Fic snsd : Don't say to love [Yuri] - Fic snsd : Don't say to love [Yuri] นิยาย Fic snsd : Don't say to love [Yuri] : Dek-D.com - Writer

    Fic snsd : Don't say to love [Yuri]

    The End! --100%--

    ผู้เข้าชมรวม

    4,019

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    4.01K

    ความคิดเห็น


    41

    คนติดตาม


    6
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ก.ค. 54 / 22:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น




     


    คิม แทยอน

    ไม่รู้ว่าจะทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเธอทำไมทั้งๆ ที่เมื่อเธอหันหลังให้น้ำตามากมายก็พากันไหลออกมาไม่ขาด...
    ถ้ายอมเปิดใจรับฟังเสียงเรียกร้องข้างในซักนิดแล้วทำตามที่มันต้องการ...
    ร้องไห้อ้อนวอนขอเธออย่าจากกันไปผลลัพธ์มันจะดีกว่าตอนนี้ที่ทำได้แค่นั่งร้องไห้คนเดียวหรือเปล่า?


    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    หนีมาเปิดเรื่องใหม่ค่ะ! -.,-

    จะมีคนอ่านมั้ยแว้Tt

    ฝากหน่อยแล้วกันงับ - w - Y

    #ชื่อฟิคตันสุดๆ Tt

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





                             “
      เลิกกันเถอะ...

      น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยประโยคสั้นๆ  ออกมาสามารถยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าคนพูด...ไม่ได้พูดเล่น

                      แววตาเศร้าสร้อยทอดมองไปไกล ทั้งๆ ที่เป็นคนพูดเอง ต้องการแบบนี้เอง แต่มันก็เศร้าไม่น้อยเหมือนกันเมื่อลองคิดว่าถ้าพรุ่งนี้ต้องตื่นขึ้นมารับรู้ว่าความทรงจำดีๆ ที่เคยมีเป็นเพียงแค่ อดีต

                       ร่างบางพยายามกลั้นใจเหลือบมองแววตาของร่างเล็ก คนเขาพูดกันว่า ดวงตาไม่เคยโกหกใคร และไม่เคยโกหกความรู้สึกข้างใน เธอก็แค่อยากจะรู้ว่าร่างเล็กที่ได้ยินคำพูดจากเธอเมื่อครู่จะรู้สึก

       

      เสียใจ

       

      หรือ

       

      ดีใจกันแน่....?

                     

      พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจความหมายของแววตานั้น แววตาที่ทั้งว่างเปล่า เหม่อลอย ไร้ความรู้สึก ร่างบางเบนสายตาไปด้านอื่นอย่างเก่า เวลาผ่านไปพอสมควร ต่างฝ่าย...ต่างเงียบ...


                      จนในที่สุด ฝ่ายที่เป็นคนพูดทำลายความเงียบอีกหนก็ไม่พ้นร่างบาง


                              “
      ฟานี่...มองไม่เห็นเหตุผล...ที่เราจะคบกันต่อไป...


                       คำพูดที่ไม่ได้ยาวอะไรมากมายหากแต่กว่าร่างบางจะเอ่ยมันได้จบประโยคก็ไม่ใช่เรื่องง่าย พยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปสั่นเครือ...


                      คนรับฟังยังคงนั่งเงียบ...นิ่ง...สีหน้า แววตา ท่าทางไม่ได้บ่งบอกอะไรนอกจากความเรียบเฉย


                                “
      ฟานี่เริ่มไม่แน่ใจ...ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้...มันมีความสุขดีแล้วหรอ...


                        ร่างบางยังคงพูดอยู่ฝ่ายเดียว มือกำแน่นจนเล็บจิกลงบนฝ่ามือ ถึงมันจะเจ็บ แต่ก็คงจะกลายเป็นแค่เรื่องเล็กๆ ทันที เมื่อเทียบกับความเจ็บภายในช่องอกด้านซ้าย


                      ก้อนเนื้อด้านใน...เต้นเบา...ราวกับกำลังจะหยุดนิ่งในไม่ช้า...


                              “
      แทเข้าใจ

      ในที่สุดฝ่ายรับฟังก็เอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงดูปกติจนเหมือนเรื่องที่กำลังพูดคุยกันอยู่เป็นเพียงแค่ เรื่องธรรมดา

      ....

      ในเมื่อฟานี่เลือกแบบนี้ แทก็คงขัดอะไรไม่ได้ ที่ผ่านมาฟานี่ทำเพื่อแทมากมายจนแทนึกไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรเพื่อฟานี่บ้าง ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรก...และครั้งสุดท้าย...ที่แทพอจะทำอย่างที่ฟานี่ต้องการได้...


                       น้ำเสียงดูเรียบนิ่งจนคนฟังปวดแปลบที่ใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่รู้สึกอะไรกับคำที่ตนเอ่ยตัดสัมพันธ์ออกไป ทิฟฟานี่ลุกขึ้นเดินจากไปเงียบๆ เมื่อพ้นระยะที่แทยอนสามารถมองเห็น ร่างบางก็ทรุดตัวลงอย่างคนอ่อนแรง มือยกขึ้นปิดปากกลั้นเก็บเสียงมันสะอื้น น้ำใสมากมายที่พยายามเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกันพากันเอ่อไหลออกมาไม่ขาด ตัวของร่างบางสั้นด้วยแรงสะอื้น

      แทเข้าใจ

      เข้าใจ? เข้าใจงั้นหรอ?

      ในเมื่อฟานี่เลือกแบบนี้ แทก็คงขัดอะไรไม่ได้ ที่ผ่านมาฟานี่ทำเพื่อแทมากมายจนแทนึกไม่ออกว่าตัวเองทำอะไรเพื่อฟานี่บ้าง ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรก...และครั้งสุดท้าย...ที่แทพอจะทำอย่างที่ฟานี่ต้องการได้...

      ตกลงเธอทำเพื่อฉันหรือทำเพื่อใจตัวเองกันแน่?

      เจ็บ...จนชาชิน...แต่เมื่อไหร่กัน...ที่มันจะตายด้าน?

       

      กี่ครั้งแล้วที่ต้องแอบร้องไห้เงียบๆ เพียงลำพังเพียงเพราะคนคนเดียว และคนคนเดิม

      กี่ครั้งแล้วนะ

      ที่ตัดใจเลิกรักเธอไม่ได้ซักที...

      ตกลงที่เธอทำมันถูกรึเปล่า เมื่อสุดท้ายคนที่เจ็บก็คือเธอเอง...ฮวัง ทิฟฟานี่...

       

       

       

      เลิกกันเถอะ

      ฟานี่...มองไม่เห็นเหตุผล...ที่เราจะคบกันต่อไป...

      ฟานี่เริ่มไม่แน่ใจ...ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้...มันมีความสุขดีแล้วหรอ...

      ถ้อยคำของร่างบางดังก้องภายในหัวของร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

      จุก...

      จุกจนพูดไม่ออก...

      ไม่รู้ว่าจะทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าเธอทำไมทั้งๆ ที่เมื่อเธอหันหลังให้น้ำตามากมายก็พากันไหลออกมาไม่ขาด... ถ้ายอมเปิดใจรับฟังเสียงเรียกร้องข้างในซักนิดแล้วทำตามที่มันต้องการ...ร้องไห้อ้อนวอนขอเธออย่าจากกันไปผลลัพธ์มันจะดีกว่าตอนนี้ที่ทำได้แค่นั่งร้องไห้คนเดียวหรือเปล่า?


                              ‘
      เลิกกันเถอะ

      ทำไม? เพราะอะไรเธอถึงเอ่ยมันออกมา?

      ฟานี่...มองไม่เห็นเหตุผล...ที่เราจะคบกันต่อไป...

      เหตุผลที่จะคบกันต่อไป ก็เพื่อใช้คำว่า เรา มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ น้ำตา ไปพร้อมๆ กันไง...

      ฟานี่เริ่มไม่แน่ใจ...ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้...มันมีความสุขดีแล้วหรอ...

      ไว้เมื่อเธอแน่ใจ...ค่อยมาเอ่ยคำว่า เลิกกันเถอะ ก็ยังไม่สาย ไม่มีให้แม้แต่คำว่า โอกาส หรือเป็นฉันเองที่ไม่ยอมเรียกร้องถามถึงมัน?


                     ลองย้อนนึก...จะว่าไป...ก็คงจริงอย่างที่เธอพูด

      คบกันต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์

      ฉันคงทุ่มเทกับการทำงานมากจนเกินไป มากไปจริงๆ จนลืมไปว่ายังมีใครที่ต้องดูแล ใครที่ต้องทุ่มเท...

      แต่ที่ทำทั้งหมดก็เพื่ออนาคตของคำว่า เรา

      หึๆ ฮ่าๆๆ

      หัวเราะ..สมเพชตัวเอง จะไปโทษใคร...ก็ทำตัวเองทั้งนั้น...

      เธอมีความสุขอยู่ไม่ใช่หรอคิม แทยอน แล้วไอ้น้ำบ้าๆ นี่เมื่อไหร่มันจะหยุด...ฮึกๆ...ไหลซักที...ฮึกๆ นะ...

      หลอกตัวเองไม่พอ...ยังหลอกใจตัวเอง...

       

       

       

      หลอกใจตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อพบว่าคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่เดินจากไป...

       

       

      ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเหมาะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดและเงียบ มีเพียงแสงจากด้านนอกที่ลอดส่องทอดแสงสลัวๆ เข้ามาพอให้เห็นร่างเล็กที่นั่งนิ่งบนเตียง

       

      แววตาเศร้าสร้อยจดจ้องโทรศัพท์ภายในมือด้วยหวังว่าจะมี โอกาส ถึงมันจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม...

       

      ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ทำได้แค่นั่งมองโทรศัพท์ภายในมืออย่างมีความหวัง เพียงแค่หวังเล็กๆ แม้ภายในใจเฝ้าอ้อนวอนขอให้มันเกิดขึ้นจริงๆ

      แค่เฝ้านั่งรอหวังเล็กๆ ว่าร่างบางจะโทรมา...

       

      เหมือนชีวิตทำอะไรบางอย่างที่สำคัญที่สุดหล่นหายไป...

      ในใจลังเลว่าควรจะออกตามหาและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาของสำคัญนั้นกลับมาหรือจะเฝ้ารอต่อไปอย่างไร้ความหวัง...รอให้ของสำคัญนั้นกลับมาเอง...

       

      ทั้งๆ ที่ความรู้สึกภายในใจชัดเจนขนาดนี้แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในเมื่อวันนี้ไม่อีกต่อไปแล้วคำว่า เรา’…

       

      หันไปทางไหนก็เจอแต่ ความทรงจำ ที่ใจ อยากลืม

       

      หือ?

      ครบรอบ 5 เดือน ฟานี่ทำเองกับมือเลยนะ

      ตายล่ะ แทลืมไปเลย

      เก็บมันดีๆ แล้วกันแทแท แล้วก็หัดจำวันสำคัญของเราบ้างสิ รู้ไหมว่าฟานี่เสียใจนะ ที่แทไม่เคยจำได้เลย...

