แตกต่างแต่ไม่แตกแยก - แตกต่างแต่ไม่แตกแยก นิยาย แตกต่างแต่ไม่แตกแยก : Dek-D.com - Writer

    แตกต่างแต่ไม่แตกแยก

    เป็นเรื่องสั้นที่แต่งขึ้นเป็นละครวิทยุส่งของมหาลัย แต่ไม่ผ่านเหตุเพราะเรื่องไม่ขำ -*- เลยเอามาแบ่งปันให้อ่านครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    1,015

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    1.01K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ส.ค. 54 / 22:38 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    พอดีมานั่งขุดๆ คุ้ยๆ หาไฟล์ฺงานที่เคยเซฟไว้ จะเอามาใช้อ้างอิงในงานปัจจุบัน เจอกับนิยายสั้นที่เคยแต่งเอาไว้ตอนสมัยเรียน ซึ่งเป็นละครสั้นที่แต่งเพื่อส่งทำเป็นละครวิทยุนั่นเองครับ แต่เนื่องจากไม่ผ่าน เหตุเพราะเนืือเรื่องมันไม่ขำ (เหตุผลเดียว -*-) เลยเข้ากรุไปตามระเบียบ จะเก็บไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดายเลยเอามาแบ่งปันให้อ่านกันครับ

    เรื่องราวของเรื่องนี้จะจำลองเหตุการณ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงที่มีการแตกแยกและการดูถูกชนชั้นระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำ โดยเราจะอ้างอิงจากประวัติศาสตร์และเหตุการณ์จริงสมัยที่ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ (เจ้าของรางวัลสันติภาพเคเนดี (Kendy Peace Prize) รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) ขึ้นมา เหตุผลที่เราเอาเหตุการณ์นี้ขึ้นมา เพราะมันเป็นการง่ายที่จะสื่อให้เห็นถึงการกระทำของมนุษย์เมื่อเห็นว่า สิ่งที่เราเห็น มันแตกต่าง จากตัวเรา ทั้งๆที่ตัวเราทุกคน ก็เหมือนกันทั้งนั้น

    ส่วนแฟนๆ คนอ่านที่ัเริื่มงอนๆ ว่าทำไมผมไม่อัพตอนใหม่ ตรงนี้ต้องขออภัยด้วยครับ เพราะขณะนี้ผมเจองานกระหนํ่าเข้ามากันแบบ Unstoppable กันเลยทีเดียว =_= lll (ไอ้ผมจะตายคาคอมก่อน) ไว้งานเสร็จเมื่อไหร่จะรีบอัพให้ไวเลยนะครับ พร้อมกับเปิดเรื่องใหม่ เอาใจสาวๆ กับแนว "ฮาเร็มหนุึ่่ม" ครับ



