ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 คฤหาสน์ของตระกูลยูโนซากิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.08K
      44
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 4

    คฤหาสน์ของตระกูลยูโนซากิ


    หลังจากที่เรนอิจิแยกทางกับฮาสึโนะ เขาก็เดินตรงไปยังห้องพักของชายผู้ที่เป็นเจ้าบ้านตระกูลยูโนะซากิหรือก็คือพ่อของเขานั้นเอง

    “ท่านเจ้าบ้าน ลูกกลับมาแล้วครับ”

    เรนอิจิส่งเสียงบอกให้ผู้ที่อยู่ในห้องพักรู้

    “เข้ามาสิ”

    “ครับ ท่านเจ้าบ้าน”

    เมื่อได้ยินเสียงตอบรับเรนอิจิก็ค่อยๆเปิดประตูบานเลื่อนเข้าไปช้าๆ

    “นั่งลงก่อนสิ”

    “ครับ ท่านเจ้าบ้าน”

    ว่าแล้วเรนอิจิก็เข้าไปนั่งลงตรงหน้าของผู้เป็นเจ้าบ้านตระกูลยูโนะซากิตามคำเชิญของอีกฝ่าย

    “ตอนที่อยู่ด้วยกัน2คนเรียกฉันว่าพ่อก็ได้”

    “ครับ ท่านพ่อ”

    คนที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของเรนอิจิตอนนี้ก็คือ ยูโนะซากิ ชินอิจิ เจ้าบ้านคนปัจจุบันของตระกูลยูโนะซากิ รุ่นที่21

    เขาคือตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังเป็นที่เคารพนับถือของนักปราบผีทุกคนในปัจจุบัน แต่หลังจากที่เขาสูญเสียคู่พันธสัญญาไปหรือนั่นก็คือแม่ของเรนอิจิ เขาก็วางมือออกจากการเป็นนักปราบผีที่ต้องไปตะลุยแนวหน้าและหันกลับมาดูแลควบคุมตระกูลยูโนะซากิอย่างเต็มที่จากทางด้านหลังแทน

    และท่าทางของเรนอิจิที่ดูสุขุมนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นนั้นก็ได้มาจากชินอิจิผู้เป็นพ่อของเขาทั้งหมด

    แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรที่พ่อลูกจะมีอุปนิสัยเหมือนกัน

    “เป็นยังไงบ้าง ครั้งนี้เห็นว่าเป็นงานที่หนักหนาอยู่พอสมควร”

    ยูโนะซากิ ชินอิจิ เอ่ยถามผู้เป็นลูกอย่างเป็นห่วง เพราะการที่จะกำจัดปีศาจระดับเทพปีศาจได้นั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย

    ถึงแม้ว่าตำนานต่างๆของนักปราบผีสมัยก่อนจะเคยบอกว่าพวกเขาสามารถปราบปีศาจในระดับเทพปีศาจได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ว่ายังไงซะตำนานก็คือตำนานอยู่ยังวันค่ำ และพลังปีศาจในระดับเทพปีศาจก็ไม่ใช่จะสามารถสยบลงได้ง่ายๆเหมือนกับในตำนานว่าไว้ซะเมื่อไร

    “ด้วยความอ่อนหัดของลูกทำให้เราสูญเสียนักปราบผีไปถึง34คน รวมถึงตัวลูกเองที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด”

    เรนอิจิพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ เพียงเพราะความประมาทของเขาเพียงคนเดียวทำให้มีคนต้องมาตายถึง34คน

    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำในระหว่างต่อสู้กับภูตผีปีศาจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนที่ตายไปนั้นมันเกิดจากความประมาทของเขาเองทั้งหมด

    “อืม...อย่างนั้นเหรอ แต่ว่าเจ้ารอดมาได้ก็ดีแล้ว เอาเป็นว่าเรื่องนี้เดี๋ยวเราค่อยปรึกษากันใหม่อีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า เพราะงั้นวันนี้เจ้าไปนอนพักก่อนเถอะ”

    “ครับท่านพ่อ แต่ก่อนไปลูกมีอะไรให้ท่านพ่อดูก่อน”

    ว่าแล้วเรนอิจิก็หยิบตุ๊กตาไม้ที่แตกหักตัวหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าให้พ่อของเขาได้ดู

    “ฮื่อ? นี้มันอะไรกัน ของเล่นเหรอ?”

