jake the ripper
JTR
ผู้เข้าชมรวม
1,192
ผู้เข้าชมเดือนนี้
7
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Jack the ripper
อายุต่ำกว่า 13 ปี ควรมีผู้ปกครองแนะนำขณะอ่าน
*******************
แจ๊คกับคดีแรก (The First Lady)
รายละเอียดของการฆาตกรรมครั้งแรกของชายที่ชื่อของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ กำเนิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1888 มันเริ่มมาจากขณะที่ชารล์ส ครอส (Charles Cross) กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะตอนตี 4 ของวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ตอนนั้นยังไม่สว่างเท่าไหร่นัก และอากาศยังชื้นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของกรุงลอนดอน ตอนที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น ก็ได้เห็นบางสิ่งนอนอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งดูคล้ายกับผ้าใบหรืออะไรสักอย่าง จึงได้เดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ ชารล์สจึงเรียกชายคนนั้นเพื่อที่จะให้มาช่วยกันเพราะนึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กำลังเมาหรืออาจจะโดนทำร้าย ทั้งสองจึงพยายามที่จะช่วยเธอในบริเวณนั้นที่ยังมืดอยู่ แต่พอทั้งคู่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีต่อมาก็พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ นายตำรวจ จอห์น นีล (John Neil) ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น เมื่อเห็นว่าไม่ได้การแน่แล้ว นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินไปยังบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัย แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร
ต่อมา Dr.Rees Llewellyn ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่ และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์สเดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม ซึ่งมีเลือดเปรอะพื้นอยู่ และเสื้อผ้าของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด บนคอของเธอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นจึงมีการนำศพไปยังถนน Old Montague เพื่อเพิ่มรายละเอียดของการชันสูตรต่อ จากผลการชันสูตรได้พบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่บาดแผลที่ช่องท้องที่แสดงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะถนัดซ้ายเพราะจากบาดแผลเหล่านี้และความยาวใบมีด ต่อมาบรรดาแพทย์ก็ไม่แน่ใจที่ว่าฆาตกรถนัดซ้าย และข้อถกเถียงต่อมาก็คือว่า ทำไมว่าบาดแผลที่ทำให้เธอเสียชีวิตคือที่ลำคอของเธอ แต่ทำไมถึงไม่มีรอยเลือดอยู่บริเวณลำคอเลยแต่กลับไปอยู่บนเสื้อผ้ามากกว่า
ครับนี่ก็เป็นรายละเอียดคดีอย่างคร่าวๆ คดีแรกของชายที่ชื่อ JACK THE RIPPER ส่วนตอนต่อไปเชิญติดตามได้ครับ...
ตอนที่ 2 Mean Streets
"ถนน Mean Street นี้อยู่ใน East End คงไม่ต้องกล่าวว่ามันคืออะไรและอยู่ที่ไหน เราต่างรู้จักกันดี อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสถานที่สยองขวัญ เป็นเมืองสลัมที่อยู่อาศัยแสนสกปรก และทั้งชายหญิงที่ไม่เคยรู้จักกับเสื้อผ้าที่สะอาดเลยแม้แต่น้อย และผู้คนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะหวีผมกันเลย"
Arthur Morrison, "Tales of Mean Streets "