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
          ที่อเมริกา ปี พ.ศ. 2504 เป็นยุคสมัยที่คนทั้งประเทศกีดกันคนที่มีสีผิวแตกต่างจากตนเอง คนผิวขาวได้เป็นคนชั้นสูงของคนในสังคม ส่วนคนผิวดำ ไม่แตกต่างอะไรไปจากกรรมกรในสายตาของคนผิวขาว ยุคนั้น คนผิวดำอยู่กันยากลำบาก ไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถไต่เต้ามีตำแหน่งการงานที่สูงหรือการศึกษาที่ดีๆ นี่คือจุดกำเนิดของการเหยียดสีผิว ณ แอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา  ชายผิวดำคนหนึ่งกำลังเดินโซเซตามข้างถนนเพื่อที่จะเดินกลับบ้านยามคํ่าคืน เนื้อตัวของเขาสกปรกมอมแมม เพราะเขาเพิ่งจะเลิกงานจากงานก่อสร้างที่เขาไปทำมา เขาเดินผ่านชาวบ้านแถวนั้นหลายคน ซึ่งส่วนมากเป็นคนผิวขาว ต่างคนต่างมองเขาราวกับมองสัตว์ตัวหนึ่งที่น่าขยะแขยง เขาไม่สนใจสายตาเหล่านั้นแล้วก็เดินเข้าไปในบ้านของเขาที่สภาพไม่แตกต่างอะไรจากบ้านที่แทบพัง นี่คือสลัมของคนผิวดำ
          เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน และเมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาถอนหายใจออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย
          "กลับมาแล้วเหรอลูก" เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังออกมาจากในบ้าน เขายิ้มให้กับเสียงนั้นแล้วค่อยๆลากขาทั้งสองข้างที่เหน็ดเหนื่อยเข้าไปข้างใน
          "กลับมาแล้วครับแม่" เขาบอกกับเธอ เธอเป็นคนผิวดำที่แก่ชรามาก ใบหน้าของเธอซีดและมีริ้วรอยมาก เธอกำลังยืนอยู่บนโต๊ะในห้องครัว และหันหน้ามองดูเขา
          "เป็นไงบ้างจ๊ะ เอ็ด" เธอทักทายลูกชายของตนเอง "เหนื่อยหน่อยนะวันนี้"
          "เฮ้อ ได้มาแค่นี้เองครับแม่" เอ็ดบอกด้วยนํ้าเสียงหดหู่ พร้อมกับล้วงหยิบเหรียญในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะ "ขนาดทำงานเกินเวลาถึงสิบชั่วโมง ยังได้ค่าแรงแค่เจ็ดเหรียญเอง เจ้านายก็บอกว่าได้ก็บุญแล้ว"
          "โถ่ ลูกแม่" แม่ของเขาเข้ามาสวมกอดลูกชายตนเอง เธอไม่รังเกียจเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมและเหม็นหึ่งเลยแม้แต่น้อย "ได้มาก็ดีแล้วหละจ๊ะ"
          "ทำไมกันหละครับแม่" เอ็ดถามด้วยความไม่พอใจ "ขนาดคนในที่ทำงานเป็นคนผิวขาว ไม่ได้ฉลาดหรือเรียนสูงอะไรเลย เขากลับได้เป็นคนคุมคนงานอย่างพวกผม แถมได้ค่าแรงตั้งเกือบสองเท่าจากพวกผมด้วย ความยุติธรรมมันอยู่ที่ไหนกัน"
          "เพราะเราเป็นคนผิวดำยังไงหละลูก" แม่ของเขาตอบ "เราไม่ใช่คนผิวขาว"
          "แล้วไง เพราะเราผิวดำเหรอ" เอ็ดคลายจากการสวมกอดมารดาตนเอง "พวกเราทำอะไรผิดกันนะ พระเจ้าถึงได้ให้เราเกิดมาอัปลักษณ์แบบนี้"
          "แม่ว่า นี่คงเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้วหละ" แม่ของเขาเดินไปที่กานํ้าชา แล้วค่อยๆรินนํ้าชาลงบนแก้ว "เพราะพระองค์สร้างมนุษย์ขึ้นมาจากการปิ้งขนมปัง ส่วนที่ไม่ไหม้ก็คือคนผิวขาว ส่วนคนที่ไหม้ก็..."
          "คนผิวดำ" เอ็ดตอบแทน "ผมได้ยินเรื่องนี้มาจนเบื่อแล้ว"
          "พักเสียก่อนเถอะ" แม่ของเขายื่นแก้วที่ใส่นํ้าชามาให้ เขารับมันเอาไว้ "แม่เชื่อว่า สักวันหนึ่ง คนผิวดำอย่างพวกเราจะได้มีฐานะที่ดีกว่าเดิมแน่ๆ"
          "ทำไมแม่เชื่ออย่างนั้น" เอ็ดถาม
          "เพราะคนเขียนบทบอกแม่นะ" แม่ของเขาตอบ
          "เชื่ออะไรไม่เป็นเรื่อง" เอ็ดพึมพำ
          "เอาเถอะหน่า วันนี้พักผ่อนให้สบายเถอะนะ พรุ่งนี้ลูกต้องตื่นไปทำงานอีกไม่ใช่เหรอ" แม่ของเขาบอก
          "ขอบคุณครับแม่" เอ็ดยิ้มให้ แม่ของเขายิ้มตอบ แล้วค่อยๆเดินออกจากห้องครัว โดยที่แม่ของเขาต้องใช้มือจับผนังพยุงตัวเองเดินไปตลอดทาง เอ็ดมองแม่ตนเองด้วยความเศร้าโศกและเป็นห่วง
          แม่ของเขาป่วยเป็นโรคมาหลายปีแล้ว พ่อของเขาก็ตายไปเพราะถูกส่งตัวไปเป็นทหาร แต่กลับได้เงินบำนาญมาแค่น้อยนิดที่ใช้หมดไปไม่ถึงครึ่งปี เอ็ดก็ไม่สามารถหางานอื่นทำได้ นอกจากเป็นกรรมกรแบกปูนไปวันๆ ขนาดเป็นพนักงานเสิร์ฟ เขายังไม่รับ เหตุเพราะเอ็ดเป็นคนผิวดำ ตอนนี้บ้านของเขาขัดสนเงินทองมาก จนไม่มีแม้แต่จะซื้อยามารักษาให้กับแม่ของตนเอง
          เอ็ดยังไม่ดื่มชา เขาเดินออกไปนอกหน้าต่าง ซึ่งข้างๆบ้านเขาเป็นที่ทิ้งขยะของทางราชการ มีแต่บ้านหลังนี้ที่ราคาถูกที่สุดในย่านสลัมแห่งนี้แล้ว เขาเงยหน้ามองดูบนท้องฟ้า ที่ตอนนี้พระจันทร์กำลังจะเต็มดวง เขาหันหน้ามองดูนาฬิกาที่วางอยู่ข้างๆ ตอนนี้ตีหนึ่งกว่า เขามีเวลานอนแค่สี่ชั่วโมงกว่าเท่านั้นเพราะงานที่เขารับอีกกะจะเริ่มตอนเช้ามืด เขาต้องทำงานถึงสองกะ บางวันก็สามกะ เพื่อพยายามหาเงินมารักษาแม่ แต่ก็ยังไม่พอ เขาถอนหายใจแล้วก็เงยหน้ามองดูพระจันทร์อีกครั้ง
          "หากพระเจ้ายังมีจริง ได้โปรด ช่วยเหลือลูกด้วย" เขาภาวนา นํ้าตาของเขาค่อยๆรินไหลออกมาจากนัยน์ตาที่เหน็ดเหนื่อยของเขา "ลูกอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากเห็นแม่แข็งแรงกว่านี้ ได้โปรดช่วยแม่ของลูกด้วย"
          เอ็ดยืนนํ้าตาไหลแบบนั้นอยู่สักพัก เขาเอามืออีกข้างปาดนํ้าตนเอง แล้วค่อยๆดื่มชาที่เขาถืออยู่
          "ชานี้ทำไมมันเค็มจัง?"

