Fic snsd : ยังไงก็รักเธอ [Yuri]
ประกาศ--ขอเปลี่ยนชื่อเรื่องจากเธอน่ารักเป็นยังไงก็รักเธอ-- ขอเตือนไว้ก่อน ถ้ามีครั้งหน้าอีก คราวนี้ฉันไม่ไว้หน้าแน่ --50%--
ผู้เข้าชมรวม
2,216
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ลี ซุนกยู (ซันนี่)
ทำไมทุกๆ คนต้องแกล้งฉันด้วย
ชเว ซูยอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
หนีมาเปิดเรื่องใหม่แต่เรื่องเก่าไม่ดองนะๆ><
แค่มันปิ๊ง! ขึ้นมาค่ะ>< แต่เนื้อเรื่องมันไม่ค่อยเข้ากับคู่ซูซันที่ชอบกัดกันซักเท่าไหร่= =;
ยังไงก็ฝากฟิคเกรียนๆ อีกเรื่องด้วยนะคะ ><
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“นักเรียนทุกคนนั่งที่ให้เรียบร้อย!”
เสียงประกาศก้องดังขึ้นหน้าชั้นเรียน ต้นเสียงยืนกอดอกมองนักเรียนที่แตกหือจางวงรีบลนลานกลับที่ของตน ไม่นานนักห้องเรียนที่เคยวุ่นวายชุลมุนก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบ หญิงมากอายุหน้าชั้นยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ กระแอมไปพอเป็นพิธีแล้วเริ่มประกาศเรื่องที่นักเรียนทุกคนต้องทราบหน้าชั้นเรียน
“เอาล่ะ วันนี้อาจารย์มีนักเรียนใหม่มาแนะนำ เข้ามาสิ”
จบประโยคของอาจารย์หน้าชั้นทั้งห้องก็เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้น นักเรียนในห้องทุกคนออกอาการตื่นเต้นที่จะได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในห้อง ทุกสายตาจับจ้องไปที่ประตูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่นานนักร่างเล็กก็เดินก้มหน้าก้มตากอดหนังสือแน่นด้วยความประหม่าเดินเข้ามาภายในห้อง ทันทีที่ปรากฏร่างของสมาชิกใหม่ทั้งห้องก็กลับมาเงียบอีกหน ทุกสายตาจดจ้องไปที่ร่างเล็กที่ยืนก้มหน้าอยู่หน้าชั้นด้านข้างอาจารย์หน้าดุ
“แนะนำตัวกับเพื่อนๆ สิ” อาจารย์เอ่ยบอกร่างเล็กที่ยังคงยืนก้มหน้ามองพื้นราวกับมันเป็นสิ่งประหลาดแปลกปลอมจากนอกโลก หัวใจเต้นเร็วด้วยอาการตื่นเต้น สูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเงยหน้าขึ้นหลับหูหลับตาแนะนำตัวเองเสียงดัง
“ฉัน...ลี ซุนกยู...หรือจะเรียกว่าซันนี่ก็ได้ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
ฉัน ลี ซุนกยู นักเรียนที่พึ่งย้ายมาอยู่โรงเรียนใหม่ ทุกอย่างดูจะราบรื่นดีในขณะที่ทุกคนในห้องก้มหน้าก้มตาจดแลกเชอร์ตามที่อาจารย์หน้าชั้นสอน ใช่ ทุกอย่างคงจะดูราบรื่นดี ถ้าไม่มีสายตาของใครบางคนจ้องฉันไม่วางตา!
ฉันพยายามไม่ใส่ใจกับสายตาของคนด้านข้าง แต่มันก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ คิดดูสิ ถ้ามีคนมองทุกการกระทำของคุณ คุณจะไม่รู้สึกแปลกแล้วก็สงสัยบ้างเลยหรอ?
ปกติฉันเป็นเด็กตั้งใจเรียน จดทุกประโยคหลักที่ออกมาจากปากของอาจารย์ผู้สอน แต่ในเวลานี้ ฉันไม่มีสมาธิพอที่จะมานั่งจดแลกเชอร์หรอก!
