Fic snsd : Love at first sight! [Yuri]
...The End...
ผู้เข้าชมรวม
4,175
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
+ Love at first sight! +
ในแต่ละวัน
เราเดินสวนผู้คนแปลกหน้ามากมาย
แต่จะมีซักกี่คนกัน...
ที่สามารถทำให้หัวใจที่เคยเหนื่อยล้าเต้นแรงขึ้นเพียงแค่สบตา
.
.
.
...จะแน่ใจได้ยังไง...
...ว่าคนที่พึ่งเดินสวนไป...
...จะมีโอกาสได้เดินสวนกันอีก...
.
.
.
คิม แทยอน บนโลกนี้มีคนอยู่เป็นร้อยล้านคนแต่วนมาได้พบเธอ ความบังเอิญเปลี่ยนชีวิตฉันไปแค่แรกเจอที่พบเธอ
ฮวัง ทิฟฟานี่
อยากมีคนรัก...คนมีรักมันเป็นแบบไหน
คนอย่างฉันมันยังไม่เคยเข้าใจ
สวัสดีรีดเดอร์ทุกท่านที่หลงเข้ามา>[]</
ไรเตอร์มีเรื่องใหม่มานำเสนอ>[]<
ไม่รู้จะถูกใจกันมั้ย TT (เรื่องเก่าแกก็ยังไม่จบนะไรเตอร์- -)
ยังไงก็ฝากฟิคเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจรีดเดอร์ด้วยค่า>[]<
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เสียงเพลงดังคลอเบาๆ ภายในร้านกาแฟเล็กๆ เนื่องจากพึ่งเปิดร้านอย่างเป็นทางการได้ไม่นานนักทำให้ลูกค้าในร้านค่อนข้างจะบางตา ภายในร้านเลยค่อนข้างเงียบสงบ...
ร่างเล็กที่นั่งอยู่มุมในสุดท้าวคางเหม่อมองออกไปด้านนอกร้านผ่านกระจกใสด้วยแววตาเลื่อนลอย ความคิดน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นเมื่อเห็นคู่รักเดินกระหนุงกระหนิงผ่านหน้าร้านเสียหลายคู่ เห็นแล้วก็อดหมันไส้กับอิจฉาลึกๆ เสียไม่ได้
มองไปทางไหนก็เจอแต่คนมีความรัก...
แล้วเมื่อไหร่ล่ะ...
ที่ฉันจะได้เจอมันบ้าง?
มองไปก็รังแต่จะทำให้หงุดหงิดใจเสียเปล่าๆ เบนสายตาเข้ามาภายในร้านแต่ก็ไม่วายเห็นคู่รักอีกคู่กำลังนั่งกระหนุงกระหนิงกันตรงหน้าโดยไม่อายสายตาเพื่อนอย่างเธอที่นั่งมองอยู่
“สิก้า ขอคำนึงสิ”
“อ่ะ”
“ไม่ใช่ ยูลอยากได้ ‘คำว่ารัก’ น่ะ”
ควอน ยูริหันไปเอ่ยเสียงออดอ้อนกับ จอง เจสสิก้า แฟนสาวที่คบกันมาได้ระยะนึง เจสสิก้าจึงตักไอศครีมยื่นไปจ่อตรงปากของยูริแต่เจ้าตัวกลับตอบปฏิเสธแล้วยิงมุกเสี่ยวๆ ใส่แทนซะนี่!
คนฟังก็อายม้วนตีเข้าให้ที่ไหล่ของยูริแก้เขิน ก้มหน้าก้มตากินไอศกรีมตรงหน้า ทำเป็นไม่สนใจทั้งๆ ที่หน้าแดงลามถึงหู!
คนหยอดมุกก็ได้ทีนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จะมีก็เพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถอนหายใจเฮือกใหญ่เอ่ยเสียงล้อเลียน
“สิก้า ขอคำนึงสิ ไม่ใช่ ยูลอยากได้ คำว่ารัก น่ะ แหวะ จะอ้วก”
ยูริตวัดสายตาหันมาเขม่น คิม แทยอน เพื่อนสนิทชนิดรู้ไส้รู้พุงด้วยสายตาอาฆาต ก็เล่นพูดขัดบรรยากาศหวานชื่นของเธอกับคนรัก จะไม่ให้โมได้ยังไง!
“อิจฉาล่ะสิไอ้แท อย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ ฉันเห็นแกนั่งมองคู่รักเดินไปมาแล้วก็ถอนหายใจเป็นสิบๆ รอบจนฉันอดหมันไส้ไม่ได้ต้องแกล้งหวานกับสิก้าให้แกหมันไส้เล่น”
“ใคร? ใครว่าฉันอิจฉา แค่รู้สึกคลื่นไส้ นี่ถ้าฉันไม่เสียดายเค้กโคตรแพงของร้านแกที่พึ่งกินเข้าไปนี่ฉันจะอ้วกออกมากองตรงหน้าแล้วเนี่ย!” แทยอนพูดด้วยท่าทางมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด ยูริกระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ พูดเยาะเพื่อนร่างเล็ก
“เหอะ ก็งี้ พวกไม่ยอมรับความจริง ไม่มีปัญญาหาอย่าฉันล่ะสิ ก็เพราะว่าคนอย่างแกมันไม่มีใครเอาไง” ยูริพูดแดกดันจี้ใจดำแทยอนจนเจ้าตัวสะอึก นั่งจุกเถียงไม่ออก เมื่อตั้งสติได้ก็รีบเถียงกลับทันที
“อะไรๆ ฉันนี่นะจะไม่มีใครเอา ถ้าฉันจะเอาซักอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยาก” แทยอนยังทำปากแข็งไม่ยอมแพ้เพื่อนสนิทตรงหน้า กอดอกทำเท่ แต่มีหรือที่ยูริจะดูไม่ออก คบกันมาตั้งกี่ปี ทำไมแค่นี้จะดูไม่ออกว่าเจ้าตัวพยายามโกหกสุดฤทธิ์
“งั้นแกช่วยไปหาซักคนมายืนยันให้ฉันดูซิ ว่าอย่างแกก็มีคนเอา”
“เธอๆ เดินระวังตกนะ”
“...”
“ระวังตกหลุมรัก”
ทันทีที่ฟังคนแปลกหน้าหยอดมุกเสี่ยวใส่เสร็จหญิงสาวก็รีบเดินหนีไปทันที สร้างความผิดหวังให้แก่ร่างเล็กที่อุตส่าห์หน้าด้านหน้าทนมายืนแซวสาวอยู่ข้างถนนเป็นอย่างมาก นึกหงุดหงิดเพื่อนตัวดีในใจ...
ไอ้ยูลนะไอ้ยูล! ทำไมก่อนหน้านี้ที่มันแซวสาวแบบเราประโยคเดียวกันมันก็ได้หิ้วสาวกลับบ้านแล้วแว้!? แล้วทำไมทีเราแซวบ้างไม่เห็นได้ผู้หญิงกลับบ้านบ้างเนี่ย!
ไอ้แทเอ้ย! ดันปากหนักไม่ยอมรับความจริง ได้เรื่องเลยเป็นไง! ไม่มีหนทางจนต้องมายืนจีบสาวข้างถนนเผื่อเหยื่อจะติดเบ็ดจะได้ลากเข้าร้านไปโชว์ไอ้ยูลว่า คนอย่างไอ้แทก็มีคนเอาล่ะว้า!
แต่ทำไมไม่มีเหยื่อติดเบ็ดซักตัวเลยเนี่ย! ยืนแซวมากี่คนล่ะยังไม่ได้ซักคน เอาวะ สู้ต่อไป แทยอนไฟท์ติ้ง!!!
อุ้ยๆ คนนั้นดูดี ผิวขาว ผมยาว ตาโต แก้มป่อง
คนนี้แหละ!
“เธอๆ”
“หือ?...”
“เธอหน้าเหมือนคนที่อยู่ในนี้เราเลยอ่ะ” เอ่ยพร้อมชี้นิ้วมาที่หน้าอกด้านซ้ายโดยไม่ลืมที่จะโปรยยิ้มหวานหากแต่หญิงสาวร่างสูงกลับยิ้มแหยๆ คืนแล้วรีบก้าวยาวๆ เดินจากไป
คนที่หกแล้วก็ยังล้มเหลว!
หรือจะจริงอย่างที่ไอ้ยูลพูด...
‘ก็เพราะว่าคนอย่างแกมันไม่มีใครเอาไง’
คำพูดของยูริดังก้องในหัวของแทยอนจนเจ้าตัวรับความจริงไม่ได้ยกมือขึ้นอุดหูก้มหน้าหลับตาแน่นสะบัดหัวหวังว่ามันจะทำให้คำพูดของยูริหายไป พูดกับตัวเองว่ามันไม่จริงๆ
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!
แทยอนสะบัดหัวเป็นครั้งสุดท้ายแล้วลืมตาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะสะดุดเข้ากับใครบางคน...
ดวงตามีเสน่ห์สบเข้ากับดวงตาของแทยอน เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เวลาหยุดเดิน รอบกายมีผู้คนมากมายหากแต่มีเพียงคนเดียวที่มองเห็นในสายตา...