    ชินอิจิทำหน้าสงสัย ก่อนที่เขาจะหยิบตุ๊กตาไม้ที่แตกหักนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

    “มันคือตุ๊กตาไม้ที่มีรูปร่างเหมือนกับปีศาจงูขาวธารหิมะที่ลูกต่อสู้ด้วยวันนี้ ลูกพบมันตกอยู่ใกล้ๆกับที่มันตาย”

    เมื่อได้ฟังสิ่งที่ลูกชายพูด สีหน้าของชินอิจิผู้เป็นเจ้าบ้านของตระกูลยูโนซากิก็ดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เพราะถ้าตุ๊กตาที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของเทพปีศาจที่มีความผิดปกติในช่วงนี้จริงแล้วละก็ มันอาจจะเป็นฝันร้ายเลยทีเดียว

    “ลูกคิดว่ายังไงเรนอิจิ”

    ชินอิจิถามความเห็นของลูกชายตัวเอง เรนอิจินั่งนิ่งครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะตอบกลับไป

    “ลูกคิดว่าการปรากฏตัวของภูตผีปีศาจในช่วงนี้ดูไม่เป็นธรรมชาติและผิดปกติมากจนเกินไป ยิ่งเอามาบวกกับหลักฐานที่ได้มาชิ้นนี้ ลูกคิดว่ามันน่าจะมีคนอยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวของปีศาจในช่วงนี้อย่างแน่นอน”

    “อืม...พ่อก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

    ชินอิจิพยักหน้าเห็นด้วย

    “ดูเหมือนว่าครั้งนี้เราคงจะต้องไปขอคำทำนายจากพวกมิโกะซะแล้ว”

    เจ้าบ้านตระกูลยูโนะซากิพูดก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะค่าคำทำนายในแต่ละครั้งของพวกมิโกะนั้นมันไม่เคยที่จะเป็นสิ่งธรรมดาเลย เพราะครั้งสุดท้ายที่จำได้เขาก็เพิ่งที่จะสูญเสียสมบัติวิเศษประจำตระกูลที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้นไปเป็นค่าทำนายให้กับพวกมิโกะ 

    แต่ถึงอย่างนั้นคำทำนายของพวกมิโกะก็ถือว่าแม่นยำและชัดเจนมากจนน่ากลัว ประมาทว่าถ้าพวกเธอบอกว่าอุกกาบาตจะตกลงมาที่นี้เวลานี้มันก็จะตกลงมาจริงๆในเวลานั้นเวลานี้ตามที่พวกเธอบอก

    เพราะอย่างนั้นคำทำนายของพวกมิโกะในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกเขาในการเตรียมตัวรับมือกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวของเทพปีศาจที่ผิดปกติในช่วงนี้ เพราะถ้าคำทำนายของพวกมิโกะตรงกับที่พวกเขาคิดสงครามและการต่อสู้คงจะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน

    และมันคงจะไม่ได้เป็นสงครามธรรมดาๆ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการควบคุมปีศาจได้อยู่ ซึ่งมันเป็นความสามารถที่น่ากลัวมาก

    ******

    ณ ระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไปตามตัวบ้าน เรนอิจิหลังจากที่ได้พูดคุยกับพ่อของเขาเสร็จเขาก็เดินไปตามพื้นไม้ขัดพร้อมกับความคิดที่มีอยู่มากมายในหัว แต่แล้วอยู่ดีๆในความคิดมากมายเหล่านั้นของเขาก็ได้มีภาพของหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ และนั้นก็คือฮาสึโนะคู่พันธสัญญาของเขานั่นเอง

    “คงต้องแวะไปหาสักหน่อยแล้ว”

    เมื่อคิดได้อย่างนั้นเขาก็เดินไปยังห้องพักของฮาสึโนะที่อยู่ข้างๆห้องเขาทันที เท้าของเรนอิจิย่ำไปตามพื้นไม้เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ได้มาถึงหน้าประตูห้องของฮาสึโนะที่อยู่ข้างๆห้องของเขา

    แสงไฟอ่อนๆที่ส่องลอดออกมาจากประตูห้องทำให้เขารู้ว่าเธอยังไม่ได้เข้านอนไปที เรนอิจิยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องของฮาสึโนะอยู่สักพักก่อนที่เขาจะตัดสินใจส่งเสียงเรียกออกไป

    “ฮาสึโนะ นี้ฉันเองขอเข้าไปได้ไหม?”