สุดท้ายฉันก็ทนไม่ไหวกลั้นใจเหลือบมองด้านข้างก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับดวงตาเข้ม...
กลับเป็นฉันเองที่หลบสายตา ไม่รู้เพราะอะไรพอเห็นสายตาคมเข้มนั้นฉันก็รู้สึกหวิวขึ้นมาซะเฉยๆ จนไม่กล้าพอที่จะสบสายตานั้นให้ตัวเองหวั่นไหวเล่น...
หลังจากอาจารย์อนุญาตให้พักลงไปรับประทานอาหารได้ ฉันก็เริ่มเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋า เสียงพูดคุยจอแจของนักเรียนในห้องดังขึ้น ยังไม่รู้เลยว่าฉันจะหาเพื่อนได้ไหม เพราะที่ย้ายมาอยู่โรงเรียนนี้ สาเหตุก็เพราะฉันโดนคนที่โรงเรียนเก่าแกล้งจนทนไม่ไหว...
ขังไว้ในห้องน้ำบ้าง....
สาดน้ำใส่จนตัวเปียกโชกบ้าง....
ขัดขาให้ล้มเป็นแผลบ้าง....
เอากระเป๋าไปซ่อนบ้าง....
และอีกนานาสารพัดจนพ่อกับแม่ของฉันทนไม่ไหวพาย้ายโรงเรียน ฉันได้แต่ภาวนาขอให้การเริ่มต้นที่โรงเรียนใหม่นี้ มันจะผ่านไปได้ด้วยดี...
ขณะที่ฉันกำลังจะก้าวออกจากห้อง โดยไม่ทันมอง ฉันสะดุดเข้ากับขาของใครบางคนจะล้มลง แว่นสายตากระเด็นไปไกลพอสมควร ภายในห้องที่เหลือคนไม่มากนักเงียบกริบทันที
“เดินยังไง ไม่รู้จักดู”
ถ้อยคำเย็นชาพร้อมกับสายตาเสียดแทงจดจ้องมาที่ฉัน แม้ฉันจะมองเห็นไม่ชัดหนักแต่ก็สัมผัสได้ถึงความมาดร้ายที่อีกฝ่ายส่งมาให้ทางสายตา หญิงสาวลุกขึ้นเดินจากไป ไม่แม้แต่จะเอ่ยขอโทษหรือพยุงฉันลุกขึ้นยืน
ความแสบที่เข่าทำให้ฉันหันไปสนใจมันแทนหญิงสาวที่เดินออกจากห้องไป พบว่ามีเลือดไหลซิบๆ ออกมาจากบาดแผล เผลอร้องโอดครวญออกมาด้วยอาการเจ็บปวด ทุกคนในห้องที่ยืนมองเหตุการณ์เมื่อครู่ห่างๆ ไม่แม้แต่จะเข้ามาช่วยพยุงฉัน ไม่เป็นไร ฉันเคยชินกับการอยู่เพียงลำพังเสียแล้ว... พยายามมองหาแว่นที่กระเด็นไปไกล สายตาที่สั้นมากจนมองอะไรรอบข้างได้ไม่ชัดเป็นอุสรรค์อย่างดี
“ลุกไหวไหม”
น้ำเสียงนุ่มดังขึ้นจากด้านบน ฉันเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงด้วยความแปลกใจ ร่างสูงยื่นอะไรบางอย่างมาให้ฉัน เมื่อพยายามเพ่งดีๆ ก็พบว่ามันเป็นแว่นของฉันเอง ฉันรับมันมาใส่ อดแปลกใจไม่ได้ว่าใครกัน? ที่เข้ามาช่วยพยุงฉัน...
ร่างสูงพยุงฉันลุกขึ้นยืน ฉันพยายามทรงตัวแต่อาการเจ็บที่เข่าก็ทำฉันแทบทรุดจนต้องยันโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ร่างสูงก้มลงมองแผลของฉัน
“แวะไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนแล้วกันค่อยลงไปกินข้าว”
ร่างสูงพยุงฉันเดินไปตามทาง อีกมือก็ถือกระเป๋าให้ฉัน อดหวั่นไหวไม่ได้ในเมื่อฉันไม่เคยได้รับการดูแลจากคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่เลย
“ขอบคุณนะ...เอ่อ...”