หัวใจที่เคยเต้นปกติกลับเต้นแรงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งร่างบางส่งรอยยิ้มหวานมาให้ก็ยิ่งแทบทำให้แทยอนละลายกองลงกับพื้น...
‘นี่รึเปล่า...ความรักที่ฉันตามหา...’
.
.
.
“พูดแรงไปหรือเปล่ายูล” เจสสิก้าหันถามยูริที่นั่งอยู่ด้านข้าง แอบเห็นใจแทยอนที่ถูกยูริพูดดูถูกจี้ใจดำ
“ไม่หรอกสิก้า ไอ้แทมันพวกประเภทยิ่งถูกท้าทายยิ่งทำตาม”
“แล้วทำไมยูลต้องไปท้าทายแทด้วยล่ะ” เจสสิก้าถามด้วยความไม่เข้าใจ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ก็ยูลอยากให้แทมันรู้จักความรักบ้างน่ะสิ”
.
.
.
Taeyeon Part
ใจเต้นแรงเพียงแค่สบตา หวั่นไหวเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้ม ทันทีที่เห็นแผ่นหลังของเธอค่อยๆ ห่างออกไป สมองก็สั่งการให้ก้าวขาเดินตามหลังไป พยายามคิดหาทางที่จะเข้าไปทำความรู้จักเธอ ไม่เคยรู้สึกอยากทำความรู้จักกับใครเพียงแค่เห็นหน้าครั้งเดียวเท่ากับเธอ...ที่ฉันอยากรู้จักก็คงเป็นเพราะ...เธอขโมยหัวใจฉันไปเพียงแค่สบตา...
Tiffany Part
ร่างบางก้าวขายาวๆ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนเดินตามหลังสะกดรอยตามเธอมา ใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัว คิดหาทางออกที่จะสลัดโรคจิตที่เดินตามหลังมา สุดท้ายก็นึกหาที่พึ่งสำคัญได้จึงล้วงหยิบโทรศัพท์สีหวานขึ้นมากดโทรออก
(ว่าไงฟานี่ มีเรื่องอะไรให้พี่ต้องปวดหัวอีกล่ะ)
“พี่ซูคะช่วยฟานี่ด้วย มีโรคจิตเดินตามหลังฟานี่มาค่ะ!” ทันทีที่ปลายสายกดรับแล้วเอ่ยทักขึ้นมาทิฟฟานี่ก็รีบร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงร้อนลน
(ห๊ะ! ใจเย็นๆ ก่อนนะฟานี่ ฟานี่แน่ใจแล้วนะว่าเป็นโรคจิตเดินตามหลังมา ไม่ใช่ว่าบังเอิญไปทางเดียวกันหรอ) ชเว ซูยอง พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็น เรียกสติให้ญาติผู้น้องห่างๆ ที่ต้องนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“แต่เขาเดินตามฟานี่มาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วนะคะพี่ซู แถมท่าทางไม่เหมือนกับว่าไปทางเดียวกัน เหมือนเขาเดินตามฟานี่มามากกว่า” รีบเอ่ยแก้ความคิดเห็นของซูยองในขณะที่เหลียวมองไปด้านหลังก็ยังเห็นร่างเล็กเดินตามมาห่างๆ
(พี่ติดธุระอยู่ซะด้วยสิ ฟานี่คงต้องช่วยตัวเองแล้วแหละ)
“พี่ซู ฟานี่กลัว...”
(ไม่ต้องกลัวหรอก ตั้งใจฟังดีๆ นะ เดี่ยวพี่จะบอกวิธีจัดการโรคจิตที่ตามหลังฟานี่ให้เอง)
“ค่ะ”
แทยอนยังคงเดินตามหลังร่างบางไปเรื่อยในขณะที่คิดหาทางเข้าไปทำความรู้จัก แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกซักที นี่ก็เดินตามมาเกือบจะชั่วโมงแล้ว เหมือนกับว่าที่กำลังทำอยู่ไม่ต่างไปจากการไปตาบเอาดาบหน้า...
เพราะมัวแต่เหม่อก้มหน้าคิดหาทางอยู่นั้นพอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีร่างบางที่เคยเดินตามมาก็หายไป แทยอนลนลานรีบวิ่งไปข้างหน้ามองหาร่างบาง แค่คิดว่าต่อจากนี้จะไม่มีโอกาสจะได้เจอกับ ‘รักแรกพบ’ อีกแล้ว ร่างกายมันก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงแปลกๆ
พลั่ก!
โดยไม่ทันระวังตัว แทยอนโดนไม้ฟาดเต็มแรงที่ศีรษะจนเจ้าตัวทรุดลงกับพื้นก่อนที่สติทั้งมดจะดับวูบลง...
ตายล่ะ!!!
ทิฟฟานี่ตกใจจนเผลอปล่อยไม้ในมือลงกับพื้น ยืนตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อพลั้งมือฟาดไม้เสียเต็มแรง
จะตายไหมเนี่ย!! หมียังไม่อยากไปนอนในคุกนะ!
‘ฟานี่หาจังหวะที่มันเผลอแล้วรีบหาที่หลบ หาอะไรก็ได้เหมาะๆ มือ พอไอ้โรคจิตนั่นมันวิ่งหาฟานี่ไปข้างหน้า ฟานี่ก็รีบวิ่งไปข้างหลังแล้วฟาดเลยนะ แต่อย่าฟาดแรงไปล่ะ เดี๋ยวเกิดตายขึ้นมาคราวนี้คนที่จะไปนอนในคุกอาจจะเป็นฟานี่แทนก็ได้’
แล้วนอนนิ่งแบบนี้เขาตายยังอ่ะพี่ซู~
ทิฟฟานี่ครวญครางในใจ นั่งลงข้างๆ ร่างเล็กที่นอนนิ่งไป ใช้นิ้วชี้จิ้มสีข้างพร้อมเอ่ยเรียกเบาๆ
“นี่...ตายยัง”
สิ่งที่ได้รับตอบกลับมาคือความเงียบ ทิฟฟานี่เริ่มใจเสียมากขึ้น จึงตัดสินใจค่อยๆ จับร่างเล็กพลิกตัวหงายขึ้น
เอามืออังจมูกพอรู้ว่าอีกฝ่ายยังหายใจอยู่ก็ถอนหายใจโล่งอก
เฮ้อ...นึกว่าจะต้องไปนอนในคุกซะแล้ว...แล้วจะเอายังไงต่อดีเนี่ย?
มองใบหน้าใสของคนแปลกหน้าในขณะที่ใคร่คิดไปด้วย ดูท่าทางก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรแถมหน้าตาดีด้วยซ้ำ หรือจะเป็นเธอเองที่เข้าใจผิดนึกว่าอีกฝ่ายเป็นโรคจิต!
ความรู้สึกผิดบวกกับหดหู่ในใจทำให้ทิฟฟานี่ตัดสินใจที่จะพาอีกคนกลับไปที่บ้านก่อน...
“ขอบคุณนะคะคุณลุง”
ทิฟฟานี่โค้งตัวขอบคุณเมื่อคุณลุงที่ขับรถแท็กซี่มาส่งที่บ้านอาสาจะช่วยพยุงแทยอนเข้ามาภายในบ้าน เมื่อกล่าวลาและขอบคุณเสร็จทิฟฟานี่ก็ปิดประตูแล้วหันมามองคนแปลกหน้าเจ้าปัญหาที่ยังคงนอนนิ่งไม่ได้สติ พอโทรไปจะขอคำปรึกษาจากซูยอง เจ้าตัวก็ดันปิดเครื่อง ทิฟฟานี่จึงลำบากใจไม่น้อยในเมื่อมีเรื่องอะไรเธอก็จะโทรไปขอคำปรึกษาจากซูยองเสมอ
ทิฟฟานี่เดินมานั่งบนโซฟาตัวตรงข้ามกับตัวที่ร่างเล็กนอนนิ่งอยู่ ท้าวคางมองใบหน้าใสที่หลับไม่รู้เรื่อง มีความคิดว่าคนตรงหน้าก็ดูน่ารักดี คงไม่มีทางจะเป็นโรคจิตอย่างที่เธอเข้าใจ สงสัยถ้าเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาคงต้องเอ่ยขอโทษเป็นการใหญ่
ร่างเล็กที่เคยนอนนิ่งขยับตัวน้อยๆ ก่อนจะปรือตาขึ้นมองรอบข้าง ขมวดคิ้วงุนงงร้องโอดครวญเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บที่ศีรษะจนต้องยกมือขึ้นกุม ยันตัวลุกขึ้นนั่งมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็มาหยุดที่ทิฟฟานี่ ขมวดคิ้วงงเอ่ยถามคนแปลกหน้าตรงหน้าด้วยความสงสัย
“เอ่อ...คุณเป็นใครคะ...แล้วที่นี่ที่ไหน”
“ฉันฮวัง ทิฟฟานี่ค่ะ ที่นี่คือบ้านของฉัน ต้องขอโทษคุณจริงๆ นะคะ พอดีฉันนึกว่าคุณเป็นโรคจิตที่เดินตามหลังมาเลยทำร้ายคุณจนคุณสลบไป ว่าแต่คุณชื่อ...”
“ฉันชื่อ...”
“....”
“เอ่อ...ว่าแต่...ฉันเป็นใครเนี่ย...”
