ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 ความมืดในป่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.14K
      58
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 3

    ความมืดในป่า


    ณ ใจกลางหุบเขารกร้างที่ไม่มีใครรู้จักและห่างไกลความเจริญของทุกอย่าง ที่ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่อย่างระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ และมันก็เงียบเชียบซะจนเหมือนกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในหุบเขารกร้างแห่งนี้เลย

    แต่ใครจะไปรู้ว่าภาพทั้งหมดที่พวกเขาเห็นนั้นมันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่ตระกูลนักปราบผีนากามูระสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ปกปิดสถานที่หลบซ่อนตัวมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

    ตระกูลนากามูระเป็นตระกูลนักปราบผีที่ใช้ศาสตร์มืดในการปราบผี หรือจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ใช้พลังปีศาจในการปราบปีศาจด้วยกันเองก็ว่าได้

    พวกเขาหลบซ่อนตัวจากสายตาของผู้คนมานานมากกว่า100ปีแล้วภายใต้คฤหาสน์ที่กว้างใหญ่และถูกปกป้องเอาไว้ด้วยขอบข่ายเวทมนตร์โบราณที่แข็งแกร่งของตระกูลนากามูระ

    พวกเขาได้มาหลบซ่อนตัวในที่แห่งนี้ หลังจากที่ถูกกดดันและขับไล่ออกจากการเป็นนักปราบผีเพียงเพราะว่าพลังที่พวกเขาใช้นั้นถูกหาว่าเป็นพลังนอกรีต เป็นสิ่งน่ารังเกียจที่ได้รับมาจากปีศาจ และไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สมควรจะนำเอามาใช้หรือมีเอาไว้ครอบครอง


    ภายในคฤหาสน์ตระกูลนากามูระ ห้องพบปะขนาดกว้างใหญ่ที่ซึ่งเปิดโล่งและสามารถบรรจุคนได้หลายพันคน ได้มีเสียงพูดคุยของคนสองคนที่อยู่ใจกลางห้อง

    “ยามิ ตุ๊กตาปีศาจที่ให้เจ้าเอาไปใช้เป็นยังไงบ้างจงรายงานข้ามา”

    น้ำเสียงของบุรุษวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าบ้านของตระกูลนากามูระดังผ่านม่านไม้ไผ่ไปยังเด็กสาวที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า

    แววตาของเด็กสาวที่ชื่อยามิแน่นิ่งไร้ความรู้สึกเหมือนกับตุ๊กตาที่ไม่มีชีวิตและจิตใจ เธอถูกตระกูลของนากามูระฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้เป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของตระกูลซึ่งถ้านับวันเวลาแล้วตอนนี้เธอก็อายุได้ประมาณ15ปีแล้ว

    ยามิเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดรายงานทุกอย่างให้กับเจ้าบ้านตระกูลนากามูระ ที่เป็นเจ้านายของตัวเอง

    “สำหรับตุ๊กตาปีศาจชนิดธรรมดานั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ที่มีปัญหาก็มีเพียงแต่ตุ๊กตาปีศาจระดับเทพปีศาจเท่านั้นที่ยังไม่สามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ แต่เรื่องพลังอำนาจของมันนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะมันสามารถกำจัดนักปราบผีของตระกูลยูโนะซากิได้ถึง 34คนก่อนที่มันจะเสียชีวิต”

    หลังจากที่เจ้าบ้านตระกูลนากามูระได้ฟังคำรายงานของยามิเขาก็ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆด้วยน้ำเสียงชอบใจ

    เขาไม่นึกเลยว่าคนของตระกูลยูโนะซากิจะพากันมาตายแบบโง่ๆถึง34คน กับตุ๊กตาเทพปีศาจระดับต่ำๆของเขาที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ทดสอบอะไรบางอย่างนิดๆหน่อยๆเท่านั้นก่อนที่เขาจะเอามันไปทิ้งถังขยะ แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะสามารถฆ่าพวกองเมียวของตระกูลยูโนะซากิได้มากมายถึงเพียงนี้

    และการตายของพวกองเมียวตระกูลยูโนะซากิก็ทำให้เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตระกูลยูโนะซากินั้นอ่อนแอลงกว่ากาลก่อนเพียงใด

    แล้วทีนี้จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไรในเมื่อศัตรูของเขาอ่อนแอลงถึงขนาดนี้

    แต่จะว่าไปในใจลึกๆของเขากลับรู้สึกท้อ เพราะศัตรูคู่อาฆาตที่เขาเคยเกรงกลัวและเคยเคารพนับถือในความเก่งกาจเมื่อกาลก่อนกลับอ่อนแอลงจนน่าใจหาย พวกเขาอ่อนแอลงมากเกินไป!!

    ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนกับถูกเหยียบใบหน้าด้วยเท้าก็ไม่ปาน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาเคยเกรงกลัวกลับพ่านแพ้ให้กับปีศาจที่กำลังจะทิ้งลงถังขยะของเขา มันน่าเจ็บใจจริงๆ

    แต่ถึงอย่างนั้นแผนการ100ปีของตระกูลนากามูระก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป และตระกูลยูโนะซากิจะต้องถูกกำจัดลงเป็นตระกูลแรกเมื่อแผนการทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้น

    "ตระกูลยูโนะซากิ!! ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเจ้าจะอ่อนแอลง แต่ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกเจ้า!! ความแค้นที่ถูกไล่ล่าฆ่าล้างตระกูลเมื่อ100ปีก่อนจะต้องได้รับการสะสาง"

    เจ้าบ้านนากามูระกล่าวออกมาพร้อมกับกำมือแน่นที่หน้าอก เขาจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันอย่างเด็ดขาดไม่มีวัน ไม่เขาหรือพวกมันจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง พวกเขาไม่มีทางอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้ ความแค้น100ปีจะต้องถูกสะสาง

    ******

    ตัวรถสุดหรูที่ถูกขับโดยพ่อบ้านตระกูลยูโนะซากิ กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่โตเกียวเมืองหลวงที่เป็นจุดศูนย์กลางของประเทศญี่ปุ่น

    พ่อบ้านตระกูลยูโนซากิมองดูผู้โดยสารที่กำลังนั่งอยู่ตรงเบาะหลังด้วยกระจกมองหลัง ข้างหลังของเขานั้นประกอบด้วยยูโนะซากิ เรนอิจิผู้เป็นเจ้านายของเขาและหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหรือเคยรู้จักมาก่อน

    แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเจ้านาย ดังนั้นเขาจึงได้แต่ขับรถไปเฉยๆอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร

    ระหว่างที่ตัวรถกำลังเคลื่อนที่เข้าสู่ตัวเมืองใหญ่ที่คับคั่งไปด้วยผู้คนและตึกสูงมากมายอยู่นั้น

    ปทุมมาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอลืมถามชื่อของคนที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างเธอตอนนี้ไปซะสนิท ดังนั้นเธอจึงลองเอ่ยปากถามชื่อของเขาดูเพื่อทำความรู้จัก

    “นี่? นายชื่ออะไรนะ แนะนำตัวหน่อยสิ”

    น้ำเสียงที่ถูกเอ่ยถามออกมาจากปากของหญิงสาว ทำให้เรนอิจิก็ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

    “นี้เธอไม่รู้จักชื่อฉันอย่างนั้นเหรอ?”

    เรนอิจิรู้สึกแปลกใจมากที่หญิงสาวไม่รู้จักชื่อของเขา ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นถึงองเมียวอัจฉริยะแห่งตระกูลยูโนะซากิ ซึ่งเป็นตระกูลองเมียวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นในขณะนี้แท้ๆ

    เขานะได้ออกหนังสือแทบทุกเล่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้ศาสตร์องเมียว ทีวีแต่ละช่องต่างก็รายงานข่าวของเขาแทบทุกวันจนเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวัน

    แต่เธอคนนี้กลับถามเขาว่าชื่ออะไร แล้วทีนี้จะไม่ให้เขาตกใจได้ยังไง

    “ก็ใช่นะสิ ถ้าฉันรู้ว่านายชื่ออะไรแล้วฉันจะถามนายไปทำซากอะไร ทำอย่างกับว่าตัวเองมีชื่อติดอยู่บนหน้าผากให้ฉันอ่านอย่างนั้นแหละ”

    เมื่อหญิงสาวพูดเสร็จเรนอิจิก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความงุนงงเข้าไปอีก

    “นี้ตกลงว่าเธอไม่รู้จักชื่อฉันจริงๆเหรอ?”