      ---------------------

          วันรุ่งขึ้น เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น เมื่อมีคำสั่งเพียงคำเดียวที่ทำให้เอ็ดแทบช็อค
          "ไล่ออก!!" เอ็ดถามเจ้านายซึ่งเป็นคนผิวขาว เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าเจ้านาย ที่เป็นคนผิวขาว พร้อมกับคนงานผิวดำเพื่อนของเขาที่กำลังมองดูเจ้านายด้วยความสงสัยเช่นเดียวกัน
          "เออ ได้ยินชัดแล้วนิ ไล่ออกไง" เจ้านายพุงโล้เอ่ยตอบลูกน้องผิวดำของเขาทุกคนด้วยสายตาเหยียดหยาม "ทุกๆคน"
          "แต่เจ้านาย" เอ็ดรีบถาม "พวกผมทำอะไรผิดงั้นเหรอครับ ทำไมต้องไล่พวกเราออกด้วย พวกเราก็ตั้งใจทำงานเพื่อบริษัทของนายนะครับ"
          "ใช่ๆ" คนงานผิวดำคนอื่นๆก็พึมพำเห็นด้วย
          "ไม่รู้หละ เพราะเมื่อวานนี้ ลูกสาวของฉัน ถูกคนผิวดำทำร้าย" เจ้านายพาลูกสาวของตนเองเดินออกมาให้ทุกคนเห็น เธอมีรูปร่างสวยราวกับนางฟ้าแต่สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามราวกับซาตาน ที่แขนของเธอมีรอยตบเล็กน้อย "ฉันจึงทนไม่ได้ที่จะให้คนผิวดำมาทำงานกับฉัน"
          "แต่เจ้านาย ผมไม่ได้เป็นคนทำนะครับ" เอ็ดพยายามต่อรอง ซึ่งคนงานคนอื่นๆต่างก็บอกด้วยว่าพวกเขาก็ไม่ได้
          "หุบปาก!! ถ้าไม่ออกไปจากที่ทำงานของฉันละก็ ฉันจะแจ้งตำรวจ" เจ้านายตวาดเสียงดังลั่น "ฉันไล่พวกแกออก"
          "ได้โปรดเถดอะครับเจ้านาย" เอ็ดรีบวิ่งเข้าไปข้างหน้าเขาแล้วก้มลงแทบกราบเท้าของเขา "ขอพวกผมทำงานเถอะนะครับ แม่ของผมล้มป่วยอยู่นะครับ"
          "ออกไป เดี๋ยวนี้" เจ้านายชี้นิ้วออกไปข้างนอก สั่งให้เขาออกไป
          "ได้โปรดเถอะครับ พวกผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะครับ"
          ผวั๊ะ!!
          เจ้านายยกเท้าของเขาเตะเข้าไปที่หน้าของเอ็ดเข้าเต็มๆ จนทำให้เขาหงายหลังและร่วงลงกับพื้น จมูกของเขามีเลือดไหลออกมา เขาเงยหน้ามองดูอดีตเจ้านายตนเองด้วยความเจ็บแค้น
          "มันผิดตั้งแต่พวกแกเกิดมาผิวดำแล้วแหละ" เจ้านายดูถูกพวกเขาก่อนที่จะเดินหันหลังเดินจากไป แล้วก็มีบอดี้การ์ดคนผิวขาวออกมายืนขวางแทน ลูกสาวของเจ้านายหัวเราะหึๆสักพักก่อนที่จะเดินตามพ่อของตนเอง
          เอ็ดเอามือจับที่จมูกที่เจ็บแสบของตนเอง มือของเขาสัมผัสได้ถึงของเหลวที่อุ่นออกมาได้ เพื่อนร่วมงานผิวดำของเขาหลายคนวิ่งมาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นยืน แล้วส่ายหัวพร้อมกับพาเขาออกไป เขาพยายามเงยหน้ามองหาอดีตเจ้านายตนเอง แต่ก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากบอดี้การ์ดผิวขาวสองคนที่ยืน
          "แผนการของคุณหนูเป็นไปได้สวยนะครับ" บอดี้การ์ดผิวขาวคนหนึ่งเอ่ยชมเชยลูกสาวของเจ้านายของเขา "ยิ่งเจ้านายเป็นคนเกลียดคนผิวดำอยู่แล้วด้วย"
          "ใช่" ลูกสาวของเจ้านายยิ้มร่า พร้อมกับโชว์แขนตนเองให้ดู "แค่แขนมีรอยนิดหน่อย พ่อก็เชื่อ เฮอะ ไอ้พวกคนผิวดำนะ ออกไปได้ซะก็ดี เกะกะลูกตา"
          เอ็ดโดนโซเซออกมาจากที่ทำงานของเขา โดยที่ยังมีเพื่อนร่วมงานผิวดำของเขาช่วยพยุงมาให้ ท้องฟ้ามืดครื้ม ราวกับฝนจะตก
          "ฉันไม่เป็นอะไรแล้วหละ ขอบใจนะ" เอ็ดยิ้มบอกกับเพื่อนตนเอง ซึ่งต่างคนต่างมองด้วยความเป็นห่วง
          "เราจะหางานใหม่ แล้วถ้าเจอเดี๋ยวจะมาบอกนะเพื่อน" เพื่อนผิวดำของเขาบอก ซึ่งเอ็ดพยักหน้าตอบรับ
