ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    GOT7 | KissMark ตราไว้ในใจนายคือของฉัน![END]

    ลำดับตอนที่ #60 : :: KISSMARK :: EP.60

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.46K
      50
      23 มี.ค. 58




    ภายในห้องประชุมขนาดกลางของค่ายเพลงยักษใหญ่ที่เป็นเสมือนตัวแปรสำคัญในวงการบันเทิง เพราะนักร้องนักแสดง นางแบบ นายแบบ ส่วนใหญ่ก็ถูกปั้นและโด่งดังมีชื่อเสียงจากค่ายนี้ รวมทั้งนักร้องผู้ชอบสร้างปัญหาที่ชื่อ มาร์ค ต้วน นี่ก็ด้วย มาร์คเป็นผู้ที่ทำรายได้ส่วนใหญ่ให้กับค่าย และในช่วงที่เขาโดนพักงานเพราะขับรถชนแบมแบมไป มันก็ทำให้ทางค่ายเสียหายไปหลายสิบล้าน เพราะฉะนั้นการที่จะกลับมาคัมแบคใหม่ครั้งนี้ การคิดค่าตัวและการหักเปอร์เซ็นมันเลยต้องคิดใหม่เพื่อที่จะเอาค่าเสียโอกาสที่เสียไปกลับมาให้เร็วที่สุด


    “มาร์ค งั้นตกลงตามนี้นะ รายได้หกสิบเปอร์เซ็นจะเป็นของนาย แล้วหลังจากที่นายทำกำไรคืนมาได้เท่าเดิม ค่าตัวนายจะขึ้นเป็นเจ็ดสิบเปอร์เซ็น” เสียงผู้จัดการสาวหันไปถามความเห็นจากศิลปินในความดูแล แต่ก็ได้เพียงแค่การพยักหน้าตอบกลับมา “งั้นก็เซ็นต์สัญญาแล้วเริ่มงานพรุ่งนี้เลย”


    ทันทีที่ใบสัญญาถูกเลื่อนมาตรงหน้ามาร์คก็กวาดสายตาอ่านลวกๆเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้ต่างอะไรจากสัญญาฉบับก่อนมากนั้นเขาก็เซ็นต์ลงไปแล้วส่งมันคืนให้กับผู้จัดการตัวเอง


    “เรียบร้อยแล้วผมไปแล้วนะ มีนัด” พูดก่อนจะลุกเดินออกมาเมื่อเสร็จสิ้นการประชุม 


    ทีจริงมาร์คอยากจะหยิบสัญญากลางโต๊ะมาเซ็นต์ให้เสร็จๆไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะผู้จัดการบังคับให้เขาต้องนั่งฟังแต่ละข้อของสัญญาเผื่อมีอะไรที่ไม่พอใจ จริงๆเขาก็รู้ได้ตั้งแต่สัญญาฉบับก่อนแล้วเรื่องเปอร์เซ็นค่าตัวรวมถึงเรื่องการดูแลศิลปิน เขาไม่มีปัญหาแต่ก็ต้องยอมนั่งฟังตามมารยาททั้งที่จริงๆอยากจะลุกออกมาตั้งนานแล้ว พอเสร็จสิ้นการประชุมเขาเลยลุกขึ้นโค้งเร็วๆแล้วเดินออกมาแบบยังไม่มีใครได้ทักท้วง แต่ถึงจะมีใครท้วงก็หยุดเขาไม่ได้แล้วล่ะเพราะนี่มันเลยเวลานัดมาจะสิบห้านาทีแล้ว


    มาร์ครีบลงลิฟต์และเดินไปที่รถ ขับมันออกจากลานจอดรถด้วยความเร็วที่คนปกติเขาไม่ขับกัน แต่ขับเร็วขนาดนั้นไม่ใช่ว่ามาร์คต้วนไม่กลัวอุบัติเหตุนะ อุบัติเหตุอะกลัวอยู่แล้ว แต่ที่กลัวมากกว่าคือกลัวแบมแบมโกรธที่เขาไปรับช้า เพราะวันนี้แบมแบมมีนัดตรวจขาหลังจากที่ถอดเฝือกออกไป เมื่อเช้ามาร์คก็บอกว่าเดี๋ยวกลับจากประชุมแล้วจะพาไปจะได้ไปเป็นเพื่อน แต่แบมแบมก็ไม่อยากให้มาร์คต้องวนไปวนา เขาเลยขอให้มาร์คพาไปส่งที่โรงพยาบาลพอประชุมเสร็จก็ค่อยมารับ แต่ใครจะไปรู้ว่ากระประชุมมันจะยืดเยื้อขนาดนั้น ขับรถมาซักพักก็ถึงโรงพยาบาล สายตาคมมองไปเห็นแบมแบมกำลังยืนรออยู่ที่หน้าโรงพยาบาลอยู่แล้ว เขาเลยขับรถไปเทียบไว้ไม่ต้องจอดนานเพราะแบมแบมก็มองมาเห็นรถเขาแล้วเดินเข้ามาหาพอดี


    “รอนานมั้ย?” เมื่อบานประตูปิดลงมาร์คก็รีบถามทันทีเป็นการเช็คอาการว่าจะต้องง้อรึเปล่า


    “ก็ซักพักครับ” ตอบกลับมาพร้อมกับดึงเบลล์มาคาดไว้


    “แล้วหมอว่าไงบ้าง?”


