ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Fallin' all in you [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #4 : ♥ Fallin' 03 ♥

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 63




    Fallin’ 03

    Don't mess with me!

    อย่าลองดีกับเฮีย!

     

                จะว่าไปแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วกว่าที่ฉันคิดเหมือนกัน เผลอๆก็ครบอาทิตย์แล้วที่ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลคิม และสถานะสามีภรรยาระหว่างเฮียวีกับฉันก็ยังคงดำเนินต่อไปเช่นกัน

                เสียงเพลงบรรเลงกีต้าร์แนวอะคูสติกที่เปิดคลออยู่เบาๆช่วยทำให้บรรยากาศในรถอึดอัดมากจนเกินไป วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก และเฮียวีก็อาสามาส่งฉันที่โรงเรียนทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปากขอ ไม่เชิงว่าการกระทำที่ว่าเป็นความมีน้ำใจของเขาแต่คล้ายกับเป็นหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่า ช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านกับเฮียวีทำให้ฉันรับรู้บางอย่าง

                เขาไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชาหรือปิดกั้น แต่ว่าภายใต้รอยยิ้มจางๆที่มักจะส่งให้ไม่เคยแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเลยสักครั้ง

                ฉันว่าข้อนั้นแหละที่น่ากลัว

                หลุบสายตามองแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายก่อนจะลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ แค่แหวนกะรัตเพชรวงเล็กๆแต่กลับหนักอึ้งเหลือเกินในความรู้สึก ลากสายตามองไปนอกหน้าต่างพร้อมกับปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อยจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของคนข้างๆ

                “เพ่ยอิง”

                “คะ?” สะดุ้งเมื่อเสียงทุ้มเรียกชื่อเต็ม ฉันรีบหันกลับไปทางเฮียวีที่ยังคงประคองพวงมาลัยพร้อมกับมองตรงไปยังถนนเบื้องหน้า สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะออกปากถาม “เฮียจะคุยอะไรกับเราหรือเปล่า”

                “เหม่ออะไร เฮียเรียกตั้งหลายรอบแล้ว” คราวนี้เขายอมละสายตากลับมามองฉัน คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมว่าคล้ายสงสัย เว้นวรรคไปครู่เดียวเขาก็ถามต่อ “เย็นนี้เฮียจะมารับ น้องล่ะเลิกงานกี่โมง”

                “ประมาณห้าโมงครึ่งค่ะ แต่ก็ต้องคอยส่งเด็กๆให้กลับบ้านให้ครบทุกคนก่อน”

                คุณครูประจำชั้นอนุบาลอย่างฉันไม่มีเวลาเลิกงานที่แน่นอนหรอก ขึ้นอยู่กับว่าเด็กๆกลับกันกี่โมง ถ้าเจ้าตัวดื้อทั้งหลายกลับกันเร็ว ฉันก็จะได้กลับเร็วตาม แต่วันนี้คงไม่น่าห่วงเท่าไหร่เพราะเพิ่งจะเปิดเทอมวันแรก พนันได้เลยว่าโรงเรียนต้องคึกคักทั้งเช้าทั้งเย็น

                “งั้นเฮียมารอก่อนสักครึ่งชั่วโมงแล้วกัน”

                “ไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะ ที่จริงเรากลับเองได้” ฉันปฏิเสธอย่างเกรงใจก่อนที่อีกคนจะย้อนกลับมาทันควัน น้ำเสียงเรียบนิ่งของเขาทำให้จำเป็นต้องพยักหน้ารับจนได้

                “เฮียไม่เคยพูดว่าลำบาก”

                เราคุยกันต่ออีกแค่ไม่กี่ประโยค รถสัญชาติยุโรปคันหรูของเฮียวีก็ชะลอจอดลงใกล้ๆกับหน้าอาคารเรียนฝั่งอนุบาล ฉันเอี้ยวตัวเพื่อปลดเบลท์ก่อนจะเงยหน้ากล่าวขอบคุณคนตัวโต แต่เผลอแค่ครู่เดียวร่างสูงของเฮียวีก็ย้ายลงไปยืนข้างนอก ฉันลากสายตามองตามคนที่ดูดีในชุดไปรเวตก่อนที่เขาจะหยุดลงตรงประตูรถฝั่งที่ฉันนั่งอยู่

                “ลงมาสิ เดี๋ยวเฮียเดินไปส่ง” คนที่เปิดประตูรถโน้มลงมาคุยกับฉัน กลิ่นน้ำหอมจางๆที่ลอยมาจากตัวของอีกฝ่ายทำให้ฉันต้องแอบเบือนหน้าหนี อยู่ๆหัวใจก็เต้นรัวแรงขึ้นดื้อๆ วูบแรกคิดจะปฏิเสธแต่ก็เดาได้ว่าอีกคนต้องไม่ยอมทำตามใจแน่ หนำซ้ำอาจจะย้อนกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงความตำหนิอีกต่างหาก

                “ขอบคุณค่ะ” ฉันบอกสั้นๆก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำเฮียวีอยู่สองสามก้าว เบี่ยงฝีเท้าไปทางซ้ายซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอนุบาลสามที่ฉันรับหน้าที่เป็นคุณครูประจำชั้น

