ครึ่งทางของหัวใจ
เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกของคนหัดเขียนที่อยากเขียนนิยาย เรื่องราวของนักอยากเขียนที่มีโอกาสรู้จักนักเขียนผ่านทางออนไลน์แล้วนัดมาเจอกันเพื่อ หัดเขียน
ผู้เข้าชมรวม
307
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ครึ่งทางของหัวใจ
ณดา
ความรัก.....ภูเขาสูงใบไม้เขียว......
ชายสูงวัยในเครื่องแบบยกมือที่รับใช้เจ้าของมาเนิ่นนานจนเห็นริ้วรอยแห่งกาลเวลาขึ้นเหนือศีรษะ จับเชือกที่ห้อยลงมาตวัดข้อมือเบาๆ สั่นระฆังที่แขวนอยู่สถานีแห่งนี้ เสียงกังวานใสที่ดังออกมาจากระฆังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แก๊ง...แก๊ง แก๊ง..แก๊ง
สาวสวยหน้าใส ไร้เครื่องสำอางบนใบหน้า เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อยู่ในมือ ดวงตากลมโตกระพริบเล็กน้อยเพื่อปรับสายตาที่เพิ่งละจากตัวหนังสือ ลุกยืนยืดตัวขึ้นตรง เหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ เอี้ยวตัวไปมา บิดซ้ายทีขวาทีแก้ความเมื่อยขบ หันหน้าไปด้านซ้ายมือก้มหยิบกระเป๋าเต็นท์ที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นคล้องไหล่ มือคว้ากระเป๋าเดินทางใบเล็ก ขายาวก้าวเดินตรงลิ่วมายืนรอที่ชานชาลา ขบวนรถไฟเที่ยวกลับเข้าเทียบชานชาลาตรงเวลาหกโมงสิบนาทีไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่นาทีเดียว เจ้าม้าเหล็กขบวนนี้จะนำพาเธอไปยังเส้นทางแห่งฝัน
แก๊ง...แก๊ง...แก๊ง แก๊ง...แก๊ง...แก๊ง...เสียงระฆังดังขึ้นอีกรอบ เสียงหวูดกรีดร้องโหยหวน รถไฟเริ่มขยับ นั่นคือ...สัญญาณแห่งการเริ่มต้น การเดินทางจากสถานที่หนึ่งเคลื่อนไปยังสถานที่หนึ่ง เกิดขึ้น หมุนเวียนอย่างนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน การเริ่มออกเดินทางของม้าเหล็กจากสถานีที่เก่าแก่พอๆ กับอุปกรณ์ทุกชิ้นในสถานีรถไฟแห่งนี้ ได้นำพาหญิงสาวผู้หลงใหลในอารมณ์ของตัวอักษรที่ผ่านเข้ามาในม่านสายตา เล่มแล้ว เล่มเล่า ออกเดินทางไปสู่โลกที่เธอฝันถึง...นักเขียน
ที่นั่งชั้น 3 ในโบกี้รถไฟ บนเก้าอี้ไม้แข็งไม่มีเบาะนุ่มรองรับร่างระหง แต่กระนั้นที่ตรงนี้ได้โอบล้อมร่างบางไว้เพื่อให้หล่อนได้ซุกซ่อนแววกังวลจากสายตาของเจ้าของที่นั่ง ไม่ปล่อยโอกาสให้ใครได้สัมผัสสายตาหวาดหวั่นนั้น เสียงพูดคุยแผ่วๆ จากเพื่อนร่วมทางไม่สามารถผ่านเข้ามากระทบประสาทพอที่จะฉุดเธอขึ้นจากจิตใจที่กังวลอยู่ได้ ‘นี่เป็นครั้งแรกสินะ ที่เธออาจหาญเดินไปพบใครสักคนที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้า หรือได้ยินเสียงเขามาก่อน ทำไมเธอถึงกล้านะ? ...ต้องกล้าสิ ไม่กล้าจะทำได้เหรอ’ เธอคิด ถามและตอบตัวเองอยู่ในใจ ไม่อาจมีใครแม้สักคนล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจของเธอในเวลานี้
ใบหน้างามหวานละมุนก้มมองนาฬิกาสายหนังที่ข้อมือ เธอเป็นคนที่มีชีวิตขึ้นกับเวลามาตลอด ไม่เคยกลัวการเดินของเวลา แต่ตอนนี้การเดินทางของเวลากลับเป็นสิ่งที่น่ากลัว น่าหวาดหวั่นสำหรับเธอ เธอรูสึกกลัวสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าเมื่อเวลานั้นเดินทางมาถึง ‘อีกกี่ชั่วโมง?...อีกนานแค่ไหน? กับคนที่จะเจอกันครั้งแรกหลังจากได้สื่อสารผ่านโลกไร้สาย ไร้พรหมแดนจะเป็นอย่างไร?’ จิตใจที่เคยพองโตเมื่อครั้งแรกที่รับรู้เรื่องการนัดพบเจอกลับมีความหวาดกลัวแทรกเข้ามาแทนที่ “ ใครจะไม่กลัว ที่บอกว่ารู้จัก รู้จักมากแค่ไหน? บอกกันเป็นตัวหนังสือผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงที่ได้ยินผ่านมาทางโทรศัพท์ มีใครไหมใครจะรู้ว่า นั่นคือความจริง” เสียงพึมพำแผ่ว ๆ ผ่านริมฝีปากบาง สีชมพูเรื่อ คล้ายเสียงกระซิบบอกตัวเอง
ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมยาวสลวย สีน้ำตาลอ่อนสะบัดไปมา สายตาละจากนาฬิกาเรือนสวยมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ ผู้คนยังบางตาคงเป็นเพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มากอีกทั้งบรรยากาศครึ้มและน้ำจากฟ้าคงหยาดลงมาในไม่ช้า หลังบางของหญิงสาวผ่อนเอนแนบชิดพนักพิง ค่อยๆ ผ่อนศีรษะลงช้าๆ วางไปบนพนักพิง หลับตาลงปิดสนิท มุมปากยกขึ้นน้อยๆ มองดูคล้ายคนอมยิ้ม เธอสูดหายใจลึกรับลมเย็นยามเช้าที่โชยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างเข้าสู่ปอด ใบหน้าสวยสัมผัสความสดชื่นจากละอองฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าที่มองอย่างไรก็ไม่เคยเห็นเส้นที่สิ้นสุดนั้น ปล่อยใจไปกับเวลาที่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเจอ ‘เขาคนนั้น’ แน่นอน ไม่มีทางหันหลังกลับแล้ว “เขาคงรออยู่นะ” เสียงดังๆ หลุดออกจากริมฝีปาก เสียงนั้นดังมากพอที่จะดึงความสนใจจากเพื่อนร่วมทางให้หันหน้ามามองเธอ หญิงสาวที่นั่งอยู่คนเดียวที่ม้านั่งยิ้มกว้าง ก้มศีรษะน้อยๆ แสดงความขอโทษเพื่อนร่วมทาง
“เฮ้อ...” เธอถอนหายใจออกมาเสียงดังเมื่อคิดได้ว่าเธอคงคิดออกมาเสียงดังไปหน่อย ความเครียดในใจได้ผ่อนคลายลงพร้อมกับบอกตัวเองในใจอีกครั้งว่า ‘อย่างน้อยที่สุดการเดินทางของฉันครั้งนี้ฉันเดินไปแค่ครึ่งทาง ไม่ได้เดินไปสุดทางซะเมื่อไหร่กัน แล้วจะมานั่งกลัวอะไรนักหนา’ ใบหน้าสวย ผิวนวลเนียนระบายยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่เล็กที่เรียงกันอย่างมีระเบียบพร้อมกับยืดตัวขึ้นอีกครั้งอย่างคนที่ตัดสินใจและยอมรับกับความคิดของตัวเองแล้ว
หนังสือเล่มหนา ‘บันทึกร้อยวัน ฉันจะเขียนนิยายให้จบ’ แรงบันดาลใจของสาวเฟ้อฝันถูกเปิดขึ้นอีกครั้งเพื่อฆ่าเวลาร่วมหกถึงชั่วโมงที่กำลังเดินไปข้างหน้าให้หมดไป จิตใจที่กังวล สับสน หวาดกลัวปลาสนาการไปสิ้นพร้อมๆ กับเวลาที่เลยผ่านเหมือนละอองฝนที่ตกสู่พื้นดิน สาวสวยยิ้มให้ตัวเองจนตายิบหยี สูดลมหายใจเข้าลึกสร้างพลังใจขึ้นมาให้พร้อมรับกับสถานการณ์ในหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้าที่เธอยอมเอาเวลาแห่งความหรรษาที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละปีมาใช้ในการสร้างฝันครั้งนี้ให้เป็นจริง
ฝันของฉัน...ฝันของฉัน คือ อะไรนะ อ๋อ....อ๋อ...อ๋อ...รู้แล้ว
‘ เขียนนิยายให้จบสักเรื่อง มีนิยายเป็นของตัวเองสักเล่ม นี่แหละ...ฝันของฉัน ฝันของผู้หญิงชื่อ...ญดา’
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ แดดอ่อนแสงลง ลมเย็นๆ ทอดตัวอ้อยอิ่งเข้ามาในสถานีเป็นระยะ อ่อนโยนราวกับจะกระซิบบอกผู้ที่ยืนรอคอยว่าเวลากำลังจะมาถึง ผู้คนรอบๆ สถานีดูบางตา ความเงียบของสถานที่ สายลมพัดแผ่วๆ กลับไม่ทำให้ใจของหญิงสาวลดความร้อนรุ่มและสงบลงได้ ญดาคิดว่าเธอทำใจได้แล้วในการที่จะเจอคนที่เธอไม่รู้จัก แต่พอเวลามาถึงเธอกลับขลาดกลัวขึ้นมาอีกรอบ หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัว พลันสายตากระทบกับร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่ง เสื้อยืดลายขวางสีน้ำตาลตัวไม่ใหญ่นักอยู่บนตัวเขาทำให้มองเห็นมัดกล้ามใต้ผ้าผืนนั้น กางเกงยีนส์พอดีตัวที่เขาใส่อยู่ทำให้มองเห็นช่วงขายาว รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังสำหรับลุยได้ทุกสถานการณ์ที่คงผ่านการใช้งานมานานแล้วนั่นอีก เธอกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว ใช่แน่คงเป็นเขานั่นแหละ ‘ ไฟ ’ ผู้ชายคนที่เธอนัดเจอวันนี้ พลันเธอนึกได้ปากไวเท่าความคิด กล่าวคำทักทายออกไป
“สวัสดีค่ะ คุณไฟใช่ไหมคะ?” หญิงสาวกล่าวสวัสดีและก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“ใช่ครับ...ผมไฟครับ คุณคงเป็น...อืม...คุณไอซ์ใช่ไหมครับ?” ชายหนุ่มกวาดสายตาอย่างรวดเร็วมองหญิงสาวที่ยืนตรงหน้า
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อไอซ์ค่ะ ยินดีที่รู้จักอย่างเป็นทางการอีกรอบนะคะ มาถึงนานแล้วเหรอคะ ฉันลงรถไฟมามองไม่เห็นคุณอยู่ตรงนี้นึกว่ายังมาไม่ถึง”
“อืม...ผมเดินไปซื้อของมาครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยกถุงพลาสติกในมือให้หญิงสาวดู “ผมลืมเอาของใช้มานิดหน่อยเลยเดินไปใกล้ ๆ แถวนี้เอง เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ คุณคงไม่ได้รอนานเกินไปนะครับ?” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม ส่งยิ้มให้สาวสวยที่ยืนตรงหน้า เพื่อลดความตึงเครียดระหว่างคนสองคนที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกได้เป็นอย่างดี
“ไม่ค่ะ ฉันเพิ่งมาถึงเหมือนกัน เดินลงมายังไม่วางของเลยก็หันมาเจอคุณเข้าพอดี” หญิงสาวตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง หันหน้าหันหลังมองรอบ ๆ ตัว
“แล้วกระเป๋าคุณไฟล่ะคะ วางอยู่ไหน ?”