    “ก็นัดอีกทีเดือนหน้า แล้วก็ให้ยามาบำรุงกระดูกนิดหน่อยครับ”


    “อ๋อก็ดีแล้ว แล้วอยากไปไหนมั้ย วันนี้พี่ว่างแล้ว”


    “ไม่ดีกว่าครับ แบมอยากกลับไปพักผ่อนมากกว่า พี่มาร์คก็เพิ่งประชุมมานี่ เป็นไงบ้างอะ” แบมแบมถามกลับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทำไมอีกคนถึงมาช้ากว่าที่นัดไว้ แต่เขาก็ไม่ได้โกรธนะ มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาคิดซักหน่อย มาช้าแค่สิบกว่านาทีเนี่ย


    “พี่เซ็นต์สัญญาใหม่ไป เริ่มงานพรุ่งนี้ ต้องซ้อมแล้วก็ทำอัลบั้มคัมแบคอะ”


    “เหนื่อยแย่เลยสิ”


    “ก็นิดนึงนะ ทำงานก็ต้องเหนื่อยสิ” มาร์คตอบพลางคิดแผนไว้ในหัว เนื่องจากโล่งใจที่แบมแบมไม่โกรธเรื่องที่มารับช้า ก็แสดงว่าไม่มีอะไรให้กังวล แต่ช่วงที่เขากลับไปทำงานถ้ามันเป็นแบบเมื่อก่อนที่วันๆนึงเหนื่อยปางตาย เขาก็คงต้องหาวิธีดีๆมาอ้อนให้แบมแบมเอาใจในทุกวันๆ ทั้งก่อนไปทำงานและก็ก่อนเข้านอน


    “งั้นถ้ามีอะไรที่แบมพอช่วยได้ก็บอกแบมนะ พี่มาร์คจะได้ไม่เหนื่อยมาก” แบมแบมเอ่ยออกมาเรียกรอยยิ้มจากคนที่กำลังขับรถได้เป็นอย่างดี ดูสิขนาดยังไม่ได้ทำอะไรก็เสนอตัวเข้ามาช่วยแล้ว เด็กดีจริงๆ


    “มีให้ช่วยเยอะเลยแหละ” มาร์คพูดออกมาพร้อมกับเคาะพวงมาลัยอย่านึกสนุก “อย่างแรกเลยนะ วันนี้นั่งประชุมนานเมื่อยมากอะ ถึงห้องแล้วนวดให้หน่อยนะ”


    ครับ” ตอบก่อนจะเม้มปากแน่น เสนอตัวเข้าช่วยไม่ได้หมายความว่าอยากจะทำซะวันนี้เลยเมื่อไหร่ละ พี่มาร์คไปประชุมมาเมื่อย แบมแบมก็ยืนรอนานจนเมื่อยเหมือนกันนั้นแหละแต่เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาเป็นเรื่องเลยไม่ได้พูด


    เมื่อได้ยินแบมแบมตอบรับคำขอ มาร์คก็กลับไปขับรถต่ออย่างอารมณ์ดี ไม่นานก็มาถึงที่คอนโด เขาขับเข้าไปจอดรถไว้ตรงประตูทางเข้าที่ใกล้กับลิฟต์ที่สุด ก่อนจะขึ้นลิฟต์และเดินไปตามทางอย่างอารมณ์ดี กดรหัสห้องไปมองหน้าแบมแบมไป เดินเข้าห้องแล้วกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียงขนาดใหญ่แผ่ตัวเต็มพื้นที่จนแบมแบมที่เดินตามหลังมาต้องยืนเท้าเอวมองจากปลายเตียง


    “เมื่อยตรงไหน?” แบมแบมถามแล้วมองคนที่กำลังเอียงหน้าขึ้นมาเพื่อหาอากาศหายใจ


    “ทั้งตัวเลย” มาร์คตอบสั้นๆ แล้วส่งยิ้มไปให้


    “ได้ครับ ทั้งตัวใช่มั้ยครับ”


    “อือฮึ” มาร์คตอบเป็นเสียงในลำคอก่อนจะคลี่ยิ้มออกมามากกว่าเดิมเมื่ออยู่ๆก็มีน้ำหนักเท่าตัวคนค่อยๆโถมลงมาจากด้านบน แล้วเจ้าของน้ำหนักนั้นก็เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก แบมแบม “ทำอะไร?”


     แบมแบมวางคางมนไว้บนหัวไหล่ก่อนจะเอื้อมมือไปจับใบหน้าคมที่แนบติดอยู่กับเตียง แล้วบีบจนมาร์คต้องขมวดคิ้วมองไม่เข้าใจ


     “พี่มาร์คนั้นแหละนวดให้แบมเลย นี่ยืนรอขาแข็งไปหมดแล้วยังจะมาใช้ให้นวดอีก” พูดออกมาพร้อมกับฟาดมือที่เพิ่งปล่อยจากใบหน้าคมเข้าที่บ่ากว้าง แต่ทว่ามาร์คไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือสะท้านกับการกระทำนั้นซักนิดเข้ากับรู้สึกสยิวแปลกๆซะอีกที่ลมจากตอนที่แบมแบมพูดมันดันเป่าเข้าหูเข้าพอดี


    “แบมอะยืนรอขาแข็ง แต่ถ้าตอนนี้ยังไม่ลุกไปอย่างอื่นพี่จะแข็งแล้วนะ” มาร์คคลี่ยิ้มบางๆตอบกลับไปทำให้แบบต้องใช้สติปัญญานึกอยู่แวบหนึ่งว่าไอ้อย่างอื่นที่มันจะแข็งเนี่ยคืออะไร


    “เห้ย!! ทะลึ่ง” ไม่ว่าเปล่ามือเล็กยังระดมฟาดลงไปบนไหล่อีกสองสามทีก่อนจะย้ายตัวเองออกมานั่งที่ข้างเตียง แต่ก็อยู่เฉยๆได้ไม่ถึงสามวินาทีมาร์คก็ลุกตามขึ้นมาดึงแบมแบมเข้าไปกอดไว้แล้วเอนตัวลงนอนตะแคงจับแบมแบมให้หันหน้ามาทางตัวเอง