                เพราะตอนนี้ยังถือว่าเช้าพอสมควรจึงไม่มีเด็กๆที่มักจะวิ่งเล่นไปมาตามตึกหรือเล่นสนุกกันที่สนามเด็กเล่นเหมือนอย่างเคย มือเลื่อนประตูห้องเรียนให้เปิดออก ชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปชวนคนที่เดินตามหลังให้เข้ามาในห้องเรียนก่อน

                “เฮียจะเข้ามาก่อนมั้ยคะ”

                คำตอบของเขาเป็นเพียงการพยักหน้ารับเบาๆ ร่างสูงก้มถอดรองเท้าแล้ววางไว้บนชั้นวางของเด็กๆ ขนาดรองเท้าที่ใหญ่เกินไปทำให้ฉันแอบขำ กดสวิตช์เปิดไฟให้ครบทุกดวงก่อนที่จะไล่ตรวจเช็กดูความเรียบร้อยของห้อง และในระหว่างนั้นก็ปล่อยให้คนตัวสูงสำรวจรอบห้องไปเงียบๆ

                ห้องเรียนสี่เหลี่ยมขนาดพอดีถูกปูด้วยพื้นไม้ปาร์เกต์ โต๊ะเก้าอี้เข้าชุดจัดวางไว้ตามจำนวนนักเรียน รอบๆห้องตกแต่งด้วยสื่อการเรียนการสอนที่ดูแล้วเข้าใจง่าย ล็อกเกอร์หลากสีกับพวกของเล่นถูกจัดไว้อีกฝั่งหนึ่งของมุมห้อง

                หันกลับไปอีกทีก็พบว่าเฮียวีกำลังยกกรอบรูปที่วางไว้ที่โต๊ะทำงานขึ้นดู เขาพิจารณารูปฉันกับเด็กๆปีที่แล้วอยู่ครู่หนึ่งแล้ววางลงที่เดิม ดวงตาคมกริบกวาดมองซ้ายขวาก่อนจะหยุดลงที่ฉัน

                “น้องต้องมาเร็วแบบนี้ทุกวันเลยงั้นเหรอ”

                “ไม่ทุกวันหรอกค่ะ ปกติมีครูผู้ช่วยอีกคน” ฉันบอกไปตามความจริง เหลือบมองนาฬิกาที่เพิ่งบอกว่าเลยหกโมงครึ่งมานิดหน่อยแล้วอธิบายต่อ “แต่ว่าวันนี้เธอลาป่วย เราก็เลยต้องมาเร็วหน่อย”

                เกิดบรรยากาศเดดแอร์ขึ้นมาอีกหนหลังจากที่ฉันพูดจบ เราต่างคนต่างเงียบ ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะไม่ได้ให้ความสนใจฉันแล้ว เฮียวีกวาดสายตามองไปรอบๆคล้ายกับสำรวจและเก็บรายละเอียดแบบที่เขาชอบทำ ส่วนฉันก็สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกขึ้นมาเบาๆ

                “เฮียกลับเลยก็ได้นะคะ อีกเดี๋ยวเด็กๆคงจะมาแล้ว” พยายามจะใช้คำพูดที่ซอฟต์ที่สุด ไม่อยากให้เขาคิดว่าฉันกำลังไล่เขาทางอ้อม แต่ก็นั่นแหละ ฉันอึดอัดไม่หายเวลาอยู่กับเฮียวีนี่นา

                “อืม”

                คำตอบรับสั้นๆของเขาทำให้ฉันโล่งใจ ออกปากว่าจะเดินไปส่งเขาที่รถอย่างมีมารยาท แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากห้องเรียน เสียงดัดแหลมเล็กของเพื่อนร่วมงานที่อยู่ห้องข้างๆก็ดังขึ้นมาซะก่อน

                “อ้าวน้องเพ่ย มาสายกว่าที่พี่คิดนะคะเนี่ย” เธอทักฉันอย่างมีจริตจะก้าน มุนซังอาแก่กว่าฉันเกือบห้าปีทั้งยังเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อน แต่กลับมีหลายๆครั้งที่เธอพยายามจะข่มฉันด้วยสาเหตุอะไรสักอย่าง

                “ค่ะ” เพราะคร้านจะต่อปากจะต่อคำกับคนที่ตั้งแง่ฉันมาตั้งแต่แรก ฉันจึงตอบกลับไปสั้นๆพร้อมกับรอยยิ้มตามมารยาท เตรียมจะตัดบทอยู่แล้วเชียวถ้าเธอไม่ตาไวเห็นเฮียวีที่ยืนอยู่ข้างหลังพอดี

                “อุ๊ย แล้วนั่นใครคะ” คนแก่กว่าแสร้งถามก่อนที่จะจิกกัดกันด้วยถ้อยคำแสนสุภาพแบบที่เธอถนัดนัก “หว่านเสน่ห์เก่งจนมีหนุ่มๆมาส่งถึงที่เลยเหรอเนี่ย”

                อยากจะกลอกตาให้ความสามารถทางการแสดงของรุ่นพี่เหลือเกิน แต่ก็ต้องข่มใจเอาไว้ จะให้ใจร้อนเหมือนตอนเป็นเด็กมัธยมก็คงไม่ได้แล้ว ระงับความหงุดหงิดที่ตีตื้นขึ้นมาในอกไว้ก่อนจะขยับตัวไปอีกทางเพื่อหยุดบทสนทนากับพี่ซังอาไว้แค่นั้น แต่ฉันไม่เคยคิดสักนิดเลยว่าร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างหลังจะมีปากมีเสียงขึ้นมากับเขาด้วย