เป็นคำบรรยายถึงลักษณะและผู้คนที่ถนน Means Street แค่เกริ่นเอาไว้น่ะ อิอิ ก็มาถึงตอนต่อไปของ JTR (Jack The Ripper) กันเลยครับเหตุการณ์สยองขวัญครั้งต่อมาเกิดขึ้นที่ East End ที่กรุงลอนดอนซึ่งเป็นที่ว่ากันเป็นสลัม และเต็มไปด้วยคนจร ซึ่งถนนนี้ถือว่าเป็นจุดอับที่สุดของเมืองก็ว่าได้ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็จะเช่าห้องกันอยู่ และที่เมืองนี้ไม่ได้เป็นจุดเด่นเลยทั้งทางด้านการค้าหรือสังคมซักเท่าไหร่ ผู้คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่จะทำงานที่ค่อนข้างแย่หรืองานที่มีค่าแรงต่ำ หรือก็ไม่ได้ทำงาน แต่เต็มไปด้วยโจรและขโมย ผู้คนในเมืองนี้ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ สภาพเมืองเรียกได้ว่าย่ำแย่เอาเลยทีเดียว เด็กในเมืองกว่าครึ่งที่เกิดมานั้นมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงห้าขวบก็ต้องมาเสียชีวิต ส่วนเด็กพวกที่เหลือรอดมาได้ก็มักจะพิการหรือไม่ก็มีอาการไม่ค่อยปกติทางสมอง อาชีพโสเภณีคือวิธีเดียวที่เชื่อถือได้แน่ว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในเมืองเช่นนี้สำหรับผู้หญิง บ้างก็เป็นแม่ม่ายหรือไม่ก็หญิงสาวตัวคนเดียวที่มาทำอาชีพนี้ ตำรวจยังเคยได้ประมาณเอาไว้ว่าถ้ามีประชาชนอยู่ 1888 คน จะต้องมีหญิงโสเภณีซะ 1200 คน ใน White Chapel (เป็นถนน Main ของถนน Mean Street อันเป็นที่ซึ่งเกิดการฆาตกรรมขึ้น) อันนี้ไม่รวมกับผู้ที่มาทำงานอย่างนี้เป็นครั้งคราว บ้านราวกว่า 200 หลังคาเรือนเป็นที่อยู่ของคน 9,000 คน ห้องนอนเป็นลักษณะแถวยาวสำหรับแถวของเตียงที่เรียงต่อกันไป และมักจะเต็มไปด้วยแมลงที่มารบกวน
แต่ที่นี่ไม่ใช่ให้นอนฟรีๆ นะครับ เค้าคิดเงินในแต่ละคืนด้วย ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่มีเงินพอสำหรับจ่ายในแต่ละวันแล้วละก็ เธอก็จะต้องออกไปหางานทำหรือว่าหาใครสักคนที่จะช่วยเธอได้โดยทำงานเข้าแลก อาชีพที่ว่าก็คือที่กล่าวมาข้างต้นละครับ ไม่งั้นก็จะต้องนอนบนถนนไปในคืนนั้น ทั้งๆ ที่ห้องเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นหลายอย่าง แต่ทำไงได้ละครับ ในเมื่อไม่มีที่จะไปแล้วนี่นะ จากรายงานบางฉบับกล่าวว่าเคยเจอครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก 3 คน และหมู 4 ตัว อาศัยอยู่ในห้องเดียวกันก็มีครับ แออัดหน่อยงั้น อิอิ ยังไม่พอสำหรับในบริเวณ White Chapel ครับ ยังมีชายที่เป็นฝีดาษอาศัยอยู่กับภรรยา และภายใต้ห้องใต้ดินก็ยังมีรายงานว่ามีคนอาศัยอยู่ถึง 7 คนด้วยกัน ก็เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ที่สภาวะแวดล้อมหรือสภาพการใช้ชีวิตของผู้คนใน White Chapel มาให้ชมซะยังงั้นละครับ
ตอนที่ 3 Dark Annie
ไม่อารัมภบทมากละ มาอ่านต่อกันกับรายละเอียด JTR ตอนที่ 3 แล้ว เชิญติดตามกันได้เลยครับผม :P~
เหล่าผู้คนใน White Chapel นั้นเชื่อเหลือเกินว่าการตายของ Martha Tabram, Emma Smith และ Polly Nichols นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกัน และยังคอยให้ตำรวจนำความยุติธรรมมาโดยเร็ว ทางตำรวจได้ตั้งประเด็นการฆาตกรรมหญิงสาวเอาไว้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ
(1.) แก๊งขโมยของ ดังที่ Emma Smith เคยโดนปล้นและทำร้ายจากชายคนหนึ่งมาแล้ว
(2.) แก๊งขูดรีดเงินจากโสเภณี
(3.) คนวิกลจริตหรือคนบ้า