    เรนอิจิยืนส่งเสียงเรียกอยู่หน้าห้องไม่นานก็มีเสียงดังตอบรับกลับมาจากภายในห้อง

    “อืม เข้ามาสิ”

    เมื่อได้ยินเสียงตอบรับเรนอิจิก็เปิดประตูห้องเข้าไปทันที และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ได้พบกับหญิงสาวนัยน์ตาสีน้ำผึ้งทองที่งดงามสุดจะบรรยาย เธออยู่ในชุดยูกาตะลายกิ่งดอกซากุระสีชมพูที่ดูสดใสน่ารัก ปลายผมสีลอนทองที่เธอปล่อยให้เกยเนินอกอวบอิ่มคู่นั้นทำให้เขารู้สึกเคอะเขินจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่หน้าร้อนผ่าวและยืนนิ่งดูเธอราวกับต้องมนต์สะกดแห่งเสน่หา

    ฮาสึโนะที่เห็นท่าทีเขินอายของเรนอิจิก็อดที่จะรู้สึกขำไม่ได้ แต่เธอก็ทำได้แค่กั้นมันเอาไว้แล้วส่งยิ้มแบบน่ารักไปทางเรนอิจิ

    ตอนนี้ฮาสึโนะกำลังนั่งพิงขอบหน้าต่างของประตูห้องเพื่อชมภาพทิวทัศน์ข้างนอก แสงสว่างบริเวณนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากแสงจันทร์ที่ส่องลงมากระทบตัวเธอเพื่อส่งเสริมให้เธอดูงดงามเหมือนดังเจ้าหญิงที่อยู่บนดวงจันทร์

    “เรนอิจินายมีเรื่องอะไรจะพูดกับฉันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงยืนเงียบไปล่ะ”

    เสียงของฮาสึโนะที่ฟังดูออกขำๆทำให้เรนอิจิได้สติขึ้นมาทันที เขารีบสลัดภาพในหัวทั้งหมดนั้นออกไป แต่ดูเหมือนว่ามันคงจะยากเกินไปสำหรับเขา เพราะตอนนี้ภาพของเธอนั้นได้เข้ามาประทับอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเขาแล้ว

    “เออ...คือว่า....ฉันแค่จะมาถามว่าเธอชอบห้องนี้ไหมและต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า?”

    เรนอิจิรู้สึกประหม่ามากที่จะต้องพูดอะไรออกมาตอนนี้ แต่เขาก็พยายามรวบรวมสติอีกครั้งและเขาก็ทำมันได้ดีจนสามารถพูดอะไรที่ดูจะมีสาระออกมาได้ ถึงแม้ว่าเสียงของเขาจะฟังดูแปลกๆไปบ้างก็เถอะ

    “อื้ม...ฉันชอบห้องนี้มากเลย มันดูดีกว่าห้องที่ฉันเคยเช่าอยู่ตั้งเยอะ”

    “อย่างนั้นเหรอ...งั้นก็ดีแล้วล่ะที่เธอชอบมัน เออ...แล้วพรุ่งนี้เธอว่างพอที่จะไปพบกับพ่อของฉันไหม? ที่ถามนี้ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ...คือว่าฉันอยากแนะนำเธอให้พ่อได้รู้จักนะ”

    “อืมว่างสิ ยังไงช่วงนี้ฉันก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนอกจากนั่งรอวันที่จะไปเข้าเรียน” ฮาสึโนะตอบ

    “งั้นตกลงพรุ่งนี้เช้าฉันจะมารับเธอไปพบกับพ่อของฉันก็แล้วกัน”

    เรนอิจิพูดเสร็จก็กล่าวลาฮาสึโนะและเดินออกจากห้องไป ซึ่งแน่นอนเขาเดินถอยหลังจนชนกับประตูห้องเพราะมัวแต่มองหน้าของฮาสึโนะในขณะที่เดินถอยหลังไป

    และท่าทางของเรนอิจิที่เดินชนประตูนั้นก็ทำให้ฮาสึโนะถึงกับอมยิ้มขึ้นมาทันที

    ******

    เมื่อรุ่งเช้ามาถึงเรนอิจิก็มารับฮาสึโนะที่ห้องตามสัญญา วันนี้ฮาสึโนะพยายามแต่งตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถทำได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงสวมใส่แว่นตาหนาเตอะของเธอ และยังคงมัดผมทรงหางม้าแบบง่ายๆด้วยเชือกเส้นหนาอย่างเช่นเคย

    ดูท่าแล้วเซ้นส์ทางด้านการแต่งตัวของฮาสึโนะคงจะต่ำเตี้ยติดดินเลยทีเดียว

    “นี้ฮาสึโนะ จะเป็นไรไหมถ้าเธอจะช่วยถอดแว่นตาหนาๆของเธอออกนะ แล้วก็ช่วยแก้ไขทรงผมมักง่ายของเธอด้วย”

    เมื่อมาถึงเรนอิจิก็เริ่มตักเตือนเรื่องการแต่งตัวของฮาสึโนะทันที เขาแทบที่จะหมดอารมณ์ทันทีเมื่อได้มาเห็นฮาสึโนะในตอนเช้า เขาไม่เคยคิดเลยว่านางฟ้าจะกลายมาเป็นมนุษย์ต่างดาวได้ในชั่วข้ามคืนแบบนี้ ดูท่าแล้วเมื่อคืนเขาคงจะตาฝาดไปจริงๆ เรนอิจิคิด