                “มาส่งภรรยาที่ทำงานคงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกมั้งครับ” เฮียวีแทรกขึ้นมาอย่างเรียบนิ่ง น้ำเสียง ไม่ได้เจือด้วยอารมณ์ แต่คำพูดกลับแดกดันคนฟังจนตีสีหน้าไม่ถูก

                แค่ตอบโต้กับพี่ซังอาฉันก็ประหลาดใจแทบแย่แล้ว แต่อยู่ๆมือหนาก็ฉวยมือข้างซ้ายของฉันไป จงใจหันแหวนเรือนเล็กให้อีกคนเห็น เรียวปากหยักลึกแนบลงมาอย่างแผ่วเบาบนหลังมือก่อนที่สัมผัสอุ่นๆจะแตะเข้าที่หน้าผากทีหนึ่ง

                “เดี๋ยวเย็นนี้เฮียมารับนะครับ” เสียงทุ้มบอกอย่างนั้น แต่ฉันแทบจะไม่มีสติใส่ใจกับสิ่งที่เฮียวีว่า เผลอตัวจับจ้องที่ใบหน้าคมคายไม่วางตา เห็นว่าเขาคลี่รอยยิ้มเล็กๆก่อนที่เลื่อนมือลงมาจับมือฉันไว้ กระตุกเบาๆให้พอรู้ตัวในขณะที่เฮียวีหันไปบอกพี่ซังอาอย่างมีมารยาท “ขอตัวให้ภรรยาผมไปส่งที่รถก่อนนะครับ”

     



                ความจริงแล้วฉันยังมึนงงไม่หายที่เฮียวีทำแบบนั้น เข้าใจพ้อยท์ที่ว่าเขาคงอยากจะช่วย แต่ดูแล้วเขาไม่ใช่คนที่ชอบสุงสิงกับคนอื่นไปทั่ว อย่างน้อยเขาก็ไม่น่าจะถึงเนื้อถึงตัวกับฉัน หรือว่าแค่อยากจะแกล้งกันแน่?

                เดาไม่ออกเลยผู้ชายคนนี้

                ฉันระบายลมหายใจออกเฮือกยาวพร้อมกับตั้งสติอีกหน ได้เวลาเริ่มทำงานแล้ว ฉันยืนประจำอยู่ที่หน้าห้องพร้อมกับรับเด็กๆที่ทยอยเข้าห้องทีละคนสองคน ยังดีที่ได้เพื่อนครูอีกคนมาช่วย ไม่อย่างนั้นฉันคงจะได้วิ่งวุ่นจนหัวหมุนเลยทีเดียว เจ้าเด็กหกขวบพวกนี้ใช่จะเรียบร้อยกันซะที่ไหน

                หัวคิ้วขมวดชนกันตอนเห็นร่างบางที่ดูคุ้นตา เธอจูงเมือเด็กสองคนที่สะพายกระเป๋าเป้กันคนละสี หันไปคุยกับคนนั้นทีคนนี้ทีเมื่อเด็กๆเริ่มงอแง และยิ่งพอเธอเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฉันถึงรู้ว่าเธอไม่ใช่คนอื่นไกลเลย

                “น้องหมิง”

                “สวัสดีค่ะพี่เพ่ย” น้องเพ่ยกล่าวทักทายพร้อมกับรอยยิ้มน่ารักก่อนที่เธอจะหันไปบอกเด็กๆที่อยู่คนละข้าง “สวัสดีคุณครูสิครับ”

                ฉันหลุดยิ้มตอนที่เห็นว่าเจ้าเด็กทั้งสองคนสะบัดหน้าไปคนละฝั่ง พอรู้แล้วว่าต้องรับมือกับเด็กดื้อคนใหม่ถึงสองคน ค่อยๆย่อตัวนั่งลงจนอยู่ระดับเดียวกับเด็กๆก่อนที่จะแกล้งออกปากถาม

                “ชื่ออะไรกันครับคนเก่ง”

                ฉันไม่ได้เดือดร้อนใจที่เด็กๆไม่ยอมตอบ แต่เป็นน้องหมิงที่พ่นลมหายใจฮึดฮัดก่อนจะบอกเด็กน้อยเสียงดุ

                “ทำไมไม่ตอบคุณครูครับ เป็นเด็กดื้อเหรอ” ถึงจะทำหน้าดุแค่ไหน น้องหมิงก็ดูเหมือนแมวน้อยขู่ฟ่อจึงไม่ได้ทำให้เจ้าตัวเล็กกลัวแต่อย่างได้ เธอบุ้ยปากเล็กน้อยก่อนจะบอกต่อ “เจ้าสองแสบเป็นแฝดกันค่ะ คนนี้จีมิน ส่วนคนหน้าดื้อนี่ชื่อแทฮยอง”






                ช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้วก็ถึงเวลานอนกลางวันของเด็กๆ เสียงเจี๊ยวจ๊าวที่ดังมาตลอดทั้งเช้าจึงหายไป เจ้าเด็กที่เล่นซนกันจนเหนื่อยนอนหลับปุ๋ยกันอยู่บนเบาะนอน ฉันเดินตรวจดูความเรียบร้อย บางทีก็ขยับลงไปห่มผ้าให้เด็กๆที่นอนดิ้นจนผ้าห่มหลุดไปกองตรงปลายเท้า