ชายหนุ่มมองข้ามศีรษะหญิงสาวแลสายตาเลยไปด้านหลัง “โน่นครับ ผมวางไว้ตรงโน้นแน่ะเดินไปซื้อของขี้เกียจถือเลยวางไว้ที่นั่งรอรถน่ะครับ” สายตาของหญิงสาวมองตามสายตาของเขาไป
“อุ๊ย...ทำไมเยอะนักล่ะ คุณขนอะไรมาบ้าง ของฉันมีแค่นี้เอง เขาเรียกว่าสองสะพายกับสองมือถือค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับยกกระเป๋าถือให้ชายหนุ่มดู
“ผมก็มีไม่เยอะหรอกแต่ของของผมชิ้นใหญ่ ผมขี้หนาวต้องหอบผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยถึงมันจะไม่ใช่ผ้าห่มนวมผืนใหญ่ ๆ แต่มันก็ใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมต้องเพิ่มกระเป๋าขึ้นมาอีกใบหนึ่งต่างหากเลยแหละ และที่สำคัญมันต้องเป็นผ้าห่มที่ผมใช้ประจำด้วย ถ้าไม่เป็นแบบนี้ คงมายืมเอากับเพื่อนแถวนี้ ไม่ต้องหอบมาเอง” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่พูดแบบอาย ๆ เมื่อคิดว่าตัวของตัวเองกับสิ่งที่คนอื่นมองเขาไม่เหมือนกันเลย เพราะหลายๆ ครั้งที่เขาเดินทางไปท่องเที่ยวสิ่งที่เขาขาดไม่ได้เลยคือผ้าห่ม จนเพื่อนๆ พูดล้อเลียนและยุให้เขาหาสาวๆ มาห่มแทนผ้า จะได้ไม่ต้องคอยขนผ้าห่มไปด้วย
ญดา ทำสีหน้าเรียบเฉย กลั้นยิ้มเพราะเธอกลัวชายหนุ่มอาย “ ฉันก็เหมือนกันค่ะติดผ้าห่มแต่คงไม่ถึงขนาดคุณมังคะเลยไม่ได้หอบผืนใหญ่มา แค่เต็นท์กับถุงนอนก็คงพอสำหรับทริปนี้ เพราะว่าตอนนี้ยังไม่ค่อยหนาวมากเท่าไหร่ อากาศกำลังสดชื่น ปลายเดือนตุลา ปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดสำหรับฉันค่ะฉันชอบช่วงเวลานี้มากและชอบการเดินทางไปเที่ยวตามภูเขา ค้างแรมบนเขาสักคืนสองคืน แล้วนำเอาความสดชื่นกลับไปสู้กับงานใหม่อีกทีค่ะ”
“ ปีนี้คุณจะมาพักเป็นอาทิตย์” ชายหนุ่มพูดเสียงสูงพร้อมกับเลิกคิ้วสูงส่งสายตาเป็นเครื่องหมายคำถามไปที่หญิงสาวตรงหน้า
“ปีนี้พิเศษค่ะ เอาวันลาพักร้อนมาใช้หมดเลย กะว่ายังไงก็ต้องได้นิยายสักเรื่องหนึ่งก่อนกลับลงจากเขาใหญ่ครั้งนี้ ทุ่มเต็มที่ค่ะสำหรับเวลาที่มี” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ใบหน้าอาบด้วยรอยยิ้ม
“เรายังมีเวลาคุยกันอีกแยะนะคะ เราน่าจะรีบเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าขืนเรายืนคุยกันตรงนี้ฉันต้องแย่แน่เลย มือฉันเริ่มชาแล้วค่ะ กระเป๋าหนัก ไหล่จะทรุดซะก่อนเพราะเต็นท์กับถุงนอนนี่ก็หนักเอาการเหมือนกัน” หญิงสาวพูดยิ้มๆ เพราะดูทีท่าว่าชายหนุ่มคงจะลืมว่ากำลังยืนคุยกับเธอโดยที่เธอยังถือของทั้งหมดในมือ ไม่ได้วางลงเลย
“โอย...ผมขอโทษ...ผมลืมไป คุยเพลินไปหน่อย เฮ้อ...นี่เริ่มปล่อยมารยาทแย่ๆ ออกมาให้คุณเห็นตั้งแต่วันแรกที่เจอกันเลยเหรอเนี่ย สงสัยทริปนี้ของคุณคงเริ่มบันทึกความไม่ประทับใจตั้งแต่ชั่วโมงแรกของทริปเลยทีเดียว แต่ไม่เป็นไรผมจะแก้ตัวในชั่วโมงต่อๆ ไปจนสิ้นสุดทริปนี้ก็แล้วกัน ผมรับรองว่า เราจะได้นิยายกลับบ้านด้วยแน่นอนพร้อมกับความสุขในการท่องเที่ยวบนเขาใหญ่ เดี๋ยวคุณก็จะได้รู้ว่าที่ตรงนี้จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำเลยเชียวแหละ” ชายหนุ่มคุยกับหญิงสาวพร้อมกับเดินตรงไปที่สัมภาระกองโตก่อนจะตะโกนบอกหญิงสาวถึงเรื่องรถที่ใช้เดินทาง
“ผมยืมรถเพื่อนมาแล้วนะ โน่นไงจอดอยู่ตรงโน้น” ไฟชี้มือไปที่รถกระบะสีบรอนด์เงินกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่ง “เพื่อนผมมันมีรถหลายคัน เวลาที่ผมมาเขาใหญ่ผมไม่เคยเอารถมาหรอกนั่งรถไฟมาทุกทีเพื่อนก็เอารถมาให้สะดวกดี เวลาเที่ยวเขาใหญ่ต้องมีรถ เพราะสถานที่เที่ยวแต่ละที่ไกลกัน เดินไปไม่ได้หรอก”
“อ้อค่ะ...ฉันเคยขึ้นมาเที่ยวเขาใหญ่ครั้งหนึ่งนานมากแล้ว เมื่อสักสิบกว่าปีเห็นจะได้” หญิงสาวทำท่าคิด “ตอนนั้นมากับเพื่อนๆ ค่ะมาแบบแบ๊กแพค เดินโบกรถมากันเรื่อยๆ ตั้งแต่ออกจากมหา’ลัยขึ้นมาถึงบนเขาเลยค่ะ สนุกมาก...เราขนของไปที่รถกันเลยไหมคะ? จะได้ออกไปหาซื้อของกินไปสำรองไว้ด้วย ขี้เกียจออกไปหาซื้อของกินหรือเผื่อหิวตอนดึกๆ”
“ไปครับ...คุณไอซ์เดินล่วงหน้าไปที่รถก่อนเลยเดี๋ยวผมขนของตามไป จะได้รีบเดินทางเดี๋ยวมืดก่อน กางเต็นท์ลำบาก วันสองวันนี้คนคงเยอะเพราะติดวันหยุดยาว เดี๋ยวหาที่กางเต็นท์ยากด้วย”
สองหนุ่มสาวขนสัมภาระขึ้นท้ายรถกระบะอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มพาตัวเองขึ้นประจำที่คนขับและหญิงสาวขึ้นนั่งเคียงข้างก่อนเขาจะพารถมุ่งหน้าไปที่ตลาดปากช่อง
ถนนสองเลนลาดยางมะตอย รถต้องวิ่งสวนทางกัน รถขาลงจากเขามีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่เป็นรถที่วิ่งขึ้นเขาเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาใหญ่เป็นสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ใกล้เมืองหลวง การเดินทางสะดวกมีถนนหนทางที่รถขึ้นได้จนถึงที่พักที่เที่ยว ที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่คนจำนวนมากเลือกเดินทางมาพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์พร้อมกับเพื่อน กับครอบครัว
หญิงสาวมองออกนอกหน้าต่างรถที่เปิดไว้เพื่อรับลมเย็นของอากาศธรรมชาติ ไม่มีควัน เขม่า ต้นไม้ข้างทางสีเขียวขจี ต้นเล็กใหญ่สลับกันเต็มสองข้างทาง ในขณะที่รถปีนขึ้นสูงเรื่อยๆ ความสดชื่นของอากาศและสีเขียวของใบไม้ทำให้จิตใจหญิงสาวสงบ สดชื่นขึ้นมากกว่าตอนที่เริ่มเดินขึ้นรถไฟ ความเป็นจริงอาจจะมาจากเมื่อเจอหน้าและได้ทักทายกับเพื่อนร่วมทริปแล้ว หญิงสาวคิดว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดจึงทำให้เธอผ่อนคลายได้มากขึ้น แต่ทว่าตอนนี้ความกังวลชนิดใหม่ได้เข้ามาในจิตใจของหญิงสาว...