    “พี่ก็คนมีพ่อแม่นะ ลงมือลงไม้ตลอดเลย”


    “ก็ถ้าไม่พูดทะลึ่งใครเขาจะฟาดเล่า”


    “ก็ถ้าไม่มานอนทับใครเขาจะคิดกันเล่า”


    “ก็ถ้าคนมันบริสุทธิ์ใจก็ไม่คิดหรอก”


    “พี่ก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะ”


    “พอเลย ไม่พูดด้วยแล้ว คนอะไรนิสัยไม่ดี”


    แบมแบมพูดก่อนจะพลิกตัวกลับไปอีกฝั่ง เพราะรู้สึกว่ายิ่งมองใบหน้าหล่อๆนั้นมันก็อยากจะยกมือขึ้นมาฟาดเข้าไปที่ข้างแก้มนั้นซักที ไหนจะสายตาที่คอยจะแทะโลมตลอดเวลา เหมือนอยากจะจับแบมแบมกินเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น แบมแบมรู้สึกว่ามาร์คเปลี่ยนจากตอนแรกที่รู้จักมากจริงๆนะ พี่มาร์คที่ขี้หงุดหงิด ขี้บ่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ตอนนี้มีแต่คนที่ชอบหยอด ชอบแทะโลม หื่นวันละนิดวันละหน่อยมาแทน


    “แบมแบม” หลังจากที่เงียบมาซักพักให้แบมแบมด่าในใจได้ มาร์คก็เรียกเสียงเรียบพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ


    “หื้อ?”


    “อยากไปหาพ่อแม่พี่มั้ย?” อยู่ๆมาร์คก็ถามออกมาเรียกให้แบมแบมต้องหันกลับไปหาพร้อมกับดวงตาที่เบิกโตขึ้นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าพี่มาร์คจะถามอะไรแบบนี้ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา พี่มาร์คก็ไม่เคยพูดถึงพ่อแม่ตัวเองให้ฟังเลยซักครั้ง


    “ไปหาทำไมครับ?”


    “ไปฝากตัวเป็นลูกสะใภ้ไง ไม่อยากเจอพ่อแม่สามีหรอ” มาร์คพูดด้วยดวงตาที่เปล่งประกายหากแต่สีหน้าโดยรวมกลับนิ่งเรียบหมือนรอฟังคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยิน


    “พูดจริงพูดเล่นอะ”


    “พูดจริง”


    “แล้วพ่อแม่พี่จะไม่ว่าแบมหรอ แบบว่าพ่อแม่พี่เขาจะรับได้อ่อ” ใบหน้าหวานที่เคยยิ้มแย้มอยู่ตลอดกลับฉายความกัวลขึ้นมาแบบไม่ปิดบัง



    “พ่อแม่พี่ไม่ว่าอะไรหรอก ถึงจะว่าพี่ก็ไม่สน พี่รักของพี่อะ แล้วอีกอย่างทุกวันนี้พี่ก็เลิกขอเงินพ่อแม่แล้วด้วย”


    “จะไม่ว่าจริงอ่อ?” แบมแบมยังคงถามย้ำอีกครั้ง มีที่ไหนที่ลุกชายพาสะใภ้ที่เป็นผู้ชายไปหาแล้วพ่อแม่จะรับได้เลย ไม่มีหรอก นี่ไม่ใช่ละครหรือนิยายน้ำเน่านะ


    “จริงสิ เชื่อใจพี่มั้ยละ?”


    “ไม่อะ” ตอบเสียงแผ่วแต่มาร์คก็ยังได้ยินจนต้องส่งลูกมะเหงกไปที่หน้าผากมนๆนั้นซักที


    “เชื่อใจพี่มั้ย?”


    “เชื่อก็ได้ครับ”                 


    “ก็ดีครับ งั้นพองานรับใบจบเสร็จแล้วเราไปอเมริกากัน พ่อแม่พี่อยู่อเมริกา”


    “งี้ก็จะได้ไปหาพี่แจ็คสันด้วยอะดิ” แบมแบมตาวาวขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงอเมริกาจะว่าไปพี่แจ็คสันก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเลยตั้งแต่วันที่เดินทางไป


    “งั้นไม่ต้องไปละ”


    “ไม่เอาๆ ไปครับไป”


     “ไปไหน?” มาร์คกดเสียงลงต่ำแล้วถามด้วยอารมณ์ที่เจือความหงุดหงิดขึ้นมา เพราะตอนแรกคุยเรื่องจะพาไปเจอพ่อแม่อยู่ดีๆดันไปพูดถึงไอ้แจ็คสันซะงั้น มันน่าโมโหมั้ยล่ะ


    “ไปเป็นสะใภ้ต้วนสิครับ”


    “แล้วทำไมจะเป็นล่ะ?”


    “ก็หลงรักลูกชายตระกูลต้วนไงครับ”


    “ตอบได้ดี” มาร์คพยักหน้าแล้วอมยิ้มเมื่อได้แกล้งให้แบมแบมได้บอกรัก ได้ยินแล้วมันก็ลื่นหู ไม่เหมือนเวลาได้ยินชื่อแจ็คสัน “รักลูกชายตระกูลต้วน ก็ต้องรู้ไว้นะว่าลูกชายบ้านนี้ขี้หึงขี้หวง”


    “ครับ”


    “แล้วถ้าต้องให้หึง ให้หวงมากๆเนี่ย มันจะกลายเป็นอะไรรู้มั้ย?”


