การอุดฟัน - การอุดฟัน นิยาย การอุดฟัน : Dek-D.com - Writer

    การอุดฟัน

    เรื่องนี้เราหาหลังจากที่ไปอุดฟันมา เพราะสงสัย เลยเอามาให้คนอื่นได้อ่านกันด้วย

    ผู้เข้าชมรวม

    2,285

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    2.28K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 มี.ค. 50 / 15:17 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      การอุดฟัน

      ทพญ.บุรณี สมบัติพานิช
      งานทันตกรรม

             การอุดฟันเป็นวิธีการหนึ่งในการรักษาฟันผุ วัตถุประสงค์ของการอุดฟัน เพื่อป้องกันมิให้ฟันผุลุกลามต่อไป เป็นการบูรณะฟันให้กลับมามีความสวยงามอีกครั้ง และสามารถที่จะทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
      การอุดฟันจะพิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้
      กรณีที่ทันตแพทย์จะสามารถทำการรักษาด้วยการอุดฟันให้กับผู้ป่วย มีข้อพิจารณาโดยทั่วไป คือ ฟันซี่ที่ผุจะต้องไม่ลุกลามเข้าไปในโพรงประสาทฟัน และฟันจะต้องมีส่วนที่เหลือเพียงพอต่อการยึดของวัสดุที่ใช้ในการอุด นอกจากนี้ สภาพเหงือกบริเวณฟันซี่ที่จะอุดควรอยู่ในสภาพปกติ ซึ่งบางกรณีทันตแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยขูดหินปูนก่อนที่จะทำการอุดฟัน

      วิธีการอุดฟัน
             ทันตแพทย์จะกรอเนื้อฟันที่ผุซึ่งจะมีการติดเชื้อออก เนื้อฟันที่ผุจะมีลักษณะ นิ่ม ยุ่ย ส่วนสีของเนื้อฟันนั้นจะมีการเปลี่ยนสีหรือไม่เปลี่ยนสีก็ได้ และเมื่อทำการกรอเนื้อฟันส่วนที่ผุออกแล้ว ถ้าฟันผุลึกเข้าไปชั้นในของเนื้อฟัน ซึ่งเรียกว่าชั้นเนื้อฟันทันตแพทย์จะทำการใส่วัสดุรองพื้น ซึ่งวัสดุดังกล่าวจะช่วยลดการเสียวฟัน เมื่อใส่วัสดุรองฟื้นแล้วทันตแพทย์จะทำการอุดฟันด้วยวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันต่อไป ซึ่งอาจจะใช้เวลามากหรือน้อยแตกต่างกันตามสภาพฟันของผู้ป่วย

      วิธีบรรเทาความเจ็บปวดในการอุดฟัน
             ทันตแพทย์อาจใช้ยาชาในการอุดฟัน แต่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจฯลฯ ซึ่งทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมเป็นกรณีไป

      วัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน
      วัสดุที่ใช้ในการอุดฟันแบ่งเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้ 2 ชนิด คือ
             ชนิดแรก คือ วัสดุที่มีสีคล้ายฟัน ใช้ในการอุดฟันหน้า ซึ่งในปัจจุบันความต้องการความสวยงามของผู้ป่วยมีมากขึ้น จึงพัฒนาให้สามารถอุดฟันกรามหลังได้ในบางกรณี ตัวอย่างของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน คือ Composite Resin, Glass ionomer Cement
             ชนิดที่สอง คือ วัสดุที่มีสีคล้ายโลหะ ใช้ในการอุดฟันหลังบริเวณที่จะต้องรับแรงบดเคี้ยว ตัวอย่างของวัสดุประเภทนี้คือ Amalgam ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้ทันตแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาประเภทของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน

      ข้อปฏิบัติภายหลังการอุดฟัน
             สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการอุดฟันโดยวัสดุที่เรียกว่า Amalgam ไม่ควรเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ ฉะนั้นหลังจากอุดฟันแล้วจึงจะสามารถเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันได้ และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แข็ง จากนั้นควรกลับมาให้ทันตแพทย์ขัดแต่งวัสดุที่ใช้ในการอุดฟันอีกครั้ง ส่วนผู้ป่วยที่อุดฟันหน้าไม่ควรใช้ฟันหน้าเคี้ยวอาหารที่แข็งเช่นกัน เพราะจะทำให้วัสดุที่อุดแตกได้ และการแตกของวัสดุอาจลุกลามไปถึงเนื้อฟันส่วนที่ดีได้ ส่วนในกรณีที่มีฟันผุลึกผู้ที่ได้รับการอุดฟัน อาจจะมีการเสียวฟันภายหลังการอุดฟัน จึงควรงดอาหารที่ร้อนจัดและเย็นจัด ซึ่งโดยปกติแล้วอาการเสียวฟันจะลดลงภายใน 2-3 สัปดาห์ ในกรณีที่หลังจากที่อุดฟันแล้ว 1 เดือนแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเสียวฟันอยู่ ควรกลับมาพบทันตแพทย์เพื่อทำการแก้ไขต่อไป

      ข้อแนะนำในการดูแลรักษาฟัน
             การดูแลรักษาฟันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ผู้ป่วยควรจะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันภายหลังการรับประทานอาหารทุกมื้อ นอกจากนี้ไม่ควรใช้ฟันเคี้ยวอาหารที่มีความแข็งมาก ๆ

      การครอบฟันแตกต่างจากการอุดฟันอย่างไร
             โดยทั่วไปการครอบฟันจะพิจารณาจากกรณีที่ฟันผุ และมีส่วนของเนื้อฟันเหลือน้อยไม่เพียงพอต่อการยึดของวัสดุที่ใช้ในการอุดฟัน ทันตแพทย์ก็จะแจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วขั้นตอนของการครอบฟันจะคล้ายกับการอุดฟัน โดยจะทำการกรอเนื้อฟันในส่วนที่ผุออก แต่จะทำการกรอแต่งฟันรอบ ๆ เพิ่มเติม จากนั้นก็จะพิมพ์แบบและทำการส่ง lab เพื่อที่จะทำครอบฟันมายึดให้ผู้ป่วยในครั้งต่อไป

      ข้อปฏิบัติภายหลังการครอบฟัน
      1. หลีกเลี่ยงการใช้ครอบฟันเคี้ยวอาหารแข็ง หรือเหนียว
      2. หากมีอาการเสียวฟัน หรือเจ็บฟัน ภายหลังการใส่ครอบฟันเกินกว่า 3 สัปดาห์ ให้กลับมาพบทันตแพทย์
      3. หากครอบฟันหลุด หรือแตกหักให้กลับมาพบทันตแพทย์
      4. ควรทำความสะอาดฟันด้วยการแปรงฟันให้ถูกวิธี โดยเน้นบริเวณขอบเหงือก และให้ใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ
      5. ควรพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากทุก 6 เดือน

       

      http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=299

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×