“ฉัน ชเว ซูยอง ”
“ขอบคุณนะ ซูยอง”
ฉันมองสบตากับซูยองเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มจริงใจ ร่างสูงก็ส่งรอยยิ้มกลับมาให้ฉัน ยิ่งพอเห็นรอยยิ้มของเขา หัวใจที่เคยเต้นอย่างสงบกลับเต้นแรงขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ...
ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยแหะ...
หลังจากที่ซูยองพาซันนี่ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ขอแยกตัวไปทำธุระ ตอนนี้ซันนี่จึงเดินไปที่โรงอาหารเพียงลำพังด้วยสภาพทุลักทุเล ระยะทางจากห้องพยาบาลถึงโรงอาหารไม่ได้ไกลมากหากแต่ความเจ็บปวดที่ขาเป็นอุปสรรค์อย่างดีที่จะทำให้ซันนี่เดินไปถึงโรงอาหารช้าลง
เมื่อเดินมาถึงก็ตาโตกับความกว้างของโรงอาหารเมื่อเทียบกับโรงเรียนเก่า ตัดสินใจแทบไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี อันนั้นก็น่ากิน อันนู้นก็น่ากิน เมื่อยืนตัดสินใจจนได้ผลเป็นที่เรียบร้อยแล้วซันนี่ก็รีบตรงดิ่งไปร้านอาหารที่หมายตา ยืนรอต่อคิวไม่นานนักก็ได้อาหารหอมกรุ่นอยู่ในมือ กวาดสายตามองหาที่นั่งว่างๆ เมื่อเห็นตำแหน่งว่างแล้วซันนี่ก็ค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะที่อยู่บริเวณกึ่งกลางโรงอาหาร
โดยไม่ทันสังเกต มีคนกลุ่มนึงกำลังมองมาทางซันนี่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่ทันระวังตัวซันนี่ก็โดนขัดขาจนล้มลงกับพื้น จานอาหารกระเด็นหลุดจากมือถลาไปไกล เสียงหัวเราะดังขึ้นจากกลุ่มที่เป็นสาเหตุการล้มของซันนี่
“ฮ่าๆ น่าโง่ชะมัดเลย เดินแค่นี้ก็ล้ม ฮ่าๆ” หนึ่งในกลุ่มเด็กนักเรียนเกเรชี้เหน้าซันนี่พลางพูดในขณะที่กุมท้องหัวเราะไปด้วย คนในกลุ่มหัวเราะเสียงดังตามๆ กัน
ใบหน้าภายใต้กรอบแว่นหนาขึ้นสีแดงจัด ทั้งโกรธทั้งอาย ได้แต่นั่งกำมือแน่นด้วยความโมโห ถ้าคิดถึงเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบร่างเล็กก็ฉลาดพอที่จะไม่ไปต่อปากต่อคำก้มหน้ารับชะตากรรม ขืนหาเรื่องกลับไปยังไงสุดท้ายก็เป็นเธอเองนั่นแหละที่ต้องเจ็บตัว
พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะจากรอบข้าง ก้มหน้าก้มตาใช้มือกวาดอาหารที่หกลงบนพื้นใส่จาน กัดเม้มริมฝีปากแน่นแต่สุดท้ายความอ่อนแอก็ชนะเมื่อน้ำสีใสหยดลงบนมืออย่างห้ามไม่ได้...
นึกว่าการเริ่มต้นในที่ใหม่ อะไรใหม่ๆ ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีซะอีก...
แทบไม่แตกต่างจากโรงเรียนเก่า...
แล้วฉันต้องโดนกลั่งแกล้งแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่...
“นี่มันอะไรกัน”
น้ำเสียงนุ่มดังขึ้นเรียบๆ หากแต่เพียงแค่นั้นมันก็สามารถทำให้เสียงหัวเราะที่เคยดังขึ้นโดยรอบบริเวณเงียบลงทันตา ซันนี่อดแปลกใจไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองสาเหตุที่ทำให้เสียงหัวเราะเยาะเย้ยนั้นเงียบลง...