      น้ำใสที่เคยเหือดแห้งไปพลันเอ่อคลอในดวงตาอีกหนเมื่อความทรงจำในวันวานย้อนกลับมาฉายชัดในความคิด... ดวงตาจดจ้องไปที่โหลใส ภายในบรรจุดาวสีสวยไว้มากมาย...

       

       

      วันนี้วันอะไรนะแทแท?

      วันศุกร์ไง

      แทแทอ่า

      หือ? โอ๊ย! ฟานี่ปาตุ๊กตาใส่หัวแททำไมอ่า

      ฟานี่เสียใจนะ! ทำไมแทแทไม่เคยจำได้เลย

      จำ?...ฟานี่...แทขอโทษ

      ...

      ฟานี่อย่าเงียบสิ ดูสิ...เจ้าหมีน้อยที่ฟานี่ให้มาทำหน้าบึ้งใส่แทใหญ่เลย โอ๋เอ๋ๆ ไม่งอนนะคะคนดี

      ...

      ฟานี่อ่า...แทขอโทษ ดีกันนะๆ

      ก็ได้! ชิ! เมื่อไหร่ฟานี่จะงอนแทแทได้นานๆ ซักทีนะ

      ข้างตัวมีตุ๊กตาหมีสีขาวสะอาดตานั่งส่งยิ้มมาให้ แต่ทำไมคนที่มองมันไม่ยิ้มตามกลับร้องไห้ไม่หยุดกันนะ...

       

       

      หือ?

      ใส่ติดตัวตลอดนะแทแท! ใส่คู่กับฟานี่

      มือยกขึ้นลูบต้นคอว่างเปล่า สร้อยคู่ที่ร่างบางซื้อให้ คนอย่างเธอก็กลับทำมันหาย...

       

       

      เอามือมานี่ซิแทแท

      อ่ะ จะทำอะไรหรอฟานี่

      ต้องหมั้นแทแทไว้ก่อน คราวนี้ห้ามทำหายเหมือนสร้อยนะ! คนอื่นจะได้รู้ว่าแทแทมีเจ้าของแล้ว

      เด็กบ้า

       

      ที่เหลืออยู่ใส่กับตัวตอนนี้ก็คงเป็นโลหะสีเงินวาวที่ถูกสวมใส่ในนิ้วนางข้างซ้าย

       

      คงถึงเวลาที่แทต้องถอดมันออกแล้วสินะ...ฟานี่

       

      เอ่ยกับตัวเองเสียงแผ่วเบาจบก็พยายามดึงแหวนออกจากนิ้ว แต่พยายามเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล แทยอนถอนหายใจยาวล้มตัวลงนอนอย่างคนเหนื่อยอ่อน...

       

      จะเป็นไรไหม ถ้าแทอยากให้ทุกอย่างมันกลับมาเป็นอย่างเดิม...ฟานี่...

       

       

                             “ลืมอะไรอีกมั้ยนะเรา

                      เอ่ยกับตัวเองพร้อมสอดส่ายสายตามองไปรอบห้อง พลันสายตาสะดุดเข้ากับโหลแก้วใสภายในบรรจุดาว ตุ๊กตาหมีสีขาวน่ากอด ดอกกุหลาบเหี่ยวเฉาตามกาลเวลาที่ถูกใส่ไว้ในแก้วบรรจุน้ำ และกรอบรูปขนาดเหมาะ ทั้งหมดถูกจัดวางบนโต๊ะไม้สีขาวขนาดเล็ก

       

      ร่างเล็กส่งยิ้มให้กับสิ่งของเหล่านั้น ถึงจะบอกว่ายิ้ม แต่มันคงเป็นยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยที่สุด...

                     

      กวาดสายตามองรอบห้องด้วยความอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้าย ในเมื่อไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อย่างน้อยก็ขอเก็บภาพความทรงจำดีๆ ไว้ก่อนจะจากไป...

                     

      มือเอื้อมหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นสะพายอย่างทะมัดทะแมง เดินออกจากห้อง มือกำลูกบิดแน่นสายตาจดจ้องภาพในกรอบรูปเป็นครั้งสุดท้าย...

       

                      ผู้คนพลุกพล่านเดินกันขวักไขว่รีบร้อนในธุระของตน ร่างเล็กยืนลำพังสวมหมวกแก๊ปปกปิดใบหน้าเกือบครึ่ง ผมซอยยาวประบ่าถูกรวบมัดลวกๆ ปอยผมบางส่วนจึงยาวระโครงหน้าลงมา เสื้อยืดสีฟ้าสบายๆ ดูจะเข้าได้ดีกับกางเกงยีนส์ขายาวพร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบดูทะมัดทะแมง ลำคอขาวถูกคล้องไว้ด้วยสายสะพายกล้องตัวใหญ่ ข้างตัวมีกระเป๋าเป้ใบใหญ่

                     

      สอดส่ายสายตามองหารถคันที่จะส่งตนไปยังจุดหมายที่ต้องการ ไม่นานนักก็พบมันอยู่ไม่ไกล เตรียมตัวยกกระเป๋าขึ้นสะพายกับบ่า เมื่อรถจอดตรงหน้าก็ก้าวขึ้นไปเลือกหาที่นั่งที่ดูส่วนตัวที่สุด

                     

      เมื่อนั่งลงก็ถอนหายใจเหนื่อยออกมาเฮือกใหญ่ มือหนายกกล้องขึ้นมาเปิดรูปผลงานของตนดูฆ่าเวลา กดดูไปได้ไม่นานก็ต้องสะอึกเมื่อหน้าจอปรากฏภาพของใครบางคน...

                     

      ใครบางคนที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ...

                      ใครบางคนที่เดินจากไป....

                      อย่างไม่มีวันหวนกลับ...

                     

      นิ้วเรียวลูบไล้หน้าจอด้วยความอาวรณ์ไม่รู้ตัว น้ำใสเอ่อคลอขึ้นมาอีกหน ไม่นานร่างเล็กก็ต้องรีบสะบัดหัวไล่ความรู้สึกฟุ้งซ่านให้ออกไป... แม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ก็ตาม...

       

                      เฮ้อ~! นั่งรถนานๆ ก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย

                      เอ่ยกับตัวเองขณะบิดขี้เกียจชุดใหญ่พร้อมสูดหายใจเข้าเต็มปอด คิดเอะใจว่ากลายเป็นคนพูดกับตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ นึกขันในใจรู้สึกยังไงก็พูดออกมาแม้จะอยู่คนเดียว ถ้าตอนนั้นในใจรู้สึกยังไงก็พูดออกมา เอ่ยขอร้องร่างบางไม่ให้จากไปก็คงจะดี...

                     

      คิดได้ก็สายไปในเมื่อจะให้มาแก้ไขอะไรตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อเป็นคนเอ่ยตามใจอีกฝ่ายโดยไม่ขัดอะไรเอง...

                      แล้วใจจะนึกเสียดายให้มันได้อะไรในเมื่อการอยู่ตัวคนเดียวก็ใช่ว่าจะถึงขนาดเลวร้ายเสียเมื่อไหร่ กลับกันอยากทำอะไรก็ทำ อิสระยิ่งกว่าอะไรดี...

                     

      นี่รึเปล่า? ที่เขาเรียกกันว่าโกหกตัวเอง...

                      พอได้ลองอยู่คนเดียวมันก็ทำให้รู้สึกตัวเหมือนกัน

                      ว่าเมื่อขาดเธอไป

                      การหายใจอยู่ต่อไปเพียงลำพังมันทรมานเพียงใด...

                      ในเมื่อเธอเปรียบเหมือน ทุกสิ่ง

                      พอขาดเธอไป

                      ตอนนี้ชีวิตฉันจะเหลืออะไร ? ในเมื่อเธอคือทุกสิ่ง

                              สงสัยคงต้องเริ่มต้นนับใหม่...เริ่มนับใหม่กับใครซักคน...ใครที่พอจะเป็นทุกสิ่งได้เหมือนกับเธอ...

                     

      แต่มันคงยังไม่ใช่เวลานี้ ในเมื่อทนหายใจต่อไปโดยลำพังได้ก็เก่งแล้ว ก้อนเนื้อภายในอกด้านซ้ายก็เต้นแผ่วเบาลงทุกขณะราวกับจะหยุดทำงานในไม่ช้า...

                      มันคงยังไม่พร้อมจริงๆ...ที่จะเปิดใจกับใครคนอื่น...

                      ใครคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ...

       

                      หลังจากทำการตระเวนหาที่พักราคาถูกได้แล้ว แทยอนก็ตัดสินใจว่าจะเดินชมบรรยากาศต่างจังหวัดยามค่ำคืนเสียหน่อย ได้ยินคนเขาพูดเหมือนกันว่ามีเทศกาลพอให้เดินเล่น แล้วแบบนี้ขาเที่ยวจะพลาดได้ไง!

       

                      ใส่ชุดสบายๆ เดินมองแสงไฟไปเรื่อยเปื่อย ถึงจะไม่สวยเท่ากับในเมืองแต่ก็ดูมีเสน่ห์ในแบบของมันเหมือนกัน อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นครอบครัวเดินจูงมือส่งเสียงหัวเราะคละเคล้าไปกับเสียงจอแจของผู้คน แวะซื้อของกินติดไม้ติดมือพอเดินไปกินไป  สายตาสะดุดเข้ากับคู่รักตรงหน้าที่เดินควงแขนส่งเสียงหัวเราะคิกคักกันอย่างมีความสุข เห็นภาพนี้แล้วความทรงจำในใจก็พลันถูกสะกิดขึ้นมาอีกหน...

                     

      นานๆ จะได้มาเดินเที่ยวงานตอนดึกๆ กับแทแท ฟานี่ดีใจจัง

                      ฮ่าๆ ขอโทษทีนะฟานี่ที่แทไม่ค่อยมีเวลาให้ฟานี่เลย

                     'ไม่เป็นไรหรอก แค่แทแทยังใส่ใจฟานี่ แค่นี้ฟานี่ก็มีความสุขแล้ว

                      'แฟนใครคะเนี่ย น่ารักจริงเชียว

                      'โอ๊ย! แทแทอย่าดึงแก้มฟานี่สิ น่ารักก็รักสิคะ

                      แล้วใครบอกกันว่าแทไม่ได้หลวมตัวรักไปแล้วน่ะ

                       'แทอ่า ฟานี่เขินนะ!’

                     

      นึกถึงความทรงจำดีๆ ภาพในอดีตถูกฉายชัดในหัวเหมือนกับแผ่นฟิล์มที่เล่นฉายซ้ำอีกหน รอยยิ้มเคอะเขิน ใบหน้าขึ้นสีเรื่อเพราะการสูบฉีดเลือดของเลือด มือที่ขยับกุมแน่นขึ้น ไออุ่นจากร่างของอีกฝ่ายที่เบียดตัวแนบชิดเข้ามาใกล้...