‘ คนสองคนที่นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน กำลังเดินทางไปร่วมกับกลุ่มคนอื่นๆ บนภูเขา เธอกับเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กำลังจะไปอยู่รวมกลุ่มกับคนที่เรียกว่าเพื่อนและครอบครัว มิตรภาพที่เกิดขึ้นจะทำให้ทั้งเธอและเขาเป็นเพื่อนกันได้มากพอที่จะรวมอยู่บนสถานที่นี้ได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับคนอื่นได้หรือไม่หนอ ท้ายที่สุดแล้วเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอกับเขาจะอยู่กันอย่างไรบน เขาใหญ่... ภูเขาสูง...ใบไม้เขียว...สถานที่ที่เขาบอกว่า จะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ’ แห่งนี้
เต็นท์สองหลังขนาดพอดีสองคนนอนถูกกางติดกันหันหน้าไปทางทิศตะวันออก บริเวณที่ตั้งเต๊นท์ของสองหนุ่มสาวมีเต็นท์ตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก ญดากับไฟเลือกริมขอบลานกว้างสำหรับกางเต็นท์ให้ห่างจากเต็นท์อื่นๆ พอประมาณเพื่อเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการในครั้งนี้ เสียงกีตาร์คลอเคล้าเสียงเพลงดังมาจากมุมหนึ่งของลานกว้าง อีกมุมด้านหนึ่งเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังสลับกันไปมาอย่างสนุกสนาน บ้างมีเสียงเคาะขวดดังออกจากวงเหล้าของหนุ่มสาวหลายวง แสงไฟสีแดงสาดส่องออกจากกองไฟหลายกองที่หน้าเต็นท์ เปลวไฟส่องแสงสว่างให้เล็กน้อยพอมองเห็นเค้าหน้าของคนที่นั่งด้านหน้ากองไฟพอลางเลือน เสี้ยวหน้าซีกซ้ายของหญิงสาวถูกแสงไฟสาดส่อง มองดูเป็นสีส้มของเปลวไฟ แก้มใสกำลังถูกปอยผมที่หล่นลงมาจากมุ่นมวยกลางศีรษะระอยู่ข้างๆ ไอซ์และไฟนั่งอยู่หน้าเต๊นท์ของตัวเองที่มีไฟกองเดียวหน้าเต็นท์ทั้งสอง หม้อต้มกาแฟแขวนอยู่บนราวไม้เหนือเปลวไฟกำลังลุกโชน กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยเข้าจมูกหนุ่มสาวตามทิศทางของกระแสลม
อาหารมื้อค่ำของสองหนุ่มสาว ซึ่งเป็นอาหารมื้อแรกระหว่างเธอและเขา ‘ ข้าวกล่อง ‘ ที่หญิงสาวซื้อติดมือมาจากตลาดปากช่องซึ่งมีผัดกระเพรา 2 กล่องและข้าวมันไก่ 1 ห่อ มันมากพอสำหรับคนสองคนในคืนนี้ แต่กระนั้นก็ยังคงมีเสบียงอีกจำนวนมากนอนอยู่ก้นกระเป๋าที่อยู่ในเต๊นท์ หลังจัดการอาหารมือนั้นเสร็จสิ้นการคุยกันอย่างเป็นงานเป็นการของหนุ่มสาวจึงเริ่มต้นขึ้น
“ ไอซ์คิดว่านิยายคืออะไร?” ชายหนุ่มเอ่ยปากถามหลังจากจัดการรินกาแฟในหม้อส่งให้หญิงสาวเติมครีม น้ำตาลเองได้ตามชอบ ส่วนชายหนุ่มคอกาแฟตัวยงเขาเลือกเทกาแฟดำแล้วยกแก้วได้เลยโดยไม่สนใจปรุงรส
“ ในความคิดส่วนตัวของไอซ์ นิยายคือ การเอาสถานการณ์ในช่วงชีวิตของคนใดคนหนึ่งมาเขียนสื่อออกมาให้คนอื่นเข้าใจ มีอารมณ์คล้อยตามไปกับอารมณ์นั้นน่ะค่ะ”
“ไอซ์อ่านนิยาย ชอบนิยายมานานหรือยัง? ชอบนิยายแนวไหน?” ชายหนุ่มผู้เข้ามาสู่แวดวงนักเขียนได้สักระยะหนึ่งถามขึ้นเบาๆ
“อ่านมานานแล้วตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ม.ต้นมั้ง ร่วมๆ สิบปี ส่วนนิยายที่ชอบ...ชอบทุกแนวนะคะ ไอซ์ว่าเสน่ห์ของนิยายอยู่ที่การดำเนินเรื่องมากกว่าแนวนวนิยาย ไม่ว่าจะเป็นแนวไหนถ้าเดินเรื่องดีมันก็สนุกหมดแหละแต่ที่อ่านเยอะ ๆ หน่อยก็คงเป็นแนวโรแมนติกรักหวาน ๆ ประมาณนี้แหละ”
“อืม...” ไฟพยักหน้าตาม มองหน้าหญิงสาว “ ดูหน้าตาแล้วไม่น่าเชื่อนะ ...แล้วคิดว่าพระเอก นางเอกของนิยายคือใครได้บ้างล่ะ?”
“นี่คุณ...ที่คุณบอกว่าหน้าตาดูแล้วไม่น่าเชื่อน่ะ หมายความว่ายังไงคะ? ไม่น่าเชื่อว่าหน้าตาแบบฉันชอบอ่านนิยายรักโรแมนติกเหรอ?”
“ ม่าย...ย...ช่าย...ย...” ชายหนุ่มลากเสียงยาวล้อเลียน หัวเราะเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ “ อย่าคิดมากแบบนั้นสิครับ แค่ผมไม่อยากเชื่อว่าหน้าตาแบบคุณนี่จะอ่านนิยายแนวอื่นได้นอกจากนิยายรักโรแมนติกต่างหากล่ะ เฮ้...บอกมาได้แล้วว่าคิดว่า พระเอก นางเอกในนิยายเป็นใครได้บ้าง เลิกทำตาเขียวใส่ผมได้แล้ว ผมไม่ใช่แฟนคุณนะจะได้มาขว้างค้อนใส่ผม”
“ สงสัยทริปนี้คงประทับใจฉันแบบสุดยอดแน่ ๆ เจอคนไม่มีมารยาทในชั่วโมงแรก กวนประสาทในไม่กี่ชั่วโมงต่อมา” หญิงสาวรำพึงรำพันเสียงดัง ๆ ให้คนที่นั่งหน้าเต็นท์ข้าง ๆ ได้ยินแบบชัดเจนจนเต็มสองหูก่อนจะพูดต่อเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคน
“พระเอกหรือว่านางเอกในนิยายจะเป็นใครก็ได้ค่ะสำหรับฉัน เพราะมันอยู่ที่คนเขียนจะสื่ออย่างไรให้คน ๆ นั้นเป็นพระเอกหรือนางเอก พระเอกไม่จำเป็นต้องหล่อเป็นมิสเตอร์เพอร์เฟคแมน นางเอกก็ไม่จำเป็นสวยตลอดกาล สูงเริ่ด เชิด หยิ่งกว่าคนอื่น แค่ในนิยายเรื่องนั้น ๆ เราต้องการถ่ายทอดอะไรออกไปผ่านตัวละคร ตัวเอกก็ต้องแสดงสิ่งที่เราต้องการถ่ายทอดนั้นได้...ดูอย่างหนังเรื่องซีอุยสิคะ เป็นหนังเรื่องหนึ่งที่พระเอกคือซีอุย นั่นคือเราก็ต้องรู้ว่าซีอุยคือใคร ซีอุยไม่ใช่คนหล่อ ซีอุยเป็นฆาตกรโรคจิต แต่คนเดินเรื่องหลักก็คือซีอุย ฉะนั้นซีอุยก็คือพระเอก หนังอีกเรื่องก็คือเรื่อง ตี๋ใหญ่ ตี๋ใหญ่เป็นโจร ฆ่าคนไปทั่ว มีเมียทุกที่ที่ตี๋ใหญ่ผ่านไป แต่ตี๋ใหญ่ก็คือพระเอกเรื่องเพราะเขาเดินเรื่องมากที่สุด”
“เออแฮะ...ลึกซึ้ง...ลึกซึ้ง แล้วคุณคิดว่าผมพอจะเป็นพระเอกนิยายของคุณได้มั๊ยนี่?” ไฟถามขึ้นพร้อมทำหน้าทะเล้นล้อเลียนใส่หญิงสาว
ญดามองหน้าชายหนุ่มแล้วส่งสายตาค้อนให้อีกรอบพร้อมกับเสียงพึมพำเบา ๆ ลอดออกจากริมฝีปากบาง “คนกำลังพูดแบบซีเรียส คุณเองก็เล่นอยู่ได้ แล้วจะมาถามทำไมถ้าไม่อยากได้คำตอบ”
“ ใครว่าผมไม่อยากได้คำตอบ ผมฟังคุณอยู่นะ” ชายหนุ่มพูดไปและหันหน้าไปมองหน้างอบูดบึ้งของหญิงสาวก่อนจะหัวเราและแกล้งกระเซ้าเย้าแหย่กวนโมโหเธออีกรอบ
“ผมบอกว่าเลิกค้อนผมได้แล้ว...ผมขอเป็นพระเอกนิยายของคุณนะ ไม่ได้ขอเป็นแฟนคุณซะหน่อย” ชายหนุ่มหัวเราะน้อย ๆ แล้วมองไปรอบๆ ตัว สอดส่ายสายตาไปรอบบริเวณเต็นท์ก่อนเอ่ยเสียงเป็นงานเป็นการออกมาอีกรอบ
“ตอนนี้สมมุติว่าคุณเป็นนางเอก ผมเป็นพระเอกในนิยายของคุณแล้วเราสองคนนั่งอยู่แบบนี้ คุณคิดว่าคุณจะบรรยายอย่างไรให้ผมและคุณเป็นพระเอกนางเอกของนิยายได้?”