          "ขอบใจมาก ฉันกลับบ้านเองได้ ขอบใจ" เอ็ดบอกกับเพื่อน และเมื่อเพื่อนของเขาจากไปแล้ว เขาเอามือมือปาดเลือดบนจมูกออกอีกครั้ง แล้วก็เดินกลับไปที่บ้านของเขา
          แต่เมื่อเอ็ดเดินทางกลับถึงบ้าน เขาต้องแทบช็อคกับภาพที่เขาเห็นอีกครั้ง เพราะแม่ของเขานั้นร่วงลงไปนอนกองกับพื้น
          "แม่ครับ" เอ็ดรีบวิ่งเข้าไปหาแม่ของตนเอง "แม่ เป็นอะไรไปครับ ทำใจดีๆไว้นะครับ"
      เขาเอามือจับที่ตัวของแม่ แต่ก็ต้องชักมือออก
          "โอ้ย ร้อน!" เขาเริ่มเหงื่อตกเมื่อเห็นสภาพแม่ของตนเองในขณะนี้
          เขาพยุงแม่ของตนเองแล้วพาแม่ของเขาขึ้นไปบนห้องนอน จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นตัวที่สะอาดและก็เอาผ้าชุบนํ้าเช็ดเหงื่อให้กับแม่ของตนเอง
          "อ้าว.. เอ็ดหรอกเหรอ" แม่ของเขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง
          "แม่ ไม่เป็นไรนะครับ" เอ็ดถามด้วยความเป็นห่วง เขามองดูแม่ตนเองด้วยความกังวล เพราะแม่ของเขาร้อนจี๋ เหงื่อก็ไหลไม่หยุด แถมหายใจก็ยังลำบาก
          "แม่ไม่เป็นไรหรอก ลูกสิเอ็ด ออกมาจากงานแบบนี้ ไม่เป็นอะไรเหรอ" แม่ของเขาถาม
      เอ็ดนึกถึงตอนที่เขาโดนอดีตเจ้านายตนเองเตะเข้าที่หน้า เขารู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาที่จมูกอีกครั้ง
          "คือ..." เขาอึดอัดที่จะพูด แต่เมื่อเห็นสภาพแม่ตนเองที่อ่อนเพลียทั้งร่างกายและจิตใจ เขาก็ไม่กล้าบอก
          "ไม่เป็นไรหรอกครับแม่ พอดีเจ้านายเขาให้พักนะ แต่เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานแล้วหละ" เอ็ดโกหก
          "จริงเหรอ ตั้งแต่ทำงานมาแม่ไม่เคยเห็นเจ้านายอนุญาตให้ลูกพักแบบนี้เลยนะ ดีจังเลยนะ เจ้านายของลูกเนี่ย" แม่ของเขายิ้ม
          เอ็ดกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาลุกขึ้นยืน
          "งั้นเดี๋ยวผมกลับไปทำงานก่อนนะครับแม่" เอ็ดบอกกับแม่ตนเอง
          "ตั้งใจทำงานนะลูก" แม่ของเขาบอกด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนแรง
          เอ็ดสะกดอารมณ์ตนเองแล้ววิ่งออกมาจากห้อนอนของแม่ตนเอง เขาหยุดยืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน เขาต้องรีบหางานใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะอาการแม่ของเขาทรุดลงทุกทีๆ ตอนนี้เขาต้องการสิ่งเดียว คือเงินที่จะรักษาแม่
          "คอยก่อนนะครับแม่" เอ็ดพึมพำ แล้วเขาก็วิ่งออกจากบ้านไป
          เม็ดฝนเริ่มตกลงมาจากบนท้องฟ้า จากเม็ดเล็กๆขยายเป็นเม็ดลูกใหญ่ แถมตกลงมาไม่ขาดสาย ตกเสียจนมองข้างหน้าแทบมองไม่เห็น ตัวของเอ็ดเปียกโชก แต่เขาไม่สนใจ เขารีบวิ่งออกไปดูตามที่ต่างๆ เพื่อที่จะหางานทำให้ได้
          เขาวิ่งไปที่แล้วที่เล่า ตั้งแต่ร้านอาหาร ร้านขายของ หรือแม้แต่สถานที่ก่อสร้าง ทุกที่ ต่างลงมติ เปลี่ยนป้ายประกาศใหม่ ห้ามคนผิวดำเข้าทำงาน ไม่ว่าเอ็ดจะไปขอสมัครงานที่ไหน ก็ไม่มีที่ไหนรับ เขาทั้งเหน็ดเหนื่อย และสิ้นหวัง เมื่อเขาไปยังที่แล้วที่เล่า แต่ก็ถูกปฏิเสธงานหมด
          "ได้โปรดเถอะครับ ของานผมทำเถอะครับ" เอ็ดคุกเข่าขอร้องร้านขายของแห่งหนึ่ง "จะใช้งานผมยังไงก็ได้ แม่ของผมกำลังป่วยอยู่นะครับ ได้โปรด"
          "ป๊ะ ไอ้นี่ช่างตื้อจริงๆ บอกว่าไม่รับก็ไม่รับ ออกไปจากร้านของฉัน" เจ้าของร้านผิวขาวคนนั้นเอ่ยปากไล่
