คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #59 : :: KISSMARK :: EP.59
JB PART
บรรยากาศแบบนี้มันควรจะเรียกว่าอะไรดีครับ…
ตั้งแต่เมื่อครู่ที่ผมไปลากยองแจขึ้นมาบนรถ ผมก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่การอึดอัดที่มาจากความไม่สนิทใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่ผมกลับอึดอัดเพราะเราสนิทกัน ลองคิดดูนะครับว่าคนที่เคยสนิทกันมากๆแล้วใครคนหนึ่งก็ทำตัวออกห่าง ไอ้ความห่างนั้นแหละที่มันจะเป็นที่ของความอึดอัดที่แทรกเข้ามาแทนที่ และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้วระหว่างผมกับยองแจ
ก่อนเวลารถออกไม่กี่นาทีประธานก็มาบอกผมว่าต้องไปหาแจ็คสันก่อน เพราะเหมือนเขาจะดร็อปเรียนอีกครั้งมั้งครับ ส่วนมาร์คกับแบมแบมก็ตามไปติดๆ พอผมลงมายืนรอที่ประตูรถก็เห็นยองแจจะตามเข้าไปเลยชวนให้เขาขึ้นรถ ผมรู้ว่าถ้ายองแจได้เข้าไปละก็ เขาจะไม่เดินกลับออกมาง่ายๆแน่จนกว่าจะได้อะไรที่พอใจจากแจ็คสัน ผมเลยตัดปัญหาด้วยการเรียกเขาขึ้นรถมา แต่มันกลับเป็นการสร้างปัญหาให้กับตัวผมแทน ขากลับนี่แจ็คสันไม่ได้กลับด้วย นั้นหมายถึงว่ายองแจต้องนั่งคนเดียว…
‘…จำไว้นะแจบอม จนวันสุดท้ายที่แยกจากกันฉันจะทำให้เขามีความสุข ถ้าฉันเป็นนายน่ะนะ…’
ยองแจหันมามองผมด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย พร้อมๆกับคำพูดของแจ็คสันที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัว นั่นทำให้ผมทิ้งตัวลงที่เบาะข้างๆเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เป็นไงบ้าง?” ผมเอ่ยถามลอยๆ อยากให้ความรู้สึกอึดอัดนี่มันหายไปเสียที
“ก็ไม่เป็นไงอะ เหงานิดหน่อย” แต่คำตอบที่ยองแจให้ มันกลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมากเข้าไปอีก
“แต่ก็เห็นอยู่กับแจ็คสันบ่อยนี่”
“มันแทนกันไม่ได้หรอกนะ นายกับแจ็คสันอะ”
“ขอโทษนะ…” ผมบอกเสียงเบา ไม่รู้ว่าการที่ยองแจตอบแบบนั้นจะบอกอะไรผมกันแน่ จะบอกว่าผมสำคัญกับเขา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิด ยิ่งคำพูดนั้นมาพร้อมกับดวงตาใสๆบนใบหน้าไร้รอยยิ้มแล้วมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นอีกเท่าตัว
“ขอโทษทำไม เจบีไม่ได้ทำอะไรผิดนะ” เขาบอกหัวคิ้วเรียวย่นเข้าหากัน
“ก็ฉันรู้สึกผิดนี่” ผมตอบเสียงเบามองเข้าไปในดวงตานั้น ไม่ว่าจะตอนไหนผมก็จะเป็นฝ่ายยอมยองแจเสมอ แม้ว่าเขาจะบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความรู้สึกผิดมันกลับมีอยู่เต็มหัวใจ
“รู้สึกผิดเรื่อง?”