    “อะไรครับ?” แบมแบมเบะปากถามเพราะรู้สึกว่าทันทีที่พูดชื่อพี่แจ็คสันปุ๊ปพี่มาร์คก็เหมือนจะมีไฟลุกพรึ้บพรั้บขึ้นมารอบๆตัวจนต้องอ่อนให้ตลอด แต่ทว่าคำถามที่ได้ถามไปก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา มีเพียงฝ่ามือหนาที่กำลังเลื่อนขึ้นมาบริเวณเอวบางจับลูกอยูซักพักให้แบมแบมสงสัยเล่นๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าไปกัดริมฝีปากล่างของแบมแบมที่เบะออกมา ทำให้แบมแบมได้คำตอบแล้วรู้เลยละว่า


    ถ้าให้ลูกชายตระกูลต้วนหึง หวงมากๆ มันจะกลายเป็นหื่น!!!
     

     
     

    เมื่อเครื่องบินลำใหญ่ผ่านเข้าสู่ทวีปอเมริกายองแจก็เปิดหน้าต่างข้างตัวขึ้นเพื่อที่จะรับแสงอาทิตย์แต่ว่ามันก็ยังไม่มี เป็นเพราะเขานั่งเครื่องบินย้อนเวลามา ถ้าตอนนี้ที่เกาหลีน่ะพระอาทิตย์ขึ้นแล้วแต่มันไม่ใช่กับที่อเมริกาที่อยู่กันคนละซีกโลกสิ่งที่ยองแจเห็นจึงเป็นแค่แผ่นฟ้าที่กำลังจะสว่างในอีกหลายชั่วโมงข้างหน้า


    ตอนนี้ยองแจย้ายกลับมานั่งที่เดิมของตัวเองเรียบร้อยแล้วอาการเมาเครื่องก็เหมือนจะบรรเทาลงแล้วด้วย คงเป็นเพราะว่าได้นั่งที่ที่มันสบาย แล้วก็ได้หลับมานานพอสมควร ที่จริงจากฐานะครอบครัวของยองแจก็น่าจะได้นั่งที่เฟิร์สคลาสหรือบิวซิเนสคลาส แต่มันก็เป็นเพราะพ่อเขารอการตัดสินใจของยองแจก่อนที่จะมาจองที่นั่ง มันเลยได้ที่ธรรมดา เขาไม่อยากให้ยองแจรู้สึกเหมือนโดนบังคับไป พอมาจองที่ทีหลังพวกชั้นเฟิร์สคลาสกับบิวซิเนสคลาสเลยเต็มหมดแล้ว


    ยองแจย้ายกลับมาที่เดิมหลังจากตื่นขึ้นมาเห็นแจ็คสันยังหลับอยู่ เขาก็ค่อยๆเดินออกมาและกลับไปปลุกผู้จัดการของแจ็คสันเพื่อสลับที่กลับ พ่อเขาจะได้ไม่สงสัยว่าลูกตัวเองหายไปไหน


    ตอนนี้เครื่องบินกำลังลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติ…” เสียงกัปตันเครื่องบินพูดพร้อมกับไฟสัญญาณให้คาดเข็มขัดกระพริบขึ้นด้านบน


    ไม่นานหลังจากนั้นเครื่องบินก็ค่อยๆลดระดับบินเรี่ยพื้นจนกระทั่งลงจอดที่พิ้นดิน ผู้โดยสารแต่ละคนก็ลุกขึ้นจากที่ของตัวเองมาบิดขี้เกียจก่อนจะเปิดชั้นเก็บของด้านบนหยิบเอาเสื้อกันหนาวมาสวมใส่ ยองแจก็เหมือนกัน เมื่อคนทยอยกันลงจากบนเครื่องมาที่สายพานรอกระเป๋าสัมพาระ เขาเห็นแจ็คสันจากที่ไกลๆ เหมือนว่าอีกคนกำลังมองหาใครอยู่


    พ่อเดี๋ยวผมมานะ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนยองแจกันไปพูดกับคนเป็นพ่อก่อนจะเดินหลบออกไปทางห้องน้ำ แต่ทว่าเขากลับเลี้ยวแล้วเดินไปหาแจ็คสันแทน


    ยองแจรู้สึกว่าควรจะมาพูดอะไรกับแจ็คสันซักอย่างก่อนจะแยกกันอีกครั้ง เพราะอเมริกามันก็ไม่ได้เป็นประเทศเล็กๆที่จะหากะนเจอง่ายๆ


    แจ็คสัน…”


    ทำไมกลับที่แล้วไม่บอกฉัน รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอนายเพียงแค่เขาเรียกแจ็คสันก็ถามกลับด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและน้ำเสียงที่เหมือนจะต่อว่า ไม่เป็นไรแล้วใช่มั้ย หายเมาเครื่องรึยังเขาถามต่อลดน้ำเสียงลงมื่อเห็นยองแจกลืนน้ำลายลงคอทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย


    อือ หะหายแล้ว


    แล้วนี่นายจะไปที่ไหนต่อ


    คงอยู่วอชิงตันสามสี่วันค่อยไปแคลิฟอร์เนียอะ ฉันต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่นั้นยองแจกลอกตาไปมาก่อนจะตอบ เป็นเพราะว่าเขานึกชื่อมหาวิทยาลัยที่ตัวเองต้องไปไม่ออก มันจึงกวนใจเข้าอยู่นิดๆ นายละ?”


