที่ในใจของคุณชายน้อยคิดว่ามันขาดหายไป และเขาก็รู้สึกคิดถึงมันมากทุกครั้งที่คิดถึงมัน ถึงแม้ว่าจะจำมิได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่สัมผัสถึงสิ่งนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน

     

     

     และยังมีอีกสิ่งที่ฝั่งใจเขามาโดยตลอดตั้งแต่เด็กจนโต คือคำๆนึง ที่มีผู้คนบางส่วนต่างเรียกเขาว่า…

     

     

     

     

     

    “ลูกของหญิงชั่ว”

     

     

     

     

     

     

    13 ปีต่อมา

     

     

     

     

    “มันไปทางนั้นแล้ว!!”

     

    เสียงลูกศิษย์ตระกูลหลานคนนึงตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าสัตว์อสูร ที่ออกอาละวาดสร้างความเดือดร้อน แล้วทำให้มีชาวบ้านเคราะร้ายไปหลานคน มันกำลังมุ่งหน้าหนีไปยังทางที่เป็นกำดักที่วางเอาไว้

     

    สัตว์อสูรที่มีลูกลักษณ์คล้ายกับพยัคฆ์มีปีก วิ่งไปตามเส้นทางหลบหนีของมัน ก่อนที่มันจะรับรู้ได้ว่าตามต้นไม้ มีคนแอบซุ่มโจมตีมันอยู่ และเมื่อเห็นเช่นนั้นมันจึงรีบเริ่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แล้วหลบหลีทุกกำดักได้อย่างหน้าประหลาดใจ

     

    “มันกำลังจะหนี! ตั้งค่ายกลขังมันเอาไว้ อย่าให้มันออกไปนอกบริเวณป่าได้!!”

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนที่ออกมาช่วยในงานครั้งนี้ด้วยเป็นผู้ออกคำสั่งกับหล่าวศิษย์ หลังจากนั้น ออร่าสีฟ้าก็ได้ปรากฎขึ้นมาขวงหน้าของเจ้าสัตว์อสูร ในจังหวะที่จนมุมเหล่าศิษย์ก็ได้บุกเข้าไปโจมตีมันด้วยกระบี่ของพวกตน 

     

    แต่ว่าผิวหนังของเจ้าสัตว์อสูรนั้นกลับแข็งมากจนกระบี่ฟันมิเข้า แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าสัตว์อสูรก็ได้คำรามออกมาเสียงดัง ด้วยเสียงร้องของมันที่ดังมากจนศิลษ์หลายคนต้องยกมือขึ้นมาปิดหู แล้วนั้นก็เป็นการเปิดจังหวะให้เจ้าสัตว์อสูรตวัดอุ้มเท้าหน้าออกไป ทำให้เหล่าศิษย์ต้องถอยออกมา แต่ก็มีบางคนที่หลบเขี้ยวเล็บของมันไม่ทัน

     

    “แย่ละ มันยิ่งคลุ้มคลั่งเข้าไปอีก”

     

    เมื่อเห็นว่าไม้เเข็งใช้มิได้ผล เว่ยอิงจึงหยิบขลุ่ยประจำกายของตนขึ้นมาพร้อมกับเริ่มเป่าบรรเลงบทเพลง ที่จะทำให้เจ้าสัตว์อสูรนั้นสงบลง แต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาสักพักกว่ามันจะสงบ หรือไม่อาจจะแย่กว่านั้น เจ้าสัตว์อสูรอาจจะไม่สนใจ แล้วพุ่งเป้ามาทำร้ายเขาเองก็ได้

     

    แล้วดูเหมือนว่ามันจะจริง เจ้าสัตว์อสูรไม่สนใจแล้วพุ่งเป้ามาที่เขา เว่ยอิงหลบการโจมตีของมันไปได้อย่างดีเยี่ยมแต่ก็ยังคงพยายามเป่าขลุ่ยต่อไป เจ้าสัตว์อสูรจากตอนแรกที่ดูจะอารมณ์เสีย มันก็ค่อยๆสงบลงไปทีละนิด แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เว่ยอิงจึงได้เอ่ยคำสั่งกับเหล่าศิษร์อีกครั้ง

     

    “เอาเลย!!”

     

    แสงสีเหลืองทองถูกพุ่งเป้าไปที่เจ้าสัตว์อสูรจนเกิดเป็นกรงขังสีทองที่กักขังมันเอาไว้ มันพยายามจะพังออกมาให้ได้ แต่ยิ่งได้ยินเสียงเพลงของเว่ยอิง ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง แล้วหลับไปในที่สุด

     

    “จับ *ฉงฉี ได้แล้ว!”

     

    หลานจิ่งอี๋พูดขึ้นมาด้วยความดีใจ และเหนื่อยล้าพร้อมกับนั่งยองๆลงไปกับพื้น ที่ในที่สุดพวกเขาก็สามารถจับเจ้าสัตว์อสูรนี่ได้เสียที หลานซือจุยยิ้มน้อยๆให้กับความสำเร็จในครั้งนี้ เขาเข้าไปตบไหล่จิ่งอี๋เบาๆ

     

    “ท่านผู้อาวุโสเว่ยนี้เป็นฉงฉีตนสุดท้ายในเขตนี้แล้วขอรับ”

    “ดีเลย! จับมันไปปล่อยในป่าที่ไกลจากที่อยู่อาศัยของผู้คน ถึงมันจะเป็นสัตว์อสูรที่กินคน แต่ก็ขึ้นชื่อว่าคือหนึ่งในสิบสองเทพ เราคงจะฆ่ามันมิได้ง่ายๆ ก็อย่างที่พวกเจ้าเห็น กระบี่ยังฟันมิเข้าเลย”

    “แล้วถ้ามันกลับมาอีกละขอรับ”

     

    จิ่งอี๋เอ่ยถามพร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆซือจุย เว่ยอิงขบคิดสักพักก่อนจะตอบ

     

    “ก็คงต้องผนึกมันเอาไว้ แต่มิต้องห่วงไปหลอก เจ้านี้น่ะถ้าไม่มีใครไปยุ่งหรือเข้าไปในเขตของมันละก็มันก็จะไม่ทำร้ายใครก่อนหลอก…..หือ? เอ๋!! หายไปไหนอ่ะ!?”