“ก็…”
“ถ้าเป็นเรื่องที่นายร่วมมือกับพ่อส่งฉันไปอเมริกาไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ฉันเข้าใจว่านายหวังดี แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันเหงา มันก็ไม่เกี่ยวกับนาย แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันต้องอยู่คนเดียว มันก็ถูกแล้ว นายอยากให้ฉันช่วยเหลือตัวเองได้นี่ แล้วอีกอย่างฉันจะหาเพื่อนไปทำไม ในเมื่อคืนนี้ฉันก็ต้องเดินทางไปอเมริกาแล้ว ส่วนเรื่องของแจ็คสันแน่นอนว่าเขาแทนนายไม่ได้หรอก เพราะหมอนั่นน่ะไม่เคยยอมอะไรฉันเลย”
ในตอนที่ผมอ้าปากเตรียมจะพูด เสียงหวานก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน เหมือนกับว่าเขารู้ว่าผมจะพูดอะไร แต่ก็ไม่แปลกหรอกครับที่ยองแจจะเดาออกเพราะว่าเราสนิทกันมานาน และสิ่งที่เขาบอกออกมามันก็ตรงกับสิ่งที่ผมจะพูด ผมดีใจนะที่เขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง รวมถึงเรื่องแจ็คสันด้วย ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้มีแค่ผมแล้ว แต่เขายังมีแจ็คสันอีกคนที่พอจะดูแลยองแจได้
“ฉันไม่เคยโกรธอะไรนายเลยนะเจบี ฉันเข้าใจทุกอย่าง… ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเรา หรือเรื่องของนายกับจินยอง” ยองแจบอกผมเสียงสั่น ในดวงตากลมนั้นมีน้ำใสๆเอ่อคลออย่างน่าสงสาร
ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมอยากจะดึงเขาเข้ามากอด แล้วโยกตัวไปมาเบาๆเหมือนอย่างที่เคยทำ เหมือนอย่างที่เคยปลอบเขาเวลาที่เขาร้องไห้ เวลาที่เขาเริ่มจะงอแง เริ่มที่จะไม่พอใจ แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สิ่งที่ผมสามารถทำได้คือการส่งมือไปลูบเรือนผมนิ่มเบาๆ แล้วยิ้มให้เขาอย่างจริงใจเป็นการขอบคุณ ไม่ว่ากี่ครั้งการที่เห็นยองแจทำท่าจะร้องไห้มันก็ทำให้หัวใจของผมเจ็บจี๊ดเสมอ ที่ผมไม่สามรถจะดูแลเขาได้อีก ไม่สามารถปลอบโยนเขาแบบที่เคยทำมา
“ถ้านายร้องไห้ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่านายจะดูแลตัวเองได้ตอนไปอเมิรกาน่ะ”
“ไม่ร้อง ใครจะร้องไห้กัน ไม่ใช่เด็กขี้แยซะหน่อย” มือเล็กยกขึ้นมาขยี้ตาตัวเองให้น้ำตามันย้อนกลับไปก่อนจะตีหน้างอหรี่มองผมเหมือนเด็กๆ แต่ที่ผมรู้สึก มันไม่ใช่ยองแจแสดงท่าทีแบบเด็ก แต่มันคือยองแจ ที่เป็นเด็กชายชเว
“นั่งที่ให้เรียบร้อยด้วยครับรถจะออกแล้ว!!” เสียงคุ้นหูของจินยองตะโกนมาจากหน้ารถเรียกความสนใจของผมให้หันออกไปมอง พร้อมกับมาร์คและแบมแบมที่เดินไปนั่งที่เบาะหลังสุดซึ่งมาร์คนอนพาดยาวมาในตอนแรก
“ไม่ไปนั่งกับจินยองหรอ” คนที่เพิ่งทำหน้างอใส่ สะกิดถามเมื่อรู้สึกว่ารถเคลื่อนที่แล้วแต่ผมยังไม่ขยับไหน