    “ก็ใช่นะสิ นายนี้ก็ชอบถามอะไรแปลกๆนะ ฉันจะไปรู้จักชื่อนายได้ยังไงถ้านายไม่ยอมบอกนะ?”

    ปทุมมาตอบชายหนุ่มกลับไปด้วยความรำคาญนิดๆ แต่เธอไม่รู้หรอกว่าคำตอบของเธอนั้นทำให้เขารู้สึกหนักใจมากแค่ไหน

    เรนอิจิตั้งสติขึ้นมาใหม่พร้อมกับถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะเริ่มบอกชื่อของตัวเองออกไปให้หญิงสาวได้รับรู้

    “เรนอิจิ... ยูโนะซากิ เรนอิจิเธอจะเรียกฉันว่าเรนอิจิก็ได้ฉันไม่ว่าหรอก”

    “อืม เรนอิจิใช่ไหม ฉันชื่อปทุมมา แก้วมณียินดีที่ได้รู้จัก”

    ปทุมมาเองก็ตอบเรนอิจิกลับไปด้วยความยินดี

    “อืม ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ปะทุมะ”

    ปทุมมาผู้เป็นเจ้าของชื่อถึงกับสะอึก เมื่อเธอได้ยินวิธีการเรียกชื่อของชายหนุ่มผู้มีสัญชาติญี่ปุ่น ถึงเธอจะคิดว่าชื่อของเธอคงจะอ่านยากไปสักหน่อยสำหรับเขาที่เป็นชาวญี่ปุ่น แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าออกเสียงให้ชื่อของเธอเป็นเหมือนกับกุ้งเทมปุระจะได้ไหม เพราะเธอรับมันไม่ได้จริงๆ

    “อะ...เออ... เอาเป็นว่า เรียกฉันว่าฮาสึโนะก็แล้วกัน”

    ปทุมมาตอบกลับไปอย่างท้อใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังดีกว่าให้เขาเรียกเธอว่าปะทุมะไปตลอด เพราะไม่แน่ว่าถ้าเธอได้อยู่กับเขานานๆเข้า เธออาจจะเรียกตัวเองว่าปะทุมะหรือเทมปุระขึ้นมาสักวันหนึ่งก็เป็นได้ ถ้าเธอถูกเขาเรียกชื่อแบบนั้นเข้าบ่อยๆทุกๆวันทุกๆคืนในตลอดหนึ่งปีหรือสองปีละก็นะ

    “อืม...ฮาสึโนะ แล้วเธอมาทำอะไรที่ญี่ปุ่นนี้ล่ะ”

    ชายหนุ่มถามผู้เป็นคู่สัญญาของเขาอย่างสงสัย เพราะจากที่ได้คุยได้ฟังมาเธอคงจะไม่ใช่คนญี่ปุ่นอย่างแน่นอนและก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นนี้ด้วย

    “มาสอบเข้าโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติที่ญี่ปุ่นนะ” ฮาสึโนะตอบ

    “อืมอย่างนั้นเหรอ แล้วเป็นไงบ้างสอบผ่านไหม?”

    เรนอิจิถามพร้อมกับรอฟังคำตอบของฮาสึโนะอย่างตั้งใจ

    “ผ่านกับผีนะสิ! สอบตกตั้งแต่ข้อเขียนยันข้อปฏิบัติเลย”

    พูดเสร็จฮาสึโนะก็รู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้ เพราะถ้าที่เธอเรียนมากับที่เขาออกสอบตรงกันแล้วละก็ เธอคิดว่าเธอคงจะไม่ถึงกับต้องตกต่ำและย่ำแย่ถึงเพียงนี้หรอก

    แต่จะโทษก็คงจะต้องโทษตัวเธอเองที่เรียนมาไม่ตรงกับที่เขาออกข้อสอบกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เธอจะพลาดตั๋วใบสุดท้ายที่จะพาเธอเข้าสู่โรงเรียนสอนปราบผีและกลายเป็นนักปราบผีอย่างที่เธอใฝ่ฝัน

    “หึหึหึๆ”

    เสียงหัวเราะที่ไม่พึงประสงค์ดังขึ้นมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง ด้วยความโมโหฮาสึโนะจึงพานใส่ชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะเธออยู่ทันทีด้วยความโกรธ

    “มีอะไรน่าหัวเราะย่ะ นายเห็นเรื่องสอบตกเป็นเรื่องน่าตลกหรือยังไง? มันไม่ขำหรอกนะขอบอก!!”