หญิงสาวหันหน้าช้า ๆ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าของชายหนุ่ม เธอเริ่มสงสัยความรู้สึกของเขาจากสิ่งที่เขาพูดแต่ทว่าคำถามก็ไม่ได้ผ่านริมฝีปากบางออกไป “เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจยาวๆ ของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับที่เธอหันกลับมองตรงไปข้างหน้า ไม่ให้เขาอยู่ในสายตาของเธออีก เสียงเบา ๆ แต่ใสกังวานดังตามมา
“ ฉันก็คงบรรยายบรรยากาศ กลางดึกวันหนึ่ง...ลมพัดแรงบนภูเขาสูง...อากาศหนาวเย็นจับใจ...ชายหนุ่มรูปหล่อ ตาคมกริบ ปลายผมปลิวตามแรงลมพัด นั่งอิงแอบอยู่กับหญิงสาวที่เขาแอบพึงใจมานานท่ามกลางเสียง...อะไรประมาณนี้แหละค่ะ”
“อืม...แล้วคุณคิดว่าจะทำให้หนุ่มสาวสองคนนี้แตกต่างจากชายหญิงคู่อื่น ๆ ที่นั่งอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?”
“ ก็ต้องบรรยายให้เขาทำอะไรก็ได้ที่เราต้องการสื่อออกมาจากนิยายเรื่องนี้ให้มากที่สุด และให้เขาเป็นคนเดินเรื่อง เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเดินเรื่องที่สำคัญของเรื่องเขาย่อมเด่นกว่าใครทุกคน เขาก็จะกลายเป็นพระเอก นางเอกไปโดยปริยาย ฉันคิดแบบนี้ค่ะ ยกตัวอย่างนะคะ...เธอกำลังเดินข้ามถนนอย่างเร่งรีบ ในมือข้างขวามีซองเอกสารสีน้ำตาลซองใหญ่ มองดูท่าทีของเธอลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังหนีอะไรบางอย่าง...ก็แค่นี้แหละ เพียงแค่เราไม่ได้พูดถึงคนอื่นที่เรากำลังมองเห็น เราบรรยายลักษณะของคน ๆ หนึ่งอย่างเด่นชัด แค่นี้คน ๆ นั้นก็เป็นตัวเอกได้แล้วค่ะ”
“โอ้โห...เจ๋งนะเนี่ย...แล้วคุณคิดว่าจะเขียนนิยายแบบไหน พล็อตเป็นยังไง คุณได้คิดไว้ก่อนมาที่นี่หรือเปล่า”
“คิดสิคะ ฉันคิดไว้ว่าอยากเขียนนิยายรักโรแมนติกสักเรื่อง แต่เรื่องรักของดิฉันจะเป็นแบบความรักที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน ฉันสังเกตเห็น...เดี๋ยวนี้คู่รักที่แต่งงานกันแล้ว เมื่อจบลงด้วยการหย่ามักมีเหตุผลที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้เสมอคือ ไปกันไม่ได้ ทัศนคติไม่ตรงกัน ฉันเลยคิดว่าจะทำยังไงให้ความรักมีการปรับตัว มีการลดบางส่วน เพิ่มบางอย่างให้เกิดความสมดุลจนสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขค่ะ ฉันคิดเล่น ๆ ไว้นะคะว่า ฉันจะให้ชื่อเรื่องว่า ‘ครึ่งทางของหัวใจ’ คือต่างคนต่างมาเจอกันที่ครึ่งทางแล้วเดินต่อไปด้วยกัน เมื่อจะเดินซ้ายขวาก็ต้องหย่อนเมื่อจะเดินไปทางขวาซ้ายต้องยอมผ่อนให้ ซึ่งฉันคิดว่าบรรยากาศที่ดี สถานที่ที่โรแมนติกน่าจะช่วยให้เนื้อเรื่องของนิยายไหลไปได้ดีค่ะ เมื่อคุณคิดจะสอนฉันเขียนนิยาย ฉันอยู่อุดรฯ ส่วนคุณอยู่กรุงเทพฯ ฉันก็เลยให้แนวความคิด...ครึ่งทางของฉันเริ่มเดินตั้งแต่ก้าวแรกค่ะ คือนัดกับคุณที่เขาใหญ่”
“อ๋อ...ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงนัดผมที่นี่ ก็เข้าท่านะกับความคิดครึ่งทาง... เพราะว่าทั้ง ๆ ที่ผมก็มีความกลัวที่เขาใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่ แต่ผมก็ยอมมาเจอคุณที่นี่ ผมเคยเดินเที่ยวเขาใหญ่และโดนทากดูดมาแล้ว ผมเกลียดสัตว์ประเภทนี้มากที่สุด ปลิง ทาก หนอน อึ๋ย...พูดมาแล้วหยะแหยงแต่ผมก็ยังมานะ แต่เอ...ตรงนี้จะว่าไปมันก็ไม่ใช่ครึ่งทางนะ ถ้าครึ่งทางน่าจะเป็นแถวๆ โคราชมากกว่า ทำไมเป็นที่เขาใหญ่ล่ะ” ชายหนุ่มทำหน้าตาฉงนสงสัย
“จริง ๆ จะว่าไปมันเริ่มเข้าคอนเซปของฉันแล้วหลายอย่างเลยนะคะ เริ่มจากเขาใหญ่ไม่ใช่ครึ่งทางแต่ดิฉันก็ยอม ในขณะที่คุณมีความฝังใจที่ไม่ดีที่นี่ แต่คุณก็ยอม เป็นไงคะคอนเซ็ปผ่อนซ้ายหย่อนขวาเริ่มทำงานแล้ว” หนุ่มสาวมองหน้ากันพร้อมกับประสานเสียงหัวเราะออกมาดังก้องราวกับที่ตรงนี้มีแค่คนสองคน
“ถ้าอย่างงั้นผมเติมอย่างที่สามที่เข้ากับคอนเซ็ปของนิยายของคุณได้มั๊ย?”
ญดาหันกลับมามองหน้าชายหนุ่ม เลิกคิ้วสูงแสดงเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าสวยเลยถามออกไปเพื่อหาคำตอบ
“มีอะไรอีกคะ ฉันว่ามันน่าจะหมดแล้วนะ?”
“ยัง...ยังไม่หมด...ชื่อคุณกับผมไงไอซ์...ไอซ์กับไฟ...ไฟกับน้ำแข็ง คุณคิดว่าไง...เห็นด้วยมั๊ย แสดงว่านิยายเรื่องนี้ผมคงมีสิทธิ์ได้เป็นพระเอกของคุณใช่ไหม?”
วงหน้าเรียวรูปไข่เรียบเฉย แต่กลับมีอาการร้อนวูบวาบที่แก้มสองข้าง หญิงสาวก้มหน้าลงต่ำซ่อนสายตาไว้ไม่ให้เขารู้... ‘ไม่หรอกเขาแค่พูดเล่น คิดเป็นตุเป็นตะไปได้ เขาสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศให้เราคิดพล็อตนิยายออกน่ะสิ’ หญิงสาวคิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยชวนชายหนุ่มเบา ๆ
“วันนี้ดึกแล้ว เราเดินทางมาแต่เช้าฉันว่าเราเข้านอนก่อนดีไหมคะ นอนฟังเสียง เก็บบรรยากาศความรู้สึกเอาไว้เขียนลงในนิยายดีกว่า พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้ามานั่งเก็บบรรยากาศตอนเช้า ๆ อีกทีแล้วจะได้เริ่มลงมือเขียนตามที่คุณแนะนำวันนี้ คุณว่าดีไหมคะ?”