แต่จากการที่ตำรวจนั้นพิจารณาจากการตายและสภาพศพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 3 แล้ว ต่างก็ลงความเห็นว่า ประเด็นที่ 1 กับ 2 นั้นไม่น่าเป็นไปได้ จึงมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ 3 อย่างมาก หนังสือพิมพ์ "The East London Observer" ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการถูกฆาตกรรมของ Tabram และ Nichols ว่าหญิงสาวทั้งคู่นั้นยากจนมากและแรงจูงใจการฆ่าที่มาจากรูปร่างของหญิงสาวก็ไม่น่ามี ทั้งจากการฆาตกรรมที่วิปริตและรุนแรงนั้นด้วย จึงคิดกันว่าไม่น่าจะใช่การฆาตกรรมแบบธรรมดาทั่วไปแน่ และยังได้มีการตั้งรางวัลนำจับฆาตกรหรือว่าเบาะแสอีกด้วย แต่ ณ วันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้านำสมัยและความก้านหน้าทางด้านจิตวิทยา คดีการฆาตกรรมต่อเนื่องและฆาตกรต่อเนื่องได้มีการคลี่คลายลงได้สะดวกขึ้นมาก และเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับตำรวจ และได้นำเทคนิคเหล่านั้นมาประยุกต์เข้ากับการสืบหารูปคดี หรือว่าหลักฐานจากการฆาตกรรม แต่เนื่องจากด้วยสมัยก่อนที่เทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้าของตำรวจ ไม่มีทั้งเครื่องมือที่เหมือนดังสมัยนี้ในการวิเคราะห์และใช้สืบหาร่องรอย ทั้งขาดห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ทำให้การพิสูจน์รอยนิ้วมือ รอยพิมพ์เลือด เป็นไปได้ยากเรียกว่าแทบจะไม่มีการนำมาใช้เลยในสมัยนั้น ทำให้ฆาตกรที่ยังไม่ถูกจับก็ยังมีอยู่ จนกระทั่งได้เริ่มนำมาใช้กันในปี 1930 นั่นเอง
มาว่ากันต่อถึงรูปคดีครับ ขณะที่ทางตำรวจนั้นสืบหาฆาตกรที่ฆ่า Polly Nichols นั้น ก็ได้ยินเรื่องของชายลักษณะแปลกคนหนึ่งที่เรียกกันว่า "Leather Apron" ซึ่งเป็นชายที่คอยรีดไถโสเภณีหรือถ้าคนไหนไม่จ่ายก็จะโดนซ้อมหรือว่าทุบตี บ้างก็ว่าชายผู้นี้เป็นชาวยิวอพยพเข้ามา ลักษณะที่บรรยายถึงชายคนนี้คือ "เขาสูงประมาณ 5 ฟุต 5 นิ้วหรือน้อยกว่านั้นเล็กน้อยและสวมหมวกสีดำ คอหนา ผมสั้นดำ อายุราว 38-40 ปี ไว้หนวดสวมเสื้อหนังฟอก ริมฝีปากเล็กและแคบ โดยจากคำบอกเล่าของผู้หญิงที่เคยพบชายผู้นี้ ซึ่งเล่าด้วยอาการหวาดกลัว หลังจากข่าวนี้ได้ถูกแพร่หลายไปทั่ว จนทำให้ชายผู้นี้เกิดความกลัวและได้หนีไปหลบซ่อนตัวในที่สุด ชายคนนี้จะใช่ฆาตกรที่ฆ่า Pollt Nichols หรือไม่ จนบัดนี้ความจริงก็ยังไม่กระจ่าง
มาต่อกันที่คดีของ Annie Chapman หรือที่เพื่อนเรียกเธอว่า "Dark Annie" เธอไม่มีบ้านของตัวเอง แต่จะอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าที่สามารถหาเงินมาจ่ายได้ในแต่ละคืน หรือไม่เธอก็จะตระเวณไปตามถนนในแต่ละคืนมองหาลูกค้าเพื่อให้มีรายได้พอสำหรับอาหารและที่พัก
เธอเสียชีวิตตอนอายุได้ 47 ปี เป็นโสเภณีที่ไร้บ้าน แต่เคยมีชีวิตที่แตกต่างไปจากนี้โดยสิ้นเชิงในปี 1869 เมื่อตอนที่เธอแต่งงานกับ John Chapman และมีลูกด้วยกัน 3 คน แต่ทว่าน่าเศร้าครับ ลูกของเธอนั้นได้เสียชีวิตไปคนหนึ่งและที่เหลือก็พิการ ทำให้เธอเครียดจัดและเริ่มป่วย จนในที่สุดเริ่มดื่มเหล้าหนักมากขึ้นทำให้เริ่มมีปากเสียงกับ John และทำลายชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ลงในที่สุด ในเวลาต่อมาสิ่งที่เกิดตามมานั้นเริ่มเลวร้ายขึ้นเมื่อ John ได้เสียชีวิตลงและเริ่มไม่มีเงินใช้ในที่สุด เธอเริ่มเกิดอาการผิดปกติขึ้นทางอารมณ์จากการตายของ John และจากการไม่มีทรัพย์สินไว้ใช้จ่าย จากการได้รับความตกต่ำเป็นอย่างมากในชีวิตและเป็นโรคติดเหล้า จนหมดเนื้อตัว ทำให้เธอเริ่มที่จะหาเงินเลี้ยงชีพและเริ่มถักโครเชต์ (crochet) กับขายดอกไม้เพื่อเลี้ยงตัวเอง. แต่ในที่สุดเธอก็หันเข้าหาอาชีพโสเภณี อย่างไรก็ตาม 1 สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอได้มีเรื่องกับผู้หญิงด้วยกันและได้ถูกทำร้ายเข้าที่ตาซ้ายและหน้าอก ต่อมาในวันเสาร์ที่ 8 กันยายนก็ได้มีการพบศพเธอที่บริเวณ 29 Hanbury Street โดยผู้พบศพของเธอคือ John Davis ช่างซ่อมรถ ได้พบเธอศพเธอเวลาประมาณ 6 โมงเช้าและได้รีบไปแจ้งความทันที และกลับมาพร้อมกับคนงานอีก 2 คน ที่พบเจอก็แต่รอยคราบเลือดที่เสื้อผ้าและมีด อาวุธที่ใช้สังหารเธอ ครับก็เป็นเหยื่ออีกรายของ JTR (หรือเปล่า ??) ต่อไปเราจะมาติดตามถึงรูปคดีและการพิจารณาและวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านศัลยแพทย์และ ตำรวจ พร้อมกับผู้ตรวจสอบ ว่ารายของละเอียดนั้นเป็นยังไง และผู้ต้องสงสัย (Suspects) คือใคร แหม นี่เป็นแฟ้มฆาตกรรมหรือเปล่าเนี้ย อิอิอิ เอาน่า อดใจรอติดตามก็แล้วกันครับผม ไม่นานเกินรอ