          "ได้โปรดเถอะครับ ผมไปที่ไหนๆก็ไม่มีที่ไหนรับเลย ได้โปรดเถอะ"
          "ออกไป!!" เจ้าของร้านคนนั้นตวาดไล่เสียงดัง จนทำให้เอ็ดต้องรีบวิ่งหนีออกไป เจ้าของร้านนั้นมองด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนที่จะปิดประตูใส่เสียงดัง
          เอ็ดเมื่อเห็นประตูปิดลงแล้ว เขารีบแอบไปที่ประตูเพื่อไปแอบฟังเสียง หวังไว้เล็กๆว่าเขาจะกลับมาเปิดประตูแล้วรับเขาเข้าทำงาน
          "ออกไปได้ซะก็ดี ไอ้พวกผิวดำนั้นนะ เดี๋ยวก็มาทำร้ายพวกเราอีก" เสียงของเจ้าของร้านคนนั้นดังขึ้นมาจากในร้าน
          เอ็ดเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น ไม่สนใจนํ้าฝนที่ไหลเทลงมาโดนตัวของเขา
          "จะดีเหรอค่ะคุณ ไล่เขาไปแบบนั้น" เสียงผู้หญิงดังขึ้นจากข้างใน
          "เธอนะไม่รู้อะไร คนของบริษัทก่อสร้างนั่นรีบมาบอกเลยนะว่าลูกสาวของเขาโดนลูกน้องผิวดำทำร้าย แบบนี้จะให้เชื่อใจพวกคนผิวดำได้ยังไงกันหละ"
          "ว้าย ตายจริง"
          เอ็ดแทบตัวชาไปทั้งตัวเมื่อได้ยินการสนทนานี้ เขาไม่อยากแอบฟังการสนทนานี้อีกแล้ว เขาค่อยๆเดินโซเซออกไปจากร้านของเขา เดินท่ามกลางสายฝนที่ยังกระหนํ่าตกลงมาไม่ขาดสาย
          เขาเดินโซเซไปตามท้องถนน เขาเดินผ่านสายตาที่ดูถูกเหยียดหยามเขา เดินผ่านคำพูดที่กระซิบซาบที่รังเกียจเขา แม้แต่รถยนต์ที่แล่นผ่านไป ยังจงใจสาดนํ้าขังใส่เขา เอ็ดเดินเข้าไปหลบสายตาผู้คนที่ซอยแห่งหนึ่งโดยที่เขาไม่สนใจว่าซอยนั้นเป็นซอยอะไร เขาก้มลงมองดูสภาพร่างกายที่น่าสมเพศของตนเอง
          ทำไมกันนะ เขาคิด ทำไมทุกคนต้องรังเกียจคนผิวดำด้วย
          นํ้าตาของเขาไหลออกมาอีกครั้ง เขาโศกเศร้าที่เขาเกิดมาผิวดำ
          นี่พระเจ้า ทอดทิ้งเราจริงๆรึนี่ เอ็ดคิดอย่างสิ้นหวัง ทำไมกัน ทำไมเราต้องเกิดมาผิวดำ ทำไมเราต้องโดนคนผิวขาวเกลียดด้วย ทำไมกัน...
          ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย เอ็ดทรุดตัวลงนั่งริมกำแพงในซอยนั้นด้วยความสิ้นหวัง เขาหมดหวังที่จะหาเงินมาช่วยรักษาแม่ของเขา
          แต่แล้ว ตัวของเขาก็ไม่โดนฝนสาดใส่ มีคนบังฝนให้กับเขา เอ็ดเงยหน้ามองดูด้วยความสงสัย เขาพบกับชายผิวขาวคนหนึ่งกำลังยื่นร่มบังฝนให้เขา
          "ท่าทางจะหนาวนะ มาข้างในก่อนสิ" คนผิวขาวคนนั้นเอ่ยชวน พร้อมกับยื่นมือมาหาเขา เขามองดูด้วยความสงสัย
          "มาเถอะหน้า ฉันไม่กัดหรอก" เขาพูดติดตลก เอ็ดค่อยๆยกมือขึ้นไปจับมือของเขา ชายผิวขาวยิ้ม ก่อนที่จะช่วยฉุดตัวเขาให้ลุกขึ้นยืน
          ชายผิวขาวคนนี้พาเขาเดินเข้าไปในซอย ซึ่งมีประตูบ้านขนาดใหญ่อยู่โดยที่เอ็ดไม่ทันสังเกตเห็น โดยที่ชายผิวขาวเป็นคนพาเขาเดินเข้าไปข้างใน นี่เป็นบ้านที่มีขนาดใหญ่โตและหรูหรา เขาพาเอ็ดเข้าไปข้างในบ้านใหญ่โตของเขา
          "ช่วยจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำความสะอาดให้สุภาพบุรุษท่านนี้ทีนะ" ชายผิวขาวคนนั้นเอ่ยกับคนใช้ในบ้าน ซึ่งเมื่อเอ็ดเงยหน้าขึ้น เขาก็ต้องพบกับสาวใช้และเพื่อนของเขาซึ่งเป็นคนผิวดำทั้งคู่ เขากำลังยิ้มต้อนรับเอ็ดอยู่
          "อ้าว เอ็ด ฉันกำลังจะไปบอกนายพอดีเลยนะเนี่ย แต่พอดีฝนตก ฉันเลยไม่ได้ไป" เพื่อนของเขาทัก
          "นี่ นาย..." เอ็ดเอ่ยถาม
          "ช่างเถอะหน่า ไปๆๆๆ เปียกไปทั้งตัวแล้วเนี่ยนาย" เพื่อนของเขาพาเขาไปข้างในบ้าน