    “ไม่ได้หรอก ถ้าถอดแว่นตาออกฉันก็มองไม่เห็นนะสิ แล้วเรื่องที่จะแก้ทรงผมนะนายลืมไปได้เลย เพราะแค่สระผมฉันยังจำไม่ได้เลยว่ามันต้องสระยังไง เพราะอย่างนั้นสุดท้ายแล้วเมื่อคืนฉันก็เลยสระผมด้วยสบู่ที่ใช้อาบน้ำไปอย่างง่ายๆ”

    ว่าแล้วฮาสึโนะก็ไม่เข้าใจเลยว่าเรนอิจิจะบ่นอะไรเธอนักหนา เพราะวันนี้เธอก็ว่าเธอแต่งตัวได้ดีที่สุดในรอบหนึ่งปีแล้วนะ เพราะโดยปกติเธอจะแต่งตัวให้ดูดีเป็นผู้เป็นคนกับเขาขึ้นมาได้ก็มีแต่วันเกิดของเธอเท่านั้นแหละนะจะบอกให้

    เรนอิจิมองฮาสึโนะแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง เพราะเขาไม่สามารถเข้าใจตรรกะทางความคิดของฮาสึโนะเรื่องการแต่งตัวได้เลย แต่วันนี้เขาจะไม่ให้เธอแต่งตัวแบบนี้แล้วออกไปพบกับพ่อของเขาอย่างแน่นอน

    แต่ก็ยังถือว่าเป็นโชคดีของเขาที่เขายังพอที่จะมีเวลาจัดการกับเรื่องการแต่งตัวของฮาสึโนะให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะนำเธอไปพบกับพ่อของเขา

    “วันนี้วันเดียวเท่านั้นที่ฉันจะไม่ยอมให้เธอแต่งตัวแบบนี้”

    พูดเสร็จเรนอิจิก็ตบมือสองครั้งเพื่อเรียกคนรับใช้ และทันทีที่เขาตบมือเสร็จพวกเขาและเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันทีราวกับว่าอยู่ดีๆพวกเขาก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นได้ยังไงยังงั้น

    “จัดการแต่งตัวให้เธอคนนี้ซะ ขอแบบดูเป็นทางการด้วย”

    เรนอิจิออกคำสั่งพร้อมกับมองไปทางด้านฮาสึโนะ ซึ่งแน่นอนว่าฮาสึโนะต้องรู้สึกสะดุ้งขึ้นมาทันที ดูท่าว่าความโหดร้ายกำลังจะมาถึงตัวเธอแล้ว

    “ครับ/ค่ะนายท่าน”

    สิ้นเสียงคำสั่งของเรนอิจิพวกเขาและเธอก็ตอบรับขึ้นมาพร้อมกันและรีบนำตัวของฮาสึโนะกลับเข้าไปในห้องทันที

    “นี้!! พวกเธอจะทำอะไรนะ ปล่อยฉันนะ”

    ฮาสึโนะร้องตะโกนลั่นพร้อมกับพยามขัดขืนอย่างสุดกำลัง แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ถูกอุ้มแขนอุ้มขาเข้าไปในห้องอยู่ดี เสียงร้องโวยวายของฮาสึโนะยังคงดังออกมาเป็นระยะๆให้เรนอิจิได้ยินตลอดเวลาหลายนาทีที่เขายืนอยู่หน้าห้อง

    “ดูเหมือนว่าเธอจะมีปัญหากับการแต่งตัวซะจริงๆ”

    เรนอิจิบ่นพึมพำออกมา เมื่อได้ยินเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือดของฮาสึโนะที่กำลังถูกคนรับใช้ของเขาจับแต่งตัวอยู่ข้างใน

    และแล้วหลังจากที่เวลาผ่านเลยไปเกือบ10นาทีในที่สุดประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก หญิงสาวผู้ที่มีความงดงามสะกดทุกคนในสายตาก็ค่อยๆเดินออกมาจากห้อง เธออยู่ในชุดกิโมโนที่สวยงามและทรงผมของเธอเองก็ได้ถูกม้วนเก็บเอาไว้บนหัวอย่างเรียบร้อย

    แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาสีน้ำผึ้งทองกลมมนของเธอก็ยังคงแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดและไม่มีการปิดบังหรือซ่อนอำพรางแต่อย่างใด

