ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Fallin' all in you [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #3 : ♥ Fallin' 02 ♥

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.35K
      710
      23 ม.ค. 64




    Fallin’ 02

    First night with her!

    คืนแรกกับเธอ!


     

                อึดอัดจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้!

                ภายในห้องนอนถูกปิดไฟจนเหลือแต่แสงสลัวๆที่ลอดผ่านมาจากด้านนอก ฉันและเฮียวีนอนคนละฝั่งของเตียง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เลือกที่จะนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาคนตัวโต ไม่ใช่เพราะรู้สึกพิศวาสเขาขึ้นมาดื้อๆหรืออะไรทั้งนั้น ฉันเพียงไม่ไว้ใจเฮียวี เพราะงั้นจะให้นอนหันหลังให้เขาละก็ฝันไปเถอะ!

                สองมือขยุ้มผ้าห่มที่จำเป็นต้องแบ่งกับเฮียวีแน่นพลางลอบมองใบหน้าคมคายภายใต้แสงสว่างพอให้เห็นได้รางๆ ความเงียบกลืนกินเราทั้งคู่แม้ว่าจะยังไม่มีฝ่ายไหนเข้าสู่นิทราเลยก็ตาม และฉันเองก็ไม่ได้คิดจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกคนด้วย แต่ใครจะคิดว่าเฮียวีที่ไม่พูดอะไรตั้งแต่ก้าวขึ้นเตียงจะถามขึ้นมาดื้อๆ

                “จะนอนหลับเหรอ” เขายังคงคอนเซ็ปต์พูดน้อยเหมือนเดิม เฮียวีเว้นจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อฉันยังไม่ตอบกลับก่อนที่จะยอมอธิบายประโยคเข้าใจยากของตัวเอง “น้องนอนมองเฮียแบบนี้ จะหลับเหรอ”

                “ก็เราติดนอนหันหน้ามาทางนี้นี่คะ” ฉันตอบด้วยเสียงอ้อมแอ้ม และแน่นอนว่ามันเป็นแค่ข้ออ้างของฉันเท่านั้น

                “ตามใจน้อง แต่เฮียไม่ใช่คนหลับง่าย”

                พอถึงจุดนี้ฉันก็เริ่มตระหนักว่าคงต้องตีความหมายกับคำพูดที่เฮียวีสื่อออกมา พอจะมองออกว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบอธิบายอะไรมากมายนัก อย่างเช่นตอนนี้เขากำลังบอกว่าตัวเองนอนหลับยาก และการที่ฉันนอนมองเขาแบบนี้จะพาลทำให้ตัวเองนอนไม่หลับไปด้วย

                และพอสิ้นสุดประโยคนั่น ภายในห้องก็กลับมาสู่สภาวะเดดแอร์อีกหน มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานดังอยู่เบาๆสลับกับลมหายใจของทั้งฉันและเฮียวีที่แข่งกันผ่อนเข้าออกท่ามกลางความมืด เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังแบบเรืองแสงก็พบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าสู่วันใหม่แล้ว แต่ยังไม่มีท่าทีว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงถัดไปไม่กี่ช่วงแขนจะนอนหลับเลยสักนิด

                “เฮียคะ เราถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ” สุดท้ายแล้วก็เป็นฉันที่ตั้งคำถามขึ้นมา และเมื่อไม่ได้ยินเสียงปฏิเสธของอีกฝ่ายจึงค่อยๆพูดต่อ “เรากับเฮียต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนคะ”

                “น้องหมายถึงเรื่องหย่า” คนที่ค่อยๆผินหน้ามาหาเอ่ยถาม จากที่เฮียวีนอนหงายก็กลายเป็นตะแคงหันเข้าหาฉัน ดวงตาคมกริบที่มองเห็นไม่ชัดนักแต่ฉันกลับรู้สึกถึงความกดดันเมื่อเขามองตรงมาก่อนที่น้ำเสียงจะราบเรียบถามย้ำอีกหน “เฮียเข้าใจถูกมั้ย”