คำพูดของร่างเล็กทำให้ทิฟฟานี่นั่งตาโตตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้แค่อย่างเดียวว่าตัวเองมีงานเข้า!
“ห๊ะ! อย่าบอกนะว่าคุณ...จำอะไรไม่ได้เลย อย่ามาอำกันเล่นดีกว่า นึกดีๆ สิ อาจจะเป็นเพราะฉันตีหัวคุณแรงเกินไปก็ได้ พอคุณตื่นมาก็เลยเบลอๆ ยังจำอะไรไม่ได้ คิดดีๆ สิ” ทิฟฟานี่พูดรัวๆ เร็วๆ จนหายใจแทบไม่ทัน ร่างเล็กนั่งขมวดคิ้วพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ นึกว่าตัวเองเป็นใคร แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ฉันนึกไม่ออกอ่ะ”
ทิฟฟานี่ยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่น่าหาภาระใส่ตัวเองเลยแท้ๆ สุดท้ายก็ไม่พ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาซูยอง โชคยังพอเข้าข้างเมื่ออีกฝ่ายเปิดเครื่องแล้ว รอสายไม่นานปลายสายก็กดรับ
(เป็นไงบ้าง จัดการไอ้โรคจิตตามแผนพี่ได้ไหม)
“ได้ค่ะ...ได้ผลดีด้วย!” ทิฟฟานี่กัดฟันพูด แอบเคืองร่างสูงไม่น้อยที่ให้คำแนะนำได้ดีมาก
(แล้วเป็นยังไง เล่าให้พี่ฟังหน่อยๆ)
“ก็เพราะแผนพี่ซูนั่นแหละ! ฟานี่ตีไปสุดแรงเขาเลยสลบ พอพามาที่บ้านแล้วเขาตื่นก็บอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย!”
(ห๊ะ! แล้วใครบอกให้เธอตีเต็มแรงห๊ะ! งานเข้าแล้วไงยัยหมีอ้วน)
“พี่ซูช่วยฟานี่เลย ฟานี่จะทำยังไงกับเขาดี”
(ดูกระเป๋าตังค์เขาสิ ในนั้นน่าจะมีบัตรประชาชนนะ)
“จริงด้วย!”
เมื่อด้ำแนะนำแล้วทิฟฟานี่ก็กดตัดสายแล้วรีบหันมาทางร่างเล็กที่นั่งมองไปรอบข้างด้วยควาอยากรู้อยากเห็น
“คุณคะ ขอฉันดูกระเป๋าตังค์ได้ไหมคะ”
ร่างเล็กมองทางทิฟฟานี่แล้วพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง แต่หาเท่าไหร่ก็หากระเป๋าตังค์ไม่เจอแทยอนจึงทำได้เพียงหันไปยิ้มแหยๆ ให้ทิฟฟานี่
“แหะๆ ไม่มีอ่ะ”
ทิฟฟานี่แทบล้มทั้งยืนต้องกดโทรออกหาซูยองอีกหนเมื่อเรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น ซูยองรับสายด้วยเสียงเนือยๆ
(อะไรอีกเนี่ยฟานี่ แฟนพี่ยังไม่โทรหาพี่บ่อยเท่าเราเลยนะ)
“แย่แล้วพี่ซู เขาไม่มีกระเป๋าตังค์อ่ะ”
(คนบ้าอะไรวะไม่มีกระเป่าตังค์ หนทางสุดท้ายฟานี่ พาไปหาตำรวจให้เขาช่วย)
“พี่ซูจะบ้าเรอะ! ขืนทำงั้นสงสัยฟานี่ได้เข้าไปนอนในคุกพอดี”
(นอกนั้นพี่ก็คิดไม่ออกแล้ว แค่นี้นะ! พี่จะคุยกับแฟนบ้าง!)
“เดี่ยวพี่...”
ตู๊ดๆ
ยังไม่ทันเอ่ยห้ามอีกฝ่ายซูยองก็กดตัดสายไป ทิฟฟานี่ก่นด่าซูยองด้วยความโมโหก่อนจะหันไปทางร่างเล็กด้วยสีหน้าเนือยๆ เป็นแบบนี้ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ร่างเล็กอยู่ที่นี่ไปก่อนจนกว่าจะจำอะไรได้
“สงสัยคุณต้องอยู่ที่นี่กับฉันก่อนแล้วกัน ต้องขอโทษจริงๆ นะคะที่ทำให้คุณลำบาก”
“ฉันมากกว่าที่ทำให้เธอลำบาก”
ทั้งสองต่างคนต่างส่งยิ้มแหยๆ ให้กัน จะเรียกคุณๆ เธอๆ ไปจนกว่าอีกฝ่ายจะจำตัวเองได้ก็ดูยังไงๆ อยู่ ทิฟฟานี่จึงจัดการคิดชื่อให้อีกฝ่าย มองร่างเล็กไปพลางครุ่นคิดไปพลาง
“อ๋อ! ก่อนอื่นต้องตั้งชื่อใช้เรียกคุณก่อน เอาเป็นชื่อ...คังอาจิ!”
“คังอาจิ....มันแปลว่าน้องหมานี่ ตั้งชื่อให้มันดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรอ”
“เหมาะกับคังอาออก ฮ่าๆ”
ทิฟฟานี่หัวเราะจนหน้าแดง คังอาจิได้แต่นั่งมองทำหน้าเหนื่อยใจจนสุดท้ายเมื่อทิฟฟานี่หยุดหัวเราะร่างเล็กจึงเอ่ยขึ้น
“คังอา...จะว่าไปก็น่ารักดีเหมือนกันนะ”
.
.
.
ร่างบางและร่างเล็กที่เดินเข้าในห้องยืนตกลงกันว่าจะไปซื้ออะไรกันก่อน ทิฟฟานี่จำเป็นต้องเจียดเงินของตนซื้อของให้ร่างเล็ก ถึงจะเสียดายเงินเล็กๆ แต่มันก็ช่วยไม่ได้
“จะไปซื้ออะไรก่อนดีคังอา”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่ฟานี่”
เมื่อร่างเล็กเอ่ยจบทิฟฟานี่ก็ยืนครุ่นคิดก่อนจะเดินนำไป ร่างเล็กรีบเดินตาม ผู้คนที่เดินกันพลุกพล่านภายในห้างทำให้ร่างเล็กเริ่มกลัวหลงเหมือนเด็กๆ รีบเดินไปใกล้ทิฟฟานี่แล้วคว้ามือมาจับไว้ ทิฟฟานี่สะดุ้งน้อยๆ แล้วหันมามองทางร่างเล็ก
“คังอากลัว...คังอากลัวหลง”
ทิฟฟานี่หลุดยิ้มออกมากับท่าทางเด็กๆ ของร่างเล็ก กระชับมือให้แน่นขึ้นแล้วเดินต่อไป...
“ตัวนี้เหมาะกับคังอาจัง”
ทิฟฟานี่ยืนกอดอกมองร่างเล็กที่กล้าๆ กลัวๆ ที่จะเดินออกมาจากห้องลองเสื้อจนทิฟฟานี่ต้องเดินไปฉุดออกมา ร่างเล็กก้มหน้ามองพื้นอย่างเขินๆ เมื่อโดนทิฟฟานี่จ้อง
“เอาตัวนี้แล้วกันนะคังอา”
ทิฟฟานี่เอ่ยยิ้มๆ แล้วหันไปเลือกเสื้อผ้าให้ร่างเล็กเพิ่มอีกสองสามตัว เมื่อจัดการจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วทิฟฟานี่ก็ลากร่างเล็กไปแผนกชุดชั้นในจัดการเลือกให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพแล้วนำไปจ่ายเงิน ร่างเล็กได้แต่เดินตามแบบเขินๆ
ที่สุดท้ายที่ทิฟฟานี่พาร่างเล็กไปคือซุปเปอร์ ทั้งสองเดินเข็นรถเข็นไปด้วยกัน เมื่อเดินเลือกซื้อของจำเป็นได้หมดแล้วทิฟฟานี่ก็นำไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ ร่างเล็กมองทิฟฟานี่ด้วยสายตาเศร้าๆ จนทิฟฟานี่ต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปคังอา”
“คังอารบกวนฟานี่ตั้งเยอะ...คังอารู้สึกไม่ดี” ทิฟฟานี่ยิ้มน้อยๆ ออกมาลูบหัวร่างเล็กเบาๆ เอ่ยเสียงนุ่ม
“ไม่เป็นไรหรอกคังอา เพราะฟานี่ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้คังอาต้องเป็นแบบนี้ คังอาสมควรจะโกรธฟานี่ด้วยซ้ำ”
ร่างเล็กรีบเงยหน้าขึ้นมาส่ายหัวปฏิเสธคำพูดของทิฟฟานี่ทันที
“ไม่นะๆ คังอาไม่โกรธฟานี่ ฟานี่ใจดี” ร่างเล็กเอ่ยแล้วส่งยิ้มกว้างให้ทิฟฟานี่ เจ้าตัวเห้นก็อดยิ้มตามไม่ได้ ความรู้สึกที่เคยคิดว่าเป็นภาระกลับเปลี่ยนไป
บางที...อะไรมันก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้...