    ฮาสึโนะขึ้นเสียงกับชายหนุ่มทันทีที่ถูกเขาหัวเราะ เธอจ้องตาเขาเขม็งราวกับว่าเธอพร้อมที่จะจู่โจมเขาอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาพูดอะไรที่มันฟังแล้วไม่เข้าหูเธอออกมาอีกครั้ง

    แต่เธอไม่รู้หรอกว่าท่าทางที่เธอแสดงนั้นมันไม่สามารถทำให้ใครเขากลัวเธอได้หรอก เพราะแววตากลมโตที่น่ามองหลังกรอบแว่นนั้น มันไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

    แต่มันกลับทำให้เธอดูน่ารักจนเขาอยากที่จะแกล้งเธอให้มากขึ้นไปอีก เพื่อที่จะได้มองเห็นท่าทีแสนงอนที่น่ารักของเธออีกครั้งหนึ่ง

    “หึๆ ขอโทษทีพอดีมันอดที่จะขำไม่ได้นะ แต่ว่าเรื่องนี้ฉันสามารถช่วยเธอได้น่ะ”

    เมื่อได้ยินคำพูดของเรนอิจิ ฮาสึโนะก็ถึงกับรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเขาจะสามารถช่วยอะไรเธอได้

    “โยดะ ช่วยส่งเอกสารที่ต้องใช้ในการเข้าเรียนมาให้ฉันหน่อยสิ”

    เมื่อได้รับคำสั่งโยดะที่เป็นพ่อบ้านส่วนตัวของเรนอิจิก็รื้นค้นเอกสารอย่างว่องไวโดยที่สายตาของเขาไม่ได้ห่างไปจากภาพบนท้องถนนที่อยู่ตรงหน้าเลย ราวกับว่าเขาสามารถจดจำได้ทั้งหมดว่าเอกสารฉบับไหนอยู่ตรงไหนบ้าง

    และนี้คงเป็นหนึ่งในความสามารถของโยดะพ่อบ้านวัย45ปีของตระกูลยูโนะซากิ

    “นี้ครับนายท่าน เอกสารที่ใช้สำหรับการเข้าเรียน”

    โยดะส่งเอกสารทั้งหมดให้กับเจ้านายของเขาที่นั่งอยู่ข้างหลัง เรนอิจิรับมันเอาไว้ก่อนที่เขาจะส่งต่อมันไปให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง

    “เอาไปเขียนสิ แล้วเธอจะได้เป็นนักเรียนของสมาพันธ์โรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติประจำสาขาญี่ปุ่นสักที”

    หลังจากที่ได้ฟังชายหนุ่มพูด ฮาสึโนะก็รีบรับเอกสารนั้นมาดู และพอเธอกวาดสายตาอ่านเอกสารนั้นไปได้มาสักพัก เธอก็ถึงกับช็อกจนต้องแน่นิ่งนั่งอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้นกว่า3นาทีก่อนที่เธอจะร้องตะโกนออกมาซะดังลั่นรถ

    “อ๊าาาาๆ นี้มันเป็นเรื่องโกหกใช่ไหมเนี้ย!!”

    ฮาสึโนะพยายามพลิกหน้ากระดาษดูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่เธอก็ยังไม่สามารถเชื่อได้เลยจริงๆว่ามันคือเอกสารสำหรับการเข้าเรียนและศึกษาต่อที่สมาพันธ์โรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติประจำสาขาญี่ปุ่น

    แต่หลังจากที่เธอได้พูดคุยกับเรนอิจิมากขึ้นก็ทำให้เธอรู้ว่าเขามีชื่อเสียงโด่งดังมากแค่ไหน

    ตระกูลของเขาเป็นถึงตระกูลนักปราบผีอันดับ1ของญี่ปุ่นที่มีอำนาจมากมายและมีเงินทองกองล้นฟ้าที่ใช้ยังไงก็ไม่หมด