                “ทำไมยังไม่นอนล่ะครับ หรือว่านอนไม่หลับหืม?” ฉันกระซิบถามลูกศิษย์ตัวน้อยที่มองฉันตาแป๋ว พลางย่อตัวนั่งลงใกล้กับเบาะนอนที่อยู่ริมสุด

                “แทไม่อยากนอน” เจ้าเด็กที่ย้ายมาใหม่บอกเสียงฮึดฮัด สะบัดหน้าพรืดแล้วสำทับอีกหน “มีแต่เด็กๆเท่านั้นแหละที่นอนกลางวันอ่ะ”

                อมยิ้มเล็กน้อยกับคำพูดเกินตัวของแทฮยอง เหลือบมองเจ้าเด็กแก้มกลมที่นอนหลับไม่รู้เรื่องข้างๆ ฝาแฝดคนพี่อย่างจีมิน แต่กับเจ้าเด็กที่อยู่ตรงนี้นอกจากหน้าที่ว่าดื้อแล้ว นิสัยยิ่งดื้อกว่าอีก

                “งั้นออกไปเดินเล่นกับครูมั้ยครับ”

                “ได้เหรอ”

                “อื้อ แต่ต้องชู่ว์ๆนะ” ฉันว่าแล้วส่งเสียงลอดริมฝีปากเบาๆพร้อมแตะนิ้วชี้ลงบนเรียวปาก แทฮยองที่ตาเป็นประกายรีบยื่นมือป้อมๆมาจับมือฉันแน่น เขย่าแขนไปมาเร่งเร้าจนหลุดหัวเราะเบาๆก่อนจะค่อยๆจูงมือเด็กที่ไม่ยอมนอนกลางวันออกไปเดินเล่นข้างนอก

                เวลาบ่ายในโซนชั้นเรียนอนุบาลเงียบสงบเพราะเป็นช่วงนอนกลางวันของเด็กๆ มีบ้างที่ได้ยินเสียงโวยวายของฝั่งประถมดังแว่วมา ฉันปล่อยให้แทฮยองได้วิ่งเล่นไปมาในสนาม ทรุดตัวนั่งลงที่ม้านั่งระหว่างที่เจ้าตัวเล็กปีนขึ้นไปเล่นบนสไลด์เดอร์สีเหลือง

                ยิ้มออกเมื่อเห็นว่าแทฮยองดูจะเอ็นจอยมากขึ้น เขากับจีมินเพิ่งจะย้ายเข้ามาเรียนในเทอมนี้ ฝาแฝดคนพี่ดูจะไม่ค่อยมีปัญหาเมื่อจีมินปรับตัวและเข้ากับเพื่อนๆในห้องเก่ง ต่างจากแฝดคนน้องที่ดูจะขี้อายตอนที่อยู่กับเพื่อนร่วมห้อง อย่างตอนเช้าที่แอบสังเกตดู เจ้าหน้าดื้อมักจะหลบอยู่หลังจีมินตลอดเวลาที่มีเพื่อนคนอื่นๆเข้ามาคุยด้วย

                “หิวขนม” คนที่เล่นจนเหงื่อซ่กฟ้องด้วยโทนเสียงงอแง แทฮยองปีนขึ้นมานั่งบนตักแล้วออดอ้อนด้วยการซุกหหัวกลมๆเข้าที่ไหล่

                “หิวแล้วเหรอครับ เพิ่งกินมื้อเที่ยงเองนะ” ฉันว่าพลางกลั้วหัวเราะ ค่อยๆลูบหัวแทฮยองอย่างนึกเอ็นดู “มีเบรกให้ทานตอนบ่ายสาม แต่ถ้าหนูหิว ครูแอบซื้อขนมให้ก็ได้ แต่ว่ามีข้อแม้นะ”

                “งกขนมกับแทเหรอ จะแย่งแทกินแบบหมูจินใช่มั้ย?!

                “ไม่ใช่สักหน่อย” ส่ายหน้าปฏิเสธ ฉันกลั้นยิ้มแทบไม่ได้กับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย เพียงแค่อยากหาข้อต่อรองเพื่อตัวของแทฮยองต่างหาก “ถ้าหนูหาเพื่อนใหม่ได้ ครูก็จะให้ขนมตามจำนวนเพื่อนของหนูดีมั้ย”

                ถึงจะชะงักไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายแทฮยองก็ยอมพยักหน้ารับ เอื้อมมือขึ้นไปลูบผมสีน้ำตาลที่ลู่ไปกับศีรษะกลมทุยเบาๆ วูบหนึ่งที่เพิ่งจะสังเกตหน้าของเด็กที่นั่งอยู่บนตัก ฉันเว้นจังหวะครุ่นคิดก่อนจะรู้สึกว่าเจ้าเด็กหน้าดื้อดูคล้ายกับเฮียวีเอามากๆ

                “เพ่ยมองอะไรอ่ะ” แทฮยองโพล่งถามขึ้นมาดื้อๆ ก็เหมือนที่น้องหมิงบอก เจ้าเด็กหกขวบคนนี้ดูไม่กลัวอะไรเลย

                “หน้าหนูคล้ายๆกับคนที่ครูรู้จักครับเลยมองนานไปนิดหนึ่ง” ฉันไม่ได้ถือสากับคำพูดโผงผางของเด็กหน้าดื้อ ค่อยๆเป็นค่อยๆไปกับการสอนแทฮยอง ถ้าไม่อยากให้เขาต่อต้านฉันก็ต้องค่อยๆตะล่อมเด็กน้อยไปก่อน “ว่าแต่เรียกครูว่าเพ่ยเฉยๆเหรอครับ ดูเป็นเด็กดื้อนะ”