ค่ำคืนที่เคยเงียบเหงาไม่เป็นอย่างที่แล้วมาเมื่อมีใครอีกคนอยู่เป็นเพื่อน ร่างเล็กนั่งจดจ้องตัวการ์ตูนในจอสี่เหลี่ยมที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาส่งเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ ผมซอยสั้นเปียกน้ำร้อนให้ทิฟฟานี่ต้องเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาถือไว้ในมือแล้วเดินอ้อมไปด้านหลังร่างเล็กก่อนจะจัดการเช็ดผมให้อีกฝ่ายพร้อมบ่นตำหนิร่างเล็กด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะคังอา”
ร่างเล็กทำแก้มป่องเมื่อถูกทิฟฟานี่ตำหนิ บ่นเบาๆ ขึ้นมาให้ทิฟฟานี่ได้ยิน
“บ่นเหมือนแม่เลย”
ทิฟฟานี่ชะงักมือที่กำลังเช็ดผมให้ร่างเล็ก ตาลุกวาวด้วยความโมโหเจือหมั่นไส้คนร่างเล็ก กัดริมฝีปากล่างจัดการเช็ดผมให้ร่างเล็กด้วยความรุนแรงชนิดที่ว่าถ้าหัวหลุดติดมือมานี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก!
“โอ๊ย! เบาๆ หน่อยสิฟานี่ ถ้าหัวคังอาหลุดจะทำยังไง”
คำพูดเอ่ยห้ามของร่างเล็กไม่ได้ทำให้ทิฟฟานี่หยุดการกระทำแต่อย่างใด กลับเช็ดผมให้อีกฝ่ายแรงกว่าเดิมจนร่างเล็กทนไม่ไหวพลิกตัวกลับไปจ้องทิฟฟานี่ตรงๆ คว้าแขนอีกฝ่ายสั่งให้หยุดการกระทำกรายๆ ทิฟฟานี่ทำเสียงในลำคอแล้วเดินมาทิ้งตัวนั่งด้านข้างร่างเล็ก กอดอกค้อนใส่อีกฝ่าย
“พูดล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ เอง~” ร่างเล็กลากเสียงยาว เขยิบมาเกาะไหล่ทิฟฟานี่แต่ก็โดนอีกคนสะบัดจนหลุดด้วยท่าทีเคืองๆ
“ง่ะ~ ฟานี่โกรธคังอาหรอ...”
“...”
“คังอาขอโทษ” ร่างเล็กเอ่ยเสียงสำนึกผิดแต่ดูเหมือนว่าทิฟฟานี่จะไม่หายเคืองง่ายๆ จนร่างเล็กต้องงัดไม้ตายที่พอจะคิดออกขึ้นมาใช้
“ถ้าฟานี่ไม่หายโกรธ คังอาจะร้องไห้แล้วนะ”
“
”
“ร้องจริงๆ ด้วย”
“...”
“ฮึกๆ ฮือๆ แงๆ” น้ำใสเอ่อไหลออกมาจากดวงตาของร่างเล็กหยั่งกับบังคับได้ ตอนแรกทิฟฟานี่ก็ยังคงเมินกอดอดเบือนสายตามองไปทางอื่น แต่เมื่อร่างเล็กเริ่มสะอื้นหนักๆ เข้า ก็อดจะเหลือบมองไม่ได้ พอเห็นร่างเล็กร้องไห้ตาแดงก่ำอารมณ์(แกล้ง)เคืองที่เคยมีก็หายไปฉับพลัน
“ร้องจริงอ่ะ! ฟานี่แค่แกล้งเคืองเองน้า ไม่ร้องนะคังอา” ทิฟฟานี่ดึงร่างเล็กเข้ามาสวมกอด ตบหลังเบาๆ ปลอบประโลมอีกฝ่าย ร่างเล็กก็ยังคงสะอื้นไม่หยุดจนทิฟฟานี่อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่แกล้งอีกฝ่ายไม่เข้าท่า
“ทำไม..ฮึกๆ...ฟานี่ต้องแกล้งคังอาด้วย ฮือๆ”
“หยุดร้องนะคังอา ฟานี่ขอโทษ ถ้าคังอาหยุดร้องไห้ฟานี่สัญญาว่าถ้าคังอาอยากได้อะไรฟานี่จะหามาให้ทุกอย่างเลย”
ในที่สุดความพยายามก็เป็นผลเมื่อเสียงสะอื้นของร่างเล็กเงียบหายไป ทิฟฟานี่ถอนหายใจโล่งอกที่แผนเอาของมาล่อร่างเล็กนั้นได้ผล ไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่ร่างเล็กจะความจำเสื่อมมีนิสัยเหมือนเด็กๆ แบบนี้ด้วยหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณแผนเอาของเข้าล่อของเธอที่มันใช้ได้ผล รอยยิ้มโล่งอกถูกแทนที่ด้วยใบหน้างุนงงเมื่อร่างเล็กที่พึ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาหมาดๆ กลับกุมท้องหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆ”
ทิฟฟานี่ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ด้วยความไม่เข้าใจ หรือว่าจะเป็นบ้าไปแล้ว?
นั่งสงสัยได้ไม่นาน ร่างเล็กก็เอ่ยเสียงขันขึ้นมา...
“ฮ่าๆ หายกันนะฟานี่”
ข้อข้องใจถูกไขให้กระจ่าง ทิฟฟานี่เลิกขมวดคิ้วเปลี่ยนเป็นจ้องร่างเล็กด้วยความหมั่นไส้ คนถูกจ้องดูจะไม่สนใจมัวแต่กุมท้องหัวเราะไม่หยุด ทิฟฟานี่อาศัยจังหวะที่ร่างเล็กไม่รู้ตัวบีบไหล่ร่างเล็กแน่นดึงไปดึงมา
“อ๊าาาาาาาา”
เมื่อทิฟฟานี่แกล้งอีกคนจนพอใจก็ลุกขึ้นวิ่งหนีขึ้นไปด้านบน ร่างเล็กไม่รอช้ารีบก้าวขาสั้นๆ ของตัวเองให้ยาวที่สุดจนทิฟฟานี่อยู่ห่างแค่เอื้อมมือ ในขณะที่ทิฟฟานี่กำลังจะเข้าไปในห้องร่างเล็กก็โถมตัวเข้าใส่ทิฟฟานี่จนล้มลงไปนอนด้วยกันทั้งคู่
ความเงียบถูกปกคลุม ใบหน้าที่ห่างกันเพียงคืบทำให้ทิฟฟานี่ได้เห็นใบหน้าใสราวกับเด็กของร่างเล็กชัดๆ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ร่างเล็กเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทิฟฟานี่หลับตาพริ้มรอรับสัมผัส...
ร่างเล็กยกกระตุกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเคลื่อนหน้าไปข้างหูของทิฟฟานี่ กระซิบเสียงแผ่วเบา
“อย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้นะฟานี่ แล้วคังอาจะทวงมันเมื่อถึงเวลา...”
เมื่อเอ่ยจบร่างเล็กก็ยันตัวลุกขึ้น จ้องมองใบหน้าขึ้นสีเรื่อของทิฟฟานี่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินลงไปด้านล่าง ปล่อยให้ทิฟฟานี่คิดทบทวนว่าตัวเองให้ ‘สัญญา’ อะไรไว้กับร่างเล็ก...
‘หยุดร้องนะคังอา ฟานี่ขอโทษ ถ้าคังอาหยุดร้องไห้ฟานี่สัญญาว่าถ้าคังอาอยากได้อะไรฟานี่จะหามาให้ทุกอย่างเลย’
คำพูดที่เคยให้สัญญากับร่างเล็กแล่นเข้ามาในหัว ยกมือขึ้นตบหน้าผากเสียงดังเอ่ยตัดพ้อกับตัวเองเบาๆ
“เอาแล้วไงฟานี่ หวังว่าคังอาจะไม่ขออะไรพิเรนทร์ๆ นะ”
“ไปสวนสนุกไหมคังอา”
ทิฟฟานี่เอ่ยชวนคนด้านข้างที่จดจ้องจอสี่เหลี่ยมไม่วางตา แต่ทันทีที่ได้ยินคำชวนของทิฟฟานี่ก็หันมาทำตาลุกวาวทันที
“สวนสนุก!”
“จะไปก็วิ่งขึ้นไปแต่งตัวเลยให้เวลาสิบนาที” ร่างเล็กรีบวิ่งขึ้นไปด้านบนทันที ไอ้ท่าทางเหมือนเด็กๆ นั่นอดทำให้ทิฟฟานี่อมยิ้มไม่ได้ ส่ายหน้ากับตัวเองน้อยๆ พูดเสียงขันกับตัวเอง
“เหมือนมีลูกเลยแห๊ะเรา”
‘ฟานี่ไปเล่นไอ้นั่นกัน!’
‘ฟานี่ไอ้นั่นน่าเล่นจัง ไปเล่นกัน!’