    ชุดกิโมโนที่ฮาสึโนะสวมใส่อยู่นั้นทอมาจากผ้าไหมสูงค่าเนื้อผ้าละมุนละไม และมีลวดลายปักทอที่หรูหราสวยงาม แต่ถึงอย่างนั้นฮาสึโนะก็ยังคงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวอยู่ดี และเธอเองก็รู้สึกอึดอัดกับเนื้อผ้าที่สวมใส่อยู่นี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเธอเองก็ไม่ชอบความรู้สึกนี้เอามากๆ

    “นี้! นายช่วยบอกให้พวกนั้นคืนแว่นตาให้ฉันหน่อยสิ ถ้าฉันไม่มีมันฉันเดินลำบากนะจะบอกให้”

    ฮาสึโนะพยายามเรียกร้องขอแว่นตาของเธอคืนจากพวกคนรับใช้ แต่เรนอิจิก็หาได้สนใจคำพูดของฮาสึโนะไม่

    “งั้นเหรอ? ถ้างั้นเธอก็จับมือฉันเอาไว้แล้วกันจะได้เดินได้ง่ายๆ”

    ว่าแล้วยังไม่ทันที่ฮาสึโนะจะได้ตั้งตัว มือของเธอก็ถูกมือของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่แสนจะอ่อนโยนจับเข้าซะแล้ว ดวงใจน้อยๆของฮาสึโนะแทบจะหลุดออกมาเต้นเมื่อได้สัมผัสมือกับเขาโดยตรงอีกครั้ง เธอพยามที่จะควบคุมอารมณ์เพื่อไม่ให้เขารู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอยู่ในขณะนี้

    ความรู้สึกตื่นเต้นระดมเข้ามาในจิตใจของฮาสึโนะ เธอพยามจะหยุดมันอย่างสุดความสามารถ แต่ถึงยังไงมันก็ถือว่าสายเกินไปที่เธอจะสามารถหยุดมันได้ในขณะนี้

    เพราะหลังจากที่เธอและเขาได้ทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกันความรู้สึกของฮาสึโนะและเรนอิจิก็ได้ถูกส่งผ่านและตอบรับกันอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครจะสามารถหยุดมันได้อีกต่อไป

    เสียงหัวใจของคนทั้งสองดังขึ้นมาเป็นจังหวะเดียวกัน จนพวกเขารู้สึกได้ถึงตัวตนของอีกคนหนึ่งที่ได้เข้ามาอยู่ในจิตใจของตัวเอง

    ความเงียบสงบเกิดขึ้นมาอีกครั้งกับคนทั้งคู่ เรนอิจิและฮาสึโนะสบตากันอยู่สักพักก่อนที่พวกเขาจะผละสายตาออกจากกันอย่างรวดเร็ว

    “เอ่อ...คือว่า ขอฉันจับชายเสื้อของนายแทนจะได้ไหม”

    ฮาสึโนะรู้สึกเขินจนไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ก้มหน้าก้มตาพูดโดยไม่หันหน้าขึ้นไปมองเรนอิจิ เพราะถ้าเธอได้สบตากับเขาแบบนั้นอีกครั้งแล้วละก็...เธอคงจะทำอะไรต่อไปไม่ถูกอย่างแน่นอน

    “อืม...ได้สิ ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน”

    เรนอิจิเองก็รู้สึกเขินไปด้วยไม่แพ้กัน เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้คิดที่จะไปจับมือกับเธอแบบนั้น แต่ก็นะ...พอเขารู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้จับมือเธอไปซะแล้ว

    “ไปกันเถอะฉันว่าท่านพ่อคงจะรอพวกเราอยู่นานแล้ว”

    “อืม...ก็ไปสิ”

    ฮาสึโนะและเรนอิจิได้เดินไปพร้อมกัน โดยที่มีฮาสึโนะคอยจับชายเสื้อของเรนอิจิเอาไว้ ทั้งเรนอิจิและฮาสึโนะพยายามที่จะทำตัวให้สนใจไปกับสิ่งรอบข้างในขณะที่ก้าวเดินไปพร้อมกัน แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของทั้งคู่ก็ยังคงประสานกันที่จุดเชื่อมต่อเล็กๆภายในหัวใจของทั้งคู่อยู่ดี จุดเชื่อมต่อเล็กๆที่มีความเปราะบางแต่เหนียวแน่นจนยากที่ใครจะสามารถตัดขาดมันได้


    วันนี้ชินอิจิได้เรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสกับหัวหน้าสายของตระกูลยูโนะซากิทั้งหมด เพื่อให้เข้ามารับฟังเรื่องราวที่เขาได้พูดกับเรนอิจิเมื่อคืนนี้

    การประชุมเป็นไปอย่างดุเดือด พวกเขาต่างโต้เถียงกันไปมา มีทั้งคนที่เห็นด้วยกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการขอคำทำนายจากเหล่ามิโกะผู้เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า พวกที่เห็นด้วยก็ต่างเชื่อว่านี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ควรจะขอคำทำนายจากเหล่ามิโกะ