“ เอางั้นก็ได้ ผมก็จะได้นอนฟังเสียง เพราะผมเชื่อว่าทุกอย่างที่ผ่านสายตา ทุกเสียงที่ผ่านโสตประสาท เรานำมันมาเป็นวัตถุดิบในการเขียนได้ทั้งนั้นแหละครับ เต็นท์คุณเรียบร้อยดีนะเมื่อเย็นผมเช็คดูแล้วล่ะ คุณเข้าไปก่อนแล้วกัน ผมดับไฟก่อนแล้วผมก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
“คุณจะเอาขนมไว้ที่เต็นท์คุณไหม เผื่อคุณหิวตอนดึก?” หญิงสาวถามและรอคำตอบที่หน้าเต็นท์
“ ไม่ล่ะครับเอาไว้ที่คุณนั่นแหละ ถ้าผมหิวกลางดึกเดี๋ยวผมปลุกคุณเอง รับรองผมไม่เข้าเต็นท์คุณก่อนได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาดถ้า...ไม่จำเป็น แต่ถ้าผมหิวผมจะไปขอที่คุณเท่านั้นครับ” ชายหนุ่มพูดเสียงค่อยๆพอให้ได้ยินสองคน ยิ้มใส่หญิงสาว หันหลังไปจัดการกับกองไฟหน้าเต็นท์ให้เรียบร้อยก่อนจะมุดเข้าเต็นท์ข้าง ๆ กันไป
ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวเมื่อได้ยินคำพูดกำกวมของชายหนุ่ม ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที รีบคลานเข้าเต็นท์ รูดซิบหน้าเต็นท์อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะเห็นแก้มสีมะยงสุกของเธอ ญดาไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอเริ่มรู้สึกกับสิ่งที่เขาพูด เธอคิดว่าเขากำลังสื่ออะไรบางอย่างมาถึงเธออยู่หรือเปล่า “อีตาบ้า พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้” หญิงสาวพูดคนเดียวเบา ๆ ยิ้มในความมืดก่อนล้มตัวลงนอน
กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟผสมเข้ากับมวลอากาศสดชื่นในตอนเช้าของภูสูงลอยเข้ามารบกวนนิทรารมย์ของหญิงสาวจนเธออดทนนอนคุดคู้ต่อไปไม่ได้ เสียงกุกกักที่ดังอยู่หน้าเต็นท์ดังมากขึ้นเหมือนผู้ทำให้เกิดเสียงจงใจทำเกินกว่าปกติ หญิงสาวเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ กะพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา บรรยากาศรอบตัวยังถูกปกคลุมด้วยความมืด แสงสลัวจากกองไฟลอดเข้ามาในเต็นท์ส่องสว่างพอลางเลือน มือเล็กๆของญดารีบควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลาที่หน้าจอ “โอย...ย...เพิ่งตีห้าเองเหรอเนี่ย...ย เขาตื่นมาทำไมตั้งแต่ไก่โห่ขนาดนี้ ฉันขอนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกันนะ” หญิงสาวโอดครวญกับตัวเองเบา ๆ ทันใดหล่อนรีบคว้าผ้าห่มผืนผืนบางขึ้นคลุมโปงอีกครั้งเพื่อป้องกันความหนาวเหน็บซุกซอนเข้าหาร่างกาย
“คุณ...คุณ...” เสียงทุ้มนุ่มน่าฟังดังลอดเข้ามาพร้อม ๆ กับเต๊นท์ไหวจากแรงเขย่าของคนด้านนอก “ คุณไอซ์....ผมรู้นะว่าคุณตื่นแล้ว นอนตื่นสายแบบนี้คุณจะได้บรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นไปเขียนฉากโรแมนติกไหมเนี่ย ผมว่านิยายคุณคงมีแต่ฉากรักร้อนแรงแน่เลยก็คนเขียนเล่นนอนตื่นสายตะวันโด่งแบบนี้ ผมจัดฉากรักของนิยายคุณเป็นระดับเรทอาร์ได้เลยนะนี่” เสียงพูดที่ออกมาจากปากอย่างชายหนุ่มกระทบโสตประสาทของหญิงสาวอย่างต่อเนื่อง เธอเชื่อว่าเขารู้ว่าเธอตื่นแล้วแต่ไม่ยอมลุกออกไป
“ หรือว่าวันนี้คุณคิดจะเขียนฉากโรแมนติกในเต็นท์มืด ๆ จินตนาการคนเดียวได้ด้วยเหรอฉากนั้นน่ะ ให้ผมเข้าไปช่วยสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศไหม?” ชายหนุ่มยังคงส่งเสียงเข้ามายั่วเธอต่อเมื่อเขายังไม่เห็นเธอออกจากเต็นท์
“เออ....แฮะ...สงสัยจะให้เราเข้าไปช่วยสร้างบรรยากาศจริงๆ มั้งเนี่ย โอเค...โอเค รอแป๊บนึงนะเดี๋ยวผมเข้าไป” คำพูดประโยคสุดท้ายดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าทะเล้นของชายหนุ่มที่โผล่เข้ามาลอยอยู่ในเต๊นท์ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งรีบยันตัวลุกจากที่นอนอย่างรวดเร็ว
“ คุณจะบ้าเหรอ” เสียงสาวสวยแหวขึ้นทันทีทันใด “อย่าเข้ามานะ กวนคนอยู่ได้ คนจะนอนก็ไม่ได้นอน...กวนประสาท” หญิงสาวส่งค้อนน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม “พูดบ้าอยู่ได้ คุณจะมาสร้างบรรยากาศอะไรในเต๊นท์ของฉัน ฉันไม่ได้มาหาบรรยากาศเขียนนิยายโรม๊านซ์นะ ฉันมาเขียนนิยายรักโรแมนติกย่ะ...คุณออกไปได้แล้ว... ฉันขอเวลาสามนาทีเดี๋ยวตามออกไป”
“ผมจะไปรู้รึเห็นคุณไม่ยอมออกจากเต็นท์สักที นึกว่านิยายเรื่องนี้มีฉากเดียวคือในเต็นท์ ที่ผมมาที่นี่ผมบอกแล้วว่าจะพาคุณมารู้จักการสร้างบรรยากาศในการเขียนนิยาย คุณอยากเขียนฉากไหนผมช่วยได้หมดนะ” หนุ่มหน้าหล่อทำหน้าทะเล้นใส่หญิงสาวก่อนผลุบกลับออกจากเต๊นท์อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะไล่หลังมา “ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...”
“ ขอกาแฟฉันแก้วสิคะคุณนักเขียน กลิ่นอันหอมกรุ่นที่โชยเข้าไปปลุกฉันให้ตื่นจากนิทรารมย์ มันเป็นกลิ่นของกาแฟสดอย่างดีที่มีต้นกำเนิดมาจากดอยสูงของไทย” หญิงสาวพูดขึ้นพร้อมสายตาชวนฝันจิตใจล่องลอยไปกับอารมณ์lสุนทรีในยามเช้า
มือใหญ่ที่กำลังรินกาแฟหยุดชะงักเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าหญิงสาว กลั้นยิ้มจนทนไม่ไหวก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...สำนวนลิเกออกโรงแต่เช้าเลยวันนี้ ไข้ขึ้นเหรอเมื่อคืน ถึงได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอารมณ์พิสดารทันที”
“โธ่...คุณ....ฉันนึกแทบตายตั้งแต่ฉันได้กลิ่นกาแฟของคุณโชยเข้าไปเตะจมูกฉันแล้ว มาหาว่าเป็นสำนวนลิเกอีก แล้วคุณจะให้ฉันบรรยายยังไงล่ะ” หญิงสาวส่งน้ำเสียงตัดพ้อให้ชายหนุ่ม
“ เดี๋ยวก่อนก็ได้คุณ ใจเย็น ๆ สิ อย่าเพิ่งน้อยใจผมพูดเล่นเฉย ๆ” ไฟส่งเสียงปลอบออกไปเพราะความจริงเขาก็เริ่มรู้สึกว่าจินตนาการของหญิงสาวได้เริ่มขึ้นแล้ว
“คุณไม่คิดจะล้างหน้าแปรงฟันก่อนกินหน่อยรึคุณ?” ชายหนุ่มถามขึ้นในขณะที่มือใหญ่กำลังกลับไปทำหน้าที่ใหม่อีกครั้ง
“ไม่ค่ะ ยังหนาวอยู่เลย กาแฟร้อน ๆ สักถ้วยคงทำให้อุ่นขึ้น เสร็จแล้วฉันค่อยไปล้างหน้าแปรงฟันค่ะ กาแฟผสมขี้ฟันอร่อยจะตาย คุณไม่เคยลองใช่มั๊ย ลองสิแล้วจะรู้” หญิงสาวที่อยู่ในเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ สวมหมวกไหมพรม แก้มแดงเพราะความหนาวเย็นของอากาศ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้น
“หลาย ๆ อย่างของเราสองคนมักจะต่างขั้วกันจนต้องมาเจอกันครึ่งทาง คงมีเรื่องนี้แหละที่เราเหมือนกัน ใครว่าผมไม่รู้ว่ามันอร่อยเพราะผมทำประจำ ผมก็แค่แกล้งถามคุณไปยังงั้นแหละ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอย ๆ ไม่สนใจมองหน้าคู่สนทนา มือสาละวนกับการรินกาแฟลงถ้วยส่งให้หญิงสาวและรินให้ตัวเองอีกถ้วยก่อนเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างกันที่หน้าเต็นท์ของเธอ