       

      คิดถึงรอยยิ้มตาปิดนั้นจัง... แต่ที่คิดถึงที่สุดคงไม่พ้นเจ้าของรอยยิ้มตาปิด...

       

       

                   

      จะไปแล้วหรอแท

                      อื้ม ถ่ายได้เยอะพอสมควรแล้วล่ะ ว่าจะไปที่อื่นต่อ เรื่อยๆ น่ะ

                      ซันคงคิดถึงแทแย่เลย

                      ฮ่าๆ ก็โทรหาสิ แทไปก่อนนะ

                              เดินทางดีๆ นะแท

                     

      โบกมือลาส่งยิ้มให้กันครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินจากมา ด้วยเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย คงไม่ใช่เรื่องยากหากจะสนิทสนมกับเจ้าของโรงแรมนาม ลี ซันนี่ ที่อายุไล่เลี่ยกับตน แถมด้วยคุยถูกคอเวลาเพียงไม่นานคงเพียงพอจะทำให้ทั้งสองสนิทสนมกัน

       

      เวลาเกือบเดือนที่ทำให้ทั้งสองพอได้พูดคุยกันยามว่างพอจะทำให้แทยอนลืมเรื่องราวเจ็บปวดไปได้บ้าง แม้ภายในส่วนลึกของจิตใจจะไม่เคยลืมใครอีกคนได้เลยก็ตาม เคยคิดหลายครั้งว่าคนนี้รึเปล่า...คนที่พอจะเป็นทุกสิ่งให้กับตนได้...แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดในเมื่อหลับตาลงทีไรใบหน้ายิ้มตาปิดก็ลอยเข้ามาทำให้ตนหวั่นใจทุกครั้ง...

       

      คงจะลืมไม่ลงจริงๆ...

      ใครหลายๆ คน บอกว่า เวลา จะสามารถช่วยทุกๆ อย่างได้

      แล้วสำหรับเธอ ต้องใช้เวลาซักเท่าไหร่กัน

      ถึงจะพอทำให้เลิกรักคนที่เดินจากไปแล้วได้ซักที...

       

       

      ก้าวขาลงจากรถเมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ สูดหายใจเข้าเต็มปอดหลังจากนั่งบนรถเป็นเวลานาน อดยิ้มเล็กๆ ไม่ได้ เมื่อเห็นภาพตรงหน้า...

       

      ธรรมชาติสวยงามลายล้อมรอบตัว

       

      มือไม้เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ต้องรีบหยิบยกกล้องคู่ใจขึ้นมาเก็บภาพธรรมชาติน่าจดจำ ในเมื่อมันเป็นอาชีพของเธอ แถมยังเป็นอะไรที่เธอรักมาก จะให้อดใจไม่หยิบกล้องขึ้นมารัวชัตเตอร์ยังไงไหว

       

      พอเริ่มถ่ายก็เกิดอาการติดลมวางกล้องไม่ลงซะงั้น ลืมซะสนิทว่าต้องรีบออกตระเวนหาที่พักซะก่อนในเมื่อตอนนี้ก็เป็นเวลาเย็นย่ำ และกว่าจะหาที่พักราคาถูกได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

       

      มือยกขึ้นปลดกระเป๋าใบโตออกจากไหล่ สัญญาณแบบนี้บ่งบอกได้อย่างเดียวว่าเจ้าตัวคงจะกระหน่ำรัวชัตเตอร์เก็บภาพอีกนาน ช่วงเวลาแบบนี้พลาดไปก็เสียดายแย่ พระอาทิตย์ยามเย็นใกล้ลาลับขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนๆ สาดส่องไปทั่ว...

       

      ความมืดเริ่มปกคลุมบริเวณโดยรอบทุกขณะ ร่างเล็กที่เดินถ่ายรูปเพลินร่วมชั่วโมงพึ่งจะรู้สึกตัวรีบวิ่งวนหากระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตนแล้วไม่นานก็พบมันนอนแน่นิ่งอยู่ใต้โคนไม้ ถือว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่หาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะเลิกนิสัยติดลมไม่สนใจอะไรเวลาเจอบรรยากาศเหมาะๆ น่ารัวชัตเตอร์ได้ซักที วิ่งวนหากระเป๋าตั้งนานก็ขอนั่งพักหายใจหอบให้หายเหนื่อย มือยกขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าเนียน หายใจหอบถี่ ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาฉายชัดในหัวอีกหน...

       

      อ่ะ ดื่มน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจหน่อยนะแทแท เดินตระเวนถ่ายรูปตั้งนาน

      ขอบคุณค่ะ แต่ จริงๆ แค่แทเห็นหน้าฟานี่ก็ชื่นใจแล้วนะ

                      ปากหวานจริงนะแทแท!’

                      เคยชิมแล้วหรือไงถึงรู้น่ะ

                              บ้า!’

                     

      ตอนนี้จะทำอะไรอยู่นะ...

                      จะคิดถึงฉันหรือเปล่า?...

                     

      พอมีเหตุการณ์อะไรที่พอทำให้นึกถึงใครอีกคน หัวมันก็จะแล่นฉายเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาทันที แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ล่ะเธอถึงจะลืมคนคนนั้นได้ นิ้วเรียวยกขึ้นปาดน้ำใสที่คลอหน่วยที่หางตา เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลงทุกขณะ กลั้นเก็บน้ำใสบังคับไม่ให้มันเอ่อไหลออกมา ไม่นานก็ต้องรีบสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านที่รังแต่จะทำให้ปวดแปลบที่ใจ ลุกขึ้นยืนปัดเศษดินออกยกกระเป๋าใบโตขึ้นสะพายกับไหล่ ขณะเงยหน้าขึ้นก็ต้องชะงักค้างเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคน...

                     

      ฟะ...ฟานี่...

                     

      น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้นเป็นชื่อคนที่เฝ้าคิดถึงมาตลอด ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งจดจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา แทบไม่เชื่อสายตาว่าภาพที่เห็นคือความจริง

                      ความรู้สึกชั่ววูบหลงลืมเหตุการณ์สำคัญบางอย่างไป...

      เหตุการณ์ที่ทำให้ในวันนี้ไม่มีคำว่า เรา

      เกือบจะเผลอใจวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดอบอุ่น กลิ่งกายคุ้นเคย สัมผัสแสนคิดถึง แต่ก็ต้องหยุดชะงักขาที่กำลังจะก้าวไปหาอีกคน เมื่อความเจ็บภายในช่องอกด้านซ้ายเตือนสติคนอ่อนแอ...

       

      -------------------------------------------------------------------

                     

      ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่...

                      ยิ่งหนีกลับยิ่งเจอ...

                      ฉันรู้ดีส่าต่อให้เวลาล่วงเลยไปเป็นปี ต่อให้นานแค่ไหนฉันก็คงไม่สามารถลืมเธอได้ลง แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อมั่นคือ เมื่อเวลาล่วงเลยไปขนาดนั้น ฉันคงสามารถหายใจอยู่ต่อไปโดยไม่ทรมานเท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้...

                      แต่นี่มันอะไรกัน?

                      เวลาเพียงแค่เดือนเดียว...เธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าฉัน...ฉันเพียงแค่ขอเวลาเยียวยาก้อนเนื้อที่เต้นแผ่วเบาลงทุกขณะ แค่นี้ จะให้ฉันไม่ได้เลยหรือ?

                     

      ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาจนฉันทำอะไรไม่ถูก...

      คิดถึง...

                      คิดถึงแทบขาดใจ...อยากกอดเธอแนบชิด ยืนยันกับตัวเองว่าเธอยังอยู่ตรงนี้...อยู่ตรงนี้แล้ว...อยู่ภายในอ้อมกอดของฉัน...

                      โอกาสอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ฉันคงขี้ขลาดเกินกว่าจะทำตามที่ใจต้องการ ทำได้แค่ยืนมองเธออยู่ตรงนี้ รู้ไหมคนดีว่ามันทรมานขนาดไหนที่ฉันทำได้แค่ยืนมองเธออยู่ตรงนี้

      เธอจะรู้บ้างไหม?

                      ว่าใจฉันเรียกร้องครวญหาอ้อมกอดของเธอมากมายขนาดไหน...

                      อยากพร่ำกล่าวขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่พลั้งเผลอทำลงไป...

                      เอ่ยขอโอกาสแก้ตัว...แก้ไขในสิ่งที่พลาดทำลงไป...

                      เธอจะเห็นใจคนอย่างฉันได้ไหม? คนโง่งมที่ทำพลาดไป ให้โอกาสฉันได้แก้ไขในสิ่งที่ทำลงไปได้หรือเปล่าคนดี ?

                      แค่โอกาส...โอกาสซักครั้ง...

                      เธอพอมีมันให้ฉันได้หรือเปล่า...

       

      -------------------------------------------------------------------

                     

      ถ้าเหตุผลที่ทำให้ฉันได้พบกับเธออย่างที่ใจต้องการเป็นเพราะต้องการให้โอกาสฉันได้แก้ไขในสิ่งผิดที่ทำลงไป...ฉันควรรีบไขว่คว้าโอกาสที่อยู่เบื้องหน้า ห่างเพียงเอื้อมมือนี้หรือเปล่า?

      ในเมื่อฉันเองที่เป็นฝ่ายเอ่ยคำสั้นๆ ที่ตัดสัมพันธ์ระหว่างเรา...

                      คำที่ย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจฉันเอง...

                      คำที่ทำให้ในตอนนี้ฉันไม่มีสิทธิ์ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดได้อย่างเก่า...

                      ฉันควรเชื่อสิ่งไหนกัน...ระหว่างหัวใจที่ร้องเรียกหาเพียงเธอ หรือ ทิฐิที่สั่งให้ฉันหยุดทุกๆ อย่างไว้เพียงเท่านี้...

                      เธอจะโกรธฉันหรือเปล่า ถ้าฉันเอ่ยขอโทษแล้วขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างเก่า...

      เธอจะยังต้องการฉันอยู่หรือเปล่า...

                      เธอมีความสุขที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือเฝ้าอาวรณ์วันเก่าๆ ที่เรามีกัน...

                     

      รู้ไหมคนดี...ทุกครั้งที่ฉันหลับตานอน...ฉันจะฝันละเมอถึงความทรงจำดีๆ ระหว่างเรา ฉันแทบไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้ความจริงน่าปวดใจ...ความจริงที่ว่าฉันไม่สามารถสานต่อความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างเรา...ทันทีที่ฉันหลับแล้วมีความสุขกว่าการตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตลำพัง...

                     

      ฉันอยากหลับ...หลับแล้วไม่ต้องตื่น...หลับฝันว่ายังมีเธอข้างกาย...

                     

      ที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ถูกหรือเปล่า...

                     

      หลังจากวันนั้นฉันแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ ย่างเข้าวันที่ห้าของความทรมาน ฉันตระหนักได้ว่าการอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีเธอคงไม่มีทางเป็นไปได้...