    ฉันต้องไปเก็บตัวก่อนลงแข่งแจ็คสันตอบสั้นๆในใจเขารู้สึกโหวงๆขึ้นมาชอบกล ทั้งๆที่ตั้งใจไว้แล้วว่าไม่อยากคลาดกันอีก แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะเขาก็มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ยองแจเองก็มีเหมือนกัน อีกอย่างยองแจไม่ได้มาคนเดียวเขามากับพ่อ จะไปไหนก็ต้องไปกับพ่อ แม้แจ็คสันจะอยากตามไปดูแลแค่ไหนก็คงทำไม่ได้


    งั้นก็สู้ๆนะพยายามเขา ฉันต้องไปแล้ว พ่อฉันรออยู่ยองแจพูดพลางยื่นมือไปตบไหล่แกร่งเบาๆ


    ดูแลตัวเองดีๆนะยองแจ หวังว่าเราจะได้เจอกันมั้ยเขาตอบพร้อมรอยยิ้มจริงใจ แต่ลึกๆเขาก็ไม่อยากจะปล่อยยองแจไปแบบนี้ กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ยองแจไม่ได้มาเองคนเดียวก็คงไม่เป็นไร


    ไม่รู้สิเสียงหวานตอบพร้อมกับค่อยๆถอยออกไป แม้แจ็คสันจะไม่อยากปล่อยอีกคนให้จากไปแต่ก็ทำไม่ได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือเฝ้ามองแผ่นหลังของยองแจที่ค่อยๆเดินจากไปอย่างปลอดภัย


    ยองแจหันกลับมาโบกมือจากที่ไกลๆขณะเดินตามหลังคนเป็นพ่อ เป็นการบอกลาครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องจากกันจริงๆ อย่างไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกครั้งหรือไม่
     

     

    เอี๊ยดอ๊าดๆๆ


    เสียงแผ่นไม้รองเตียงลั่นเป็นจังหวะตามแรงกระแทกของร่างโปร่งที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ด้านบนเพื่อปลุกเจ้าของเตียงที่กำลังหลับไหลอย่างไม่รู้จักตื่นซักที จินยองกระโดดอยู่แบบนี้มาร่วมจะห้านาทีได้แล้ว แต่คนที่นอนก็ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมาห้ามหรือตื่นขึ้นมาเพราะความรำคาญซักนิด เพราะตามปกติถ้ามากระโดดแบบนี้เจบีจะต้องลุกขึ้นมาโวยวายแล้วก็กลับไปนอนต่อ แต่ตอนนี้ไม่แม้แต่จะงัวเงียขึ้นมาห้ามด้วยซ้ำ


    “นี่เจบี ตายไปแล้วหรือยังไงฮะ?!” จินยองหยุดกระโดดและย่อตัวลงมานั่งที่เตียงก่อนจะใช้มือดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากตัวคนขี้เซาพร้อมๆกับไอร้อนบางๆที่แผ่ออกมาทันทีที่ผ้าห่มถูกดึงออกไปจนพ้นตัว


    “ทำไมซีดแบบนี้อะ” ร้องถามออกมาด้วยความตกใจเมื่อใบหน้าคมที่มักแสดงควมหยิ่งออกมากลับซีดเสียจนดูไม่ได้ เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นตามขมับและหน้าผาก  ริมฝีปากหยักซีดเซียวสั่นระริกเบาๆ ทำเอาจินยองเริ่มรู้สึกผิดที่กระโดดไปมาบนเตียงเมื่อกี้


    “ฮือ” เจบีครางเบาๆเมื่อฝ่ามือบางสัมผัสเข้าที่บริเวณใบหน้า คงเพราะตัวเขากำลังร้อนและมือของจินยองกำลังเย็นเพราะอุณหภูมิของแอร์ในห้อง


    “นายไม่สบายหรอ ไปทำอะไรมาอะ ตัวร้อนจี้เลย” พูดพลางเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มที่เพิ่งโยนทิ้งไปกลับมาคลุมร่างหนาให้จนถึงลำคอ ก่อนจะหยิบรีโมทแอร์ขึ้นมาปรับอุณหภูมิและเปิดเครื่องพ่นไอน้ำที่มุมห้องซึ่งปกติเจบีแทบจะไม่ได้ใช้ด้วยซ้ำถ้ายองแจไม่ได้มาที่ห้อง


    “รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันไปเอายามาให้” เขาหันไปพูดกับคนที่นอนไม่รู้เรื่องบนเตียงแล้วพุ่งออกจากห้องไปด้วยความเร็ว เดินลงบันไดของบ้านหลังใหญ่ สายตาก็สอดส่องหาใครซักคนที่เขาจะถามเพื่อเอายาแก้ไข้ได้


    “แจบอมยังไม่ตื่นอีกหรอ นี่มันบ่ายแล้วนะ” เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนเรียกสติของจินยองให้หันกลับไปมอง ก็เห็นประธานอิมคุณพ่อของเจบีกำลังเดินเข้ามาหา


    “เจบีไม่สบายอะครับ คุณลุงหายาให้ผมได้มั้ยครับ จะได้เอาไปให้เจบีเขา” จินยองโค้งทำควาเคารพก่อนจะบอกเหตุผลที่ว่าทำไมเจบีถึงยังไม่ลุกจากเตียงซักที


    ที่จริงจินยองหมดหน้าที่ ที่จะมาปลุกเจบีที่บ้านตั้งแต่วันที่กลับจากค่ายแล้ว แต่ก็เพราะอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพวกเขาจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยกัน ประธานอิมเลยขอให้จินยองมาติวข้อสอบให้เจบี เพราะถ้าให้ไปเรียนพิเศษเองก็คงจะโดดเรียนไปที่อื่น หรือจะให้ครูคนอื่นมาสอนที่บ้าน เจบีก็คงจะต้องทำสารพัดวิธีเพื่อที่จะไม่เรียน หนทางสุดท้ายมันก็เลยต้องตกมาอยู่ที่จินยองเพราะว่าเขาไม่จำเป็นต้องสอบเข้าอะไรทั้งนั้น เนื่องจากมีโควตาของนักเรียนที่มีคะแนนเกียรตินิยมบวกกับตำแหน่งประธานนักเรียน ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนก็ต้องยินดีต้อนรับเขาทั้งนั้น