    เรนอิจิเป็นองเมียวอัจฉริยะที่มีฝีมือยอดเยี่ยมระดับมาสเตอร์ และมีชื่อเสียงติดอยู่หนึ่งในสิบของยอดฝีมือแห่งเกาะญี่ปุ่นทั้งๆที่ยังไม่มีคู่พันธสัญญา

    ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากสำหรับทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นฝีมือของเขาก็เป็นของจริงดังนั้นจึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขาไม่เหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว

    ปัจจุบันเขาเป็นถึงผอ.ของสมาพันธ์โรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติประจำสาขาญี่ปุ่น และด้วยอำนาจที่เขามีจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะสามารถทำให้ฮาสึโนะมีชื่ออยู่ในทะเบียนนักศึกษาของโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติได้ โดยที่เธอแค่เพียงออกแรงเขียนชื่อและประวัติส่วนตัวลงในกระดาษสีขาวตรงหน้าเท่านั้น

    ถึงแม้ว่ามันจะดูโกงไปสักนิดในความคิดของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นนี้มันก็เป็นโอกาสทองครั้งสุดท้ายของเธอแล้วที่จะได้เป็นนักปราบผีอย่างเต็มภาคภูมิ เหมือนกับที่เธอได้ฝันเอาไว้

    ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธมัน ถึงแม้ใครจะหาว่าเธอโกงยังไงแต่เธอก็ได้สิทธิ์นี้มาอย่างถูกต้องและชอบธรรม ถึงแม้ว่ามันจะดูนอกกรอบไปบ้าง แต่สำหรับเธอแล้วมันก็ยังถือว่าพอที่จะรับได้อยู่

    ดังนั้น...เซ็นโลด!!


    รถหรูขับผ่านกำแพงหินที่ทอดยาวมาจนถึงประตูไม้ขนาดใหญ่ที่มีชื่อป้ายเขียนอยู่ข้างกำแพงว่า ‘ตระกูลยูโนะซากิ’

    ประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมกับรถหรูที่ขับผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ

    ฮาสึโนะรีบเอาหน้าของตัวเองไปแนบติดขอบหน้าต่างรถทันทีที่รถหรูเคลื่อนตัวผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป

    ภาพที่เธอเห็นนั้นทำให้เธอถึงกับอ้าปากค้าง เธอไม่คิดเลยว่าจะมีภูเขาสูงใหญ่ขนาดนี้อยู่ใจกลางกรุงโตเกียว แล้วไหนจะภาพของใบไม้ที่กำลังผลิใบนั้นอีก

    ให้ตายสิ! นี้มันหน้าหนาวนะ ฮาสึโนะบ่นอยู่ในใจเมื่อเห็นภาพของดอกซากุระและใบเมเปิ้ลมากมายที่กำลังผลิบานอยู่ตลอดเส้นทางที่ตัวรถขับผ่าน

    เธอมองกลับไปข้างหลังข้ามกำแพงหินนั้นออกไป ภาพที่เธอเห็นก็ทำให้เธอถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะข้างนอกกำแพงหินนั้นเธอยังคงมองเห็นภาพความหนาวเหน็บของปุยหิมะที่พัดผ่านล้อมรอบตึกสูงสีคอนกรีตพวกนั้นอยู่เลย

    แต่ทำไมในนี้กลับดูอบอุ่นเหมือนกับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิอยู่ซะงั้น ฮาสึโนะรู้สึกงงจริงๆ

    รถหรูขับผ่านบ้านโบราณทรงญี่ปุ่นมากมายขึ้นไปบนภูเขาสูง ตัวรถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนเธอเริ่มที่จะมองเห็นภาพพื้นที่ทั้งหมดของตระกูลยูโนะซากิที่ถูกห้อมล้อมเอาไว้ด้วยรั้วกำแพงหิน

    “ว้าว!!”