       

                      ฉันออกตามหาเธอทุกที่ ทุกที่ที่มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะอยู่ที่นั่น รู้หรือเปล่าว่ามันปวดแปลบที่ใจขนาดไหนตอนที่ฉันเปิดประตูเข้าไปภายในห้องของเธอแล้วพบแต่ข้าวของถูกวางเป็นระเบียบ...

                     

      เฝ้าถามตัวเอง...เธออยู่ที่ไหนกัน...

                      จนในที่สุด...ความพยายามของฉันก็สำเร็จผล...ฉันพบเธออยู่ตรงหน้า...ยืนห่างเพียงไม่กี่ก้าว...

                      โอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วไง...เดินเข้าไปสิ...

                      แต่ฉันคงขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอย่างที่ใจคิด...

       

      -------------------------------------------------------------------

       

                      ขอโทษที่รบกวนนะฟานี่

                      ไม่เป็นไรหรอก

                      เอ่ยอย่างเกรงใจขณะก้าวเข้ามาในห้องพักของร่างบาง นึกตำหนิตัวเอง เพราะนิสัยแก้ไม่หายเวลาเจอบรรยากาศเหมาะ แสงธรรมชาติดีๆ เป็นต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายไม่เลิกจนกว่าจะพอใจ จับกล้องทีไรลืมเรื่องสำคัญหลายๆ อย่างทุกที...

                     

      เสียงฝนตกกระหน่ำด้านนอกไม่ขาดสาย บรรยากาศเป็นใจเสียเหลือเกิน ถ้าฝนไม่ตกยังพอเอ่ยปัดบอกปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่ายได้ ออกตระเวนหาที่พักตอนกลางคืนไม่ใช่เรื่องปลอดภัยก็จริง...แต่ก้าวเข้ามาภายในห้องของอีกคนก็ใช่ว่าจะปลอดภัย...อันตรายต่อหัวใจดวงน้อยๆ ด้วยซ้ำ...

                     

      ทันที่ที่พ้นสายตาของทิฟฟานี่ แทยอนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิดสับสนในใจ...เหตุการณ์นั้นเคยเกิดขึ้นจริงๆ หรือ ทำไมอีกคนทำราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น...แต่ความเจ็บปวดภายในใจก็ยืนยันได้เป้นอย่างดีว่ามันคือเรื่องจริง...

                     

      เหมือนตอนนี้ตัวเองยืนอยู่ที่ไหนซักแห่ง...ที่ที่ไม่มีแสงสว่าง...มีเพียงแต่ความมืด..มองไม่เห็นแม้กระทั่งตัวเอง...แล้วแบบนี้จะเดินต่อไปข้างหน้าได้ยังไงในเมื่อมองไม่เห็นทาง...

                     

      ไม่แตกต่างอะไรกับตอนนี้...

                     

      ถอนหายใจอีกหน ได้แต่ทำใจว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ปล่อยไปตามชะตากรรมแล้วกัน...

                      โอ๊ย!”

                      ฟานี่!”

                      เสียงที่ได้ยินทำให้แทยอนตื่นจากภวังค์รีบวิ่งไปทางต้นเสียง ความเป็นห่วงมากจนกดทับทิฐิ เสียงดังมาจากภายในครัว เมื่อเข้าไปถึงก็รีบประชิดตัวอีกฝ่าย

                     

      เป็นอะไรฟานี่

                     

      น้ำเสียงลนลานด้วยความเป็นห่วง ใจร้อนเกินกว่าจะรอฟังคำตอบของอีกฝ่าย สายตาไล่สำรวจหัวจรดเท้าหาคำตอบ แล้วก็สะดุดเข้ากับบาดแผลเล็กๆ บนนิ้วชี้ของอีกฝ่ายที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากบาดแผล รีบประคองมือของร่างบางไว้ในอุ้งมือ

                     

      ซุ่มซ่ามจริงๆ มีดบาดใช่ไหม ทำอีท่าไหนกันห๊ะ!” ตวาดเสียงดัง

                      ก็...ฟานี่กลัวแทแทหิว...เลยเข้ามาทำแซนด์วิชให้...แล้วพอหั่นมีดมันก็บาดนิ้ว...เอ่ยน้ำเสียงสำนึกผิดจนคนฟังลดอารมณ์โกรธเพราะเป็นห่วงไปได้มาก ทั้งเหตุผลและน้ำเสียงมันช่างทำให้คนฟังใจอ่อนยวบ

                      เฮ้อ...กล่องยาอยู่ไหน ทีหลังไม่ต้องแตะมีดเลยนะ ก็รู้อยู่ว่าตัวเองซุ่มซ่ามขนาดไหน ดีว่าแผลแค่นี้ ถ้าเกิดหั่นนิ้วขาดขึ้นมาจะทำยังไง คิดซะบ้างสิ ทำไมต้องทำให้คนอื่นเขาเป็น....

                     

      ทำไมต้องทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วง

                               เกือบจะหลุดปากพูดออกไปดีว่านึกขึ้นได้

                     

      จากระดับสายตาที่มัวแต่จดจ้องบาดแผลเล็กๆ ของทิฟฟานี่ก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนสายตาไปสบเข้ากับอีกฝ่าย พบรอยยิ้มปิดไม่มิดของอีกคนก็นึกสงสัย คำพูดของร่างบางที่ได้ยินในเวลาต่อมาคงเป็นคำตอบได้อย่างดี

                     

      ทำไมต้องทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงใช่ไหม

                      คนฟังยืนเงียบกริบ ไปต่อไม่ถูก ถ้าพูดโกหกออกไปอีกฝ่ายก็คงดูออกเลยเงียบซะดีกว่า ใบหน้าแดงเรื่อ

                     

      ฟานี่ดีใจนะ...ที่แทแทยังเป็นห่วงฟานี่...เหมือนเดิม... เอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว    

                      แล้วก็...ดีใจ...ที่แทแทยังสวมมันไว้อยู่... เอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเป็นคนจับมืออีกฝ่าย นิ้วเรียบลูบไล้โลหะสีเงินวาว

       

      แทยอนที่พึ่งรู้ตัวเบิกตาโพลง รีบชักมือกลับมาซ่อนด้านหลัง หัวรีบคิดหาคำแก้ตัว

      ก็...ก็มันถอดไม่ออก

      :) ”

      เลิกยิ้มได้แล้ว!”

      แทยอนเอ่ยเสียงฉุนขาด ใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้เป็นเพราะโมโหหรือเพราะเขินกันแน่ ทิฟฟานี่ยังคงส่งยิ้มตาปิดให้อีกฝ่าย คนมองก็ได้แต่แอบหวั่นไหวกับรอยยิ้มนั้น ทิฟฟานี่ดึงแขนของแทยอนออกมา นิ้วเรียบดึงแหวนออกจากนิ้วนางของแทยอนได้อย่างง่ายดาย

       

      ทำไมจะถอดไม่ออก

       

      แทยอนหน้าแดงก่ำกว่าเก่าเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน นึกด่าตัวเองในใจเป็นรอบที่สองของวัน ตอนแรกมันก็ถอดไม่ออกหรอก แต่ไม่รู้เพราะอะไรก่อนหน้านี้ก็ถอดออกได้ซะงั้น แต่เจ้าตัวก็ตัดสินใจใส่มันต่อไป

      ไอ้โง่คิมแทเอ้ย!!!

       

      ดีเลย ฟานี่ถอดให้ได้ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องใส่  เอ่ยออกมาขัดกับความจริงในใจ คนฟังแววตาอ่อนแสงลงแต่ยังคงฝืนยิ้มต่อ

      ถ้า...แทแทไม่อยากใส่ก็ไม่เป็นไร...แต่ฟานี่ไม่รับของที่ให้ใครแล้วคืน...  เอ่ยเสียงเศร้าจบก็วางแหวนลงบนมือของแทยอนแล้วเดินหนีไป...

      แทยอนมองแหวนในมือด้วยความสับสน...

      ใส่

      หรือ

      ไม่ใส่

      แทบไม่อยากจะถอด แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจถูกว่าร่างเล็กยังคงรู้สึกดีๆ กับร่างบาง

      ถอนหายใจออกมาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวัน เลือกที่จะเก็บแหวนใส่กระเป๋า

      โกหกใจตัวเองต่อไปแล้วกัน...คิม แทยอน

       

       

                              หายใจหอบทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงด้านข้างร่างบางที่นอนหลับตาพริ้ม ตัวสั่นน้อยๆ เพราะความหนาว รีบร้อนลงไปหาซื้ออุปกรณ์ทำแผลให้ร่างบางจนลืมไปซะสนิทว่าด้านนอกฝนยังคงตกอยู่ เป็นห่วงอีกคนจนไม่สนใจตัวเอง วิ่งฝ่าฝนไปร้านขายยา พอกลับมาอีกทีก็เปียกไปทั้งตัว รีบตรงดิ่งเข้ามาทำแผลให้คนหลับโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะหนาวขนาดไหน

       

      มือสั่นค่อยๆ ทำแผลให้ทิฟฟานี่แผ่วเบาด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ไม่นานนักแทยอนก็ทำแผลให้ทิฟฟานี่เสร็จ ถอนหายใจเหนื่อยเลื่อนสายตาขึ้นจดจ้องใบหน้ายามหลับของร่างบาง สายตาไล่สำรวจด้วยความคิดถึง สะดุดเข้ากับคราบน้ำตาที่เลอะใบหน้าสวย รู้สึกสับสนไม่น้อย นิ้วเรียวยกขึ้นปาดคราวน้ำตาให้อีกคนแผ่วเบา

                     

      ร้องไห้เพราะอะไรกันคนดี...ได้โปรด...อย่าทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหวไปมากกว่านี้เลย...

       

                     

      ตัวร้อนจี๋เลย  เอ่ยกับตัวเองเสียงแผ่ว ความเป็นห่วงฉายชัดบนใบหน้าสวย รีบลุกขึ้นจัดการหาอ่างเล็กๆ พร้อมผ้าชุบน้ำ

                      มือบิดผ้าขนหนูผืนเล็กหมาดๆ เริ่มเช็ดตัวให้คนไข้ขึ้นสูง แววตาเป็นห่วงจดจ้องใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้ของแทยอน ไล่เช็ดมาจนถึงแขนของร่างเล็ก สังเกตเห็นนิ้วนางข้างซ้ายว่างเปล่า...ความรู้สึกเสียใจก็พากันถาโถมเข้ามา ไม่นานก็ต้องสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป

       

                      ในเมื่อตอนนี้เธอมีสิทธิ์หรือ...ที่จะน้อยใจ...

                     

                      ได้แต่นั่งโทษตัวเอง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าที่แทยอนไม่สบายก็เพราะเธอเอง เมื่อคืนใช่ว่าจะไม่รู้สึกตัวในเมื่อตัวของแทยอนเย็นซะขนาดนั้น เวลาโดนตัวเธอใครไม่รู้สึกตัวก็บ้าแล้ว แต่ก็ยังคงแกล้งหลับไม่รู้ตัวต่อไป ถึงจะไม่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าอีกคนเป็นห่วงเธอขนาดไหน...