    “ยาในห้องแจบอมก็มีนะ น่าจะในตู้เสื้อผ้า เขาเคยให้คนเอาไปเก็บไว้”


    “อ๋อครับ ขอบคุณครับ” เมื่อได้คำตอบร่างโปร่งก็รีบโค้งขอบคุณและวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง


    ในตู้เสื้อผ้าที่ชุดเรียงกันเป็นระเบียบมีข้าวของและอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการปฐมพยาบาลอยู่ชั้นบนของตู้ ซึ่งมันน่าจะเป็นของที่เตรียมไว้เพื่อยองแจ เพราะเจบีดูไม่น่าที่จะป่วยบ่อยขนาดต้องมีชุดปฐมพยาบาลอยู่ในห้อง จินยองเปิดกล่องและหยิบยาและแผ่นเจลลดไข้ขึ้นมาก่อนจะรีบวิ่งไปที่เตียง โดยไม่ลืมที่จะหยิบขวดน้ำบนโต๊ะทำงานข้างๆกำแพงมาด้วย


    “เจบีๆ” เขาวางทุกอย่างไว้ที่โต๊ะข้างๆหัวเตียงแล้วเขย่าตัวเจบีเบาๆให้อีกคนตื่นขึ้นมาทานยา


    “ฮือ?” เจบีถอนหายใจแล้วพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาดูเจ้าของเสียง ที่เข้ามารบกวนเวาลานอน แต่เขาก็พอจะรู้ตัวแหละว่าตอนนี้ตัวเองไม่สบาย ก็คงมาจากที่ไปส่งยองแจมาเมื่อตอนเที่ยงคืน มันไม่ได้เป็นไข้หวัดที่มาจากไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียอะไร แต่มันเป็นไข้หวัดจากข้างใน จากหัวใจที่อ่อนแอและเสียใจเพียงชั่วแวบหนึ่งของความรู้สึก ร่างกายเลยตอบสนองออกมาเป็นอาการป่วยจนไร้เรี่ยวแรงแม้จินยองจะใช้แขนรองต้นคอเพื่อให้เขากลืนยาที่เพิ่งกรอกใส่ปากไป


    “กินยาแล้วก็นอนไปซะ ไม่สบายแทนที่จะบอกฉันเมื่อเช้าจะได้ไม่ต้องกระโดดบนเตียงให้นายอาการหนักเข้าไปอีก เจบีนะเจบี” เมื่อริมฝีปากหยักปิดสนิทหลังจากดื่มน้ำตามยาเข้าไปอึกใหญ่จินยองก็จัดเจบีให้นอนหมอนสูงกว่าปกติเพื่อไม่ให้เขาคัดจมูกก่อนจะแกะแผ่นเจลลดไข้มาแปะไว้ที่หน้าผาก แล้วเตรียมจะลุกขึ้นเพื่อเอาของไปเก็บแต่ทว่าฝ่ามืออุ่นร้อนก็เลื่อนมาจับแขนเขาไว้เสียก่อน


    “อย่าเพิ่งไป อยู่กับฉันก่อนประธาน” เจบีพึมพำออกมาแม้ดวงตาทั้งสองข้างจะเปิดได้ไม่เต็มที่ เห็นหน้าจินยองแบบมัวๆ แต่บนใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาดก็กำลังแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการคนที่จะอยู่ข้างๆมากแค่ไหน “ถ้าจะไปก็ให้ฉันหลับไปก่อน ฉันไม่อยากเห็นใครเดินจากไปอีกแล้ว”


    “อือ” เขาตอบรับในลำคอแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ๆคนป่วยเพื่อเช็คไข้อีกที


    ถ้าจากอุณหภูมิที่จินยองจับตัวดูแล้วก็น่าจะประมาณสามสิบแปดองศาไม่ใช่ไข้ที่สูงมาก แต่ก็ต้องดูแลดีๆเพื่อไม่ให้ไข้มันขึ้นสูงไปมากกว่านี้ ยิ่งเวลาที่จิตใจไม่สงบสุข มันยิ่งส่งผลแย่ต่อสุขภาพ และถ้าเจบีไม่สบายก็จะไม่ใช่ใครที่เดือดร้อน อาจจะเป็นเขาเองเสียอีกที่ต้องตามดูแล ลึกๆแล้วจินยองก็โกรธเจบีอยู่นิดๆนะที่เมื่อคืนไปส่งยองแจแล้วไม่ยอมทำใจให้ได้ ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าหนาๆไป เพราะตอนนี้อากาศมันก็ค่อนข้างเย็นแล้วกลับมานอนซมไม่ยอมทานยา ไม่ยอมทักท้วงที่เขากระโดดบนเตียงเมื่อเช้า แต่ว่าความโกรธมันก็สู้อะไรกับความเป็นห่วงไม่ได้หรอก


    ดวงตากลมจ้องมองใบหน้าคมไร้อารมณ์พลางถอนหายใจไปพลาง เพราะจินยองก็ไม่รู้ว่าจากนี้จะต้องสลับบทกันรึเปล่า จากที่เจบีเคยดูแลยองแจ จะกลายเป็นว่าเขาต้องมาตามดูแลเจบีแทน เขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือไม่อยากทำนะ แต่ในบางครั้งเจบีก็ออกจะกวนประสาทและพูดจาไม่รู้เรื่อง เอาแต่ใจ จนคนดูแลต้องปวดหัวไปตามๆกัน


    ก็อกๆ


    ในระหว่างที่กำลงเฝ้าไข้คนป่วยอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาพร้อมกับบานประตูที่เปิดออกให้เห็นประธานอิมเจ้าของเสียงเคาะประตู