    ฮาสึโนะรู้สึกเหมือนหัวใจพองโตขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นภาพความสวยงามของตระกูลยูโนะซากิจากมุมสูง

    สีของค่ำคืนที่กำลังตัดผ่านภาพของต้นไม้และลำธารนั้นมันดูสวยงามจนเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์ยังไงยังงั้น

    แสงสว่างเล็กๆจากโคมไฟหินที่อยู่ข้างล่างทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้มองเห็นหิ่งห้อยตัวเล็กๆที่กำลังบินอยู่ในความมืดเหนือผืนผ้าใบสีดำขนาดใหญ่ที่ซึ่งถูกวาดเขียนออกมาด้วยจิตรกรฝีมือเอกแห่งยุค

    ฮาสึโนะจดจำภาพเหล่านั้นเอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เธอรู้สึกรักที่นี้เป็นอย่างมาก และเธอเองก็จะไม่มีทางยอมพลาดโอกาสที่จะได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน

    เธอสัญญากับตัวเองเอาไว้อย่างนั้น

    ในที่สุดฮาสึโนะก็นั่งรถขึ้นมาถึงยอดเขาที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลยูโนะซากิ และเมื่อเธอได้เดินเข้ามาภายในตัวอาคาร เรนอิจิก็สั่งให้สาวใช้คนหนึ่งที่อยู่แถวนั้นพาฮาสึโนะไปยังห้องพักพิเศษที่อยู่ติดกับห้องของเขา ก่อนที่เขาจะขอตัวแยกออกไปทำธุระของตัวเอง

    ฮาสึโนะได้เดินตามสาวใช้คนนั้นไปตามระเบียงทางเดินที่ทำจากไม้เนื้อดี เธอเดินผ่านสวนหย่อมหลายแห่งจนมาถึงห้องพักที่เป็นเป้าหมาย

    เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปเธอก็พบกับตัวห้องขนาด10เสื่อที่มีอยู่หลายห้อง ซึ่งพอนับรวมกันแล้วมันใหญ่กว่าห้องพักเก่าของเธอที่มีขนาดแค่เพียง3เสื่อราวกับอยู่คนละโลก

    ฮาสึโนะไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่า เธอรีบวิ่งสำรวจห้องพักไปทั่วทันทีราวกับเด็กๆ

    “ถ้าต้องการอะไรก็เรียกใช้ได้เสมอนะเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าและที่นอนเดี๋ยวดิฉันจะจัดเตรียมเอาไว้ให้”

    “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะค่ะที่ช่วยนำทางให้” ฮาสึโนะกล่าวขอบคุณ

    “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว”

    เมื่อสาวใช้พูดจบเธอก็ถอยหลังเดินจากไป เพื่อจัดเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้กับผู้มาใหม่อย่างฮาสึโนะ

    ทันทีที่สาวใช้คนนั้นจากไป ฮาสึโนะก็เริ่มเดินสำรวจห้องพักของตัวเองต่อทันที เธอเที่ยวเดินเปิดปิดประตูห้องนู้นประตูห้องนี้ไปทั่ว จนในที่สุดเธอก็ได้พบกับห้องอาบน้ำขนาดใหญ่ และภายในห้องอาบน้ำนั้นมันก็มีบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งขนาดใหญ่อยู่ซะด้วยสิ เธออยากรู้จริงๆเลยว่าเจ้าบ้าเรนอิจินั้นทำไมมันถึงได้รวยขนาดนี้ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งรู้สึกอิจฉาในความรวยของเรนอิจิ

    "เป็นคนที่น่าหมั่นไส้จริงๆ" ฮาสึโนะบ่น

    แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อเธอได้เห็นบ่ออาบน้ำร้อนกลางแจ้ง เธอก็ไม่คิดอะไรต่ออีกแล้วนอกจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วกระโดดลงบ่อน้ำร้อนไป

    ตูม!!

    เสียงน้ำแตกกระจายพร้อมๆกับร่างของหญิงสาวที่วิ่งกลับขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนทันทีที่กระโดดลงไปถึง

    “ร้อนๆๆๆ ทำไมมันร้อนอย่างงี้เนี้ย!!”

    ฮาสึโนะร้องลั่นพร้อมกับรีบวิ่งไปยังฝักบัวที่อยู่ตรงหน้า เธอรีบเปิดน้ำเย็นราดตัวอย่างว่องไว

    ซ่าาาา!! 