                “ฮึ ไม่มีคำนำหน้าชื่อของคนที่ชอบหรอก”





     

                ตอนเย็นเฮียวีมารับฉันถึงหน้าห้องเรียนแบบที่เขาบอกเอาไว้ ทักทายกันแค่สองสามคำก็ขยับเคลื่อนตัวเดินตามร่างสูงต้อยๆ เฮียวีเดินนำไปยังที่จอดรถเพราะช่วงเย็นทางโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้ขับรถเข้ามา เป็นมาตรการป้องกันความปลอดภัยอย่างหนึ่ง

                หยุดขมวดคิ้วไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ารถคันตรงหน้าไม่ใช่คันเดียวกับเมื่อเช้า รถเมอร์เซเดสเบนซ์สีบรอนซ์เงินโดดเด่นไม่เบาท่ามกลางรถคันอื่น ชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูลง ฉันเลื่อนสายตามองเฮียวีที่เลื่อนมาคว้าข้อมือฉันเอาไว้ วินาทีที่เราสบตากัน เจ้าของน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็ออกคำสั่ง

                “ไปนั่งข้างหลัง”

                ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉันก็ยอมปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย วูบหนึ่งที่เผลอคิดว่าเฮียต้องการเว้นที่ให้ใครกันแน่ ฉันเปิดประตูสำหรับเบาะหลังก่อนจะดันตัวเข้าไป ส่งเสียงทักทายฝาแฝดของไป๋เมื่อเห็นว่าใครประจำอยู่ที่ตำแหน่งคนขับ

                “หวัดดีตอนเย็นอาโป”

                “สวัสดีครับนายหญิง”

                ส่งยิ้มให้โปได้แค่เดี๋ยวเดียว ฉันก็ต้องขมวดคิ้วอีกหนเมื่อถูกเฮียวีที่เพิ่งเข้ามานั่งในรถเบียดตัวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมกริบฉายแววไม่สบอารมณ์อยู่ครู่เดียวก่อนจางหายไป ฉันเองที่เริ่มจะไปต่อไม่ถูกก็เลยเบือนหน้ากลับมาทางเดิมพร้อมกับเงียบเสียงลง

                ไม่รู้ว่าทำไมบรรยากาศในรถตอนเย็นถึงได้อึดอัดมากกว่าตอนเช้าทั้งที่ตอนนี้บนรถอยู่กันตั้งสามคน ลอบระบายลมหายใจช้าๆก่อนจะเอียงศีรษะผิงกับกระจกรถ เบี่ยงความสนใจไปยังทิวทัศน์ด้านนอกพร้อมกับทอดสายตามองวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

                เกือบสิบห้านาทีที่ทั้งรถเงียบสนิท ฉันกวาดสายตามองไปทั่วก่อนจะสะดุดลงตรงที่ภาพสะท้อนจากกระจกรถ ถ้าจำไม่ผิด รถสีดำคันนั้นฉันเห็นตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้ว หนำซ้ำยังรู้สึกว่ารถคันนั้นพยายามจะแซงรถเราอีกต่างหาก

                “เฮียวี

                “นายน้อยครับ” เสียงของโปดังแทรกฉันที่กำลังจะฟ้องถึงความผิดปกติ ดวงตาเรียวเฉี่ยวตามฉบับคนจีนที่มองผ่านกระจกสบตากับคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง

                “อืม รู้แล้ว” เฮียวีว่าพลางพยักหน้ารับ เขาผินหน้ามาหาฉันแล้วออกคำสั่งต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สลัดมันออกให้ได้ พยายามอย่าปะทะ”

                “ครับ”

                เพียงแค่นั้นก็การันตีเลยว่าสิ่งที่ฉันคิดเป็นเรื่องจริง ชีวิตสงบสุขและเรียบง่ายในคฤหาสน์ตระกูลคิมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็แค่เริ่มต้น สถานการณ์ตอนนี้สิที่เป็นของจริง

                “มีคนตามเรา” เฮียวีอธิบายสถานการณ์อย่างกระชับและเข้าใจง่าย ใบหน้าคมคายยังคงนิ่งเฉยแม้ว่ารถคันที่ตามหลังมาเริ่มตีขึ้นมาข้างๆพร้อมพยายามแสดงตัวว่าต้องการหยุดรถของเรา “แต่น้องไม่ต้องกลัว”

                ฉันแค่พยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไรออกไป จะพูดว่าไม่กังวลก็ไม่เชิง เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวในสถานการณ์นี้อย่างไร

                โปยังคงเพิ่มความเร็วของรถขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับเบี่ยงรถไปมาเมื่อรถสีดำคันนั้นพยายามจะปาดหน้าและแซงให้ฝั่งเราเสียหลัก ฉันที่ไม่ทันตั้งตัวเอนร่างไปหาเฮียตามแรงเหวี่ยงของรถ เสียงเสียดสีระหว่างล้อกับพื้นถนนดังหวีดขึ้นมาในบางจังหวะ ลมหายใจอุ่นๆรินรดอยู่เหนือศีรษะเมื่อท่อนแขนแกร่งดึงฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด มือหนาข้างหนึ่งเท้ากับเบาะหน้าเพื่อทรงตัว หูที่แนบกับอกว้างได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่เป็นจังหวะหนักแน่นของเฮียวี