                      จะผิดไหม...

                      ถ้าจะคิดเข้าข้องตัวเองว่าเธอเป็นห่วงฉัน...

                      เป็นห่วงแบบที่ไม่ใช่เพื่อนเป็นห่วงกัน...

                      นึกสมเพชตัวเอง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้อยู่ในฐานะอะไรสำหรับแทยอน...

                      แฟนเก่า....              

                      หรือแค่เพื่อน....

                     

                     

                      เวลาผ่านไป ทิฟฟานี่ยังคงหมกหมุ่นอยู่แต่กับการเฝ้าไข้แทยอนที่ตอนนี้ถือว่าอาการดีขึ้นมากถ้าเทียบกับเมื่อเช้า สีหน้าดีขึ้น เห็นดังนั้นก็รีบไปจัดการทำข้าวต้มให้แทยอน...

                      ไม่นานทิฟฟานี่ก็ทำข้าวต้มเสร็จ ควันลอยกรุ่นอยู่เหนือชาม ยกอย่างระมัดระวังเมื่อรู้ตัวดีว่าเป็นคนซุ่มซ่ามขนาดไหน วางชามลงบนโต๊ะไม้เล็กๆ ด้านข้างโซฟาเบามือ เอ่ยปลุกร่างเล็กที่ยังคงนอนขดอยู่บนโซฟา

                     

      แทแท...แทแท

                      อืม.... ครางตอบรับในลำคอเบาๆ ตายังคงปิดสนิท

                      แทแท ตื่นมากินข้าวต้มก่อนเร็ว จะได้กินยา

                      อืม...

                      ลุกเร็ว

                     

      เอ่ยจบก็ค่อยๆ ประคองแทยอนขึ้นนั่ง อาการปวดหัวส่งผลให้ร่างเล็กต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะแม้จะไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น ดวงตาปรือเหม่อมองร่างบาง  

                     

      กินหน่อยนะแทแท

                     

      ตักข้าวต้มพอคำป้อนให้อีกคน ร่างเล็กนึกโทษร่างกายตัวเองเมื่อไม่มีแรงแม้แต่จะบอกปฏิเสธขอตักกินเอง อาการไร้เรี่ยวแรงส่งผลให้แทยอนต้องจำยอมให้ทิฟฟานี่ป้อนข้าวต้มให้อย่างไม่มีข้อแม้

                     

      เมื่อข้าวต้มหน้าตาหน้ากินหมดชามทิฟฟานี่ก็เอ่ยบอกแทยอนน้ำเสียงอ่อนโยน

                      แทแทไปนอนบนเตียงก็ได้นะ ยิ่งไม่สบายอยู่มานอนขดบนโซฟา

                      คนรับฟังพยักหน้าเข้าใจ ตัดสินใจค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนเพราะมันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ทิฟฟานี่เห็นท่าทางโซเซจะล้มแหล่มิล้มแหล่ของแทยอนก็รีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้นไปนอนบนเตียง

                     

      กินยาหน่อยนะแทแท

                      เอ่ยจบก็ยื่นเม็ดยาให้แทยอน เหมือนเดจาวู...เหตุการณ์ในอดีตย้อนมาฉายชัดในหัวของร่างบาง...

       

                      กินยาหน่อยนะแทแท

                      อืม...แทไม่อยากกินอ่ะ ขมก็ขม ไม่กินไม่ได้หรอ

                      แล้วเมื่อไหร่จะหายล่ะแทแท

                      เดี๋ยวก็หาย ไม่เป็นไรหรอกฟานี่ คิดมากน่า

                      แทแท

                      ถ้าไม่เห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่ฟานี่จะได้ไหม...รู้ไหมว่าฟานี่ทรมานที่เห็นแทแทไม่สบาย กินยาแค่นี้เพื่อฟานี่ไม่ได้เลยหรอ...

                      ก็ได้....แต่...

                      ....

                      ฟานี่ต้องป้อนแทนะ

                      เมื่อฟังข้อแม้ของแทยอนจบทิฟฟานี่ก็ยื่นยาไปจ่อตรงปากของแทยอนแต่ร่างเล็กดูจะไม่มีทีท่าว่าจะอ้าปาก

                      ไม่ใช่แบบนี้สิ

                      แล้วแบบ....อ๊ะ!’

                      ยังไม่ทันที่ทิฟฟานี่จะเอ่ยจบประโยคก็โดนแทยอนแย่งยาในมือไป แทนที่จะหยิบใส่ปากตัวเองกลับยัดเข้าปากทิฟฟานี่ ทนสงสัยกับการกระทำของอีกฝ่ายได้ไม่นานก็เข้าใจเมื่อแทยอนทาบทับริมฝีปากลงมาบนตำแหน่งเดียวกัน...

                      ร่างบางรู้หน้าที่รีบใช้ลิ้นเรียวดันเม็ดยาในปากของตนเข้าใปในโพรงปากของร่างเล็กก่อนะจะรีบละริมฝีปากออกมา ใบหน้าขึ้นสีเรื่อด้วยความอาย

                      ใครเขาป้อนยาแบบนี้กันแทแท

                      ก็แทเป็นคนคิดขึ้นมาเองไง ออกจะได้ผล...

                      ได้ผลอะไร

                      ก็ยามันไม่ขมเลย

                      ....

                      หวานซะด้วยซ้ำ

       

                      แทบไม่รู้ตัวว่าเมื่อไหร่ที่นี้ใสเอ่อคลอที่ดวงตา รีบยัดยาใส่มือแทยอนลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเอ่ยเสียงสั่น

                      กินยาแล้วก็นอนพักนะ

                      ร่างเล็กอดสงสัยในท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก ทิฟฟานี่รีบก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องนอน ตรงออกไปนอกระเบียง ลมตีปะทะใบหน้า โล่งอกในใจเมื่อในที่สุดก็พ้นสายตาร่างเล็ก หยาดน้ำพากันเอ่อไหลออกมาจากดวงตาสวย ตัวสั่นน้อยๆ ด้วยแรงสะอื้น

       

                      เป็นแบบนี้ทุกที...ทำไมอดีตดีๆ ต้องย้อนมาทำร้ายฉันด้วย...แล้วแบบนี้เมื่อไหร่กัน...ที่จะลืมเธอได้...คิม แทยอน

       

       

      เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะๆ ส่งผลให้ร่างเล็กที่นอนขดตัวบนโซฟาเริ่มรู้สึกตัวหลังจากนอนซมมาทั้งวัน อาการดีขึ้นมากจนเกือบจะหายขาด ลืมตาขึ้นภายในความมืด ภาวนาขออย่าให้เกิดเรื่องทรมานหัวใจตัวเองแต่ไม่ทันขาดคำเสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงเม็ดฝนที่พากันตกกระทบพื้นเสียงดังอื้ออึง

       

       

      เปรี้ยง!

      กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!’

      ไม่ต้องกลัวนะคนดี

      ทะ...แทแท...ฟานี่กลัว

      ไม่ต้องกลัวๆ แทกอดฟานี่อยู่นี่ไง...

      เอ่ยปลอบประโลม กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวร่างบางหวังว่ามันจะพอคลายความหวาดกลัวให้คนในอ้อมกอดได้บ้าง ไม่นานนักร่างบางก็ผล็อยหลับไป ร่างเล็กจดจ้องคนหลับด้วยสายตาสื่อความหมายมากมาย นึกขึ้นในใจขณะมองคนหลับ...

      ถ้าฉันเป็นคนแรกและคนเดียวที่เธอต้องการยามหวาดกลัวก็คงจะดีสิ...

       

       

      เหตุการณ์ในวันวานย้อนกลับมาอีกหน เสียงฟ้าผ่ายังคงดังขึ้นเป็นระยะ ร่างเล็กกัดเม้มริมฝีปากแน่น ว้าวุ่นในใจ เป็นห่วงร่างบางที่นอนเพียงลำพังบนเตียง รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวขนาดไหน ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายจะต้องการตนไหม จะทำเป็นไม่สนใจก็ทรมานตัวเองใช่ย่อย จะลุกขึ้นไปปลอบก็กลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนยังตัดสายสัมพันธ์ไม่ขาดเฝ้าห่วงใยอยู่เสมอ...

       

      เปรี้ยง!

      ฟ้าผ่าเสียงดังกว่าเก่า ร่างบางที่นอนขดบนเตียงหลับตาแน่นด้วยความกลัว ไม่หลุดร้องเสียงดังออกไปก็เก่งเท่าไหร่ ไม่อยากส่งเสียงดังรบกวนคนป่วย ได้แต่นอนหลับตาแน่นสะกดกลั้นความกลัว

      คิดถึงอ้อมกอดอบอุ่น...ฝ่ามือที่ยกขึ้นลูบหัวปลอบประโลม...คำพูดอ่อนโยน...น้ำเสียงห่วงใย... นึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ที่มีร่างเล็กเคียงข้างทีไรน้ำตาก็พานจะเอ่อไหลออกมา...

      เปรี้ยง!

      ฟ้าผ่าดังกว่าเก่าจนร่างบางสะดุ้งตกใจ ความกลัวเริ่มมากขึ้นๆ...

      สัมผัสอบอุ่นที่ได้รับทำให้ร่างบางหลงลืมความกลัวที่เคยมี เผลอลืมตาขึ้นในความมืด เสียงที่ได้ยินแผ่วเบาราวกับกระซิบจากที่ห่างไกล หากแต่ร่างบางกลับได้ยินชัดเจน...

       

      ไม่ต้องกลัว...

       

      ยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวที่เคยมีบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่อีกคนเติมเต็มให้ ถึงอ้อมกอดจะไม่แนบแน่นเท่าวันเก่าๆ ที่เคยผ่านมา หากแต่ร่างบางรู้ดีว่าความห่วงใยยังคงเป็นเหมือนที่ผ่านมา...

      ยกมือขึ้นกุมกระชับกับมือร่างเล็ก หลับตาพริ้มทั้งๆ ที่ยังเผยยิ้มกว้างอยู่ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้น มีความหวังเล็กๆ หลังจากตกอยู่ในหนทางมืดมนมองไม่เห็นทางข้างหน้า...อย่างน้อยก็พอมีหวัง...หวังที่จะกลับมาเป็นอย่างเก่า....

       

      ร่างเล็กที่ทนโกหกตัวเองต่อไปไม่ไหวลุกพรวดขึ้นจากโซฟานอนลงบนเตียงนุ่มโอบร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด เผลอใจกระซิบเสียงแผ่วเบาออกไปเช่นทุกครั้งที่เคยปลอบประโลมร่างบาง...

      ไม่ต้องกลัว...

      ไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายได้ยินเพียงแค่อยากพูดอย่างที่ใจรู้สึกบ้าง ความรู้สึกอึดอัดจากการถูกบีบรัดที่ก้อนเนื้อบัดนี้เหลือเพียงอาการเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่กล้ากระชับอ้อมกอดแน่น กลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ...