“วันนี้ฉันจะอยู่กับนาย จนกว่าจะหมดวัน” พูดหลังจากส่ายหน้าเบาๆ ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ยองแจจะได้อยู่ที่เกาหลี ผมก็อยากจะดูแลเขาจนวินาทีสุดท้ายที่แผ่นหลังบางเดินเข้าเกทไปจนลับสายตา
นี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะมาคิดเมื่อตอนแจ็คสันบอก
“อือ ขอบคุณนะ”
ตลอดการเดินทางเราไม่ได้คุยอะไรกัน อาจจะเป็นเพราะเราเข้าใจกันทุกอย่างแล้ว เลยไม่มีอะไรที่ต้องเอามาปรับความเข้าใจกันอีก ผมรู้สึกสบายใจกว่าตอนแรกที่ลากเขาขึ้นมาบนรถ เหมือนกับได้คลี่คลายปมเล็กในใจ ยองแจเข้มแข็งขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับผม ผมรู้สึกได้ว่าเขาไม่อ่อนไหวเหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นปกติยองแจจะต้องแสดงอาการของเด็กชายชเวออกมาแล้ว การที่นั่งรถนานๆแบบนี้เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะไม่บ่นอะไรซักคำ
ยองแจนั่งเอาศีรษะพิงกับบานกระจกใส ดวงตาหยีเหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างล่องลอยจนผมไม่รู้ว่าในหัวนั้นขากำลังคิดอะไรอยู่รึเปล่า แต่การที่เห็นยองแจนิ่งๆแบบนี้ก็ไม่ได้จะเห็นกันบ่อยๆ แต่จะให้เขาเป็นเหมือนปกติก็คงไม่ได้ ก็คืนนี้เขาจะต้องใช่ชีวิตในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรียกได้ว่าเริ่มต้นชีวิตใหม่เลยละครับ ผมนั่งมองคนข้างๆมาตลอดทางระยะเวลาก็ร่วมหลายชั่วโมงอยู่ อยากจะเก็บภาพของเขาเอาไว้ในความทรงจำ อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่เราจะได้พบกันอีก แม้ผมจะเคยบอกให้เขาติดต่อผ่านทางโซเชียลมา แต่เวาลาของเราก็คงไม่ตรงกันตลอดหรอก อยู่กันคนละซีกโลกแบบนี้
“ถึงโรงเรียนแล้วครับทุกคน พักผ่อนกันให้เต็มที่นะครับ!!” เสียงจินยองผู้เป็นประธานนักเรียนลุกขึ้นตะโกนเมื่อรถจอดสนิท ผมลุกขึ้นยืนและเดินนำยองแจลงไปด้านล่างเพื่อรอรับกระเป๋าจากห้องเก็บสัมพาระ
“ฉันไปแล้วนะ…” เสียงหวานบอกผมเมื่อกระเป๋าเสื้อผ้าของเขาถูกนำออกมาวางไว้ข้างตัวรถ ยองแจย่อตัวลงหยิบกับจะมองไปทางด้านหลังที่คนขับจากที่บ้านเขากำลังเดินเข้ามาหา
“ไปส่งมั้ย?”
“ไม่เป็นไร คนรับรถฉันมารับแล้ว นายไปส่งประธานเถอะ เจบี” ยองแจตอบผมแล้วคลี่ยิ้มบาง มันเป็นรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เศร้า จากตอนนี้ดูยังไงยองแจก็เป็นคนที่น่าสงสาร น่าเห็นใจมากๆคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรได้
“เครื่องออกกี่โมง?”
“ประมาณตีหนึ่งอะ” เขาหันมาตอบขณะส่งกระเป๋าให้คนขับรถที่เดินเข้ามาถึงพอดี
“ฉันอาจจะตื่นยากหน่อย แต่นายต้องรอฉันนะ ฉันจะไปส่ง…”
00:15
คืนนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ไร้เมฆ มีเพียงดวงจันทร์ที่ส่องแสงกระทบดวงดาวมากมายราวกับเป็นไฟทางเดินให้เขาจากประเทศบ้านเกิดไปอย่างสะดวกและสวยงาม เพราะท้องฟ้าในค่ำคืนนี้มันโปร่งกว่าทุกวัน ยองแจกระชับเสื้อโค้ชที่ใส่อยู่ให้แน่นขึ้นเมื่อเดินออกมาพ้นตัวบ้านที่เขาพักพิงอาศัยมาตลอดชีวิต
“ไม่ลืมอะไรใช่มั้ย” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อดังถามเมื่อเดินตามลูกชายออกมาแล้ว ยองแจไม่ได้ตอบอะไรเขาทำเพียงแค่หันไปพยักหน้าให้ ถ้ามีอะไรที่ลืมก็คงจะทิ้งไว้ที่นี่เลยไว้ค่อยให้คนส่งตามไปให้หรือไม่ก็ไปซื้อใหม่ที่อเมริกา เพราะในตอนนี้สมองของเขามันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก
“ไปกันเถอะ” ยองแจหันมองทางเดินเข้าบ้านเป็นครั้งสุดท้ายด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง เขาไม่เคยจากบ้านไปนอนที่อื่นเลยซักครั้ง จะมีก็แต่ที่ไปนอนบ้านเจบีกับไปค่ายแค่นั้น เขาไม่เคยได้ไปไหนไกลๆ ไม่เคยออกต่างจังหวัด ไม่เคยคิดเรื่องที่จะไปต่างประเทศ แต่ในตอนนี้เขาต้องไปแล้ว ไปยังที่แสนไกล และไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ หรือว่าจะได้กลับมาอีกรึเปล่า ร่างบางเข้าไปนั่งในรถแล้วใช้ศีรษะพิงไว้กับกระจกที่ติดฟิล์มทึบคนด่านนอกแทบจะมองเข้ามาไม่เห็นข้างใน เพราะพ่อขององแจเป็นนักการเมืองการระวังตัวก็ต้องมีมากเป็นธรรมดา
ดวงตากลมทอดมองไปยังตัวบ้านในขณะที่รถก็ค่อยๆเคลื่อนที่ออก ผ่านจากหน้าบ้านไปที่สนามหญ้ากว้างที่ได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะเป็นตอนกลางคืนแต่ก็ยังเห็นต้นหญ้าเขียวชอุ่ม สนามหญ้านี้เป็นที่ที่เขากับเจบีชอบมาวิ่งเล่นด้วยกันเพราะว่ามีต้นไม้เยอะอากาศค่อนข้างจะดีกว่าส่วนอื่นของบ้าน ยองแจจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นอยู่ในสนามหญ้านั้น ยิ่งตอนที่มีเจบีมาอยู่ด้วย เขาก็ยิ่งมีความสุขมากไปอีก เหมือนสนามหญ้านี้เป็นโลกอีกใบของเขา เหมือนเขาได้รับการดูแลไปพร้อมๆกับต้นหญ้าพวกนั้น มันเป็นความทรงจำที่มีความสุขมากอย่างนึงของยองแจกับเจบี
รถคันหรูเคลื่อนที่จากสนามหญ้าออกมาที่ถนนของหมู่บ้านก่อนจะมุ่งสู่ถนนสายหลักซึ่งเป็นทางไปสนามบิน อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาก็จะบินทะยายขึ้นสู่ท้องฟ้าไปฝากชีวิตไว้อีกซีกโลกหนึ่ง ยิ่งพอคิดมันก็ยิ่งใจหาย การไปในที่ใหม่ๆ แบบไม่มีใครรู้จัก มันเหมือนเป็นการไปเริ่มชีวิตใหม่ ชีวิตที่ไม่มีใครมาค่อยอยู่ข้างๆ ไม่มีใครคอยช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครคอยเอาใจ ไม่มีใครคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
และที่สำคัญ ไม่มีใครที่ชื่ออิม แจบอม