‘ฟานี่เล่นอันนั้นต่อนะๆ’
‘ฟานี่เล่นอันนู้นด้วยๆ’
“แหวะ!” ทิฟฟานี่ยืนเอามือทาบอกอาเจียนลงถังขยะโดยมีร่างเล็กยืนลูบหลังอยู่ข้างๆ ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาเธอโดนร่างเล็กลากไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวติดๆ กัน แทบไม่ได้พัก สุดท้ายสภาพในตอนนี้แทบไม่ต่างไปจากศพเดินได้ อยากจะปฏิเสธแต่ยังไม่ทันพูดก็โดนอีกคนฉุดไปขึ้นเครื่องเล่นซะแล้ว
“ฟานี่รอตรงนี้แป๊บนึงนะ”
ร่างเล็กเอ่ยแล้วก็วิ่งหายไป ทิฟฟานี่ย้ายร่างไร้เรี่ยวแรงมาทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ นั่งรอร่างเล็กได้ไม่นานอีกคนก็วิ่งมาพร้อมยาดมกับน้ำขวดในมือ ทิฟฟานี่รีบคว้ายาดมขึ้นมาสูดเข้าเต็มปอด รับน้ำขึ้นมาดื่ม อาการคลื่นไส้ค่อยทุเลาลงหน่อย
“คังอาขอโทษนะที่ทำให้ฟานี่เป็นแบบนี้” ร่างเล็กยืนกุมมือก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาทิฟฟานี่ ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองร่างเล็กแล้วก็ระบายยิ้มออกมาบางๆก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนกอดคอร่างเล็ก
“งั้นทดแทนที่คังอาลากฟานี่ไปตามใจชอบ ฟานี่จะลากคังอาไปตามใจฟานี่บ้างน้า~!” เอ่ยเสียงร่าเริงยังไม่ทันที่ร่างเล็กจะเอ่ยตอบรับคำพูดทิฟฟานี่ก็ลากร่างเล็กไปที่ร้านขายของที่ระลึกซะแล้ว
“อ่า~ น่ารักจังเลย” ทิฟฟานี่ปล่อยมือที่กอดคอร่างเล็กวิ่งตรงไปยังตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดตาด้วยดวงตามีประกาย หยิบขึ้นมาดูทันทีด้วยความสนใจ แต่พอได้เห็นราคาก็ต้องยิ้มแหยๆ แล้วรีบวางลงทันที
“คังอา เข้าไปดูในร้านกัน”
ทิฟฟานี่หันมาพูดกับร่างเล็กแต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นร่างเล็กยืนอยู่อย่างที่คิด ชะเง้อคอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เจอร่างคุ้นเคย หมุนตัวกวาดสายตาไปรอบบริเวณ ผู้คนที่เดินกันพลุกพล่านเป็นอุปสรรค์อย่างดีในการมองหาร่างเล็ก เริ่มร้อนใจเป็นห่วงร่างเล็กที่หายไปเสียดื้อๆ
อยู่ไหนกันนะคังอา...
อย่าแกล้งให้ร้อนใจเล่นได้ไหม...
รู้มั้ยว่าฉันเป็นห่วงเธอมาก...
นึกโทษตัวเองในใจที่ปล่อยให้ร่างเล็กคลาดสายตาไปเสียได้ ถ้าเพียงแต่เธอไม่สนใจอย่างอื่นมากกว่าคนร่างเล็ก เรื่องมันก็คงไม่เกิดขึ้น...
ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น...
Taeyeon Part
“งั้นทดแทนที่คังอาลากฟานี่ไปตามใจชอบ ฟานี่จะลากคังอาไปตามใจฟานี่บ้างน้า~!” ทิฟฟานี่กอดคอลากฉันไปที่ที่เธออยากไป แอบลอบมีความสุขคนเดียว
ถึงจะรู้สึกผิดไปบ้างที่โกหก
แต่มันก็คุ้ม...กับการที่ได้ใกล้ชิดเธอ...
ใช่แล้ว!
ฉันหลอกทิฟฟานี่ว่าตัวเองความจำเสื่อม เหตุผลที่ทำลงไปก็คงไม่พ้นอยากทำความรู้จัก อยากใกล้ชิด หากฉันไม่ทำเช่นนี้ ก็คงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเธอถึงเพียงนี้หรอก
ยิ่งได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากเท่าไหร่...
ฉันก็ยิ่งหลงรักเธอมากเท่านั้น...
“อ่า~ น่ารักจังเลย” ทิฟฟานี่เอ่ยด้วยดวงตามีประกาย ปล่อยแขนกอดคล้องคอฉันออกวิ่งตรงไปยังตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดตา อดไม่ได้ที่จะแอบขำคนเดียว...
ก็เจ้าหล่อนดันชอบอะไรที่เหมือนกับตัวเองซะนี่
“คุณคะ”
เสียงเรียกนั้นทำให้ฉันหันไปมอง อดรู้สึกคุ้นแปลกๆ เสียไม่ได้ พอหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเพื่อนสนิทของตนยืนอยู่ตรงหน้า!
“ใช่แกจริงๆ ด้วยไอ้! อุ๊บ!” ก่อนที่ไอ้ลิงตัวแสบจะแหกปากป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าฉันชื่ออะไรฉันก็รีบกระโดดเข้าไปตะครุบปาดมันไว้แล้วลากไปในที่ๆ ทิฟฟานี่คงจะหาไม่เจอ
ยูริส่งเสียงอู้อี้ในลำคอด้วยความงุนงง ทันทีที่ฉันเอามืออกจากปาก ยูริก็ยิงคำถามใส่ฉันไม่ยั้ง
“เฮ้ย! ไอ้แท! ทำไมมาอยู่ที่นี่ รู้มั้ยว่าทุกคนเขาเป็นห่วงแกกันขนาดไหน เล่นหายหัวไปไม่ส่งข่าวคราว ฉันก็นึกว่าแกไปหลีหญิงที่มีเจ้าของแล้วเลยโดนแฟนเขาทุบหัวลากไปโยนน้ำแล้วซะอีก!”
“ถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง” ฉันเอ่ยเสียงขัน ก็ถ้าฉันไม่ไปยืนหลีหญิงข้างทางก็คงไม่เจอทิฟฟานี่ แล้วก็คงไม่เดินตามจนโดนมองว่าเป็นไอ้โรคจิตเลยโดนตีหัวเข้าหรอก ยูริทำหน้าเป็นลิงงง ฉันตีสีหน้าจริงจังก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ยูริตาโตเท่าไข่เป็ด “ถ้าฉันจะบอกว่าฉันกำลังมีความรัก...แกจะเชื่อฉันมั้ยวะ”
“เฮ้ย! จริงดิไอ้แท อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก! ฉันดีใจกับแกจริงๆ ว่ะ ในที่สุดไอ้หมาคิมแทของเราก็ขายออกซะแล้ว ฮิ้วววว~!” เอ่ยเสียงลั่นไม่พอยังกระโดดโถมตัวมาใส่ฉัน ด้วยเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกันฉันไม่สามารถรับน้ำหนักไอ้ลิงนี่ไหว ตัวเลยเซไปด้านหลัง เกือบจะล้มหัวฟาด ดีว่ามีมือของใครบางคนเข้ามาช่วยประคอง
“เอะอะอะไรกันสองคนนี้”
“สิก้า!”
กว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วหลุดมาจากสองสามีภรรยานั่นได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง ไม่รู้ป่านนี้ทิฟฟานี่จะเดินหาฉันไปถึงไหน เดินกลับไปที่ร้ายขายของที่ระลึกที่ทิฟฟานี่ลากฉันมาเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเจ้าของรอยยิ้มตาปิด
สวนสนุกตั้งกว้าง การจะหาคนด้วยกำลังของคนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่คนที่เริ่มบางตาลงไปมากกับดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าบอกกับฉันว่าเป็นเวลานานแล้วที่ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งตะโกนเรียกทิฟฟานี่ มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียที ความอ่อนล้าที่มีมากทำให้ฉันต้องทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ใช้ถ่ายรูปสำหรับคู่รักด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เฮ้อ!/เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นพร้อมๆ กันทำให้ฉันต้องหันไปมองต้นเสียงก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายก็หันมามองเหมือนกัน ก่อนที่เราทั้งคู่จะเบิกตาโตเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง
“ฟานี่! / คังอา!” ทิฟฟานี่โถมตัวเข้ามากอดฉันแน่น ซุกหน้าลงกับไหล่ ฉันกอดตอบอ่อนโยน ทิฟฟานี่ตัวสั่นน้อยๆ จะว่าเพราะอากาศหนาวก็ไม่ใช่เมื่อลองฟังดีๆ ก็ได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบา ความชื้นที่ซึมผ่านผ้าผืนบางทำให้ฉันรับรู้ว่าทิฟฟานี่กำลังร้องไห้...
“อย่าหายไปไหนอีกนะคังอา”
เป็นเพียงประโยคเดียวในบทสนทนาก่อนที่เราทั้งสองจะต่างคนต่างเงียบ มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของทิฟฟานี่กับเสียงหัวใจที่เต้นแรงของฉัน...
ถ้าไม่ได้รู้สึกไปเอง...
ฉันรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดก็หัวใจเต้นแรงไม่แพ้กัน...
“ถ้าเกิดวันนึง...ทุกอย่างกลับไปเป็นอย่างเดิม...เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น...ฟานี่จะรู้สึกยังไง...”