    แต่ก็มีอีกพวกหนึ่งที่ไม่เชื่อว่าจะมีใครที่จะสามารถควบคุมพวกปีศาจได้จริง และยิ่งเป็นปีศาจระดับเทพปีศาจด้วยแล้ว มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่าพลังระดับเทพปีศาจนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด และมันคงจะไม่มีทางที่ใครจะสามารถควบคุมหรือสั่งการมันได้อย่างแน่นอน

    ดังนั้นคนฝั่งนี้จึงลงความเห็นว่าเรื่องที่ชินอิจิพูดนั้นเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลวไหล และหลักฐานที่ชินอิจิแสดงให้ดูนั้นมันก็ไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถใช้ควบคุมปีศาจงูขาวธารหิมะได้จริง เพราะจากที่พวกเขาเห็นนั้นมันก็เป็นแค่เพียงเศษไม้เท่านั้น

    “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะไปขอคำทำนายจากพวกมิโกะด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครที่สามารถควบคุมพวกปีศาจได้จริง”

    อิชิดะหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลยูโนะซากิออกเสียงค้านหัวชนฝา เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องที่ฟังดูเหลวไหลนี้ต้องเป็นเหตุให้ตระกูลยูโนะซากิต้องเสียของวิเศษประจำตระกูลไปหรอก

    และเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโสอิชิดะ เหล่าคนที่เข้าประชุมก็รู้สึกคล้อยตามเขาไปหลายส่วน เพราะยังไงซะของวิเศษประจำตระกูลก็สำคัญไม่ใช่เหรอ และการที่จะเสียมันไปกับเรื่องที่ฟังดูเหมือนกับเป็นการยกเมฆขึ้นมานี้มันก็ดูจะเกินเลยกันไปหน่อย

    “ช้าก่อนทุกท่าน ข้าว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะเมื่อไม่นานมานี้ข้าเริ่มได้รับรายงานแปลกๆจากพวกแนวหน้าว่าภูตผีปีศาจในช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวแบบแปลกๆและผิดปกติไปจากเดิม พวกมันมีการรวมกลุ่มกันแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกมันต่อสู้สลับสับเปลี่ยนกันโจมตีเหมือนกับพวกมันมีการโจมตีที่เป็นแบบแผนหรือมีคนคอยสั่งการพวกมันอยู่ และสุดท้ายพวกมันรู้จักการหลบหนี ซึ่งแม้แต่ข้าเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อรายงานที่ได้รับมา แต่นั่นก็คือความจริงที่แนวหน้าได้รายงานมาตลอดในช่วงนี้”

    ฮิโต้กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดีนัก เขาเองก็เป็นผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งของตระกูลยูโนะซากิที่คอยดูแลพวกองเมียวที่ไปปฏิบัติงานแนวหน้า และเขาก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จำเป็นต้องขอคำทำนายจากเหล่ามิโกะ

    ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบทันทีเมื่อพวกเขาได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโสฮิโต้ เพราะจะปฏิเสธว่ารายงานจากแนวหน้าไม่เป็นความจริงหรือเป็นเรื่องโกหกก็คงจะไม่ได้

    หลังจากที่ทั้งหมดนิ่งเงียบกันได้สักพักพวกเขาก็เริ่มพูดคุยปรึกษากันต่อ เพราะเรื่องที่ผู้อาวุโสฮิโต้พูดนั้นมีน้ำหนักและความเป็นไปได้สูงว่าจะมีพวกคนที่สามารถควบคุมภูตผีปีศาจได้อยู่จริง และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถปล่อยปละละเลยไปได้เลย

    “เอาเป็นว่าเรื่องนี้ ข้าเห็นด้วยที่จะไปขอคำทำนายจากพวกมิโกะ”

    เมื่อมีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พวกคนที่เหลือก็เริ่มที่จะเอ่ยตามทันที

    “ข้าก็เหมือนกัน ข้าว่าเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะปล่อยเอาไว้เฉยๆ”

    ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็เริ่มเห็นพ้องต้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ และหัวหน้าฝ่ายต่างๆของตระกูลก็พยักหน้าเห็นชอบด้วยเช่นกัน

    “งั้น...สรุปว่าพวกเราจะไปขอคำทำนายจากพวกมิโกะกัน”

    ชินอิจิเจ้าบ้านตระกูลยูโนะซากิกล่าวสรุปและปิดการประชุม แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ลุกขึ้นยืน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นมาซะก่อน

    “ท่านเจ้าบ้าน ขออภัยที่ลูกมาช้า”

    เรนอิจิเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับโค้งคำนับ เพื่อเป็นการขอโทษที่เขามาช้า