ยองแจคิดทบทวนกับเรื่องของเจบีมาตลอดนับตั้งแต่วันที่เขาปรับความเข้าใจ ปรับความรู้สึกกัน ยองแจทำใจแล้วว่าไม่มีเจบีก็ไม่เป็นไรเขาต้องดูแบตัวเองได้ เพราะตอนนี้อาการป่วยมันก็เหมือนจะดีขึ้นมาเพราะตั้งแต่ไปค่ายก็ยังไม่เป็นอะไร ร่างกายปกติทุกอย่างจะมีก็แต่ในใจที่ยังไม่ได้ทำใจว่าจะไปเร็วแบบนี้ เพิ่งจะเจอหน้าทุกคนเมื่อเช้า แต่พอพรุ่งนี้ก็ไม่ได้เจอใคร
00: 43
นั่งคิดอะไรเรื่อยๆมาซักพักรถคันหรูก็มาจอดเทียบหน้าทางเข้าแอร์พอร์ต คนขับรถดึงเบรกมือก่อนจะลงมาเปิดประตูให้เจ้านายทั้งสองคน ยองแจเดินตามหลังคนเป็นพ่อเขาไปด้วยหัวใจที่เริ่มเต้นเร็วขึ้น เหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีให้เขาเช็คอินเข้าเกท
ยองแจเข้าเช็คอินตามหลังพ่อของเขาพลางสายตาก็มองหาเจบีไปรอบๆแอร์พอร์ต แต่จนการเช็คอินเสร็จก็ยังไม่เห็นอีกคน จนกระทั่งเดินไปถึงทางเข้าเกท ก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนที่บอกว่าจะมาส่ง นี่เขาเหลือเวลาอีกไม่กี่นาทีก็ต้องเข้าเกทแล้ว แล้วเจบีอยู่ที่ไหน
“ยองแจ!!” ยังไม่ทันที่จะได้สงสัยมากเท่าไหร่เสียงทุ้มก็ตะโกนดังมาเรียกให้ยองแจต้องมองหาร่างสูงที่กำลังวิ่งตรงมาที่หน้าทางเข้าเกท
“นายมาจริงๆด้วย” ยองแจพูดขำๆเมื่อเจบีมาหยุดหอบอยู่ข้างหน้าเขา แล้วหันโค้งให้คนเป็นพ่อด้านหลังยองแจ
“งั้นเดี๋ยวลูกตามมานะ” เหมือนว่าพ่อเขาจะเข้าใจว่าทั้งคู่มีเรื่องจะต้องพูดกันเลยเข้าไปในเกทก่อน ปล่อยให้ยองแจอยู่กับเจบีตามลำพัง
“ง่วงมั้ย?” เสียงหวานถามเมื่อสังเกตได้ว่าเจบีไม่ได้แต่งตัวอะไรมาเลย เหมือนจะแค่ลุกจากเตียงแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าสะบัดน้ำใส่หน้าแล้วออกมาเลย
“มากๆอะ”
“ง่วงก็กลับไปนอน นอนเยอะๆนะ ฉันต้องเข้าเกทก่อนเที่ยงคืนห้าสิบห้า” พูดพร้อมกับส่งยิ้มตาหยีไปให้ ในเวลานี้ยองแจไม่รู้สึกเสียใจหรือเศร้ามากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเขาได้คุยกับเจบีมาก่อนหน้านี้ตอนที่กลับจากค่าย ความรู้สึกที่อัดอั้นมาก็เหมือนจะได้ระบายไปแล้ว อีกอย่างก็คือการที่เจบียอมตื่นมาหาเขากลางดึกแบบนี้มันถือเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากจริงๆ
“เวลานอนฉันมีอีกเยอะหน่า” ตอบพรอ้มกับยกมือขึ้รบีบไหล่บางเบาๆอย่างให้กำลังใจ ที่ดวงตาคมเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อคลอขึ้นมา “นายนั้นแหละนอนเยอะๆ ดูแลตัวเองดีๆด้วยนะรู้ไหม ฉันไม่อยู่ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิม อย่าไปไหนคนเดียว หาเพื่อนดีๆไว้ซักคน คนที่ไว้ใจได้ แล้วก็ถ้าจะมีแฟนต้องให้ฉันสแกนก่อน ฉันเป็นห่วงนายนะเด็กชายชเว”
“อื้อ รู้แล้ว” ยองแจตอบสั้นๆ ในตอนนี้เขาไม่อยากพูดอะไรออกไปมากเพราะน้ำตาที่กลั้นไว้มันเหมือนจะไหลออกมา ยิ่งพอเห็นน้ำใสๆในตาของเจบีเขาก็ยิ่งรู้สึกอยากจะร้องไห้มากอีกเท่าตัว แต่การจากลาครั้งนี้มันคือการจากกันเพื่อการเริ่มต้นใหม่และเพื่อการกลับมาพบกันที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นจะมีใครร้องไห้ไม่ได้