                “นายน้อยครับ มีพวกมันมาเพิ่ม”

                เสียงของโปทำให้ฉันต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ใกล้อยู่เหนือการควบคุมของเฮียวีแล้ว ในขณะที่ฝั่งเรามีเพียงสามคน แต่ฝั่งตรงข้ามกลับยกโขยงมาเกือบสิบ

                เสียงเบรกห้ามล้อของเมอร์เซเดสเบนซ์ดังสนั่นเมื่อรถยุโรปสีขาวของฝ่ายตรงข้ามตรงเข้ามาปาดหน้า จะถอยหนีก็ไม่ได้เมื่อมีรถอีกสองคนคอยประกบทางด้านหลังและด้านข้าง

                เสียงทุบกระจกด้วยด้ามปืนดังลั่นเป็นฝีมือของร่างสูงบึกบึนที่อยู่ด้านนอก เขาแสยะยิ้มพร้อมกับออกคำสั่งให้เราทุกคนลงจากรถ เห็นเฮียวีแอบส่งสัญญาณอะไรสักอย่างกับโปก่อนที่ร่างสูงจะออกไปเผชิญหน้ากับชายคนที่ดูจะเป็นหัวหน้าคนนั้น

                ใบหน้าคมคายยังคงฉาบด้วยความสุขุม แววตาเรียบนิ่งจ้องมองคนที่ยืนตรงข้ามอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆแม้ว่าตอนนี้ฝั่งเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง

                อาจจะนับว่าเป็นโชคร้ายของเราด้วย บนถนนที่ค่อนข้างเปลี่ยวทำให้แทบไม่มีหวังว่าจะมีคนอื่นผ่านมาและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้เราได้ สะดุ้งโหยงตอนที่ชายคนนั้นกวักมือเรียกฉันด้วยกระบอกปืนสีดำขลับ เขาขยับยิ้มก่อนจะเรียกฉันด้วยสรรพนามเยินยอที่เต็มไปด้วยความเสแสร้ง

                “เดินมานี่สิครับนายหญิงคนใหม่ของคิมทาวน์”

                ความอบอุ่นโอบล้อมรอบข้อมือเมื่ออุ้งมือหนาของเฮียวีเลื่อนลงมารั้งฉันให้อยู่กับที่ เขายอมละสายตาจากคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามแล้วผินหน้ากลับมาสบตามองกับฉัน ริมฝีปากหยักลึกขยับปล่อยคำพูดเนิบนาบเชื่องช้า แต่กลับแฝงไปด้วยความถือดีและคำสั่งอย่างเต็มเปี่ยม

                “เฮียให้น้องเชื่อแค่เฮียคนเดียว”

                ร่างสูงดึงให้ฉันขยับไปอยู่ด้านหลัง ไม่มีคำพูดต่อจากนั้น แต่รับรู้ได้ว่าเฮียวีกำลังปกป้องฉันอยู่ กลั้นหายใจกับบรรยากาศแสนตึงเครียด ฉันเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจกับเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันของชายที่ไม่รู้จักชื่อก่อนที่น้ำเสียงปนแหบแห้งของเขาจะดังขึ้น

                “อวดเก่งไม่เปลี่ยนเลยนะนายน้อย”

                “เหว่ยก็เหมือนกัน” เสียงทุ้มว่าราบเรียบ น้ำเสียงของเฮียวีฟังดูนิ่งเฉยสวนทางกับความหมายที่ตอกกลับอย่างเจ็บแสบ “คิดว่าตัวเองฉลาดอยู่เรื่อยเลยนะ ทั้งที่ไม่ใช่ความจริง”

                คำพูดที่ว่าจุดชนวนความโมโหของเหว่ยได้เป็นอย่างดี เสียงสับไกปืนดังพร้อมกันก่อนที่ปืนทุกกระบอกในมือฝั่งตรงข้ามจะถูกเล็งมาที่หัวของเฮียวี ฉันลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงไป รู้เต็มอกว่าถึงเก่งแค่ไหนก็คงจะเร็วกว่าลูกกระสุนไม่ได้

                “วู่วาม ใจร้อน มีสองข้อนี้เป็นเจ้านายคนไม่ได้หรอกนะเหว่ย” แค่พริบตาเดียว อาวุธแบบเดียวกันก็ถูกยกขึ้นจ่อหน้าผากของคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม ทุกอย่างรวดเร็วจนฉันไม่ทันสังเกต เฮียวีเว้นวรรคนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “ที่ป๊าผมสอน เหว่ยไม่เคยจำเลยสินะ”

                ฉันพอจะมองความสัมพันธ์ระหว่างเฮียวีกับเหว่ยออกแล้ว ดูท่าแล้วอีกคนคงจะเคยทำงานกับคุณอาชาง และก็คงจะไม่ได้จากกันด้วยดีเท่าไหร่ เหลือบมองข้างกายอัตโนมัติเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนขยับเข้ามาใกล้ การลงน้ำหนักเท้าแผ่วเบาบ่งบอกให้รู้ว่าอีกคนไม่อยากให้รับรู้ถึงการมาของเขา

                “เฮียคะ มีคนขยับข้างหลัง” กระซิบบอกคนตัวสูงด้วยน้ำเสียงที่พอให้ได้ยินกันแค่สองคน แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรับรู้ก่อนที่ฉันจะทันพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ

                เราสบตากันแค่วูบเดียวตอนที่เฮียวีหมุนตัวกลับมา เขาคว้าตัวฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดด้วยท่อนแขนข้างซ้าย บังคับให้ฉันต้องเบือนหน้าและซบลงกับอกกว้าง เม้มปากแน่นเมื่อเสียงปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัดพร้อมกับเสียงโอดครวญของคนที่พยายามจะโจมตีทางด้านหลัง

                “หมดเวลาเล่นสนุกแล้วนายน้อย” เหว่ยฉวยโอกาสที่เฮียวีหันหลังให้จ่อปืนชิดกับศีรษะของร่างสูง เขาสับไกปืนอีกครั้งก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงเป็นต่อ “ปล่อยนายหญิงแล้วมาคุยกันดีกว่านะ ไม่อย่างนั้นหัวนายน้อยจะได้มีลูกกระสุนฝังอยู่แน่ๆ”

                ช้อนมองคนที่ระงับอารมณ์ด้วยการขบกรามแน่น ฉันลูบแขนของเฮียวีเบาๆเมื่อเขาไม่ยอมปล่อยฉันตามที่เหว่ยสั่ง วินาทีที่เฮียกดสายตามองสบลงมา ฉันจึงบอกเขาอย่างใจเย็น

                “ไม่ต้องห่วงเราค่ะ”

                ถูกกระชากเข้าที่ต้นแขนอย่างแรงทันทีที่เฮียวียอมปล่อยตัวฉัน กลั้นเสียงร้องเอาไว้เพราะไม่อยากให้อีกสองคนต้องกังวล เห็นว่าโปเองก็ถูกฝ่ายตรงข้ามอีกสองคนเข้าประกบตัวพร้อมกับแย่งปืนในมือไป

                สองเท้าก้าวเดินไปตามคำสั่งของชายที่ใช้ปืนจ่ออยู่ตรงบั้นเอว เขาต้อนให้ฉันเดินลึกเข้าไปในพื้นที่รกร้างที่อยู่ข้างทาง ใจวูบโหวงเมื่อเสียงปืนหลายนัดดังขึ้นติดๆกัน ฉันชะงักอยู่กับที่ในขณะที่คนข้างส่งเสียงหัวเราะสะใจ

                “สงสัยนายหญิงจะกลายเป็นหม้ายผัวตายแล้วล่ะมั้ง” เสียงทุ้มว่าอย่างเยาะเย้ยก่อนจะออกคำสั่ง “หันกลับมาช้าๆ อย่าเล่นตุกติก”

                ค่อยๆหมุนตัวหันกลับไปอย่างช้าๆ ฉันขยับเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะรอยยิ้มไม่น่าวางใจของคนตรงข้าม มือหยาบเอื้อมมาแตะผิวแก้มอย่างถือวิสาสะจนฉันเบี่ยงหน้าหนีพร้อมกับบอกเสียงแข็ง

                “อย่ามาแตะตัวเรา”

                “หวงตัวนักหรือไง!

                ด้ามปืนฟาดลงมาที่โหนกแก้มอย่างแรงจนฉันมึนศีรษะไปครู่หนึ่ง ใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้มข้างที่โดนฟาด รสเค็มปร่าของเลือดทำเอาเผลอพ่นลมหายใจสั้นๆ

                ใจเย็นต่อไปไม่ได้แล้วมั้ง

                ศีรษะแหงนหงายไปตามแรงกระแทกของปืน ฉันยังคงวางสีหน้านิ่งเฉยแม้ว่าอีกคนจะสับไกปืนข่มขู่ เดาไม่ได้เลยว่าเขาจะลั่นไกวินาทีไหน

                “กะจะเล่นด้วยสักหน่อย แต่ดันหยิ่งไม่เข้าเรื่องเอง” เขาว่าพลางเน้นย้ำน้ำเสียงดูแคลน แสยะรอยยิ้มไม่น่ามองก่อนพูดต่ออย่างถือดี “น่าเสียดายจังนะที่ต้องบอกลากันแล้วนายหญิง”

                “มั่นใจอะไรผิดๆแบบเจ้านายเลยนะ” ฉันย้อนกลับไปพลางเลื่อนมือจับปลายกระบอกปืนอย่างใจกล้า โคลงศีรษะพร้อมขยิบตาให้อย่างขี้เล่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “ต้องขอโทษไว้ก่อนเพราะว่าเราคงจะไม่ยอมตายวันนี้”

                ยิ่งโมโหก็ยิ่งหุนหันพลันแล่น เอาอารมณ์อยู่เหนือที่ตั้ง เอาชนะใครไม่ได้หรอก

                “อวดเก่ง!

                เกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกไปแล้วทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบที่เขาคิด ฉันรู้ว่าควรขยับตัวท่าไหนเพื่อแย่งอาวุธจากมือของอีกฝ่าย รู้ดีว่าต้องจู่โจมจุดไหนของร่างกายถึงจะทำให้อีกคนทรุดลงไปกองบนพื้น คลี่รอยยิ้มหวานๆอีกหนแล้วย้อนกลับไป

                “เราไม่ได้อวด เราเก่งจริง”

                ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายขยับเท้าเข้ามาใกล้ เบี่ยงศีรษะหลบวิถีกระสุนพร้อมกับสาวแขนจับที่หัวไหล่หนา หักแขนอีกฝ่ายลงพร้อมกับหมุนตัวให้ร่างสูงซ้อนอยู่หลัง จงใจศอกข้างขวาถองเข้าที่ปลายคางที่เป็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายให้รวดเร็วที่สุดก่อนจะฟาดสันมือลงที่ลำคอให้เฉียบขาดตามแบบที่เคยฝึกมา

                เป็นเพราะคู่ต่อสู้ร่างกำยำฉันจึงไม่สามารถจัดการให้เขาล้มได้ภายในครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เปลี่ยนอาวุธของอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย นิสัยเก่าที่แก้ยากทำให้ฉันเผลอยักคิ้วกวนโมโหเขาไปทีหนึ่งก่อนจะแกล้งถาม

                “เป็นไง สรุปว่าเราอวดเก่งหรือเปล่า” ฉันถามคนตรงข้ามยิ้มๆก่อนที่ริมฝีปากจะเหยียดเป็นเส้นตรงเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับเท้า เน้นน้ำหนักลงปลายกระบอกปืนที่จ่อหัวคนตัวสูงแล้วบอกเสียงเรียบ “ขยับมาอีกก้าวเดียว นายได้บอกลาเราแน่”

                ฉันเงียบเสียงไปครู่หนึ่งเมื่อคล้ายกับได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังตรงเข้ามา สมองกำลังประมวลผลว่าควรทำอย่างไรถ้าหากมีฝ่ายศัตรูมาเพิ่ม

                “เพ่ยอิง!

                ใจชื้นขึ้นเป็นกองเมื่อเสียงของเฮียวีดังขึ้น แต่ว่าจะให้เขาเห็นภาพฉันยกปืนจ่อหัวคนก็คงจะไม่ดี ชั่งใจอยู่ครู่เดียวก็กระแทกเรียวขาเข้ากลางหว่างขาของคนที่ยืนตรงข้ามอย่างแรง แอบแลบลิ้นปลิ้นตาให้คนที่ทรุดไปกองกับพื้นพร้อมร้องโอดโอย

                รีบจัดการถอดกระบอกปืนออกก่อนจะเล็งขว้างตัวปืนให้เข้าที่หัวของคนร้ายเข้าอย่างจัง ส่วนบรรจุกระสุนฉันก็เขวี้ยงไปอีกทางป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสกลับมาแว้งกัดอีกหน

                แกล้งสะดุดขาตัวเองพอเป็นพิธีตอนที่วิ่งเข้าไปหาเฮียวี มือหนาจับต้นแขนข้างหนึ่งของฉันเอาไว้ตอนที่ฉันวิ่งไปถึงตัวเขา ใบหน้าคมคายมีรอยแผลฟกช้ำนิดหน่อยตรงสันจมูกและมุมปาก เราสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่เฮียวีจะถาม

                “น้องเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

                “รเราแค่ตกใจนิดหน่อยค่ะ” ฉันบอกก่อนจะแต่งเติมเรื่องเล่าให้เฮียวีฟัง “ดีที่เขาไม่ระวังตัว เราเลยวิ่งหนีออกมาได้”

                “แก้มน้อง?” นิ้วเรียวแตะลงบนโหนกแก้มอย่างระมัดระวัง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เผลอนิ่วหน้าไปจนได้ เห็นคิ้วเข้มขมวดชนกันตอนที่เห็นว่ามีเลือดติดตรงปลายนิ้วไปด้วย วินาทีถัดจากนั้นดวงตาสีเข้มก็หม่นแสงลง ใจฉันเผลอกระตุกวูบพร้อมกับมือหนาที่เลื่อนลงมาปิดตาตัดการรับรู้ไปชั่วคราว

                เสียงปืนดังลั่นอีกหนึ่งนัดพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยของใครบางคน กลิ่นเขม่าปืนวนเวียนอยู่ตรงปลายจมูก หัวใจฉันเต้นรัวขึ้นดื้อๆทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงปืนในระยะประชิดแบบนี้ ร่างสูงที่ยังคงปิดตาฉันอยู่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เสียงเสียดสีของเนื้อผ้าของฉันและเขาดังผะแผ่วพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มที่กระซิบทิ้งท้ายอยู่ชิดกับใบหู

                “เฮียเอาคืนให้แล้ว”







    Let's talk with me

                เฬาว์มาแร้วค่ะ~ มาเร็วแบบไม่สนสี่สนแปดว่างานท่วมหัวหรือเปล่า อิอิ  น้องเพ่ยอาจจะดูอ่อนแอในสายตาเฮียวี แต่ไม่ใช่กับเฬาว์แน่ๆอ่ะ ยัยเด็กแสบ!!! น้องเคยบอกว่าคุณม๊าเจียว่าดื้อ ทีนี้เชื่อน้องได้หรือยังคะ? แหมๆแค่แก้มเมียมีรอย จำเป็นต้องโกรธเบอร์นี้เลยเรอะ คิกค้ากกกกก (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส) ปล.ต่อไปเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนgifของแต่ละตอนนะคะ ไม่ใช่เพราะขก. แต่จะเป็นลมทุกทีที่เห็นหน้าพี่แท กลั้นปากอุดกรี๊ดไม่ได้เลยเวลาหารูปแต่ละที คนอะไรคือหล่อมากอ่ะแกร และที่สำคัญคือรูปไหนก็หล่อ จบปิ๊งนะ


    04/03/2020

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×