      สัมผัสอบอุ่นจากมือของร่างบางที่ยกขึ้นกุมมือร่างเล็กทำให้เจ้าตัวระบายยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ความอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมานานตอนนี้กลับมาเติมเต็มหัวใจที่เคยอ่อนล้าให้กลับมาเต้นแรงอีกหน หลับตาลงทั้งรอยยิ้ม ถ้านี่เป็นความฝันก็คงเป็นฝันที่ดีที่สุดที่เจ้าตัวไม่อยากตื่นขึ้นมา...

       

       

      ระหว่างนั่งรอทิฟฟานี่ทำอาหารแทยอนก็คว้ากล้องคู่ใจขึ้นมาเปิดดูผลงานของตน ตอนเช้ารู้สึกตัวก็เพราะร่างบางปลุกให้ไปอาบน้ำ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนก็พานทำให้อมยิ้มออกมา คิดว่ายังพอมีหวังกับปลายทางข้างหน้า...

      เฮ้ย!”

      ขณะดูรูปไปคิดอะไรไปเพลินๆ ก็ต้องร้องตกใจออกมาเมื่อโดนร่างบางชกกล้องในมือไป

      ไหนดูสิ แทแทถ่ายรูปอะไรบ้าง เอ่ยน้ำเสียงยียวน นิ้วเรียวกดเลื่อนดูรูปภาพอย่างถือวิสาสะ

      เอาคืนมานะฟานี่ รีบลุกขึ้นจากโซฟาตรงเข้าไปแย่งกล้องคู่ใจกลับมา ไม่ใช่ว่าหวงอะไรเพียงแต่กลัวร่างบางจะไปเปิดเจอรูปของตนในนั้น ไม่อยากมานั่งคอยหาคำแก้ตัว สู้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็นก็จบ

      โห่แทแท นิดนึงขอดูหน่อย เอ่ยไปก้าวหนีแทยอนไป

      ไม่เอาน่าฟานี่ เอาคืนมา

      ทิฟฟานี่เห็นแทยอนตั้งท่าจะเอาคืนอย่างเดียวจึงรีบวิ่งเข้าห้องแต่ไม่ทันปิดประตูแทยอนก็แทรกตัวเข้ามาได้เสียก่อน ทิฟฟานี่จึงชูกล้องสุดแขนพร้อมถอยหลังหนีแทยอน

       

      ฟานี่เอาคืนมาก่อนที่แทจะโมโห

                      เอ่ยเสียงเข้มแต่คนฟังไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียวกลับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ แทยอนทนไม่ไหวตัดสินใจกระโจนหมายจะคว้ากล้องคืนมาแต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายที่เคยมีก็เหลือเพียงความเงียบ...

                     

      เหมือนในละครน้ำเน่าที่พระเอกล้มทับนางเอก...ไม่เคยคิดว่าจะมาเกิดกับตัวเอง หน้าห่างกันเพียงคืบ สายตาสอดประสานสื่อความหมาย ลมหายใจร้อนเป่ารดใบหน้ากันและกันส่งผลให้ภายใต้ความเงียบอย่างน้อยก็มีเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของทั้งสอง แทยอนค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าไปใกล้ใบหน้าสวยของทิฟฟานี่ หมายจะจรดริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดียวกัน ทิฟฟานี่หลับตาพริ้มรอรับสัมผัสหวาน อีกเพียงนิดเดียวริมฝีปากของทั้งสองก็จะสัมผัสกัน...

                     

      (เสียงโทรศัพท์)

                      แทยอนสะดุ้งตกใจ ลุกพรวดขึ้นทันที ทิฟฟานี่ไม่ต่างกัน ร่างเล็กเอ่ยแก้ขัดขอตัวรับโทรศัพท์

                      อ่ะ...เอ่อ...แทขอรับโทรศัพท์ก่อนนะ...

                      ยกมือเกาท้ายทอยแก้เขิน ใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อนึกได้ว่าเมื่อกี้ตัวเองกำลังจะทำอะไรลงไป รีบก้าวยาวๆ ปลีกตัวออกมาทิ้งให้ทิฟฟานี่นั่งหัวใจเต้นแรงใบหน้าแดงเรื่อเพียงลำพัง

                     

      ใครโทรมานะ

                      เอ่ยสงสัยขณะก้าวออกมายืนด้านนอกระเบียง ล้วงหยิบโทรศัพท์ในกางเกงขึ้นมา เบอร์แปลกไม่คุ้นตาทำให้ร่างเล็กขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความสงสัยแต่ก็กดรับสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ อาจจะเป็นเบอร์ลูกค้าที่ติดต่อมาก็ได้

                      สวัสดีค่ะ

                      (นี่...แทรึเปล่า...)

                      ใช่ค่ะ นี่ใครคะ

                      (ซันเองๆ แทจำซันได้ไหม)

                      อ๋อ ซัน จำได้สิ ว่าไง

                      (ไม่มีอะไรหรอก ซันคิดถึงแทน่ะ)

                      ฮ่าๆ แล้วเป็นไงบ้าง สบายดีไหม

                      (สบายดี แต่ซันคิดถึงแทมากๆๆๆ เลย)

                      ฮ่าๆ แทก็คิดถึงซัน

                      (ดูแลตัวเองด้วยนะแท แวะมาเยี่ยมซันบ้างก็ดี คิดถึง)

                      อืม ซันก็ดูแลตัวเองด้วย ไว้ว่างจะแวะไปหาแล้วกัน

                      (จ้า งั้นแค่นี้ก่อนแล้วกันนะแท ลูกค้ามา จุ๊บๆ)          

                      เมื่อวางสายแทยอนก็ยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ นึกเรียบเรียงคำพูดตัดสินใจว่าเข้าไปจะคุยปรับความเข้าใจพูดความจริงให้ทิฟฟานี่ได้รู้ หวังเล็กๆ ว่าอีกฝ่ายก็คงคิดเหมือนตน แค่คิดว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็มีความสุขเสียจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่มิด สูดหายใจเข้าเต็มปอดลองซ้อมพูดเพียงลำพัง

       

                      ฟานี่...คือ...แทมีเรื่องจะบอก...ที่ผ่านมาแทคิดถึงฟานี่มาตลอดแทคิดถึงวันเก่าๆ ที่เราอยู่ด้วยกัน...แทคิดถึงฟานี่มากจะเป็นไรไหมถ้าแทขอโอกาสอีกหน...แทจะดูแลฟานี่ให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ นีงจะทำได้...แทขอได้ไหมขอให้ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างเดิม...

                     

      เอ่ยจบก็ยิ้มกว้างออกมา หวังว่าทุกอย่างมันจะราบรื่นอย่างที่คิด สูดหายใจเข้าเต็มปอดอีกหน เดินกลับเข้าไปห้องนอนใหม่อีกหนแต่ก็ไม่พบทิฟฟานี่ เดินหาจนทั่วก็ไม่พบเจ้าของรอยยิ้มตาปิด นึกสงสัยว่าทิฟฟานี่หายไปไหนแต่แล้วก็เกิดความคิดดีๆ บางอย่าง...

       

       

                      ก้าวขารีบร้อนสองมือหิ้วถุงพะรุงพะรัง ล้วงหยิบโทรศัพท์ทุลักทุเล กดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็รับ

                      (คุณคิม แทยอนหรอคะ)

                      ใช่ป้า ป้าคะ ฟานี่กลับเข้าไปหรือยัง

                      (ยังเลยค่ะ)

                      ถ้าฟานี่กลับไปถึงก่อนที่แทจะไปถึง รบกวนป้าช่วยทำยังไงก็ได้อย่าพึ่งให้ฟานี่ขึ้นห้องนะคะ

                      (ได้ค่ะ)

                      วางสายเสร็จก็รีบก้าวยาวๆ ฮัมเพลงสบายอารมณ์ ก้มมองถุงในมือด้วยรอยยิ้ม รีบออกไปซื้อลูกโป่ง สายรุ้ง อาหารมาจัดทำเซอร์ไพร์สขอคืนดีกับร่างบาง

                     

      ขณะเงยหน้าขึ้นมาจากการก้มมองของในมือพลันสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคน...

                      มือไม้อ่อนแรง ข้าวของในมือร่วงหล่นลงกับพื้น จดจ้องภาพตรงหน้าไม่เชื่อสายตาตัวเอง...ภาพตรงหน้าเหมือนเชือกเส้นหนาที่ผูกรัดก้อนเนื้อภายในอกข้างซ้าย ทรมานเสียจนหายใจแทบไม่ออก...

                     

      ฟะ...ฟานี่...

                             

      ทิฟฟานี่ที่กำลังนั่งส่งยิ้มตาปิดไปให้ร่างสูงสวมกอดอีกคนด้วยรอยยิ้มมีความสุขหารู้ไม่ว่ามีสายตาคู่นึงจดจ้องด้วยความเจ็บปวด... ถึงจะไม่มีอะไรมากกว่าการกอด ส่งยิ้ม ลูบหัว แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้แทยอนก้าวขาไม่ออก เจ็บจนทำอะไรไม่ถูก...

                      ไม่ทนมองภาพที่รังแต่จะทำให้เจ็บข้างในอก พยายามเรียกเรี่ยวแรงที่หายไปกลับมาแล้วหันหลังวิ่งออกมาโดยไม่สนใจข้าวของที่ทำหล่น...

       

       

                      วิ่งออกมาจากห้องโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เพราะความอยากรู้ทำให้ทิฟฟานี่แอบฟังแทยอนคุยโรศัพท์ พอเห็นอีกคนคุยกับคนอื่นด้วยรอยยิ้มมีความสุข ขนาดวางสายยังยิ้มไม่เลิก มันก็ทำให้อดคิดมากไปไม่ได้ว่าคนที่แทยอนคุยด้วยคือ คนสำคัญของแทยอน...

                     

      สุดท้ายก็มานั่งหมดอาลัยตายอยากแถวสวนสาธารณะ ภาพในหัวฉายวนเวียนแต่ภาพที่แทยอนดูมีความสุขกับการคุยกับใครบางคน...

                     

      ฟานี่รึเปล่า...  น้ำเสียงนุ่มเอ่ยขัดความคิดของทิฟฟานี่ ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน

                      ยูล...

                      มานั่งทำอะไรแถวนี้เนี่ย แล้วทำไมหน้า....อ๊ะ

                      ฮือๆ ยูล...

                      ทิฟฟานี่สวมกอดร่างสูงอย่างต้องการที่พึ่ง ปล่อยโฮออกมาไม่อายสายตาคนรอบข้าง ควอน ยูริ ถึงกับทำอะไรไม่ถูก เงอะๆ งะๆ ยกมือขึ้นลูบหัวคนในอ้อมกอดอย่างปลอบประโลม...

       

                      กว่าจะเล่าเหตุการณ์หนักใจจบก็ใช้เวลาไม่น้อยเมื่อคนเล่าเล่นร้องไห้ไม่เลิก กว่ายูริจะปลอบให้หยุดร้องได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ร่างสูงนึกสงสัย ใครกันที่ทำให้สาวตายิ้มร้องห่มร้องไห้ได้ถึงขนาดนี้...