“ไอซ์ครับ หนุ่มหล่อ สาวสวยนั่งดื่มกาแฟตรงนี้ บนภูเขาสูงอากาศหนาวเย็น พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้ามองเห็นรำไร ท้องฟ้าที่อยู่ไกลสุดสายตาเริ่มเปลี่ยนสี นกน้อยกำลังส่งเสียงเมื่อบินออกจากรัง ผู้คนในเครื่องแต่งกายหลากหลายแบบเดินผ่านหน้าเราไป บ้างเดินคนเดียว มีบ้างเดินเกาะกลุ่ม บางคนเดินช้าบางคนเดินเร็ว” สิ้นเสียงพูดที่คล้ายกับการรำพึงรำพัน ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหญิงสาวข้างกาย...ส่งยิ้มหวานให้แล้วเอ่ยกับเธอต่อเบา ๆ
“เช้านี้ผมว่าเรานั่งดูบรรยากาศตรงนี้ก่อนนะแล้วคุณลองดูสิว่า บรรยากาศตอนเช้ากับเมื่อคืนต่างกันยังไงแล้วก็ลองบรรยายออกมานะครับ คืนนี้ผมจะคอยดูฝีมือของคุณ...แม่นักเขียนหน้าใหม่ของผม” ชายหนุ่มหันหน้าระบายยิ้มน้อยๆ ให้หญิงสาวหลังน้ำเสียงทุ้มนุ่มหูจบลง พร้อมกับมือใหญ่ยกกาแฟขึ้นจิบละเลียดรสชาติอันเย้ายวนของเครื่องดื่มสีดำสนิทแก้วนั้นช้าๆ
อากาศยังคงเย็นจัด หมอกหนามองดูบรรยากาศขมุกขมัว รอบข้างมีเสียงพูดคุยแผ่ว ๆ จากผู้คนในลานกว้างนี้ หัวใจของญดาที่เคยคิดว่าหนาวเหน็บเวลานี้กลับรู้สึกถึงไออุ่นแทรกเข้ามา กลิ่นอายของกาแฟที่เคยได้กลิ่นอยู่ทุกวันกลับกลายเป็นกลิ่นที่หอมละมุน สมองน้อย ๆ ของเธอตั้งคำถามขึ้นมาทันที ‘มันคืออะไรนะที่เขาพูดออกมา มันคือบรรยากาศที่เขาอยากให้เธอคิดตามเพื่อให้หัดบรรยายในนิยายเหรอ ก็เขาบอกแล้วนี่นะว่ามันคือบรรยากาศในการบรรยายนิยาย ‘คืนนี้ผมจะคอยดูฝีมือคุณ แม่นักเขียนของผม’ มันคงตีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้แน่นอน แต่ใจของเธอที่กำลังอยากเอนเอียง มันช่างค้านกับความจริงเหลือเกิน ใจหญิงสาวที่แอบนิยมเขาอยู่ก่อนแล้วยิ่งบวกคะแนนให้มากขึ้นหลังจากพบกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดี ‘กว่าจะผ่านสัปดาห์หนึ่งไปได้ใจของฉันจะเหลือถึงครึ่งที่คิดว่าจะเก็บเอาไว้หรือเปล่าหนอ’ ความรู้สึกในใจของหญิงสาวตอนนี้ไม่แตกต่างจากบรรยากาศเช้านี้ที่มองไปทางไหนก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาจนมองทุกอย่างพร่าเลือนไปหมดสิ้น
ดวงอาทิตย์กลมโตลอยเกือบถึงกึ่งกลางศีรษะ หลังสิ้นสุดอาหารมื้อเช้าเมื่อช่วงสาย ๆ ของวันซึ่งเป็นอาหารเช้ามื้อแรกระหว่างคนสองคนที่ถูกทำขึ้นแบบง่าย ๆ จากฝีมือของสาวร่างบางเพื่อตอบแทนที่ชายหนุ่มเสิร์ฟกาแฟมื้อก่อนเช้าให้เกือบถึงถุงนอน ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มที่คะเนด้วยสายตาคงราว ๆ ร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นไปอยู่ในชุดทะมัดทะแมงส่วนหญิงสาวความสูงแค่ไหล่ของคนข้าง ๆ คนสองคนแต่งกายไม่แตกต่างกันมากนัก กางเกงยีนส์ เสื้อเชิร์ต รองเท้าผ้าใบและหมวกแก๊ปเป็นสิ่งที่หนุ่มสาวเลือกมาใช้ในเวลานี้ สองร่างเดินเคียงกันขึ้นรถกระบะจุดมุ่งหมายของพวกเขาอยู่ที่น้ำตกเหวสุวัตที่ถือเป็นสถานที่ที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของเขาใหญ่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบรรยากาศรักโรแมนติกในนิยายของหญิงสาวในครั้งนี้
หญิงสาวหน้าตาสะสวยใช้เวลาเดินทอดน่องสบาย ๆ คู่ไปกับหนุ่มร่างใหญ่ มองหามุมสวยของน้ำตกเพื่อสร้างจินตนาการ เสียงน้ำจากที่สูงกว่ายี่สิบเมตรจากหน้าผาตกกระทบแอ่งด้านล่างดังซู่กึกก้องทั่วบริเวณกลบเสียงสรรพสิ่งรอบข้างได้มากพอสมควร แต่กระนั้นหญิงสาวยังได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนที่แหวกว่ายในแอ่งน้ำที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้กลัวความเย็นของน้ำในแอ่งนี้เลย น้ำที่ตกจากหน้าผาไหลแรงเร็วไม่ขาดสาย รอบข้างซ้ายขวาและเหนือขึ้นไปต้นไม้ใบไม้สดชื่นอิ่มน้ำ สีเขียวแก่เขียวอ่อนของใบไม้สลับกันเต็มไปหมดจนหาสีอื่นแซมไม่ได้ในช่วงปลายฝนแบบนี้ สิ่งรอบข้างได้สร้างความรื่นรมย์ขึ้นในจิตใจให้หญิงสาวได้เป็นอย่างดี อารมณ์ของนักอยากเขียนนิยายไหลปรี่ออกจากสมอง ภาพต่าง ๆ วิ่งเข้าวิ่งออกในม่านสายตา คำพูดคำบรรยายนับร้อยนับพันผุดขึ้นในสมองที่กำลังสั่งมาที่มือให้เขียนออกมาเป็นตัวอักษร เธอไม่เคยรู้ว่าการเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์รักจะทำให้การเขียนนิยายรักมีอารมณ์ของความรักได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนเธอได้แต่อ่านตามหนังสือ มาวันนี้มีคนเปิดโลกใหม่ในการเขียนให้เธอ คือเขาคนนั้น... “ไฟ”
“ มาเห็นที่นี่แล้วคุณพอจะรับผมเป็นพระเอกของคุณได้รึยัง บุคลิกผมเหมาะที่คุณจะให้เป็นพระเอกของคุณไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นหลังจากหย่อนตัวลงนั่งข้างตัวของหญิงสาวที่นั่งเหม่อลอย
ใบหน้านวลใสแดงเรื่อ ๆ ระบายยิ้ม ริมฝีปากบางสีชมพูตอบออกมา น้ำเสียงใสกังวานปานระฆังแก้วที่กึกก้องในหุบเขา
“ ยังหรอกค่ะ ยังเป็นไม่ได้เพราะฉันยังหานางเอกในเรื่องให้เหมาะสมกับคุณไม่ได้ เอาไว้ฉันหานางเอกได้ฉันจะบอกคุณค่ะ”
“อ้าว...คุณไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหรอกรึ คนส่วนใหญ่เขาเขียนนิยายเขาก็คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกทั้งนั้น”
“ฉันก็อยากเป็นนะคะแต่ฉันหาพระเอกไม่ได้ เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่าและอีกอย่างฉันไม่ชอบจินตนาการอะไรใกล้ ๆ ตัวค่ะ”
บทสนทนาของสองหนุ่มสาวต่อเนื่องไม่ขาดระยะสลับกับเสียงหัวเราะ มิตรภาพที่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้นจะนำพาดวงใจดวงน้อยไปถึง ณ.ที่ใด หญิงสาวครุ่นคิดและตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เธอคิดว่ามีแค่เธอเท่านั้นที่คิดกับเขาเกินเลยกว่าคำว่า ‘คนสอนเขียนนิยาย’ จนต้องหาทางออกให้ตัวเองโดยการปฏิเสธสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้เขารับรู้ว่า ‘ เธอไม่อยากเอาตัวเองเป็นนางเอกเพราะไม่ชอบจินตนาการสิ่งที่ใกล้ตัว’ ทั้งนี้เพื่อซุกซ่อนหัวใจของเธอเอาไว้ให้ลึกที่สุด
เวลาผ่านไปจากวันเป็นสองสามและสี่วัน สถานที่แห่งใหม่ ๆ บนเขาสูง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเหวนรก น้ำตกผากล้วยไม้ ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท ถูกชายหนุ่มจัดเป็นโปรแกรมหมุนเวียนเข้ามาเพื่อให้เธอนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนนิยาย กิจกรรมประจำวันไม่แตกต่างจากเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของสาวน้อย ความชื่นชมในตัวของชายหนุ่มของเธอ มันทะลักล้นจนถึงจุดสูงสุดแต่มันก็ถูกกดเอาไว้ไม่ให้ใครได้รู้นอกจากเจ้าตัวเท่านั้น
ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ความมืดเข้าครอบคลุมพื้นที่ อากาศวันนี้เย็นจัดมากขึ้น พื้นดินใต้ผ้าปูนั่งชื้นแฉะ ฝนสุดท้ายของฤดูน่าจะผ่านไปแล้วหลังเทกระหน่ำลงมาช่วงสั้น ๆ เมื่อตอนหัวค่ำ ลมหนาวพัดแรงเห็นเงาตะคุ่มของต้นไม้ ใบไม้พัดไหววูบ ผู้คนบางตา เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจเหมือนสองคืนก่อนหายไป ความเงียบเข้าครอบคลุม เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นทำลายบรรยากาศที่เงียบเหงา
“ไอซ์ครับ...เท่าที่ผมพาคุณไปดูทุกที่ สัมผัสทุกบรรยากาศ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นสี่วันมาแล้วและเท่าที่ผมได้อ่านที่คุณบรรยายลักษณะของคนที่คุณเจอ บรรยายบรรยากาศสถานที่ ผมว่ามันก็ชัดเจนขึ้นนะ คุณเริ่มมีสำนวนเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของคุณมากขึ้น คุณทำได้ดีหัวเร็วและคงมีพรสวรรค์อยู่ไม่น้อย เพียงแต่คุณไม่เคยดึงมันออกมาใช้ ผมว่าพรุ่งนี้คุณลองนั่งเขียนออกมาแบบเต็ม ๆ สักบทสองบทตามพล็อตที่เราวางไว้น่าจะดีนะ ถ้าทำได้ดีผมจะมีรางวัลให้”
“ฉันลองเขียนบ้างแล้วล่ะ คุณอยากดูตอนนี้ไหมคะ ? เผื่อคุณจะได้มีเวลาในการคอมเม้นท์มากขึ้น”
“ได้สิ...คุณเขียนตอนไหนผมไม่เห็นเลย...แหมไม่ยอมเอ่ยปากเล่าให้ฟังบ้างเลยนะ ปิดเงียบเชียว เข้าไปดูในเต๊นท์ผมดีกว่าข้างนอกจุดเทียนไม่ได้หรอก...อากาศเย็นแล้วก็ชื้น ลมแรงมากด้วยวันนี้ เข้าไปอยู่ในเต็นท์อุ่นกว่า” เมื่อตกลงกันได้หญิงสาวลุกเดินเข้าเต็นท์ตัวเองหอบสมุดบันทึกที่เธอเขียนนิยายออกมา ชายหนุ่มดับกองไฟหน้าเต๊นท์แล้วเดินตามกันเข้าไปในเต็นท์นอนของชายหนุ่ม
“เก่งนะเนี่ย ไหลลื่นเชียว อาจจะมีที่ต้องแก้ต้องปรับบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ตอนนี้มันก็พอมีบรรยากาศและเอกลักษณ์ของตัวคุณชัดเจนขึ้นอย่างที่ผมว่าไว้นะ” ชายหนุ่มกล่าวชมและพูดเป็นการเป็นงานเป็นการหลังจากอ่านนิยายที่หญิงสาวเขียนด้วยลายมือในสมุดบันทึกเล่มหนาก่อนปิดสมุดเล่มนั้นลง
ไฟมองหน้าที่ระบายยิ้มของหญิงสาว เขารู้สึกใบหน้านวลเนียนนั้นหวานละมุนยิ่งขึ้นเมื่อมองมันใต้แสงเทียน จมูกโด่ง ตาโต ปากบางเด่นชัดขึ้นมาในความคิดของเขา ผมยาวสยายล้อมกรอบใบหน้าให้เด่นยิ่งขึ้น ทำเอาชายหนุ่มเคลิ้มไปกับภาพสาวน้อยตรงหน้า แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความรู้สึกนี้คืออะไรในเมื่ออีกสองวันเพื่อนหญิงที่เขาสนิทที่สุดกำลังจะเดินทางมาที่นี่ มาใช้เวลาสุดสัปดาห์กับเขาที่นี่ แล้วความรู้สึกตอนนี้มันคืออะไร ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ในใจแต่ก็ไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้
“เอ๊ะ!! อะไรอยู่ที่เท้าผม” ไฟร้องเสียงดัง เมื่อรู้สึกว่าเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่เท้า
ชายหนุ่มรีบยกเท้าขึ้นดู เจ้าสัตว์ตัวเล็กสีดำคล้ายปลิงกำลังดูดอาหารจากร่างกายของเขาเพื่อยังชีพของตัวเอง ชายหนุ่มตัวโตแต่แพ้สัตว์ตัวเท่าหนอนร้องโวยวายเสียงดังลั่น
“คุณไอซ์ช่วยผมด้วย...เอามันออกจากเท้าผมที...คุณ...คุณ..ช่วยผมทีสิ โอ๊ย...ผมจะเป็นลมแล้ว ฮือ...ฮือ...ฮือ ยิ่งเกลียดทำไมมันต้องมาด้วย” เสียงสั่น ๆ ของชายหนุ่มดังออกมา แสดงความกลัว ความรังเกียจ ร้องขอความช่วยเหลือจากคนข้าง ๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์
“ทุกวันไม่เห็นมี สงสัยวันนี้ฝนตกเมื่อตอนหัวค่ำเลยออกอาละวาดสิคะเนี่ย ทากก็เป็นแบบนี้แหละ แฉะหน่อยก็มาแล้ว คุณนิ่ง ๆ ไว้นะคะเดี๋ยวฉันหากระดาษ หรืออะไรมารองมือก่อนแล้วฉันจะเอาออกให้”
หญิงสาวรีบหากระดาษมารองมือ จัดการกับทากที่กำลังทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้หลุดพ้นออกไปจากเท้าของคนขี้กลัวอย่างรวดเร็ว แต่พอตัวทากหลุดออก เลือดที่ปากแผลชายหนุ่มกลับไม่หยุดไหลเพราะทากเป็นสัตว์ที่มีสารละลายเลือดที่เรียกว่า ‘เฮพาริน’ อยู่ที่ตัวเมื่อกัดใครก็จะปล่อยสารที่ว่านี้ออกมาทำให้เลือดคนนั้นไม่แข็งตัว ทากจะได้ดูดเลือดได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกันกับปลิงที่มีสารที่ว่านี้ด้วย
“โอย...เลือด...เลือดไม่หยุดไหล ฮือ...ฮือ...ผมจะเป็นลม ผมไม่ชอบเลือด” เสียงโอดครวญยังดังมาต่อเมื่อชายหนุ่มเจอปัญหาใหม่ตามมาอีกระลอก
“เดี๋ยวฉันไปเอายาที่เต็นท์ดีกว่าค่ะ...ฉันมียาดี เป็นสมุนไพรหยุดเลือดได้เวลาทากหรือปลิงดูด”
“ไม่เอา...ผมไปด้วย คืนนี้ผมไม่นอนที่นี่แล้ว ผมว่ามันต้องมาอีกตอนกลางคืนถ้ามันกัดผมอีกผมจะทำยังไง ให้ผมไปนอนในเต็นท์คุณด้วยคนนะ ผมขอวันเดียวให้ผมนอนกับคุณ ผมกลัว...พรุ่งนี้ถ้าดินหายชื้นมันคงไม่มาอีกผมก็กลับมานอนเต็นท์ผมได้”
ญดาจ้องหน้าชายหนุ่มสายตาค้นหาความหมายแอบแฝง เห็นแววตาซื่อ ๆ ไม่มีทีท่าของความกะล่อนของเขา เธอจึงยิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ
“ได้สิ คุณตามฉันมาสิคะหอบข้าวของคุณมาด้วยนะ ผ้าห่มเจ้าปัญหาของคุณ ถุงนอนของคุณเอามาให้หมด ฉันมีแค่ชุดเดียวคุณเตรียมของคุณมาด้วย”
สายตาของชายหนุ่มจ้องอยู่ที่ซีกหน้าหญิงสาว มือของหล่อนกำลังสาละวนอยู่กับการพอกยาสมุนไพรให้เขา ปากเธอเอ่ยสรรพคุณของยาเจื้อยแจ้ว
“ ใบสาบเสือเป็นยาสมุนไพรได้ค่ะ...ธรรมชาติเขาสรรค์สร้างสิ่งที่เหมือนกันให้อยู่ใกล้กัน สิ่งที่เอื้อกันเอาไว้ใกล้กัน เมื่อมีสิ่งที่มีพิษแถวไหน แถวนั้นย่อมมีตัวถอนพิษอยู่ด้วย มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาตินะคะ ที่ไหนที่มีทาก มีปลิง ที่ตรงนั้นจะมีใบสาบเสือค่ะ เพราะมันจะเป็นตัวแก้พิษของปลิงและทาก ช่วยหยุดเลือดได้”
เสียงที่ลอยออกมาจากปากของสาวน้อยที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาดังมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขาแทบไม่ได้ยิน แทบจำไม่ได้เลยว่าหล่อนพูดอะไรออกมา ก็จิตใจของเขา สติ สมาธิของเขาลอยวนอยู่ที่ใบหน้าและริมฝีปากบางของเธอ ชายหนุ่มก้มหน้าลงใปใกล้ๆ ข้างแก้มของหญิงสาว ลมหายใจร้อนผ่าวไล้ผิวแก้มเนียนเบา ๆ ญดารับรู้ถึงความผิดปกติของคนเจ็บ เธอจึงเงยหน้าขึ้นทันที ไฟเอาจมูกชนแก้มหญิงสาวอย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่อุบัติเหตุ มันไม่ใช่เหตุบังเอิญมันเป็นความตั้งใจของเขาที่ทำให้เป็นเหตุบังเอิญมากกว่า เสร็จแล้วเขาก็ทำหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น
ญดาสะดุ้ง มองหน้าชายหนุ่มแบบงง ๆ แต่ตัวเขากลับไม่ได้แสดงความสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลย เธอจึงได้แต่บอกกับตัวเองว่า ‘มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเพราะเธอเงยหน้าขึ้นมาเร็ว เขาเลยหลบไม่ทัน มันไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่เคยเป็น เขาก็แค่เป็นคนที่สอนเธอให้เขียนนิยายให้เป็นเท่านั้น’
“คุณเตรียมมาด้วยเหรอ ไอ้ใบสาบเสือนี่ คุณรู้ว่าผมจะโดนทากดูดเลือดรึไง ถึงได้เตรียมมันมา?”