“ถึงแล้วก็โทรมาหาด้วยนะ ว่างๆก็สไกป์หรือเฟสไทม์มาหาด้วยนะ ฉันจะได้รู้ว่านายอยู่กินแบบไหน”
“อื้อ จะโทรหาทุกวันเลย เอาให้เบื่อเลย”
“ใครจะเบื่อเด็กชายชเวกัน”
“เบบี้บีไง”
“เดี๋ยวเหอะๆ” เจบีไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่เลยเวลาถูกเรียกว่าเบบี้บีแต่จะยกให้ครั้งนี้ครั้งหนึ่งเพราะต่อไปนี้ก็คงไม่ได้ยินบ่อยๆ ที่ยองแจจะโทรหาทุกวันก็มีความเป็นไปได้แบบห้าสิบๆ เพราะเวลามันต่างกันมาก ตอนยองแจไปเรียนเจบีอาจจะหลับไปแล้วก็ได้
“ฉันต้องไปแล้ว…” ยองแจก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจบีที่ถอนหายใจทันทีที่ได้ยินว่าเขาต้องไปแล้ว
“อือ ฉันเป็นห่วงนายมากนะรู้ไหม” พูดพร้อมกับดึงร่างบางเข้ามากอดแล้วโยกตัวไปมาเหมือนเมื่อก่อนที่เขาชอบทำ “ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“รู้แล้วล่ะหน่า ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ฝ่ามือบางยกขึ้นลูบแผ่นหลังแกร่งเบาๆ ในหัวใจรู้สึกชาวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้เหลือเกินแต่มันก็เป็นไปไม่ได้เพราะอีกไม่กี่วินาทีเขาต้องไปแล้วจริงๆ “เจบี นายก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ แล้วก็ดูแลประธานด้วย ถึงเขาจะจู้จี้ไปซักหน่อยแต่ก็เป็นคนดีนะ”
“อือฮึ” เจบีตอบเป็นเสียงในลำคอพลันริมฝีปากก็คลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นยองแจมีปัญหาอะไรกับการที่เขาชอบประธาน มือหนาดันตัวยองแจออกก่อนจะลูบเรือนผมนิ่งเบาๆอย่างอ่อนโยน “เดินทางปลอดภัยนะ”
“นายก็ขับรถดีๆนะ” ตอบกลับไปพร้อมกับขาที่ก้าวถอยหลังเรื่อยๆเพื่อจะเข้าเกท ดวงตาก็อยากจะจดจำภาพของเจบีเอาไว้ให้นานที่สุดจนวินาทีสุดท้ายที่จากกัน…
JACKSON PART
เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าตัวผมก็เอนลงไปกับเบาะโดยอัตโนมัติ นับตั้งแต่วินาทีนี้ผมจะต้องเริ่มเดินตามความฝันอีกครั้ง เป็นฝันครั้งยิ่งใหญ่ และเป็นฝันสุดท้ายที่ผมจะทำ ผมเอียงใบหน้าเข้าหาหน้าต่างใสและก้มลงมองเมืองด้านล่าง ถึงจะไม่เห็นอะไรนอกจากแสงไฟบนยอดตึก แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเลย…
“เฮ้ออออออ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะขยับหูฟังที่คล้องอยู่ที่คอขึ้นมาครอบใบหูและกดเล่นเพลง ในการเดินทางครั้งนี้คงไม่มีเด็กเบาะข้างๆให้ผมต้องแบ่งหูฟังกับเขาคนละข้างเพราะว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆนี่เป็นโค้ชหรือผู้จัดการผมเองแล้วพี่แกก็หลับไปแล้วซะด้วยซิ สงสัยว่าจะหนื่อยจากตอนที่ขับรถไปรับผมกลับจากค่าย กลับมาก็ต้องจัดของนู้นนี่อีก
ตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่งที่เครื่องบินบินนิ่งมาได้ซักพัก ถ้าเป็นปกติช่วงตีสองนี่ผมหลับไปแล้วนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่มีคำว่าง่วงอยู่ในหัวเลยซักนิด ผมหันมองผู้จัดการที่นอนหลับสนิทแล้วลุกขึ้นยืนพยายามให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่นที่กำลังนอนพักผ่อนกัน ผมเดินมาตามทางเดินกลางเครื่องผ่านจากเฟิร์สคลาสไปชั้นธรรมดาเพื่อที่จะไปห้องน้ำด้านหลังเครื่องนั่งมานานก็อยากยืดเส้นยืดสายบ้าง
“เมื่อยฉิบหาย” ผมสะบัดแขนสะบัดขาปากก็บ่นเบาๆ ก่อนจะยืนพิงกับกำแพงอีกฝั่งเพื่อรอให้คนด้านในห้องน้ำออกมา
แกร๊ก
ยืนรออยู่ไม่นานเสียงกลอนจากด้านในก็ดังให้ผมยืดตัวขึ้นมองบานประตูที่ค่อยๆแง้มออกทีละนิด เผยให้เห็นร่างบางคุ้นตา แม้ไฟตอนนี้มันจะสลัวแต่ผมก็เห็นโครงหน้าของเขาได้ชัดเจน ใบหน้านิ่งที่มักจะส่งสายตาเหวี่ยงๆมาก่อนเสมอ
“ชเว ยองแจ!” ผมเรียกเขาเป็นจังหวะเดียวกับที่นิ้วมือเรียวยกขึ้มาชี้หน้าจนแทบจะจิ้มเข้ามาในลูกตา
“แจ็คสัน” เขาเรียกด้วยเสียงแหบพร่า
“ทำไมหน้าซีดแบบนั้นล่ะ” ถามเมื่อสังเกตได้ว่าใบหน้าหวานนั้นซีดกว่าปกติ เสียงที่เขาเรียกผมเมื่อกี้ก็แหบเหลือเกิน
“เมาเครื่องอะ” ยองแจตอบแล้วยกมือขึ้นถูกปลายจมูกทำหน้าพะอืดพะอม
“เห้ย เป็นไรปะเนี่ย”
“ฉันโอเค เมื่อกี้อ้วกไปแล้ว” เขาพยักหน้าตอบก่อนจะเบี่ยงตัวให้ผมเดินไปฝั่งห้องน้ำ “ไปนั่งแล้วนะคลื่นไส้”
“นายนั่งตรงไหน?” ผมส่งมือไปดึงแขนเขาไว้แล้วเปลี่ยนไปเดินนำเขาแทน
“แถวเจหกสิบสี่อะ”
“ไปนั่งที่ฉันตรงชั้นเฟิร์คลาสเถอะ ตรงนั้นน่าจะดีกว่า” ผมดึงแขนยองแจให้เดินตามมา ไม่มีครั้งไหนที่ผมขึ้นเครื่องบินแล้วไม่นั่งขั้นเฟิร์สคลาสหรือบิวซิเนสคลาสเลย ผมชอบความสะดวกสบายนะ ไอ้ที่ต้องไปเบียดกับคนสามคนในแถวเดียวอะ ทำไม่ได้จริงๆ ผมไม่ใช่คนเรื่องมาก แต่ในเมื่อเรามีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีกว่าก็น่าจะเลือกใช่มั้ยละครับ แล้วอย่างยองแจที่เมาเครื่องจนหน้าซีดถ้าให้ไปนั่งชั้นธรรมดา ผมว่าเขาได้อ้วกตลอดการเดินทางแน่ๆ
“จะบ้าหรอ ฉันจะนั่งที่ฉันเนี่ยแหละ” เขากระตุกแขนให้ผมหยุดเดิน
“เมาเครื่องไม่ใช่รึไง นั่งตรงนี้เดี๋ยวก็อ้วกใส่หัวคนอื่นเขาหรอก ตรงนั้นมีห้องน้ำใกล้ๆ มันดีกว่านะ”
“ไม่ป็นไร มันที่นายนะ อีกอย่างพ่อฉันก็อยู่ตรงนี้ด้วย”
“งั้นเดี๋ยวฉันบอกพ่อนายให้ว่าฉันกับนายสลับที่กัน”
“ไม่ต้อง อุ๊บ!” เขาเหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่แล้วก็ต้องหุบปากยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างเร็ว
“จะอ้วกหรอ?”