    และเมื่อน้ำเย็นไหลผ่านร่างกายของเธอ ฮาสึโนะก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    “เฮ้อ...รอดไปที”

    หลังจากที่เจอดีเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ฮาสึโนะก็กลับมาลงบ่อน้ำร้อนอีกครั้งด้วยความใจเย็น ครั้งนี้เธอค่อยๆจุ่มเท้าของตัวเองลงไปแทน ก่อนที่จะค่อยๆเอาตัวลงไปแช่ในบ่อน้ำร้อน

    “อ้าาา...สบายตัวดีจัง”

    ฮาสึโนะกล่าวพร้อมกับหลับตาลงและค่อยๆซึมซับความสุขเข้าไปอย่างช้าๆ อา...มันคือสวรรค์ฮาสึโนะคิด

    สำหรับเธอแล้ววันนี้มันช่างวุ่นวายและเหนื่อยซะจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าทำไมเรื่องอะไรต่อมิอะไรมันถึงได้นัดมารวมตัวกันอยู่ในวันนี้วันเดียวด้วยก็ไม่รู้ ทั้งเรื่องสอบตก ทั้งเรื่องห้องพักถูกไฟไหม้ แล้วไหนจะเรื่องที่เธอโดนเรนอิจิจับทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณอย่างไม่ได้ตั้งใจอีก

    ให้ตายสิถึงแม้ว่าเขาจะหล่อรวยน่ารักและมีชาติตระกูลดี แต่ถึงอย่างนั้น... แต่ถึงอย่างนั้น... เธอก็... เธอก็...

    ‘อ้าย!!’

    ฮาสึโนะรีบเอาหน้ามุดลงใต้น้ำด้วยความอายทันที เมื่อเธอคิดถึงชายหนุ่มที่เธอได้โอบกอดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

    การทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกันนั้น ผู้ที่ทำจะได้รับผลลัพธ์ของพันธสัญญาอยู่5ข้อใหญ่ๆด้วยกัน

    1.คือได้รับพลังเพิ่มขึ้นเป็น2เท่าตัวจากที่มีอยู่เดิม

    2.คู่พันธสัญญาจะมีความรู้สึกที่เชื่อมถึงกันถ้าได้อยู่ใกล้ๆ

    3.ในระหว่างที่ทั้งคู่อยู่ห่างไกลกันมากๆจนความรู้สึกที่เชื่อมต่อขาดออกจากกัน พลังของทั้งคู่ก็จะถูกลดลงเหลือ1ใน4ของพลังทั้งหมดจนกว่าความรู้สึกของทั้งคู่จะเชื่อมต่อกันอีกครั้งหนึ่ง

    4.ถ้าคู่พันธสัญญาเกิดเสียชีวิตขึ้นมา พลังทั้งหมดที่มีอยู่ก็จะสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น

    5.พันธสัญญาไม่อาจจะยกเลิกได้จนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะจบชีวิตลง

    และนั่นคือผลลัพธ์ทั้งหมดของการทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณที่ฮาสึโนะรู้จัก ซึ่งในความคิดของเธอแล้วมันช่างเป็นอะไรที่ขาดทุนแบบสุดๆ เพราะถ้าเกิดเรนอิจิตายขึ้นมา พลังทั้งหมดของเธอที่อุตส่าห์ฝึกมาตลอด10ปีก็คงจะสูญสลายหายไปจนหมดสิ้นไม่เหลืออะไรเอาไว้ให้เธอดูต่างหน้า

    และการที่เธอได้พลังเพิ่มขึ้นเป็น2เท่าตัวจากผลของพันธสัญญานั้นมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย เพราะก่อนที่เธอจะได้ทำพันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกับเรนอิจิก็ไม่เคยมีปีศาจภูตผีตนไหนสามารถทนมือทนเท้าของเธอได้เกินกว่าหนึ่งกระบวนท่าอยู่แล้ว

    ซึ่งรวมๆแล้ว การทำพันธสัญญาในครั้งนี้ของเธอก็เป็นอะไรที่ไม่มีกำไรเอาซะเลย แถมยังจะขาดทุนอีก

    “เฮ่ย...สงสัยคงจะต้องฝึกสิ่งนั้นจริงๆแล้วสินะ”

    เมื่อคิดถึงสิ่งนั้นฮาสึโนะก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็คิดว่าตอนนี้มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอแล้ว และการที่เธอมีพลังมากขึ้นเป็นสองเท่าจากปกติมันก็ช่วยให้เธอสามารถฝึกสิ่งนั้นได้ง่ายขึ้นไปด้วย



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×