อยู่ๆ แทยอนก็เอ่ยขึ้นมาภายในความเงียบ ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยสีดำของรัตติกาล หากแต่ทั้งสองร่างบนเตียงนุ่มยังคงตาสว่าง นอนราบกับเตียงเหม่อมองเพดานห้อง
“ถามทำไมหรอคังอา”ทิฟฟานี่เอ่ยถามร่างเล็กด้านข้าง บทจะทำตัวเป็นเด็กก็เด็กเสียจนรู้สึกปวดหัวเหมือนแม่ที่เลี้ยงลูกเล็กๆ พอบทจะเป็นผู้ใหญ่... แทยอนก็ทำเอาทิฟฟานี่ตามไม่ทันเลยทีเดียว...
“คังอาอยากรู้ว่าถ้าเกิดวันนึง...คังอาเกิดจำอะไรได้ขึ้นมา...ฟานี่จะรู้สึกยังไง...” แทยอนเอ่ยเสียงจริจังเสียจนทิฟฟานี่อดจริงจังตามเสียไม่ได้ ลองคิดตามเล่นๆ
“ก็คงกลับมาใช้ชีวิตเดิมๆ คนเดียวแหละ”
“คังอาถามว่า ‘รู้สึกยังไง’ ไม่ใช่ ‘ทำยังไง’ ” คำพูดของแทยอนทำให้ทิฟฟานี่ชะงักไปนิ่งคิดนึกตามว่าถ้าเกิดแทยอนกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง เธอจะรู้สึกยังไง...
“คังอารู้มั้ย...”
“...”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟานี่มีความสุขมาก ไม่ต้องใช้ชีวิตเงียบๆ คนเดียว ไม่ต้องนั่งดูทีวีคนเดียว มีคนหัวเราะด้วยกันข้างๆ และอะไรหลายๆ อย่างที่ตั้งแต่ฟานี่มีคังอา...ฟานี่ก็ไม่เคยทำคนเดียว...” เอ่ยขึ้น มองไปบนเพดาน ภาพช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแทยอนย้อนเข้ามาฉายชัดในหัวจนทำให้ทิฟฟานี่อดยิ้มไม่ได้เวลานึกถึง
“เวลาที่ผ่านมากับการที่ฟานี่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคังอาแทบจะตลอดเวลา มันทำให้ฟานี่ผูกพันกับคังอา... ผูกพันมากจนเริ่มรู้สึกกลัว...กลัวว่าถ้าวันนึง...เกิดคังอาจำอะไรได้ขึ้นมาแล้วกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง...ฟานี่จะกลับมาอยู่คนเดียวได้เหมือนเดิมมั้ย”
จบคำพูดของทิฟฟานี่ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกหน ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ทั้งสองไม่ปริปากพูดอะไร ก่อนที่แทยอนจะเอ่ยทำลายความเงียบอีกหน
“จะดูตลกมั้ยถ้าเกิดว่าคังอาไม่อยากจำเรื่องราวในอดีตได้
เพราะถ้าคังอาจำมันได้แล้วต้องจากฟานี่ไป...”
“...”
“คังอาคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฟานี่...”
คำพูดสุดท้ายก่อนที่ต่างคนต่างเงียบ มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของทั้งสองที่ต่างคนต่างได้ยินของตัวเอง...
.
.
.
“ฟานี่อา~ อ่านนิทานให้คังอาฟังหน่อยสิ”เอ่ยพร้อมยื่นหนังสือนิทานเล่มหนาภาษาอังกฤษให้ทิฟฟานี่ สาวตายิ้มรับมาไว้ในมือก่อนจะเปิดดูด้วยความคิดถึงหลังจากไม่ได้หยิบขึ้นมาอ่านนานหลายปี
เมื่อเลือกเรื่องที่จะอ่านให้แทยอนฟังได้แล้วทิฟฟานี่ก็เริ่มเปิดปากอ่านสายตาจดจ้องตัวหนังสือภาษาอังกฤษ ร่างเล็กทิ้งตัวนอนหนุนตักร่างบางตั้งใจฟัง
“สโนไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด...”ทิฟฟานี่เอ่ย”กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...” ทิฟฟานี่อ่านนิทานไปเรื่อยๆ ส่วนคนฟังก็ตั้งอกตั้งใจจดจ้องเรียวปากน่าสัมผัสที่ขยับไปมา หัวก็พาลคิดไปไกล...
“เจ้าชายโน้มหน้าลงจุมพิตสโนไวท์ก่อนที่เธอจะฟื้นตื่นขึ้นจากนิทรา เหล่าคนแคระทั้งเจ็ดโห่ร้องด้วยความดีใจ เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล”
ในที่สุดนิทานก็ดำเนินมาถึงตอนจบ ทิฟฟานี่ลดหนังสือเล่มหนาลงวางด้านข้างกาย ส่งยิ้มตาปิดเอ่ยถามแทยอนที่นอนหนุนตักมองหน้าตาแป๋ว”เป็นไง สนุกมั้ยคังอา”
”จุมพิตคืออะไรหรอ”คนตัวเล็กนอกจากจะไม่ตอบคำถามทิฟฟานี่ยังมีการสวนคำถามที่ทำเอาทิฟฟานี่อ้าปากค้างไปไม่เป็นเลยทีเดียว หน้าขึ้นสีชมพูอ่อนๆ
“เอ่อ...เด็กอย่ารู้เลย~” พึ่งจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เวลานี้เวลาโดนลูกถามเรื่องแบบนี้มันชวนลำบากใจที่จะตอบยังไงก็ไม่รู้แม้เธอกับร่างเล็กจะไม่ได้เป็นแม่ลูกกันก็ตามเถอะ
“อา~ คังอาโตแล้วนะ บอกมาเลย”
แทยอนยังคงไม่ละความอยากรู้อยากเห็น ยันตัวขึ้นนั่งจ้องทิฟฟานี่ดวงตาเป็นประกายจนสุดท้ายทิฟฟานี่ก็จำใจบอก
“ก็ปากกับ...ปาก” เอ่ยไม่พอสายตาก็ดันเลื่อนลงมาต่ำเผลอมองริมฝีปากของร่างเล็ก เลผอคิดไปไกลว่าจะนุ่มขนาดไหน...
“แค่ปากแตะกันสามารถทำให้คนที่หลับไปนานตื่นขึ้นมาได้เลยหรอ” คำถามของแทยอนทำให้ทิฟฟานี่ลืมอายคิดตามคำถาม
“มันคงเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมากถึงขนาดทำให้คนที่รักตื่นขึ้นมาได้มั้ง”ทิฟฟานี่เอ่ยขึ้นตามที่คิด หันไปสบสายตากับแทยอน ร่างเล็กตีสีหน้าจริงจังจนทิฟฟานี่นิ่งไปมองลึกลงไปในดวงตา “ลึกซึ้ง...มากเลยหรอ...”
ไม่พูดเปล่าเคลื่อนหน้าไปใกล้ ทิฟฟานี่หลับตาพริ้ม อดใจต่อมาริมฝีปากทั้งสองก็แตะกันแผ่วเบาไม่รอช้าแทยอนแทรกลิ้นเรียวเข้าไปในโพรงปากของร่างบาง มือยกขึ้นประคองใบหน้าเรียวของทิฟฟานี่ไว้
ลึกซึ้งขนาดไหนทั้งสองไม่อาจรู้...
รู้แค่ว่า....
มันเป็นจูบแรกที่อบอุ่นมาก...
.
.
.
Taeyeon Part
ครึ่งปีแล้วสินะ...ที่ฉันปกปิดทิฟฟานี่มา...
ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าเมื่อไหร่ถึงจะพร้อมที่จะบอกความจริงกับทิฟฟานี่ซักที ตลอดระยะเวลาครึ่งปีนี้มันเหมือนกับว่าฉันอยู่ในความฝัน ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรฉันก็ยอมถ้าแลกกับให้ฉันได้ฝันแบบนี้ต่อไป...
หลายครั้งที่คิดจะบอกความจริงกับทิฟฟานี่ แต่ทันทีที่เธอหันหน้ามาส่งรอยยิ้มหวานให้ เอื้อนเอ่ยเสียงนุ่มถามฉันว่ามีอะไร สิ่งที่ฉันเคยคิดจะพูดก็พลันหายไปทันที แสร้งส่งยิ้มบอกว่าไม่มีอะไร เมื่อเธอหันไปสนใจกับสิ่งที่ทำเมื่อครู่ต่อฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
แค่คิดว่าถ้าฉันเสี่ยงบอกความจริงออกไปแล้วเธอโกรธขึ้นมา...
ฉันจะทนได้หรือ...หากไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนหวานของเธอ
จะทนได้หรือ...หากไม่ได้ทำอะไรด้วยกันเหมือนก่อน
จะทนได้หรือ...หากเธอเมินเฉยทำราวกับฉันไม่มีตัวตน
จนทนได้หรือ...หากฉันกับเธอต้องกลับมาเป็นคนแปลกหน้าเช่นเดิม
ยังไงฉันก็ไม่มีวันทนได้แน่ๆ... คิดได้ดังนั้นฉันจึงปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงความจริงตลอดมา
จนกระทั่ง...
“ฟานี่อา~”
ฉันเอ่ยเรียกขณะเดินลงมาด้านล่างอย่างเช่นที่ทำมาตลอดระยะเวลาครึ่งปีหากแต่ในวันนี้ไม่เป็นอย่างที่แล้วมาเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากสาวตายิ้ม...
“ฟานี่อา~ คังอาหิวแล้วน้า~”
....เงียบ....