    “ไม่เป็นไร แต่ว่าเจ้ามาช้าเกินไปหน่อยนะเรนอิจิ เพราะการประชุมจบลงแล้ว และเราก็ได้ข้อสรุปว่าจะไปขอคำทำนายจากพวกมิโกะกัน”

    ชินอิจิกล่าวพร้อมกับบอกผลสรุปในที่ประชุมให้เรนอิจิได้รับรู้

    “ก็ดีครับท่านเจ้าบ้านที่การประชุมจบลงไปได้ด้วยดี เพราะลูกเองก็มีเรื่องที่อยากจะกล่าวหลังจากที่จบการประชุมนี้ด้วยเหมือนกัน และลูกเองก็อยากให้ทุกคนในที่ประชุมแห่งนี้ได้รับรู้เรื่องต่อจากนี้เอาไว้ด้วย”

    พูดเสร็จเรนอิจิก็หันหน้าไปทางข้างหลังของตัวเอง ซึ่งที่ข้างหลังของเขานั้นก็มีฮาสึโนะยืนคอยอยู่

    “ฮาสึโนะออกมาสิ”

    “อืม”

    สิ้นเสียงขานรับของฮาสึโนะ ร่างของหญิงสาวก็เดินออกมาจากทางข้างหลังของเรนอิจิ ด้วยความงามของเธอนั้นทำให้คนทั้งหลายในที่ประชุมแทบที่จะลืมหายใจกันไปเลยทีเดียว

    และบางคนก็ถึงกับเพ้อออกมาไม่เป็นศัพท์ เพราะความงดงามหมดจดดั่งนางฟ้านางสวรรค์ของฮาสึโนะที่ส่องประกายไปทั่วห้องประชุม

    คนในห้องประชุมต่างสติหลุดลอยไปเมื่อได้พบสบตากับฮาสึโนะ ดวงตาสีน้ำผึ้งทองที่น่าหลงใหลและสะกดดวงวิญญาณทุกคนให้อยู่กับที่

    ฮาสึโนะส่งยิ้มหวานออกมาพร้อมกับกล่าวคำทักทายทุกคนในที่ประชุมด้วยน้ำเสียงที่มีมารยาทและสุภาพอ่อนโยน

    “สวัสดีค่ะ ดิฉันฮาสึโนะค่ะ”

    และแล้วการกระทำของเธอนั้นก็ทำให้ทุกคนในที่ประชุมต่างหลงลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนโลกมนุษย์หาใช่บนสรวงสวรรค์อย่างที่พวกเขากำลังคิดอยู่ไม่

    แต่ว่ารอยยิ้มของฮาสึโนะนั้นมันก็ทรงอานุภาพเกินกว่าที่พวกเขาจะคิดเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนสรวงสวรรค์ เพราะต้องเป็นบนสรวงสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถมีนางฟ้ามาปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาได้แบบนี้

    ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงในรูปโฉมของฮาสึโนะอยู่นั้น เรนอิจิก็ได้พาเธอเข้ามานั่งที่ใจกลางห้องพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเธอให้ทุกคนได้รู้จักอีกครั้งอย่างเป็นทางการ

    “นี่คือฮาสึโนะ เธอเป็นคู่พันธสัญญาของผมเองครับ”

    หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเรนอิจิทุกคนในที่ประชุมก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาต่างรู้ดีว่าเรนอิจิปฏิเสธการมีคู่พันธสัญญามากแค่ไหน เพราะเรื่องที่เรนอิจิเคยโดนจับให้ทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกับตระกูลชิชิโดที่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับตระกูลยูโนะซากิ เขาก็เกือบที่จะทำให้คฤหาสน์หลังนี้ระเบิดมาแล้วด้วยพลังขอเขา และถ้าท่านเจ้าบ้านไม่ห้ามเอาไว้ซะก่อน พวกเขาคงจะได้สร้างคฤหาสน์หลังใหม่แทนที่ไปแล้ว

    ดังนั้นเรื่องที่เรนอิจิได้เอาคู่พันธสัญญาของตัวเองมาแนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาตั้งตัวกันไม่ถูกเลยทีเดียว

    พวกเขาต่างสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆเรนอิจิถึงได้มีคู่พันธสัญญาได้ ทั้งๆที่เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยกดดันให้เรนอิจิมีคู่พันธสัญญาไปแล้วแต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้งเดียว

    แต่ตอนนี้กลับเป็นเรนอิจิเองที่พาคู่พันธสัญญามาให้พวกเขาได้รู้จัก

    “ท่านเจ้าบ้านท่านรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่”

    ผู้อาวุโสฮิโต้หันไปถามชินอิจิผู้เป็นเจ้าบ้านของตระกูลยูโนะซากิอย่างสงสัย เพราะเรื่องนี้แทบที่จะไม่มีข่าวคราวให้พวกเขาได้รับรู้มาก่อนเลยว่าเรนอิจิกำลังจะมีคู่พันธสัญญา

    “ไม่รู้สิเขาเองก็ไม่ได้บอกข้าเอาไว้ก่อนเหมือนกัน สงสัยจะต้องถามเจ้าตัวดูเองแล้วล่ะ อ่าวว่ายังไง...เรนอิจิเจ้าลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเจ้าไปพาแม่หนูผู้งดงามคนนี้มาจากไหน?”