          หลังจากที่เอ็ดได้ถูกอาบนํ้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดแล้วเรียบร้อย เพื่อนของเอ็ดพาเขาเข้าไปตามทางเดินของบ้านที่มีขนาดใหญ่และหรูหรา เขาพาไปยังห้องทำงานของเจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งก็คือ คนผิวขาวคนเมื่อกี้นั่นเอง
          "เข้ามาสิ เอ็ด" คนผิวขาวคนนั้นเรียก เพื่อนของเอ็ดชูนิ้วโป้งให้ก่อนที่เขาจะปิดประตูแล้วออกไปข้างนอก ทิ้งไว้ให้เอ็ดอยู่กับชายผิวขาวตามลำพัง ชายผิวขาวลุกขึ้นแล้วชูมือไปบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา
          "นั่งก่อนสิ" เขาชวน
          "จะดีเหรอครับ ผมเป็นคนผิวดำนะ" เอ็ดถาม เพราะเขาไม่เคยได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่หรูหราและต่อหน้าคนผิวขาวแบบนี้มาก่อน
          "มันไม่มีระเบิดหรอกหน่า มานั่งเร็ว" ชายผิวขาวพูดติดตลกอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะชวนให้เอ็ดมานั่งที่นั่ง เอ็ดลังเลที่จะนั่ง แต่สุดท้ายเขาก็ยอมมานั่ง
          "เอาหละ เอ็ด ฉันพอรู้ว่าแม่ของนายป่วยอยู่ และก็เพิ่งตกงาน เพื่อนของนายก็บอกว่านายมีความสามารถในการคำนวณและทำงานเก่งมาก ฉันจะให้นายมาเป็นเลขาของฉัน ค่าแรงชั่วโมงละ เหรียญ ตกลงไหม จะให้จ่ายเลยก็ได้นะ ถ้านายจะมาทำงานให้ฉัน ตกลงไหม"
          เอ็ดฟังที่เขาพูดจนแทบอึ้ง เขาไม่เคยได้รับการเสนองานที่ดีๆแบบนี้มาก่อน รวมไปถึงค่าจ้างที่ดีๆแบบนี้ด้วย
          "เป็นอะไรไปเหรอ หรือว่าค่าแรงน้อยไป?" คนผิวขาวคนนั้นถามด้วยนํ้าเสียงอารมณ์ดี
          "ทำไม คุณถึงช่วยเหลือผมกับเพื่อนของผมที่เป็นคนผิวดำหละครับ" เอ็ดถามด้วยความสงสัย "ทั้งๆที่ทุกคนก็ดูถูกพวกผมมาโดยตลอด"
          คนผิวขาวคนนั้นยิ้มให้ด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน
          "แล้วไง จะบอกว่าคนผิวดำอย่างพวกนายคือเอเลี่ยนปลอมตัวมาเหรอ" คนผิวขาวถาม "จะผิวดำหรือผิวขาว ก็คนเหมือนกันไม่ใช่รึยังไงกัน"
          เอ็ดเงยหน้ามองดูเขา
          "แต่ก่อน ฉันก็ยอมรับนะว่าฉันก็ดูถูกคนผิวดำเหมือนกัน แต่ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อฉันเจอกับชายคนหนึ่ง" เขาเล่า "ชายคนนั้นก็คือ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ไงหละ"
          "เอ๊ะ หรือว่า คุณลูเทอร์ คิง คนนั้น คนที่พยายามต่อสู้เรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ ?" เอ็ดรีบถามทันที
          "แน่นอน ใช่" เจ้าของบ้านคนผิวขาวคนนั้นตอบ "ตอนฉันยังเด็ก ฉันยังเคยโวยวายลั่นรถเมล์เลยเมื่อมีคนผิวดำไม่ยอมลุกขึ้นให้ฉันนั่งเลย แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อฉันโดนโจรผิวขาวทำร้าย คนที่มาช่วยฉันก็คือ คุณ   นั่นแหละ ทำให้ฉันถึงเปลี่ยนความคิดมาได้
          "เพราะไม่ว่าจะรวย จะจน หรือจะดำ จะขาวก็ตาม เราก็คือสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา เป็นสัตว์ที่ประเสริฐที่สุดในโลก นั่นก็คือ มนุษย์ แค่สีผิวแตกต่างกัน ฉันไม่เห็นด้วยหรอกนะ แล้วอีกอย่างนะ" คนผิวขาวคนนั้นยิ้มบอก "ถึงจะแตกต่าง แต่ก็ไม่แตกแยกหรอก เพราะเราก็คือ มนุษย์เหมือนกัน จริงไหม"
          เอ็ดฟังดังนั้นเขาถึงกับนํ้าตาซึม
          "ขอบคุณมากครับ ที่เข้าใจคนผิวดำอย่างพวกผม"
          เจ้านายผิวขาวคนใหม่ชูมือทั้งสองข้าง
          "แล้ว จะทำงานไหม"
          เอ็ดเอามือปาดนํ้าตาแล้วก็ยิ้มรับ
          "ทำครับ"