“ไปไหนของเขาน้า...”เปรยกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินสำรวจรอบบ้านแต่ก็ไม่พบวี่แววของร่างบาง นึกข้องใจได้ไม่นานก็ต้องหยุดคิดเรื่องของทิฟฟานี่แล้วหันมาสนใจตัวเองแทน
จ๊อกกกก~!
ฉันเดินกลับเข้าไปในบ้านเมื่อตอนนี้หิวจนแทบจะกินหมีได้ทั้งตัว(ทำไมต้องเป็นหมี?)
บนโต๊ะอาหารภายในห้องครัวมีถ้วยข้าวต้มวางไว้ ด้านข้างมีกระดาษโพสต์อิทแปะไว้
‘คังอาอ่า~ วันนี้ฟานี่ธุระ กลับก็คงเย็นๆ ถ้าหิวก็หาอะไรในตู้เย็นมาอุ่นกินนะ
เฝ้าบ้านดีๆ หล่ะ! หมาน้อยของฟานี่ ^^’
‘หมาน้อยของฟานี่’ ถึงจะน่าโมโหไปหน่อยที่มาบอกว่าฉันเป็นหมาแต่สามพยางค์สุดท้ายก็ทำให้ฉันยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว...
ไม่เคยรู้สึกชอบคำไหนเท่าคำนี้มาก่อนเลยแหะ...
ฉันกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น มือกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ในเวลานี้ที่ไม่มีทิฟฟานี่อะไรๆ มันก็ดูน่าเบื่อไปเสียหมด แม้แต่รายการโปรดที่ฉันชอบดูยังน่าเบื่อลงไปถนัดตา
อาการง่วงทำให้ฉันตัดสินใจลุกขึ้นปิดโทรทัศน์จอใหญ่ เดินขึ้นไปบนห้อง ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มด้วยความเพลีย ขณะที่กำลังจะปิดเปลือกตานั้นพลันสายตาก็สะดุดเข้ากับลิ้นชักข้างเตียงที่ปิดไม่สนิท มันจะไม่มีอะไรน่าสนใจหากปกติมันไม่เคยปิดสนิทแถมยังถูกล็อกด้วยฝีมือเจ้าของบ้าน เคยลองถามเจ้าตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกันว่าข้างในนั้นมีอะไรถึงกับต้องล็อกไว้ คำตอบได้ที่รับกลับมาคือ ‘มันคือความลับ’
อาการอยากล้มตัวนอนถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฉันยันตัวลุกขึ้นนั่งทันที ลังเลนิดหน่อยที่จะละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของทิฟฟานี่ แต่สุดท้ายความอยากรู้ก็ชนะขาด
ฉันค่อยๆ ดึกลิ้นชักออกมา ภายในมีของไม่มากนัก มีรูปถ่ายที่คาดว่าคนในรูปที่ถ่ายกับทิฟฟานี่คงจะเป็นครอบครัวของเธอ ด้านข้างมีกระเป๋าสตางค์วางอยู่ด้านบนสมุดเล่มหนาสีดำสนิท
ฉันหยิบประเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดูก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ! นี่มัน...กระเป๋าตังค์ของฉันนี่!
.
.
.
‘คุณคะ ขอฉันดูกระเป๋าตังค์ได้ไหมคะ’
คำถามนี้จากปากของเธอเล่นเอาทำฉันแทบบ้า! แบบนี้ทุกอย่างก็จบสิ...
แต่ถ้าทุกอย่างถูกกำหนดแล้ว...ฉันคงได้แต่ทำใจยอมรับ...
ฉันพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะล้วงหากระเป๋าตังค์ภายในกระเป๋ากางเกงแต่ควานหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ! ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครอื่นบนโลกนี้อีกมั้ยที่เวลารู้ว่ากระเป๋าตังค์ตัวเองหายแล้วดีใจราวกับถูกรางวัลล็อตเตอร์รี่แบบฉัน...
ได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วบอกเธอ ดูเธอจะหัวเสียไม่น้อย ช่วงที่เธอหันไปกดโทรศัพท์โทรหาใครบางคนฉันได้แต่ลอบยิ้มกว้างเพียงลำพัง...
นี่คือสิ่งที่ฟ้ากำหนดมาใช้มั้ย?...
.
.
.
แล้วทำไมกระเป๋าตังค์ฉันมันมาอยู่ในนี้ได้เนี่ย!? เกิดมาไม่เคยต้องใช้สมองคิดอะไรยุ่งยากแบบนี้มาก่อน ขณะที่กำลังคิดหาเหตุผลที่มีความเป็นจริงมากพอที่จะมาอยู่ในลิ้นชักของทิฟฟานี่นั้น สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นสมุดเล่มหนาสีดำที่อยู่ในลิ้นชัก
หน้าปกสีดำสนิทมีตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า ‘Diary’s Tiffany’ บางทีมันอาจจะบอกอะไรกับฉันได้บ้าง...
.........................................................................
28/12/10
ภายในสวนสาธารณะวันนี้อากาศดีจัง~>< เห็นคู่รักตรงหน้าแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้!-^- การมีคนรักมันจะรู้แบบไหนนะ-0-? มิยองอยากรู้จัง~><
30/12/10
คุณเนื้อคู่!>< ออกมาให้ฉันพบได้แล้วนะ!><
16/01/11
วันนี้มันวันซวยอะไรกัน! ทำไมอยู่ดีๆ ชีวิตของฉันก็มีภาระขึ้นมาน้า~ToT แต่มาคิดไปคิดมา... แบบนี้มันก็ไม่เหงาเหมือนที่แล้วมา หวังว่าจะมีแต่เรื่องดีๆนะ ><
Ps. จะว่าไป...คังอานี่หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดีจัง>.,<
20/01/11
อาาาาาาา>//////< ฉันนี่ไม่ไหวเลยจริงๆน้า!>< หยั่งกับฉากในละครน้ำเน่าที่พระเอกล้มทับนางเอกแล้วค่อยๆ โน้มหน้าลงมา แต่ว่าทำไมฉันต้องหวั่นไหวด้วยนะ!T^T
13/02/11
สวนสนุก!แต่ไม่สนุกอย่างชื่อเลยแหะT^T คังอาเล่นลากฉันขึ้นเครื่องเล่นหวาดเสียวจนครบ เล่นเอาฉันอาเจียนอาหารเช้าออกมาหมดเลยT-T แถมต่อจากนั้นอยู่ๆ คังอาก็หายไปอีก หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ตอนนั้นฉันอยากจะนั่งลงแล้วร้องไห้ชะมัด(เพราะอะไรก็ไม่รู้?) แต่ก็ต้องเดินหาคังอา จนสุดท้ายคังอาก็โผล่มาซักที ความตั้งใจที่จะต่อว่าทันทีที่เจอหายไปทันที มีเพียงเสียงสะอื้นกับประโยคที่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงพูดแบบนั้น...
‘อย่าหายไปไหนอีกนะคังอา’
ทำไมฉันพูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นออกไปนะ><
11/03/11
วันนี้คังอาไม่น่าถามคำถามแปลกๆเลย T^T มันทำให้ฉันเอาไปคิดต่อว่าถ้าทุกอย่างกลับไปเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นฉันจะอยู่ได้มั้ย? T^T แต่ประโยคสุดท้ายจองคังอานี่สิ>< ทำไมพอฉันได้ยินแล้วถึงดีใจหัวใจเต้นแรงขึ้นมาซะงั้นน้า~
20/04/11
อา... ทำไมฉันทำตัวเป็นคนไม่ดีแบบนี้นะT^T โชคดีขนาดไหนที่บังเอิญเจอกระเป๋าสตางค์ของคังอาตอนเก็บบ้าน(ชื่อจริงๆ คือ คิม แทยอน) ฉันควรจะดีใจสิที่สามารถพาคังอากลับบ้านที่แท้จริงได้แล้วT_T แต่ทำไมฉันดันเอากระเป๋าสตางค์ของคังอามาเก็บใส่ลิ้นชักนี้แล้วก็ล็อกซะแน่นหนากันนะ T^T รู้ว่าซักวันยังไงคังอาก็ต้องกลับไปในที่ที่ควร แต่ฉันไม่อยากให้มันเป็นตอนนี้ ฉันยังไม่พร้อมที่จะกลับมาอยู่คนเดียวนะ T-T
Ps.ฉันไม่อยากเสียคังอาไปเลยT_T
27/05/11
อ๊ายยยยยยยยยยย >///////////////< พึ่งรู้ว่าจูบมันลึกซึ้งและอบอุ่นขนาดไหนก็วันนี้เนี่ยแหละ>///< ตามจริงฉันควรจะโกรธไม่ใช่หรอ? T^T แต่ทำไมฉันถึงหวั่นไหวแถมยังอยากลิ้มรสจูบนั้นอีกจัง>///<
02/07/11
อืม... ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่ฉันชอบแอบมองคังอา มองทีไรสายตาเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนลงมาต่ำจ้องริมฝีปาก(หวาน)นั่น! แทบจะตลอดเวลาที่ฉันคิดอะไรเกี่ยวกับคังอาๆๆๆๆๆๆ
ในหัวฉันมีแต่ชื่อคังอา! แถมยังชอบใจเต้นแรงกับรู้สึกเสียวที่ช่องท้องแปลกๆ เวลาอยู่ใกล้ๆ คังอา T_T
เป็นแบบนี้เขาเรียกว่าอะไรน้า?