    ชินอิจิหันกลับไปคาดคั้นคำตอบจากเรนอิจิลูกชายของเขาแทน เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้มันถึงได้ผ่านหูผ่านตาเขาไปแบบที่เขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

    “ขออภัยครับที่ผมไม่ได้บอกท่านเจ้าบ้านเอาไว้ก่อน แต่ผมเองก็เพิ่งจะได้พบกับเธอเมื่อคืนนี้เองครับ และเธอเองก็ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้จากอาการบาดเจ็บทางวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับปีศาจงูขาวธารหิมะเมื่อคืนนี้ครับ”

    เมื่อเรนอิจิเล่าจบ คนในห้องประชุมก็เริ่มที่จะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างคร่าวๆ เพราะการจะรักษาอาการบาดเจ็บทางวิญญาณได้นั้นจะต้องให้คู่พันธสัญญาช่วยรักษาให้อย่างเดียว

    “อืม...นี้คงจะเป็นพรหมลิขิตของฟ้าสินะที่ทำให้พวกเจ้าได้ทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกัน ดี!!...ดีมาก ฮ่าๆๆ”

    ชินอิจิพูดเสร็จก็อดที่จะยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาไม่นึกเลยว่าลูกชายของเขาจะสามารถหาหญิงสาวที่สวยสดงดงามขนาดนี้มาเป็นคู่พันธสัญญาได้ เรียกได้ว่าเชื่อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ชินอิจิคิดได้อย่างนั้นก็หัวเราะอยู่ในใจต่ออย่างมีความสุข

    “เอ่อ! แล้วนี้พวกเจ้าจะแต่งงานกันเมื่อไรเหรอ? ข้าจะได้เตรียมงานให้ได้ทัน”

    คำถามที่ไม่ทันได้ตั้งตัวของชินอิจิผู้เป็นเจ้าบ้านตระกูลยูโนะซากิทำให้ ทั้งเรนอิจิและฮาสึโนะต่างก็ถึงกับสะดุ้งและเริ่มจะนั่งไม่ติดพื้น ฮาสึโนะรีบส่งกระแสจิตทางสายตาไปหาเรนอิจิทันที

    ‘นี้!! ใครเป็นคนบอกนายกันว่าฉันจะแต่งงานกับนายด้วยห๋า’

    เมื่อได้มองตาของฮาสึโนะเรนอิจิก็รู้ได้ถึงความในใจของเธอทันที

    ‘ก็ไม่มีใครบอกหรอก... แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะคุยกับท่านพ่อให้เอง’

    เรนอิจิส่งสายตากลับไปให้ฮาสึโนะ พร้อมกับหันไปสบสายตากับพ่อแทนและเริ่มเอ่ยคำพูดของตัวเองออกมา

    “เรื่องการแต่งงานคงจะยังก่อนครับท่านเจ้าบ้าน เพราะเธอเพิ่งจะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติในปีนี้เองครับ”

    “อ้อ!!... อย่างนั้นหรอกเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร เอาไว้แต่งงานกันหลังเรียนจบก็ยังไม่สาย ฮ่าๆๆๆ”

    ชินอิจิรู้สึกดีใจมากที่เขาได้รับลูกสะใภ้ที่มีความงามระดับนางฟ้านางสวรรค์ จนเขาลืมถามเธอไปเลยว่าเธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน เพราะการที่ลูกชายตัวดีของเขายอมหาผู้หญิงมาแต่งเข้าบ้านได้มันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ?

    ว่าแล้ววันนี้ทั้งวันชินอิจิก็ได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกสะใภ้ของเขาอย่างยิ่งใหญ่ทันที เพื่อแสดงความยินดีให้กับลูกชายและลูกสะใภ้ของเขา

    แล้วอีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อที่จะได้ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ถึงอำนาจของตระกูลยูโนะซากิที่กำลังจะยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นด้วยพลังอำนาจของเรนอิจิที่เพิ่มขึ้นมาด้วยการทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกับฮาสึโนะผู้เป็นลูกสะใภ้ของเขา


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×