ตอนที่ 3 Dark Annie (ต่อ)
เอาล่ะครับกลับมาอีกครั้งกับ JTR คราวที่แล้วผมติดเอาไว้ตรงคดีของ Annie Chapman ว่ายังไม่จบซะทีเดียว มาดูรายละเอียดของคดีกันต่อเลย ตามรายงานการเสียชีวิตของเธอนั้นจากรายงานของศัลยแพทย์ Dr.George Bagster Phillips ได้กล่าวถึงลักษณะการตายของเหยื่อ (ผมไม่ขอบรรยายก็แล้วกันนะครับ) ว่าผู้ตายนั้นถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม เลือดกระจายไปตามร่างกาย จากการชำแหละและสันนิษฐานว่าบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอนั้น เป็นบาดแผลที่ปลิดชีพเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ทาง Dr.George คาดว่าเธอน่าจะเสียชีวิตมาประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว ก่อนที่นาย Davis จะมาพบเธอเข้า โดยที่ผู้คนย่านนั้นไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องหรือสิ่งผิดปกติอะไรเลยหรือแม้กระทั่งเห็นเธอ และที่สำคัญบริเวณนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่ฆาตกรลงมือสังหารเธอ
ความผิดปกติอีกอย่างก็คือไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เกิดขึ้นในบริเวณนั้นหรือแม้แต่ที่ตัวของ Annie ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเช่นกัน จะพบก็แต่เศษผ้ากับหวีที่เก็บเอาไว้อย่างดีและซองจดหมายที่มีตัวอักษร M กับ SP ที่เขียนด้วยลายมือและจ่าหน้าว่า London, Aug. 23, 1888. บนซองเท่านั้น จากรายงายการชันสูตรศพของ Dr.George นั้นก็ได้เพิ่มเติมรายละเอียดเอาไว้อีกว่าฆาตกรนั้นน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 15 นาทีในการประกอบการฆาตกรรมและน่าจะเป็นคนที่มีความรู้เรื่องกายวิภาคเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีความรู้ในการชำแหละอะไรซักอย่าง จนมีความชำนาญอย่างแน่นอน โดยวิเคราะห์จากบาดแผลของอวัยวะของผู้เคราะห์ร้ายแล้วพบว่ามันประณีตเกินกว่าที่คนธรรมดาจะกระทำได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างมากในการชำแหละร่างของผู้ตายได้ขนาดนี้ และมีดที่พบตกอยู่ใกล้กับเหยื่อนั้นก็ไม่ใช่มีดแบบธรรมดาทั่วไป แต่ว่ามีลักษณะคล้ายกันกับที่พวกศัลยแพทย์หรือว่าคนฆ่าสัตว์ใช้ และร่องรอยที่พบอีกแห่งหนึ่งก็คือรอยแหวนบนมือของเธอได้หายไป
แต่จากปากคำของเพื่อนเธอกล่าวว่ามันเป็นเพียงแหวนทองเหลืองราคาถูกเท่านั้น ซึ่งทางตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจจะมีการเข้าใจผิดว่ามันเป็นแหวนทองคำก็เป็นได้ และอาจจะเป็นแรงจูงใจให้ฆาตกรลงมือเพื่อแย่งชิงแหวนไป แต่ก็ติดตรงที่ว่าทำไมต้องลงมือมากไปกว่าการฆาตกรรมเพียงเพื่อแย่งชิงแหวนของเธอเท่านั้น???
จากภาพด้านบน Annie และ John Chapman
จากการตามรอยตรวจสอบและสืบสวนของทางตำรวจนั้นได้สันนิษฐานว่าคดีของ Polly Nichols กับ Annie Chapman นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกันและผู้ที่ลงมือนั้นน่าจะเป็นคนคนเดียวกัน และจากการตามสืบสวนต่อมาภายหลังได้พยานที่น่าจะอยู่ใกล้กับเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุในคดีนี้เพิ่ม ขึ้น จากปากคำของพยานคนหนึ่งคือนาย
ผลงานอื่นๆ ของ ชินิจิ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ชินิจิ
ความคิดเห็น