    “แจบอมหลับหรอ?” เขาถามเสียงแผ่วขณะเดินเข้ามาในห้องและมองร่างของลูกชายจากปลายเตียง


    “ครับ เพิ่งจะหลับไปเมื่อกี้เอง” จินยองตอบขณะพยายามแกะมือตัวเองออกจากฝ่ามืออุ่นร้อนที่จับเขาไว้แน่นแม้ยามหลับ  สงสัยว่ากลัวเขาจะหนีไปจริงๆล่ะมั้งเนี่ย


    “จับไว้เถอะ แจบอมจะได้สบายใจ” บอกเมื่อเห็นจินยองพยายามแกะพันธนาการของมืออีกคนออก แต่การที่ประธานอิมบอกไปแบบนั้นไม่ได้ทำให้จินยองสบายใจขึ้นซักนิด แต่มันทำให้เขารู้สึกอายมากกว่าที่พ่อของแจบอมพูดพลางคลี่ยิ้มอ่อนโยนมาให้เหมือนว่าจะเข้าใจในความสัมพันธ์ของทั้งสองคน


    “เอ่อไม่เป็นไรหรอครับ?” เขาถามอย่างกล้าๆกลัวๆถึงจะมาบ้านเจบีบ่อยจนรู้สึกว่าสนิทกับประธานอิม แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการที่เขาจับมือเจบี การที่เขามานั่งเฝ้าไข้เจบี การที่เขาเริ่มมีความรู้สึกให้เจบี จินยองไม่ค่อยแน่ใจว่าประธานอิมจะเห็นด้วยกับมันหรือเปล่า


    “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจนะเรื่องของพวกเธอน่ะ”


    “เข้าใจหรอครับ?”


    “ฉันผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีแล้วนะ แค่ดูก็รู้แล้วว่าแจบอมมันคิดอะไร เธอน่ะไม่เหมือนยองแจนะ”


    “ครับ” ยิ่งพอได้ยินแบบนี้ความอายที่ค่อยๆมีในตอนแรกก็กลับพุ่งสูงขึ้นเสียอย่างนั้น จินยองไม่คิดไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าประธานอิมจะสนใจเรื่องของแจบอม หรือเรื่องระหว่างพวกเขาด้วย เพราะขนาดบนโต๊ะอาหารประธานอิมยังสนทนากับเขาแค่เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง เรื่องธุรกิจ จะมีบ่นๆเรื่องของแจบอมก็แค่เป็นบางครั้งสั้นๆ เพราะแจบอมก็จะเดินเข้ามาขัดจังหวะได้พอดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่าประธานอิมจะเข้าใจในความสัมพันธ์ของเขากับแจบอมได้ง่ายแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ


    “ที่จริงแจบอมมันก็พูดถึงเธอบ่อยนะ”


    “พูดถึงผมหรอครับ?” จินยองถามพลางดวงตากลมก็เบิกโตขึ้นมาโดยอัตโนมัติในใจก็เริ่มคิดว่าแจบอมจะเอาเขามานินทาอะไรรึเปล่า


    “อือ บ่อยด้วยนะ” พูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะหันไปมองแจบอมที่นอนนิ่งอยู่ท่าเดิมตั้งแต่เดินเข้ามา “ฝากแจบอมด้วยนะ ดูแลมันด้วย เพราะฉันเองก็ไม่ค่อยมีเวลาหรอก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้จนไม่มีเวลาเลี้ยงลูกเองก็เพื่อที่จะให้มันสบายนี่แหละ”


    “ด้วยความยินดีเลยครับ” จินยองตอบรับพร้อมกับกระชับฝ่ามืออุ่นที่อุณหภูมิลดลงมาพอสมควรแล้ว


    “เออนี่จินยอง”


    “ครับ?”


    “ฉันขอโทษที่เสียมารยาทนะ แต่ว่าฉันว่าจะถามเธอนานแล้วว่าครอบครัวเธอทำงานอะไรกัน ” อยู่ๆประธานอิมก็ถามขึ้นมา แต่ว่ามันก็ไม่แปลกหรอกที่นักธุรกิจจะถามว่าพ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร


    “พ่อผมเป็นศัลยแพทย์ครับไม่ค่อยมีเวลาเพราะมีฝีมือเลยมีคิวผ่าตัดทุกวัน ส่วนแม่ก็เป็นวิสัญญีแพทย์ครับคอยช่วยพ่อ ท่านไม่ค่อยสนใจผมหรอกครับเพราะว่าผมเรียนดีมีความรับผิดชอบ นอกจากเงินที่ทำงานมาให้ใช้สบายๆ อย่างอื่นก็ไม่ค่อยมาสนใจผมหรอกครับ เพราะว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยมีเวลา”


    “แล้วได้เจอพ่อแม่บ้างมั้ย อยู่บ้านกับพ่อแม่หรือเปล่า?”