เมื่อเลื่อนสายตาขึ้นก็พบกับซูยองยืนอยู่ตรงหน้า รีบเข้ามาไถ่ถามอาการด้วยความเป็นห่วง ผู้คนในเหตุการณ์ต่างมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีเสียงซุบซิบดังขึ้นเบาๆ ทว่าในตอนนี้ซันนี่ไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากน้ำเสียงนุ่มทุ้มของซูยองที่เอ่ยถามแฝงด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า เป็นอะไรมากไหม ใครเป็นคนขัดขาเธอ”
ซูยองเอ่ยถามรัวๆ ไม่รอฟังคำตอบจากซันนี่จับไหล่ของซันนี่ไว้กวาดสายตามองหารอยแผล รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของซันนี่ หัวใจเต้นแรงขึ้นเพียงเพราะมองท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของซูยองที่มีต่อตนเอง
“พึ่งจะได้แผลมานี่ยังมีแผลถลอกเพิ่มอีกหรอกเนี่ย”
“...”
“ใครเป็นคนทำ”
น้ำเสียงจากประโยคสุดท้ายแตกต่างจากประโยคแรกลิบลับ น้ำเสียงเรียบนิ่งดูน่ากลัวจนขนลุกพอง ซันนี่นั่งก้มหน้าเงียบ ไม่รู้จะตอบไปตามความจริงหรือจะโกหกว่าล้มเองดี ขืนบอกว่าใครเป็นคนขัดขาล่ะก็ ชีวิตต่อจากนี้ภายในโรงเรียนใหม่อย่าได้หวังหาความสงบสุขเป็นอันขาด
ซันนี่แอบเหลือบเห็นว่ากลุ่มคนที่แกล้งเธอจ้องเขม่นด้วยสายตาเสียดแทง เหมือนกับว่าขืนเธอบอกความจริงออกไปล่ะก็ ต่อจากนี้ไปเธอจะต้องเจอในสิ่งที่คาดไม่ถึงเป็นแน่!
เห็นดังนั้นซันนี่จึงละล่ำละลักโกหกออกไป พยายามทำให้แนบเนียนที่สุดหารู้ไม่ว่าซูยองจับผิดได้ว่าเธอโกหก
“คือ...ฉันสะดุดล้มเองน่ะ”
สงสัยได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อซูยองลุกขึ้นพรวดตบโต๊ะเสียงดัง จากที่เคยมีเสียงซุบซิบเบาๆ บัดนี้ตกอยู่ในความเงียบ
“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ ”ซูยองเอ่ยเสียงเรียบกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแล้วหยุดมองกลุ่มที่ทำซันนี่ล้มด้วยสายตาเย็นชา
“ขอเตือนไว้ก่อน ถ้ามีครั้งหน้าอีก คราวนี้ฉันไม่ไว้หน้าแน่” ประกาศกร้าวจบก็หันไปช่วยพยุงซันนี่ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์เมื่อลับหลังก็จะเริ่มซุบซิบนินทากันจามประสา หลายๆ คนถกเถียงกันว่าซูยองเป็นอะไรกับเด็กใหม่ด้วยความสงสัย
“แกจะเอายังไงต่อไปวะดงเฮ”
“ไอ้ซูแค่คนเดียว จะมาสู้พวกเราตั้งสี่คนได้ยังไง ตอนแรกก็ตั้งใจจะแกล้งยัยเด็กใหม่นั่นเพราะรู้สึกหมันไส้เฉยๆ แต่พอไอ้ซูมันดูเป็นห่วงเป็นใยแถมปกป้องซะขนาดนั้น ฉันว่า...ต่อจากนี้เรามีเรื่องสนุกๆ ให้ทำกันแล้วแหละ” ดงเฮเอ่ยด้วยใบหน้าเคียดแค้นซูยองลึกๆ ในใจ แม้เรื่องมันจะผ่านมานานแล้วแต่ดงเฮกลับจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ขึ้นใจไม่มีวันลืม...