08/07/11
เอ่อ... สุดท้ายฉันก็ทนสงสัยตัวเองต่อไปไม่ไหวว่าทำไมในหัวฉันมีแต่ชื่อคังอาๆ แล้วก็ทำไมฉันถึงรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ฉันจึงโทรไปถามพี่ซู คำตอบที่ได้คือ...
ฉันรักคังอาแหละ!!
เรื่องจริงหรอเนี่ย...T-T ฉันควรทำยังไงต่อไปดีนะ? T_T
.........................................................................
ฉันปิดสมุดบันทึกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อย... นี่มันอะไรกัน!
ขอกรี๊ดได้มั้ย?T^T
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!! (แต๋วแตก=o=)
ฟานี่รักฉันงั้นหรอ! ทำไมฉันรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้นะ! เอามือทาบอกหัวใจก็เต้นแรงหยั่งกับจะกระเด็นออกมา!
วันนี้แหละ! วันที่ฉันจะสารภาพรักกับฟานี่แล้วบอกความจริงทุกอย่าง!
Tiffany Part
ฉันเดินลงจากรถด้วยความรีบร้อนเมื่อกลับถึงบ้านเลยเวลาจากที่เคยบอกคังอาไว้ โทรเข้าโทรศัพท์บ้านเพื่อจะบอกให้คังอารู้แต่ก็ไม่มีคนรับ ตอนนี้ก็ปาเข้าไปจะสามทุ่มซะแล้วสิ ป่านนี้คังอาคงรอแย่แล้ว
ภายในบ้านเงียบสนิท ไม่อยู่ข้างล่างก็ต้องอยู่ข้างบน ฉันเดินขึ้นบันไดบ้านไปก่อนจะเปิดประตู ภายในห้องนั้นคังอานั่งอยู่บนเตียงหันหลังให้กับฉัน ท่าทางราวกับกำลังก้มดูอะไรบางอย่างฉันจึงเอ่ยทักให้อีกคนรู้ตัวว่าฉันมาแล้ว
“คังอา~ ฟานี่ขอโทษนะที่มาช้ากว่าที่บอกไว้ โทรมาจะบอกคังอาแต่คังก็ไม่รับสาย”
ฉันเอ่ยพร้อมยิ้มตาปิดตามนิสัยหากแต่คังอายังคงหันหลังก้มหน้าให้ฉันเช่นเดิม ความสงสัยทำให้ฉันเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าคังอากำลังดูอะไรอยู่ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นของในมือของคังอา
“นี่มันอะไรกันฟานี่...” คังอาหรือคิม แทยอนเงยหน้าขึ้นถามฉัน แววตานั้นดูเจ็บปวดกับสิ่งที่ฉันปิดบัง
“มัน...มันไม่ใช่แบบนั้นนะคังอา...”
“แทยอน...คังอาชื่อแทยอน...”น้ำเสียงราบเรียบแฝงความเจ็บปวดทำให้ฉันสะอึก ก่นด่าตัวเองในใจถึงความสะเพร่าที่ฉันลืมล็อกลิ้นชักนั้น
“แทฟังฟานี่อธิบายก่อนนะ
”
“ฟานี่ต้องการอะไรกันแน่ถึงปิดบังอดีตของแท... ทำไม...ทำไมถึงทำกับแทแบบนี้...”น้ำเสียงห่างดเหินแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกชาหนึบที่หัวใจ มันเหมือนกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดหัวใจของฉัน...
“แท...ฮือ...แทฟัง...ฟังฟานี่ก่อนนะ” น้ำตาไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ฉันทิ้งตัวนั่งด้านข้างแทยอนสวมกอดแน่น แทยอนนั่งนิ่งไม่ขัดขืน...และก็ไม่กอดกลับเหมือนที่แล้วมาด้วย...
“ฟานี่ขอโทษ...ฟานี่แค่...ฮึก...ฟานี่ไม่อยากเสียแทไป...ฮือ..ยกโทษให้ฟานี่นะ อย่าโกรธฟานี่นะ....” ฉันนิ่งเงียบรอให้แทยอนพูดแต่อีกฝ่ายก็ยังคงเงียบ ฉันสะอื้นหนักกว่าเดิมกระชับกอดแทยอนแน่น ทำไมถึงเป็นแบบนี้...
“บอกเหตุผลมาสิ...ว่าทำไมฟานี่ไม่อยากเสียแทไป” แทยอนเอ่ยเสียงนุ่มกว่าเมื่อครู่ มือยกขึ้นลูบหลังฉันแผ่วเบา การกระทำแบบนี้ช่วยให้ฉันใจชื้นขึ้นมาก ฉันหยุดสะอื้นก่อจะสูดหายใจเข้าเต็มปอด บางที...ถ้าฉันสารภาพรักไป...มันอาจจะดีก็ได้...
“ที่ฟานี่ไม่อยากเสียแทไปเพราะฟานี่คิดว่าฟานี่คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแท...ฟานี่ขาดแทไม่ได้...”
“ทำไมถึงขาดแทไม่ได้หล่ะคะคนดี” แทยอนดึงฉันออกจากอ้อมกอด นิ้วเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาให้ฉันอ่อนโยน เวลานี้การสบตาแทยอนเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคงไม่พ้นการบอกว่า ‘ฉันรักเธอ’
“เพราะ...”
“...”
“เพราะว่า...”
“เพราะอะไรคะคนดี” แทยอนเอ่ยเสียงหวาน เชยคางให้ฉันเงยหน้าขึ้นสบตา ภายในดวงตาของแทยอนมันเหมือนกับบอกฉันว่าให้ฉันพูดมันออกมา พูดความในใจออกมาแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย...
“เพราะว่าฟานี่รักแท ฟานี่ไม่อยากเสีย อ๊ะ...”
ในที่สุดฉันก็พูดมันออกไป แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยได้จบประโยค แทยอนก็เคลื่อนหน้ามาใกล้แล้วทาบทับริมฝีปากลงมา ฉันเปิดปากยอมให้อีกฝ่ายรุกล้ำ...ไม่นานนักแทยอนก็ถอนริมฝีปากออกก่อนจะพูดในสิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
“แทก็รักฟานี่นะ”
“...”
“รัก...มานาน...รัก...ตั้งแต่แรกเห็น รัก...จนถึงขนาดยอมโกหกฟานี่มาตลอดว่าตัวเองความจำเสื่อม...”
“...”
“แทรู้ว่าแทผิด มันเป็นเรื่องไม่ควร...แต่ว่าแทอยากอยู่ใกล้ฟานี่ ถ้าแทไม่แกล้งทำเป็นคนความจำเสื่อม แทก็คงไม่ได้อยู่ใกล้กับฟานี่แบบนี้หรอก...”
“
”
“อภัยให้ในความผิดที่แททำลงไปได้มั้ย...” แทยอนเอ่ยเสียงแผ่ว มองสบเข้ามาในดวงตาราวกับต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจทั้งหมดที่มีให้ฉันเห็น แต่สิ่งที่ได้รับฟังมันก็ยากเกินกว่าจะทำใจยอมรับ...นี่ฉันโดนหลอกมาตลอดเวลาเลยหรอ...
“มีเหตุผลอะไรที่พอจะทำให้ฟานี่ให้อภัยแทได้ไหม... ฟานี่ไม่รู้จริงๆ...ไม่รู้เลยว่าต้องโกรธแทไหมที่แททำแบบนี้...”เอ่ยเสียงสับสน ฉันมองหน้าแทยอน...เว้าวอนให้เขาช่วยพูดมาซักเหตุผล...
“เหตุผลที่แททำลงไปเพราะอะไรฟานี่น่จะรู้นะ...”
“...”
“เพราะแทรักฟานี่ตั้งแต่แรกเห็นยังไงหล่ะ”
เพียงประโยคเดียวแต่กลับเพียงพอที่ทำให้ฉันโกรธคนตรงหน้าไม่ลง น้ำเสียงหนักแน่นที่ใช้พูดประโยคนั้นทำให้ฉันตกหลุมรักแทยอนมากขึ้น ฉันส่งรอยยิ้มตาปิดให้คนตรงหน้า
“อา...อย่ายิ้มแบบนั้นสิฟานี่”
“อ้าว ฟานี่ยิ้มไม่ได้หรอ”
“อา...แททนไม่ไหวแล้วนะ”
“หือ?...อ๊ะ...”
แทยอนเคลื่อนใบหน้ามาใกล้แล้วทาบทับริมฝีปากลงมาอีกหน ฉันตอบรับสัมผัสด้วยความรู้สึกดีๆ ทั้งหมด...
อยากรู้จริงๆ...
ว่าจะมีอะไรบนโลกใบนี้ ‘หวาน’ ได้เท่าคนตรงหน้ากัน...
THE END
จบซักที-*-
หายหัวไป100ชาติ แถม10%บ้านไรเตอร์ปาเข้าไป8หน้า - -
ไม่รู้จะบ่นไรล่ะ ยังมีคนอ่านอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ 5555
ผลงานอื่นๆ ของ Peanut ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Peanut
ความคิดเห็น