      ---------------------------------------

          หลังจากนั้น เอ็ดก็ได้เบิกเงินล่วงหน้ามาซื้อยารักษาให้แม่ของเขา ซึ่งนั่นก็ทำให้แม่ของเขาอาการดีขึ้นตามลำดับ ทำให้เอ็ดมีกำลังใจที่จะทำงานมากขึ้น เอ็ดพบว่า มีเพื่อนร่วมงานของเขาทุกคนที่โดนที่ทำงานเก่าไล่ออก ก็ได้มาทำงานที่นี่เช่นกัน เพราะเจ้านายคนใหม่นี้มีธุรกิจพันล้าน เขาจึงมีตำแหน่งงานให้แทบเหลือเฟือ ที่สำคัญก็คือ เขารับทุกคน และให้ค่าแรงอย่างยุติธรรม ไม่ถึงครึ่งปี ด้วยความสามารถในการทำงานของเอ็ด เขาก็สามารถเก็บเงินจนทำให้ชีวิตของเขาเป็นอยู่ดีขึ้น
          และไม่นาน มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์  ก็ได้ออกมาเรียกร้องสิทธิของความเป็นอยู่ของผิวดำ ว่าคนผิวดำควรที่จะมีชีวิตอยู่ได้เท่าเทียมกับคนผิวขาว ในปี ค.ศ.1964 นายมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ได้เดินขบวนที่อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้เข้าร่วมเดินมากถึง 200,000 คน และสามารถกดดันให้ประธานาธิบดีคนต่อมาคือ นายลินดอน บี จอห์นสัน ยินยอมออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เพื่อให้คนผิวดำสามารถอยู่ร่วมกับคนผิวขาวได้ใน คนผิวดำจำนวนมากที่มีความสามารถ ก็ได้พิสูจน์ความสามารถตนเองจนเป็นที่ยอมรับว่าคนผิวดำก็เก่งไม่แพ้คนผิวขาวเลย การดูถูกสีผิวก็ได้ลดลงไป คนผิวดำจึงได้ใช้ชีวิตประจำวันกับคนผิวขาวได้อย่างสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้
          เพราะว่า ไม่ว่าจะดำหรือจะขาว เราก็คือ มนุษย์เหมือนกัน แตกต่าง แต่ก็ไม่แตกแยก