“นี่นายยังโกรธซูเรื่องนั้นไม่หายอีกหรอ” จียอนหันไปถามดงเฮ พอเห็นใบหน้าแค้นเคืองก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าดงเฮยังโกรธแค้นซูยองไม่หาย
“ใครจะลืมลง...”
.
.
.
‘เฮ้ย ไอ้ซู วันนี้กลับบ้านไปก่อนเลยนะ ฉันตัดสินใจล่ะ’
‘ตัดสินใจอะไรของแกวะไอ้ดงเฮ’
‘วันนี้ฉันจะสารภาพรักกับซึงยอน!’
‘เฮ้ย! จริงดิ เห็นแกพูดถึงมาตั้งนานล่ะ อยากเห็นหน้าเหมือนกันนะเนี่ย ยังไงก็สู้ๆ นะเว้ย ได้ผลยังไงรีบบอกฉันด้วยล่ะ ฉันกลับก่อนล่ะ มีธุระ’
‘แกไม่มีบุญได้เห็นหน้าซึงยอนไง อีกอย่างคิดไปคิดมาฉันไม่ให้แกรู้ดีกว่าว่าซึงยอนคือใคร เดี๋ยวแกจะหลงเสน่ห์ซึงยอนแล้วแย่งฉันจีบ ฉันซวยพอดี’
‘ไอ้บ้านี่ คิดไปได้ ฮ่าๆ’
บทสนทนาของสองเพื่อนรักดังขึ้น เมื่อคุยกันจบแล้วก็แยกย้ายกันไปธุระของตน...
ดงเฮไปดักรอซึงยอนแถวหน้าห้องสมุด เป็นประจำที่ซึงยอนจะแวะเข้าห้องสมุดแทบทุกวัน ยืนรอได้ไม่นานนักซึงยอนก็วิ่งด้วยความร้อนรนออกมาจากห้องสมุด ทันทีที่เห็นใบหน้าหวานดงเฮก็หน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที สติสตังแทบจะหลุดออกจากร่าง กว่าจะตั้งสติได้ซึงยอนก็วิ่งไปได้ไกลพอสมควร
ดงเฮรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังซึงยอนไป หัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าก็จะได้บอกความในใจที่มีต่อซึงยอนซักที ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง...
ยิ้มกับตัวเองได้ไม่นานก็ต้องชะงักขาที่กำลังก้าวเมื่อเห็นซึงยอนวิ่งไปยืนหอบอยู่ตรงหน้าซูยอง ลางร้ายบางอย่างปรากฏขึ้นในใจจนดงเฮรู้สึกไม่ดี รีบหลบมุมแอบดูสถานการณ์ห่างๆ
‘เดี๋ยวก่อนค่ะ!’ ซึงยอนเอ่ยรั้งซูยองที่กำลังก้าวยาวๆ ด้วยความเร่งรีบอยู่ เมื่อเห็นเจ้าของเสียงที่รั้งไว้ดูเหมือนว่าซูยองจะชะงักไปนิดหน่อย
‘คือ...’
‘...’
‘ฉันชอบคุณมานานแล้วค่ะ!’
ซึงยอนก้มหน้าก้มตาสารภาพรักเสียงดัง ซูยองอึ้งกับการถูกสารภาพรักโดยไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าขึ้นสี...
ส่วนคนที่แอบฟังและคอยมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ อึ้งไปไม่ต่างจากซูยอง สมองเบลอ หูอื้อไปหมด เสียงที่ได้ยินคงมีเพียงแต่เสียงสารภาพรักของซึงยอนที่เอ่ยบอกกับซูยอง...ไม่ใช่เขา...
‘เป็นแฟนกันได้ไหมคะ
’ ซึงยอนเอ่ยถาม ใบหน้าแดงจัดไปไม่ต่างจากซูยอง มีแต่ดงเฮที่แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อไหร่กันที่น้ำใสเอ่อคลอขึ้นมา
‘ขอฉันกลับไปคิดก่อนนะ’
Sooyoung Part
‘เป็นแฟนกันได้ไหมคะ...’ เสียงของเธอยังดังก้องในหัวของฉันซ้ำไปซ้ำมา ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหวานเอ่ยประโยคนั้นลอยเข้ามาในหัว...