    “เปล่าครับ ผมย้ายออกมาอยู่ที่คอนโด เพราะใกล้โรงเรียนเดินทางไม่นานก็ถึง จะกลับบ้านก็ช่วงเสาร์อาทิตย์วันที่พ่อแม่ได้คิวหยุด ก่อนจะโดนเรียกไปผ่าตัดเคสด่วน


    “แบบนี้เธอก็ยิ่งกว่าแจบอมอีกซิ เขายังได้เจอคนในครอบครัวทุกวันแต่เธอแทบจะไม่ได้เจอเลย”


    “ผมชินแล้วละครับ มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว”


    “แล้วเธออยากเจอหน้าคนในครอบครัวทุกวันรึเปล่า”


    “ก็อยากนะครับ แต่พ่อแม่ผมไม่มีเวลา”


    “ถ้าพ่อแม่เธอไม่มีเวลา ก็มาเป็นคนในครอบครัวฉันสิ ถึงฉันจะมีเวลาไม่มากเท่าแจบอม แต่ก็พอมีเวลาที่จะเป็นพ่อให้เธออีกคนได้นะ


    “คุณลุงล้อผมเล่นรึเปล่าครับ?” จินยองรีบถามกลับ ในตอนนี้เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองซักเท่าไหร่ จริงๆมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ประธานอิมบอกให้จับมือแจบอมไว้ได้แล้วล่ะ จินยองไม่อยากจะเชื่อว่าประธานอิมจะสนับสนุน แล้วนี่จะให้เข้าไปเป็นคนในครอบครัวอีก เขาต้องฝันไปแน่ๆ


    “ตั้งแต่นี้ไปจะเรียกว่าพ่อก็ได้นะ เหมือนแจบอมมัน”


    “นี่เจบีเขาไปบอกอะไรคุณลุงรึเปล่าครับ”


    “เปล่านะ แต่ฉันแค่เห็นว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”


    “จริงนะครับ? ไม่ได้หลอกผมนะ”


    “เธอเห็นฉันชอบพูดเล่นหรือยังไง จินยอง หื้ม?”


    “เปล่าครับ” จิยองส่ายหน้าพรืดในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกตำหนิ แต่ทว่าในหัวใจกลับรู้สึกพองโตที่ประธานอิมเอ็นดูเขาเหมือนลูกอีกคน เชื่อใจให้เขาดูแลเจบี ไว้ใจให้เขาเข้ามาเป็นคนในครอบครัว


    “อย่างนั้นก็ต่อไปนี้เรียกฉันว่าพ่อ เหมือนแจบอม แล้วก็ถ้าเกิดว่าอยู่คอนโดแล้วเหงาก็มาอยู่ที่บ้านนี้ได้ห้องว่างยังมีอีกเยอะ บ้านนี้ยินดีต้อนรับลูกเสมอนะ”


    “ขอบคุณครับ” จินยองยิ้มรับพร้อก้มหัวขอบคุณ “แต่ผมคงไม่กล้ารบกวนขนาดมาอยู่ที่นี่หรอกครับ”


    “เธอเป็นคนในครอบครัวฉันแล้วนะจินยอง อีกอย่างฉันก็ให้เธอมาช่วยดูแลเจบีแทนฉัน หรือว่าฉันต้องไปขอเธอกับพ่อแม่เธอก่อน”


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่างที่บอกไปพ่อแม่เขาไม่สนใจผมหรอก แค่ผมไม่ทำตัวเหลวไหลเขาก็พอใจแล้วครับ” จินยองรีบส่ายหัวปฏิเสธเขารู้ดีที่ประธานอิมบอกว่าจะไปขอกับพ่อแม่ ถ้าพูดแบบปกติมันก็ไม่อะไรหรอกนะ แต่นี่พูดด้วยน้ำเสียงกลางๆกับใบหน้าที่ประดับรอยยิ้ม มันทำให้จินยองรู้ทันทีเลยว่าประธานอิมหมายความว่ายังไง


    เขายังไม่ลืมหรอกที่ทะเลตอนไปค่าย ที่เขาถามเจบีว่าชอบเขาจริงๆหรอ ตอนนั้นคำตอบของเจบีที่ทีเล่นทีจริงมันก็ทำให้เขาหวั่นไหวแล้วก็คิดไปไกลเหมือนกันนะ คำตอบที่ว่า จะให้พ่อมาขอเลยมั้ยล่ะ จินยองคิดว่าเจบีต้องมาพูดอไรกับประธานอิมแน่ๆ ถึงแม้จะคุยกันถูกคอยังไงแต่ก็ไม่น่าที่จะรับมาเป็นคนในครอบครัว แล้วก็พูดว่าจะไปขอกับพ่อแม่ได้ง่ายขนาดนี้


    “ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ให้เธอพร้อมก่อนแล้วฉันค่อยไปบ้านเธอก็ได้ฉันไม่รีบ แล้วก็เฝ้าไข้แจบอมมันด้วยนะ ต้องการอะไรก็ไปบอกแม่บ้าน ฉันจะไปตีกอล์ฟซักหน่อย” ประธานอิมบอกด้วยรอยยิ้มสุดท้ายก่อนหันไปมองเจบีอีกซักทีแล้วหันหลังเดินออกไปจากห้อง ทิ้งจินยองไว้กับความอายแล้วก็ความเขินที่คนป่วยบนเตียงน่าจะเป็นคนมาก่อไว้ให้ โดยส่งผ่านทางพ่อตัวเองมา


     

    “ไอ้บ้า จะให้พ่อตัวไปขอลูกชาวบ้านเขาก็รีบๆหายป่วยสิ นอนอยู่ได้” จินยองพูดพลางใช้อีกมือฟาดลงที่แขนอีกคนเบาๆเพราะว่าเจบีมีไข้อยู่ ก่อนจะล้มตัวลงไปกับเตียงโดยที่มือก็ยังจับฝ่ามืออุ่นเอาไว้แน่น แล้วค่อยๆหลับตาลง อีกนานแน่ๆกว่าเจบีจะตื่น เขาขอนอนอาแรงไว้ลงโทษคนป่วยตอนหายป่วยก่อนเถอะ



    #fickissmark

    ตอนนี้ลงเพื่อปรับอารมณ์ให้กลับเข้าสู่โหมดปกติที่ปกติสุดๆ

    เลิกดราม่า เลิกทุกสิ่งอย่างทุกคนจะร่วมกันโรแมนติก

    เพราะตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายแล้วนะคะ 

    *ร้องไห้หนักมาก*


     
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×