      Story By ป่านคุง





      แหล่งข้อมูลอ้างอิง

      บุคคลสำคัญ - มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์

      มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (อังกฤษ: Martin Luther King, Jr.; 15 มกราคม พ.ศ. 2472 - 4 เมษายน พ.ศ. 2511) เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง และหมอสอนศาสนานิกายแบปติส เกิดที่นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เป็นบุตรชายของพระแบปติส ได้รับการศึกษาจากวิทยาลัยมอร์เฮาส์ แอตแลนตา จากวิทยาลัยการศาสนาโครเซอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย และจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ต่อมาได้กลายเป็นผู้นำขบวนการเรียกร้องสิทธิเสมอภาคของชาวผิวดำ โดยใช้นโยบาย และแนวทางต่อต้านที่ใช้ความนุ่มนวลตามแนวทางของมหาตมะ คานธี และจากทักษะการพูดต่อสาธารณะที่เป็นที่เลื่องลือ คิงได้เป็นผู้นำในการคว่ำบาตรไม่ยอมรับการแบ่งแยกคนผิวดำที่ไม่ให้โดยสารรถประจำทางร่วมกับคนผิวขาว ที่เมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละบามา และจัดประชุมผู้นำศาสนาคริสเตียนตอนใต้ ในระหว่างนี้เขาถูกจับขังคุกหลายครั้ง

      ในปี พ.ศ. 2506 คิงเป็นผู้นำในการเดินขบวนอย่างสันติที่อนุสาวรีย์ลิงคอล์นในวอชิงตัน ดี.ซี. โดยมีผู้เข้าร่วมเดินมากถึง 200,000 คน ในการประชุมครั้งนี้เองที่คิงได้แสดงสุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงคือ "ข้าพเจ้ามีความฝัน" (I Have a Dream) ในโอกาสนี้เขายังได้ประกาศว่า อเมริกาจะปราศจากความลำเอียงและไม่มีอคติต่อคนผิวสีในปี พ.ศ. 2507
      ในปี พ.ศ. 2507 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับรางวัลสันติภาพเคเนดี (Kendy Peace Prize) รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ความสำเร็จสูงสุดของเขาได้แก่การท้าทายอำนาจของกฎหมายแบ่งแยกผิวในภาคใต้ของ สหรัฐฯ หลังจากปี พ.ศ. 2508 เป็นต้นไป มาร์ติน ลูเธอร์ คิงได้หันความสนใจไปเน้นการรณรงค์ให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมของคนผิวดำ และคนยากจนในภาคเหนือของประเทศซึ่งพบว่าง่ายกว่า นอกจากนี้ คิงได้รณรงค์ต่อต้านการทำสงครามเวียดนาม และจะจัดการชุมนุมใหญ่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อีกครั้งหนึ่ง
      มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกลอบยิงถึงแก่ชีวิตที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี โดยเจมส์ เอิร์ล เรย์ ชาวผิวขาว ซึ่งต่อมาถูกจับกุมได้ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษและถูกศาลพิพากษาจำคุก 99 ปี
      หลังจากที่เขาถูกลอบสังหารในปี พ.ศ. 2511 เขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านเพื่อความยุติธรรมทางเชื้อชาติจวบจนทุกวันนี้
      วันที่ 15 มกราคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับการประกาศให้เป็น "วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง" อันเป็นวันนักขัตฤกษ์ระดับชาติของสหรัฐอเมริกา และได้รับทยอยการยอมรับจากรัฐต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับนับตั้งแต่ พ.ศ. 2529 เป็นต้นมา
      คิงมีชื่อเสียงในเรื่องการพูดต่อสาธารณชน สุนทรพจน์ "I Have a Dream" ที่เขากล่าวในการเดินขบวนปี พ.ศ. 2506 ได้รับการยกย่องอย่างสูง ว่าทรงพลังและเป็นแบบอย่างของการพูดในที่สาธารณะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×