“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้เตรียมมาจากบ้าน มาหาเอาแถว ๆ นี้แหละ ฉันเห็นฝนตกก็เลยคิดว่าทากอาจจะออกอาละวาด ก็ฉันเห็นคุณบอกว่าคุณกลัวทาก เคยโดนทากดูดเลือด ฉันเดินผ่านต้นมันพอดีเลยหเด็ดติดมือมาด้วย”
“เอาเท้าคุณมาดูซิ เลือดคุณหยุดแล้ว นอนเถอะค่ะฉันง่วง พรุ่งนี้ฉันจะเขียนนิยายเพิ่มให้คุณดูอีกทีวันนี้คุณก็ดูแค่นั้นก่อนก็แล้วกัน” พูดจบหญิงสาวก็สอดตัวเองเข้าถุงนอนและห่มผ้าผืนบางของเธอทับอีกชั้นหนึ่ง หันหลังให้ชายหนุ่มและหลับตาลงทันที
อากาศหนาวเย็นแทรกเข้ามาในผ้าห่ม พื้นดินที่ชื้นกว่าทุกวันเพิ่มความเย็นให้มากขึ้น ร่างสองร่างโอบกอดกันนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าผืนใหญ่
เมื่อคืนหลังจากที่ไฟคิดว่าญดาหลับไปแล้ว เขายังคงลืมตาในความมืด คิดวกไปวนมา สำรวจหัวใจของตัวเอง ‘เขาคิดยังไงกันแน่ถึงได้ทำแบบนั้นออกไป เขาหวังว่าคนที่นอนข้า ๆ จะไม่คิดอะไรมากนะ แต่ความจริงแล้วเขาอยากให้หล่อนคิดหรือเปล่านะ หรือในความเป็นจริงแล้ว เขาก็อยากให้หล่อนรู้เหมือนกันว่าเขาก็รู้สึกแปลกๆ’ ชายหนุ่มหันไปมองร่างเล็กที่นอนในถุงนอน ความสงสารเกิดขึ้นจับใจที่เห็นเธอคุดคู้ เขาจึงรูดซิบถุงนอนออกเอาผ้าผืนเล็กห่อตัวให้และใช้ผ้าผืนใหญ่ของเขาห่มทับไปอีกที ‘เขาอยากกอดหล่อนให้หล่อนหายหนาว เขาอยากให้หล่อนอบอุ่นอยู่ในอ้อมอกเขา แล้วอีกคนหนึ่งที่กำลังจะมาล่ะเขาอยากทำแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า ใช่สินะเขาก็เคยนอนกอดคนนั้นเหมือนกัน...’ ชายหนุ่มคิดไม่ตก หาคำตอบไม่ได้ ได้แต่สั่นหัวไปมาแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจดึงร่างบางในถุงนอนเข้าสู่อ้อมกอดของตัวเอง
ในขณะที่ฝ่ายหญิงสาวซึ่งคนที่นอนกอดเธอคิดว่าเธอหลับ จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้หลับอย่างที่เขาคิด ตัวเธอเองรู้สึกสับสนแต่เธอไม่ได้สับสนความรู้สึกของตัวเอง เธอสับสนกับความรู้สึกเขาต่างหาก เวลาเขาแสดงออกมาเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่บางครั้งกลับเหมือนเขาพยายามสื่ออะไรออกมาสักอย่างให้เธอรู้ เหมือนกับที่เขาห่มผ้าให้เธอ ดึงเธอเข้าไปกอด จับมือเธอให้เข้าไปกอดเขา แต่พอเธอรู้ตัวเขากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอสับสนไปหมดไม่รู้ว่าความจริงเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ แล้วเธอต้องทำตัวอย่างไรต่อไป น้ำตาของหญิงสาวไหลรินอาบแก้ม หัวใจที่บัดนี้วูบหวิวเหมือนเธอถูกโยนขึ้นที่สูงแล้วตกลงมาอย่างรวดเร็ว หัวใจมันหล่นหายไประหว่างทางที่เธอถูกทิ้งลงมา เธอนอนอยู่ที่พื้นเย็นเยียบเหมือนคนไร้หัวใจ...
ผู้คนบนเขาเริ่มคึกคักอีกครั้งเมื่อล่วงมาถึงวันสุดสัปดาห์อีกรอบ ญดาเหลือเวลาอีกสองวันบนภูเขาแห่งนี้กับผู้ชายชื่อไฟ เธอจะเก็บเวลาแห่งความทรงจำ สถานที่ที่เธอรู้แล้วว่าคงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำอย่างที่เขาได้บอกไว้แต่แรกเอาไว้ในหัวใจ เก็บเอาไว้เป็นน้ำทิพย์ชโลมใจ สรรค์สร้างจินตนาการในการเขียนนิยายรักที่เธอจะเขียนมันออกมาจากหัวใจทุกครั้งสำหรับคนที่มีรัก
หลังจากที่เขานอนกอดเธอมาตลอดคืน ตื่นเช้าขึ้นมานั่งดื่มกาแฟด้วยกันตามปกติที่เคยทำ เขาไม่เอ่ยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา เวลาผ่านไปไม่นานนักตรงหน้าของญดามีสาวสวย ร่างสูงโปร่ง ตาคม ผมยาวยืนอยู่ในชุดทะมัดทะแมงเหมาะสำหรับเที่ยวบนเขาเดินเข้ามาทักทายผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ เธอ พร้อมกับแนะนำตัวว่ากับเธอว่า ฉันชื่อฟ้าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณญดา ฉันเป็นแฟนของไฟค่ะ... เธอเพิ่งเดินทางมาถึงเพื่อมาสมทบกับไฟที่เขาสองคนนัดกันไว้ก่อนไฟจะมาเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
“ ไอซ์ครับ...วันนี้ผมจะพาฟ้าไปเที่ยวนะเราจะไปที่น้ำตกกัน..ไอซ์จะไปด้วยไหม? หรือว่าจะเขียนนิยายอยู่ที่นี่?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างการรับประทานอาหารเช้ากันสามคนที่หน้าเต็นท์
ใบหน้าหญิงสาวระบายยิ้มน้อยๆ แต่ดวงตาที่มองมาที่ชายหนุ่มแฝงไว้ด้วยความเศร้า ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ในอกเสียงเธอตอบออกมาสั่นเล็กน้อย
“ไม่ไปได้ไหมคะ ฉันว่าจะนั่งเขียนนิยายที่ฉันบอกคุณไว้เมื่อคืนให้คุณดูให้อีกสักสองสามบทก่อนลงเขาค่ะ ถ้าไปเที่ยวด้วยคงไม่ได้ให้คุณได้ดูเพิ่มแน่ ๆ เลย”
“ เอางั้นก็ได้ครับ เพราะผมคงไม่ได้ไปไหนไกล แค่จะพาฟ้าไปน้ำตกที่เดิมที่เราไปนั่นแหละถึงคุณไปอีกก็คงไม่ได้อารมณ์ในการเขียนนิยายเพิ่มขึ้นเพราะมันก็เหมือนเดิมไม่แตกต่างจากเมื่อสองสามวันก่อนเท่าไหร่หรอก” ชายหนุ่มพูดยิ้ม ๆ ไม่ได้หันไปมองหน้าคนฟัง
“ค่ะ...คงไม่แตกต่าง” หญิงสาวก้มหน้าน้อย ๆ ตอบกลับชายหนุ่ม ‘สำหรับคุณมันคงไม่แตกต่าง แต่มันต่างไปแล้วสำหรับฉัน อารมณ์รักที่ฉันเขียนในวันนั้นเป็นอารมณ์รักที่มีแต่รอยยิ้มแต่ถ้าเป็นวันนี้คงมีหยาดน้ำตา’ เธอตอบออกมาแค่นั้นแต่สิ่งที่เธอคิดมันมากกว่าที่เขาจะมีโอกาสได้รับรู้ เพราะมันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในใจของเธอที่บัดนี้มันไม่มีประโยชน์ที่เธอจะคิดถึงมันแล้ว
บทนิยายของเธอที่คิดไว้แต่แรกว่าจะจบลงวันนี้แต่ไฉนมันไม่จบลง สุดท้ายต้องเพิ่มเข้ามาอีกหลายบทและเป็นบทของเธอจริง ๆ บทสรุปของหัวใจที่เป็นนิยายรักของคนอื่นไม่ใช่ของญดา...ดั่งที่เคยคิด เพราะญดาเป็นเพียงแค่คนเขียนนิยาย ไม่ใช่นางเอกนิยาย ในวันแรกหญิงสาวคิดว่าเธอเป็นนางเอกแต่เธอยังไม่กล้ามีพระเอก ‘วันนี้มีเขาเป็นพระเอกในนิยายแต่นางเอกกลับไม่ใช่เธอ’
ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลอยต่ำ แดดอ่อนแสงลงราวกับคนอ่อนแรง นกกาบินกลับรังเป็นกลุ่ม ๆ สิ้นสุดแห่งวันทุกสิ่งอย่างย้อนกลับไปจุดเดิม ชีวิตใด ๆ ก็ไม่แตกต่างจากทุกสรรพสิ่ง สุริยาที่ฉายแสงแรงกล้าหาผู้ใดเปรียบได้แต่สุดท้ายกาลเวลาต่างหากที่เป็นฝ่ายควบคุม ต่อให้เจิดจรัสแค่ไหนก็ต้องอับแสงลงพร้อมกับกาลเวลา คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เธอคิดว่าจะได้นอนข้างเขาและอาจเป็นคืนเริ่มต้นสำหรับอนาคต แต่เมื่อถึงเวลาที่ตรงนั้นกลับไม่ใช่ของของเธอ ร่างที่เคยสั่นสะท้านเพราะความหนาวเหน็บ เวลานี้ยิ่งกว่าเหน็บหนาว มันร้าวลึกซอกซอนไปถึงขั้วหัวใจ ใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มแต่หัวใจกลับถูกแผ่คลุมด้วยน้ำตา
“ ผมหวังว่าจะเห็นนินายรักโรแมนติกที่เขียนโดยญดาขึ้นบนชั้นหนังสือในเวลาไม่นานนี้นะครับ ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้คุณตลอดไป” ไฟเอ่ยกับหญิงสาวก่อนจะขึ้นรถไฟเที่ยวกลับมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานครฯ อันเป็นที่พักพิงของเขาพร้อมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งข้างกาย ญดายืนมองรถไฟเที่ยวนั้นจากไปจนลับสายตา
แก๊ง...แก๊ง แก๊ง...แก๊ง เสียงระฆังเสียงเดิมดังขึ้นมาไม่แตกต่างจากชีวิตของหญิงสาว รถไฟเป็นสิ่งที่นำพาเธอมาและอีกเช่นกันที่รถไฟกำลังจะนำพาเธอกลับไป ทุกสิ่งอย่างเหมือนเดิม มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ‘หัวใจของญดา’
นิยายรักของญดา ‘ครึ่งทางของหัวใจ’ พอถึงบทอวสานมันกลับไม่ใช่ครึ่งทางอย่างที่เธอคิด ‘ใช่สิ..เขาใหญ่ไม่ใช่กึ่งกลางระหว่างกรุงเทพฯ กับอุดรฯ’ เธอเดินทางมาไกลกว่า บัดนี้หัวใจของเธอย่อมเจ็บปวดมากกว่า....หัวใจรักของเธอ...ของผู้หญิงชื่อญดา นี่ต่างหากชื่อนิยายเรื่องแรกของญดาที่ไฟเป็นคนสอนให้เธอเขียนบนภูสูง...ใบไม้เขียว...อากาศหนาว ...หัวใจรักของญดา...
ผลงานอื่นๆ ของ พรรณวราดา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ พรรณวราดา
ความคิดเห็น