ถึงแม้จะยังไม่รู้จักชื่อของหญิงสาวที่เข้ามาสารภาพรักก็เถอะ แต่สิ่งที่ฉันรู้ในตอนนี้คือ...
คนที่ฉันแอบรักมานานก็มีใจให้เช่นกัน...
แอบมองรอยยิ้มสดใส ท่าทางร่างเริงนั้นมานาน ถึงจะรักยังไงฉันก็ไม่เคยแม้แต่จะสืบหาประวัติ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันไม่รู้จักชื่อของเธอ
แต่มันจำเป็นด้วยหรอ? ว่าฉันต้องรู้ว่าเธอคนนั้นชื่ออะไร
แค่ฉันรู้ตัวเองว่ารักเธอก็เพียงพอแล้ว...
ความรู้สึกดีใจที่เปี่ยมล้มอยู่เต็มอก อดไม่ได้ที่จะอยากระบายให้เพื่อนคนสำคัญได้รับรู้ ฉันรีบคว้าโทรศัพท์กดโทรออกหาดงเฮ...
ระหว่างรอสายฉันก็พยายามเรียบเรียงคำพูดที่จะเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนรักฟัง มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงสัญญาณหายไป ดูโทรศัพท์ก็พบว่าปลายสายกดรับแล้วเพียงแต่ยังไม่พูด ฉันจึงรีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูรีบเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนรักฟัง
‘เฮ้ย! ดงเฮ ฉันมีข่าวดีมาบอกว่ะ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะไม่เคยบอกแกมาก่อนว่าฉันเองก็ไม่คนที่ชอบเหมือนกันก็เหอะแต่ตอนวันนี้คนที่ฉันชอบมาสารภาพรักกับฉันเว้ย!’ ซูยองเอ่ยน้ำเสียงร่าเริงพูดไปยิ้มกว้างไปไม่หยุด
(...)
‘ฉันจะมีแฟนแล้วเว้ยยยยยยยย’
(...)
‘เฮ้ย อย่างเงียบดิวะ ดีใจกับเพื่อนหน่อย เออ ว่าแต่แกเหอะ แล้วเรื่องซึงยอนเป็นยังไงบ้าง’
(...)
‘แกเป็นอะไรรึเปล่า’ ซูยองพึ่งสังเกตเห็นถึงความผิดปกติจึงเอ่ยถามเสียงจริงจังระคนเป็นห่วงออกไป รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องแย่ๆ
(ไอ้ซู...)
‘
’
(ถ้าฉันจะบอกว่าคนที่มาสารภาพรักกับแกเป็นคนคนเดียวกับซึงยอนคนที่ฉันชอบ แกจะเชื่อฉันไหม...)
‘เฮ้ย! อย่าล้อเล่นไม่เข้าท่า ไม่ขำเลยนะเว้ย’
(ฉันก็อยากให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเหมือนกัน...)
‘...’
(ฉันขอโทษนะซู...แต่ฉันคงเป็นเพื่อนกับแกต่อไปไม่ได้...)
เอ่ยจบดงเฮก็ตัดสายไป ซูยองได้แต่ยืนนิ่ง ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำใสเอ่อคลอขึ้นมา...
เพราะอะไรกัน...ทำไมฉันต้องไปหลงรักคนเดียวกับที่เพื่อนรักฉันชอบด้วย...
ทำไม...
.
.
.
50%
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาต่อซักกะที>[]<
ขอโทษที่หายไปนานค่ะTT’ แอบตันTT’
หวังว่าคงทดแทนได้เพราะคราวนี้ลงเยอะนะ-.,-
ขอบคุณที่ติดตามและก็คอมเม้นกำลังใจค่ะ><
#เม้นให้เค้านิดนะตะเอง><
ผลงานอื่นๆ ของ Peanut ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Peanut
ความคิดเห็น