                      หรือจะเป็นคนเดียวกับเมื่อตอนนั้น....ตอนที่ทิฟฟานี่ไม่เป็นอันทำอะไร ถามคำตอบคำ ต้นเหตุมาจากเลิกกับแฟน นึกสงสัยจิตใจของผู้หญิง เป็นคนบอกเลิกเองแท้ๆ แล้วจะมานั่งเสียใจทำไม แต่ก็ทำได้แค่คอยอยู่ให้กำลังใจข้างๆ ทิฟฟานี่...

                     

      พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็พยักหน้ารับเข้าใจเรื่องราว ค่อยๆ นึกหาเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้มาเอ่ยประกอบเตือนสติร่างบางที่นั่งสะอึกสะอื้นอยู่ด้านข้าง

                      อาจจะเป็นเพื่อนก็ได้ ทำไมไม่ถามเขาไปล่ะ

                      ก็...

                      ไม่รอถามวิ่งออกมาเลยใช่ไหมเนี่ย?   สาวตายิ้มพยักหน้าแทนคำตอบ ยูริส่ายหน้าระอาน้อยๆ

                      ทีหลังตั้งสติมากกว่านี้หน่อยเข้าใจไหม เดี๋ยวก็เหมือนตอนนั้น ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกเลิกเขาแล้วก็มานั่งเสียใจเอง ทำอะไรหัดคิดให้ดีๆ ก่อนเข้าใจไหม เอ่ยตำหนิเหมือนผู้ใหญ่สอนเด็ก ทิฟฟานี่ก้มหน้าหงุด ที่ยูริพูดก็ถูก...

                      เข้าใจค่า

                              เข้าใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำตามด้วย เข้าใจไหม

      ค่า

      ฮ่าๆ

      ขอกอดที  เอ่ยจบไม่รอคำตอบจากร่างสูง สวมกอดทันทีจนร่างสูงที่ไม่ทันตั้งตัวนั่งเกร็ง เผลอใจเต้นแรงกับเพื่อนสาว... จะเรียกเพื่อนได้ไหม? ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา...ยูริไม่เคยคิดกับทิฟฟานี่แค่เพื่อนเลย...

      ขอบคุณมากนะยูล

                              ผละจากอ้อมกอด เอ่ยขอบคุณส่งรอยยิ้มที่ทำให้คนมองหวั่นไหว ยูริยกมือขึ้นลูบหัวทิฟฟานี่อย่างเอ็นดู

                      ไปๆ รีบกลับไปคุยกันให้รู้เรื่อง เอ่ยไล่ด้วยความหวังดี ทิฟฟานี่ยิ้มกว้างรีบวิ่งจากไป...

                      เมื่อพ้นสายตาของทิฟฟานี่ ยูริก็ถอนหายใจยาว ส่งยิ้มให้แผ่นหลังของทิฟฟานี่ที่ค่อยๆ ห่างออกไป...

                      แค่ได้เห็นเธอมีความสุขกับ เขา ฉันก็มีความสุขแล้ว...แต่ก็อดที่จะอิจฉาคนๆ นั้นไม่ได้ซะแล้วสิ...

       

                     

      กลับมาถึงก็พบเพียงแต่ความเงียบ หาจนทั่วก็ไม่พบแทยอน ทิฟฟานี่ขมวดคิ้วสงสัย ไปไหนกันนะ? หรือจะออกไปหาเรา? คิดได้ดังนั้นก็ล้วงหยิบโทรศัพท์สีหวานขึ้นมากดเบอร์ที่ไม่เคยลืม แม้จะไม่ได้กดโทรออกมาร่วมเดือน...

                     

      หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...

                     

      ถอนหายใจหงุดหงิด เมื่อไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้...

      .

      .

      .

                      ด้านนอกความมืดเข้าปกคลุม ทิฟฟานี่เริ่มกระวนกระวายหลังจากนั่งรอ นอนรอแทยอนตั้งแต่เที่ยง จนตอนนี้ปาเข้าไปสี่ทุ่มก็ยังไม่มีวี่แววของแทยอน ยกโทรศัพท์กดโทรออกไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ มีเพียงเสียงตอบรับว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ เพิ่มความร้อนใจให้ทิฟฟานี่จนนั่งไม่ติด เดินวนไปมาด้วยความเป็นห่วง

                     

      แกร๊ก

       

                      เสียงเปิดประตูทำให้ทิฟฟานี่ที่เดินร้อนใจตาโตรีบวิ่งไปที่ประตู เห็นแทยอนเดินเข้ามาก็โล่งอก คำถามมากมายผุดขึ้นมาจนไม่รู้จะเริ่มถามคำถามไหนก่อนดี แต่สุดท้ายก็เอ่ยคำถามที่สงสัยที่สุดออกไป

                     

      ไปไหนมาหรอแทแท ฟานี่รอตั้งนาน

                              เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ทว่าท่าที่ที่อีกฝ่ายทำเมินเฉยใส่ก็ทำให้ทิฟฟานี่สงสัยไม่น้อย แววตาเย็นชาเหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนไม่เห็นทิฟฟานี่อยู่ในสายตา

                      เป็นอะไรรึเปล่าแทแท

                      เอ่ยถามสงสัยเจือเป็นห่วง ยกมือขึ้นทาบหน้าผากแทยอนหมายจะหวัดอุณหภูมิ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อแทยอนยกมือขึ้นปัดมือทิฟฟานี่ออกอย่างไร้เยื่อใย

                     

      แทยอนก้าวยาวๆ เข้ามาภายในห้องไม่สนใจทิฟฟานี่ที่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก กว่าจะตั้งสติเข้ามาหาแทยอนได้ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อการกระทำของอีกฝ่ายชวนให้สับสนเจือด้วยความเจ็บปวดเสียเหลือเกิน

                     

      แทแทไปไหนมา รู้ไหมว่าทิฟฟานี่นั่งรอนานขนาดไหน โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนตอนนี้เริ่มแข็งกร้าวด้วยความโมโห ในเมื่อนั่งรอนั่งเป็นห่วงแทยอนจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ผลที่ได้กลับมาคือความเฉยชา จะไม่ให้โมโหก็ยังไงอยู่

                     

      แล้วฉันบอกให้เธอรอหรือเปล่า?

      น้ำเสียงเย็นชาราวกับคนล่ะคนที่เคยเอ่ยถ้อยคำห่วงใย ทิฟฟานี่ทำอะไรไม่ถูก ยืนนิ่งจดจ้องแทยอนอย่างไม่เชื่อสายตา อย่างกับคนละคนกับเมื่อเช้า...

                     

      เป็นห่วง...

                      ทิฟฟานี่เอ่ยเสียงสั่นเมื่อจุกที่คอ น้ำตาเริ่มเอ่อคลอ อีกฝ่ายเงียบไปซักพักก็ได้ยินเสียงอีกคนแค่นหัวเราะ

                     

      หึ เป็นห่วง...พูดแบบนี้กับใครมาบ้างแล้วล่ะ ฉันเป็นคนที่เท่าไหร่ที่เธอพูดคำนี้ น้ำเสียงห่างเหินกับแววตาเย็นชาจาก คนรักแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำใสที่เคยคลอในดวงตาเอ่อไหลออกมา...

                     

      ไม่เข้าใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแทยอน นึกทบทวนว่าตัวเองทำอะไรผิดไป? หรือจะเป็นเพราะใจง่ายยอมให้แทยอนจูบแม้จะไม่ได้จูบกันก็เถอะ คิดไปคิดมาก็ไม่น่าใช่ แล้วเป็นเพราะอะไรกัน...

                     

      ถ้าแทอารมณ์ไม่ดีก็อย่ามาลงกับฟานี่ได้ไหม ฟานี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

                      หึ ไม่ได้ทำอะไร แล้วที่กอดกันกลมในสวนธาราณะนั้นมันอะไรกัน กิ๊กหรือแฟนล่ะ

                      ทะ...แทเห็นด้วยหรอ...

                      หึ คิดว่าฉันโง่มากใช่ไหม? เกือบจะจูบกับฉัน พอหนึ่งชั่วโมงต่อมาก็เที่ยวไปยืนกอดกับคนอื่น ไม่อายสายตาชาวบ้านเขาบ้างหรือไง หรือเป็นเพราะเคยทำมากกว่ากอด เลยไม่รู้จะอายไปทำไม!”

       

                      เพี๊ยะ!

                     

      ใบหน้าของแทยอนหันไปตามแรงตบ รู้สึกชาไปทั่วทั้งแถบ เหมือนสติที่หายไปจะถูกเรียกคืนกลับมา ถึงกับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ยิ่งได้เห็นน้ำใสในดวงตาของร่างบางก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเก่า...

                     

      ฟานี่ไม่คิดเลยว่าแทจะเป็นคนแบบนี้...

                     

      เอ่ยเสียงผิดหวังก็หันหลังเดินเข้าห้องไป แทยอนทรุดนั่งลงบนโซฟา คิดทบทวนคำพูดของตน โทษตัวเองที่พูดไม่คิด เป็นคนไม่มีเหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แทนที่จะเอ่ยถามอีกฝ่ายให้รู้เรื่องก่อน กลับพูดถ้อยคำทำร้ายกันออกไป...

       

      ....คนพูดเองยังเจ็บขนาดนี้...แล้วคนฟังล่ะ...จะเจ็บขนาดไหน?...

       

       

      ร่างเล็กที่เดินเอื่อยเฉื่อยเลาะไปตามถนนหนทางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขบเม้มริมฝีปากครุ่นคิดหลังจากตั้งแต่เช้าที่หลีกหนีบรรยากาศน่าอึดอัดออกมา ไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป รู้ตัวดีว่าผิดเต็มประตู แต่ก็ปากหนักเกินกว่าจะกล้าเอ่ยคำว่า ขอโทษเกลียดที่ตัวเองเป็นคนปากหนัก พูดไม่คิด...

                      เดินทอดน่องตามทางไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะรีบร้อนกลับทำไม แม้ความมืดจะปกคลุมไปทั่วบริเวณแล้วก็ตาม สองฝั่งข้างทางไม่มืดนักเพราะมีร้านอาหารเปิดไฟจนสว่าง เสียงผู้คนพูดคุยจอแจเสียงดังหากแต่ร่างเล็กไม่สนใจกลับเดินเหม่อลอยหัวคิดหาสารพัดวิธีที่จะขอโทษร่างบาง...

                      มาลองนึกดีๆ ทิฟฟานี่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น เป็นเพราะอารมณ์โมโห(หึง)ที่มีมากกว่าเหตุผลทำให้ร่างเล็กพลั้งพูดจาทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายออกไปโดยไม่ตั้งใจ...

                      ถ้าย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ก็คงจะดี...

                      อยากจะเอ่ยขอโทษแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง...