    “มีอะไรหรือขอรับผู้อาวุโสเว่ย?”

     

    เว่ยอิงมองไปรอบอย่างร้อนรน ทั้งไล่มองตามเหล่าลูกศิษย์ ทั้งหลังต้นไม้ พุ่งไม้ หรือแม้แต่หาในแขนเสื้อตัวเอง? ก็ตามที

     

    อาลู่หายไปไหน!!?”

     

    สิ้นเสียงของเว่ยอิง ทั้งซือจุย จิ่งอี๋ และบรรดาเหล่าศิษย์ ต่างพร้อมใจกันร้องหาบุคคลที่หายไปอย่างพร้อมเพรียงกัน

     

    “คุณชายหาย!!”

     

     

     

     

     

     

     

    “ซวยแล้ว ซวยแล้ว! ซวยแล้ว!! เจ๋ออู๋จวินเอาพวกเราตายแน่!!”

     

    จิ่งอี๋เริ่มสติแตก ใครๆก็รู้กันว่าประมุขหลานนั้นรัก และหวงคุณชายมากขนาดไหน ถ้าลูกชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวเป็นอะไรขึ้นมาละก็……

     

    หลานจิ่งอี๋มิอยากจะคิดถึงเลยว่า จะโดนอะไรบ้าง

     

    “จิ่งอี๋ใจเย็นๆก่อน คุณชายน่ะต้องมิเป็นอะไรแน่ๆ เขาเอาตัวรอดได้ แต่เราแค่ต้องหาเขาให้พบ”

    “นั้นแหละที่ข้าเป็นกังวลซือจุย! ปกติคุณชายก็มักหาตัวยากอยู่แล้ว แต่นี่เล่นหายไประว่างออกล่าแบบนี้ ถ้าเป็นอะไรไปขึ้นมา เรานี่แหละจะซวย!!”

    “ใจเย็นๆก่อนสิ”

     

    ซือจุยก็ร้อนใจมิต่างกันหลอก ก็พอเข้าใจความรู้สึกของจิ่งอี๋อยู่ที่จะหวาดกลัวเช่นนั้น เพราะตั้งแต่เหตุการ์ครั้งก่อน คุณชายก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของประมุขหลานให้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เขามิได้คิดว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมันออกจะเกินไปนะ แต่มันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าหากว่าประมุขหลาน เสียคุณชายไปอีกคนละก็…

     

    ตระกูลหลานคงจบสิ้นที่จะมีทายาทสืบสกุล….

     

     

     

     

    โครม!!!

     

     

     

    “หว้าย! เสียงอะไรนะ!?”

    “พวกเจ้าตามข้ามา”

     

    เว่ยอู๋เซี่ยนรีบวิ่งไปยังต้นตอของเสียง ซือจุย จิ่งอี๋ และเหล่าลูกศิษย์อีกบางส่วนที่ตามพวกเขามาตามหาคุณชาย ต่างพากันวิ่งไปยังต้นเสียง แล้วเมื่อไปถึง ณ สถานที่ ที่มาของเสียงนั้น

     

    “คุณชาย!?”

     

    เบื่องหน้าของพวกเขานั้นคือ ร่างคุณชายของพวกตน สภาพโดยรอบไร้บาดแผลใด  เป็นที่น่าดีใจ และน่าตกใจก็คือ พวกเขาพบคุณชายแล้ว แต่….

     

     

    สตรีนางนั้นที่อยู่ข้างๆคุณชายเป็นใครกัน?!

     

     

    ______________________________________________________________________________ 



     


    เปิดเรื่องมาอาจจะยัง งง อยู่บ้าง แต่จะพยายามแก้ไขนะ เรื่องใช้คำอาจจะผิดผลาดไป

    บ้างก็ต้องขออภัย

    อย่างจินหลิงเนี่ยควรให้เจ้าแฝดเรียกว่ายังไงดีละ อาหรือน้า หรือเรียกพี่?

     

    *ฉงฉี 穷奇

    คือหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล บ้างว่ามีร่างกายคล้ายพยัคฆ์มีปีก บ้างว่ามีร่างกายคล้ายวัว มีขนเหมือนเม่น ชอบกินมนุษย์โดยเฉพาะเริ่มกินจากศีรษะ และชอบสนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดี รู้ภาษามนุษย์ ได้ยินคนทะเลาะกันก็จะกินฝ่ายที่มีเหตุผล ได้กลิ่นคนซื่อสัตย์จะกินจมูกเขา ได้กลิ่นคนชั่วช้าเนรคุณก็จะฆ่าสัตว์ป่าไปให้ นอกจากนี้ยังมีตำนานที่ว่าฉยงฉีคือหนึ่งในสิบสองเทพผู้ขับไล่โรคระบาด มีหน้าที่กลืนกินสิ่งชั่วร้าย

    K A M I Y A
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×