“ไม่อะ กลืนไปแล้ว”
“สกปรกฉิบหาย” ผมพึมพำพลางดึงมือเขาให้เดินตามหน้าเครื่อง ไม่รู้ว่าเพราะอ้วกที่กลืนไปเมื่อกี้หรือเพราอะไร ยองแจดูจะเงียบไปเลย ไม่พูด ไม่ขัด ยอมเดินตามมาแบบไม่มีปัญหาจนถึงที่นั่งของผม
“เอาจริงหรอ?” หันมาถามแล้วก้มมองโค้ชที่ยังไม่รู้สึกตัว
“อือ ไปนั่งเหอะ” ผมดันหลังยองแจให้เขาไปนั่งก่อนเดินตามเข้าไป โชคดีที่เครื่องบินนี้มีที่พอให้ผมเดินเข้าไปที่เบาะได้ ผมจัดที่ให้ยองแจแล้วหยิบเอาสัมพาระบางส่วนออกมา ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้เขา แต่แล้วศอกก็ดันไปกระแทกกับเข่าโค้ชจนเขารู้สึกตัวขึ้นมา
โค้ชลูบหัวเข่าตัวเองในขณะที่ลืมตาขึ้นมามองผม แล้วหันกลับไปมองยองแจที่นั่งอยู่ข้างๆเขา มองสลับกันแบบนี้ประมาณสามรอบใบหน้างงๆของคนที่เพิ่งตื่นทำให้ผมต้องอธิบายออกไปก่อนที่เขาจะถาม
“เพื่อนผมครับ เขาเมาเครื่องอะเลยให้มานั่งนี่แทน” พูดพร้อมกับที่ยองแจก้มหัวเล็กน้อยทักทายตามมารยาท
“แล้วนายจะไปนั่งที่ไหน” สายตาเขาตอนนี้ดูเหมือนคนกำลังรำคาญที่ปลุกขึ้นมาเพื่อรับเคราะห์กรรมอะไรซักอย่าง
“เจหกสิบสี่” ผมตอบสั้นๆแล้วยืดตัวขึ้นเตรียมจะเดินหลับไปทางด้านหลัง
“งั้นนายนั่งนี่แหละ เดี๋ยวฉันไปนั่งนั้นเอง” อยู่ๆโค้ชก็ลุกขึ้นยืนแล้วกดไหล่ให้ผมนั่งลงที่เขาแทน “นั่งไปสบายๆเถอะ เดี๋ยวพอถึงนู้นนายก็จะไม่ได้รู้จักคำว่าสบายแล้ว”
“ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวขอบคุณเขาก่อนที่โค้ชจะยกมือปิดปากหาวทำท่าทางง่วงๆเดินไปนั่งที่ชั้นธรรมดาแทน
“ขอบคุณนะ” คำพูดพึมพำดังออกมาจากคนข้างๆที่ดูเหมือนว่าเขาจะดีขึ้นมานิดนึงเพราะใบหน้าซีดๆนั้นเลยกลับมามีสีขึ้นแล้ว ยองแจพูดลอยๆตามนิสัยของคนที่มีอีโก้สูงซึ่งผมก็ไม่อยากจะว่าอะไรเขาหรอก เลยปล่อยให้เขานั่งเงียบๆไป ไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับคนป่วย
ตอนนี้ที่นั่งของผมก็กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตอนที่บินจากไทยมาเกาหลี ตอนนั้นข้างๆเป็นแบมแบม แต่ตอนนี้กลับเป็นคุณหนูชเว ยองแจแทน ตอนนั้นแบมแบมเป็นเด็กที่อยู่แทบจะไม่อยู่นิ่ง พูด คุย เล่นกับผมตลอด แต่ยองแจนั่งเงียบๆคงเพราะเขาคงเวียนหัวมาก แล้วก็ยังไม่มีอารมณ์ที่จะหาเรื่องผม ตอนนั้นกับตอนนี้มีหลายอย่างที่ต่างกัน แล้วก็มีหลายอย่างที่เหมือนกัน นั้นก็คือ คนข้างๆนี้ เป็นคนที่ผมอยากจะดูแล อยากจะปกป้องเขา…ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะทำแบบนั้น แล้วก็หวังไว้ลึกๆว่าประวัติศาสตร์มันจะไม่ซ้ำรอย
...อิสรภาพจงคืนแก่ข้า...
ปิดเทอมมมมมมมมมแล้วค้า!!!!
ใครยังอยูาในช่วงไฟนอลก็สู้ๆน้า
อัพวันละนิดจิตแจ่มใส ไม่อยากให้จบ 55555555
สุดท้ายนี้ รักนะคะ ยังบ่ได้ พิสูจน์อักษร คริๆๆๆๆ
ความคิดเห็น