                      ถ้ามีอะไรสามารถทำให้กล้าพูดออกไปก็คงจะดี...

                      เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากฝั่งตรงข้าม ดังเสียจนแทยอนที่เดินเหม่อสะดุ้งตื่นจากภวังค์ รีบหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกลุ่มวัยรุ่นชายเมาไม่ได้สติกำลังเอะอะโวยวายเสียงดัง ผู้คนรอบข้างมองด้วยสายตาตำหนิติเตียนและระอาใจ หากแต่ผู้คนต้นเสียงนั้นไม่ได้ใส่ใจสายตารอบข้าง ยังคงเอะอะโวยวายเช่นเดิม

                      คนเมานี่ก็ดีเนอะ อยากทำอะไรก็ทำ ก็ไม่มีสตินี่เนอะ...

                      แทยอนที่ยืนมองกลุ่มคนเหล่านั้นคิดขึ้นในใจ แล้วก็เกิดความคิดดีๆ อะไรบางอย่าง...

       

       

                      ทิฟฟานี่ที่นอนพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับเริ่มรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง สาเหตุคงไม่พ้นเป็นห่วงแทยอนที่ยังไม่กลับบ้าน... มองดูนาฬิกาด้านข้างเตียงก็ยิ่งเพิ่มความกระวนกระวายใจมากขึ้น ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้วยังไม่กลับมาอีก จะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้...

                      สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียงสะบัดหัวไล่ความคิด โตตัวเท่าควายแล้ว คงดูแลตัวเองได้แหละ...

                      แม้จะพยายามไม่คิดถึงร่างเล็กแต่ในใจมันก็ยังกระวนกระวายแปลกๆ ทิฟฟานี่ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้อง หาอะไรลงท้องหน่อยดีกว่า...เผื่อหนังท้องตึงแล้วหนังตามันจะหย่อนบ้าง...

                     

      เปิดประตูออกมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นใครบางคน...

                     

      แทยอนในสภาพดูไม่ได้กำลังนั่งพิงโซฟา หน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์เหล้า มือขวาจับขวดเหล้าไว้แน่นเหมือนว่ากลัวจะมีใครมาแย่งมันไป บนโต๊ะกระจกด้านหน้าโซฟามีขวดเหล้าวางเกลื่อน

                      ทิฟฟานี่ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนไม่เชื่อสายตาตัวเอง จำได้ดีว่าแทยอนเกลียดนักเกลียดหนาคนเมาสภาพเหมือนหมา แล้วนี่อะไรกัน?

                      แทยอนยกขวดเหล้าในมือขึ้นกระดกดื่มจนหมดขวด แก้มขาวเนียนขึ้นสีแดงเรื่อ ดวงตาหวานเยิ้มเลื่อนขึ้นมาจดจ้องทิฟฟานี่ที่ยืนนิ่งอยู่

                     

      ต้องทำยังไงเธอจึงจะยอมหายโกรธ...แทยอนร้องเพลงลากเสียงยาวตามภาษาคนเมา สายตามีวคมามหมายจดจ้องทิฟฟานี่ไม่เลิก หวังข้างในอยากให้ทิฟฟานี่ได้รู้ความรู้สึกข้างในใจ...

                      ต้องทำยังไงเธอจึงจะยกโทษให้ฉัน  เสียงเพราะร้องขึ้นมาอีกหน ทิฟฟานี่เบือนหน้าหนีเพราะรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนใจแข็ง แต่ก็ยังกัดปากแน่นถือทิฐิ...

                      อย่าทรมานโดยการไม่มองหน้ากันแทยอนยังคงร้องเพลงง้อทิฟฟานี่ไม่เลิก ลุกขึ้นเดินโซเซไปหาทิฟฟานี่ ร่างบางตกใจทำอะไรม่ถูก ก้าวถอยหลังหนีตามสัญชาติญาณ...

                     

      นึกว่าสงสาร...คนรักกัน...ฉันขอโทษ....

                     

      แทยอนที่เดินต้อนทิฟฟานี่จนหลังอีกฝ่ายแนบชิดกับผนังจับมือทิฟฟานี่ขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบาบนหลังมือ สายตาเยิ้มกับใบหน้าแดงก่ำทำให้แทยอนดูมีเสน่ห์เสียจนทิฟฟานี่ที่ยืนอยู่ห่างเพียงคืบอดใจเต้นแรงเสียไม่ได้...

                     

      เมาแล้วก็ไปนอนเถอะ

                     

      คนอ่อนแอเริ่มหวั่นไหวจนเกือบจะหลุดเอ่ยให้อภัยแต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่อีกคนเคยดูถูกก็เม้มริมฝีปากแน่น กลั้นใจเอ่ยเสียงเรียบออกไป เอ่ยจบก็ดันอีกคนออก ตั้งใจจะเดินหนีเข้าห้องไปเพราะขืนยังยืนอยู่แบบนี้มีหวังได้ใจอ่อนยกโทษให้อีกคนเป็นแน่...

                     

      แทยอนไม่ยอมแพ้แค่นั้น มาถึงขนาดนี้แล้วจะหยุดได้ยังไง เอื้อมไปคว้ามือรั้งทิฟฟานี่ไว้

       

      โกรธกันแล้วในใจของเธอมีความสุขไหม...โกรธกับฉันจะทำให้เธอดีใจใช่ไหม...เธอไม่ยอมเปิดใจเข้าหากัน ก็บอกให้ฉันรู้ที โกรธกันแล้วมันดีอย่างไร...

      เสียงเพราะเอ่ยร้องเป็นทำนองเพลง ยังคงไม่ลดละกับการขอคืนดีทิฟฟานี่ คนฟังใจอ่อนยวบ อยากจะดึงแทยอนเข้ามาในอ้อมกอดเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังทำใจแข็ง ตีใบหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไร...

      ฟานี่...แทรู้ว่าฟานี่โกรธแทมาก แต่ตอนนั้น...แทโมโหมาก...เลยเผลอพูดจาแบบนั้นออกไป ฟานี่จะให้อภัยแทได้ไหม? แทยอนเอ่ยถาน้ำเสียงจริงจัง ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดรู้สึกผิดขนาดไหน

      ....

      ต้องให้แทบอกเหตุผลไหม...ว่าเพราะอะไรแทถึงโมโห...  ทิฟฟานี่ยังคงนิ่งเงียบ หากแต่แทยอนรู้ดีว่าทิฟฟานี่ยังฟังอยู่จึงเป็นคนพูดเพียงฝ่ายเดียว

      ....

      แทหึง

      ทันทีที่จบคำสารภาพของแทยอน ทั้งห้องก็ตกอยู่ภายในความเงียบ คงมีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของทั้งสองเป็นเครื่องยืนยันเพียงอย่างเดียวว่าภายในห้องนี้ยังมีคนอยู่...

      แทยอนก้มหน้างุด ถึงจะกล้าสารภาพความจริงออกไปก็เถอะ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะมองหน้าทิฟฟานี่ แค่นี้ก็เขินจะแย่อยู่แล้ว!

      สูดหายใจเข้าลึกๆ เรียกกำลังใจ มาถึงขั้นนี้แล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทนโกหกใจตัวเองมารตั้งนาน ทนเก็บความในใจเอาไว้ต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น รังแต่จะทำให้อึดอัดในใจเสียเปล่าๆ

      มีสิ่งหนึ่งที่แทอยากให้ฟานี่รู้ไว้...

      ....

      แทไม่เคยลืมฟานี่ได้เลย...

      ....

      นับจากวันนั้น...วันที่ฟานี่เดินจากแทไป...รู้บ้างไหมว่าแททรมานกับการหายใจเพียงลำพังขนาดไหน...เฝ้าคิดถึงมาโดยตลอด นึกถึงวันเก่าๆ ของเรา...

      ....

      แทจะไม่เอ่ยขอโอกาสในเมื่อคนอย่างแทไม่มีค่าพอสำหรับมัน ที่แทพูดมาทั้งหมดไม่ได้หวังให้ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างเก่าเพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แทเพียงแค่อยากพูดอย่างที่ใจรู้สึกบ้าง หลังจาก...เฝ้าโกหกมันมาตลอด....

      ....

      ฮ่าๆ ไม่น่าเชื่อใช่ไหม ยืนยันนะว่าแทยังมีสติอยู่ มีคำๆ นึงที่อยากให้ฟานี่รู้ไว้...

      ....

      แทรักฟานี่นะ...

      ....

      ถ้าเป็นไปได้แทอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นอย่างเดิม แทจะทำให้ดีที่สุด จะรักและดูแลฟานี่ให้ดีที่สุดเท่าที่คนๆ นึงจะสามารถทำได้...

      ....

      พูดตอนนี้ก็คงสายไปแล้วใช่ไหมฟานี่...

      ฟานี่จะให้โอกาสแท! ”

      ....

      ในเมื่อฟานี่ให้โอกาสแล้ว แทต้องทำให้ได้อย่างที่พูดรู้ไหม...ฮึกๆ...ฟานี่ดีใจ...ที่เราจะได้กลับมาเดินจูงมือกันอย่างเก่า...ฟานี่ก็คิดถึงแทมาตลอด...ฮึกๆ

      ทิฟฟานี่ปล่อยโฮออกมาเพราะทนเก็บต่อไปไม่ไหว รู้สึกดีใจ...ที่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...วันที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเช่นเดิม... แทยอนกระชากทิฟฟานี่เข้ามาในอ้อมกอด มือยกขึ้นลูบหัวทิฟฟานี่ น้ำใสเอ่อคลอออกมาอย่างห้ามไม่ได้...

      หยุดร้องได้แล้วคนดี...

      แทยอนเอ่ยเสียงนุ่ม ดึงทิฟฟานี่ออกจากแล้วยกนิ้วเรียวขึ้นปาดน้ำตาให้อีกคน ทิฟฟานี่ยังคงสะอื้นน้อยๆ

      แทพูดความรู้สึกข้างในนี้แล้ว...

      แทยอนเอ่ยออกมาพร้อมยกมือทิฟฟานี่ขึ้นทาบลงบนหน้าอกด้านซ้าย...ตำแหน่งของหัวใจ...ที่ตอนนี้เต้นแรงหยั่งกับจะหลุดออกมา

      แทอยากได้ยินความรู้สึกข้างในของฟานี่บ้าง...

      ....

      ....

      ฟานี่ก็รักแท

      ทันทีที่จบคำของทิฟฟานี่ แทยอนก็ทาบทับริมฝีปากลงบนตำแหน่งเดียวกัน ลิ้นเรียวกวาดหาสัมผัสหวานที่ห่างหายไปนานด้วยความคิดถึง กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น จูบนี้เหมือนแทนความรู้สึกต่างๆ ที่ผ่านมาของคนทั้งสอง...

       

       

      The End

      --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

      จบซักที!

      แต่งไปเขินแทน><

      ขอบคุณรีดเดอร์ที่ติดตามฟิคกากๆ จนจบ><

      #มีภาคต่อยูลสิก><

                     

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×