                ฉันให้ความเงียบแทนคำตอบ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงในเมื่อคำถามของฉันมันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ และดูๆแล้วเฮียวีก็ไม่ได้กระตือรือร้นอยากเป็นเจ้าบ่าวสักนิด เขาเองก็คงถูกบังคับไม่ก็ขอร้องให้แต่งงานกับฉันเหมือนกัน ในเมื่อต่างคนต่างไม่ได้อยากแต่งงานกับอีกฝ่าย ทำไมไม่หาข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์ของเราทั้งคู่ล่ะ

                “น้องน่าตีมากนะ เจ้าสาวที่ไหนเขาจะถามเรื่องนี้ในวันแต่งงานกัน” เสียงทุ้มว่า ประโยคฟังดูคล้ายกับตำหนิ แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยความขบขันของผู้พูดก็ไม่รู้

                “แต่ว่าเรากับเฮียไม่ได้รักกัน เฮียไม่อยากแต่งกับคนที่เฮียรักเหรอคะ” ฉันแย้งเสียงอ้อมแอ้ม พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายคล้อยตามด้วยคำถามที่เพิ่งคิดได้ แต่ว่าอีกคนก็โต้กลับมาทันควัน

                “แล้วทำไมน้องถึงคิดว่าเฮียจะรักน้องไม่ได้ล่ะ”

                …ยอกย้อนเก่งเป็นที่หนึ่ง

                “ถ้าเฮียไม่อยากตอบ เราก็ไม่ถามแล้วค่ะ” ฉันเลือกที่จะตัดบทไปแบบนั้น เพราะรู้ว่าขืนต่อปากต่อคำต่อก็มีแต่แพ้กับแพ้ ลอบถอนหายใจเบาๆก่อนหลุบสายตามองพื้นที่ว่างบนเตียงพลางนึกข่มตาหลับให้พ้นคืนนี้ไปเร็วๆ

                “เฮียจะไม่รั้งน้องเอาไว้ถ้าวันหนึ่งน้องเกิดรู้สึกกับใครขึ้นมา” น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของฉันได้เป็นอย่างดีจนต้องเลื่อนสายตากลับไปมองที่เฮียวี “แต่ไม่ใช่เร็วๆนี้”

                ฉันมีคนที่แอบชอบอยู่แล้วนะ

                ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป บทสนทนาจึงยุติลงแค่ตรงนั้น ส่วนเจ้าของห้องก็พลิกตัวกลับไปในขณะที่ฉันก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงคอ ปล่อยให้ความเงียบงันทำงานเป็นหนที่สองของคืน ระหว่างนั้นก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มีบ้างที่เหลือบมองเฮียวี นั่นก็เพราะเพื่อความมั่นใจว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นมาตะครุบตัวฉันให้ใจสั่นเล่น

                หลุดรอยยิ้มออกมาเล็กๆเมื่อใครบางคนผุดขึ้นมาในความคิดคุณคนนั้นจะสบายดีหรือเปล่านะ?

                “จริงด้วยสิ เฮียคะ” เสียงที่กำลังจะเอ่ยถามออกไปชะงักกลางคันเมื่อคนตัวโตที่นอนข้างๆจมสู่ห้วงนิทราไปแล้ว ลมหายใจเข้าออกของเฮียวีฟังดูสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับสนิทมากแค่ไหน

                ลอบระบายลมหายใจเฮือกยาวเมื่อความหนักอึ้งในอกถูกยกออกไป ฉันขยับศีรษะบนหมอนใบโตเล็กน้อยโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าหล่อเหลา เลื่อนมองเปลือกตาสีน้ำผึ้งที่ปิดสนิทไปจนถึงริมฝีปากหยักลึกก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆ

                “ขี้โม้นี่นาคุณเฮีย” ฉันว่าแต่ไม่รู้ทำไมโทนน้ำเสียงถึงเอนเอียงไปทางเอ็นดูคนตัวโตก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าตอนหลับ เฮียวีดูน่ารักมาก “หลับปุ๋ยแบบนี้เราไม่เรียกว่าหลับยากหรอกนะ”





     

                ฉันตื่นนอนและจัดการตัวเองก่อนที่เฮียวีจะตื่น เพราะเดาว่าบทสนทนาตอนเช้าของเราทั้งคู่คงจะกระอักกระอ่วนน่าดูถึงได้หลีกเลี่ยงคนตัวโตแล้วลงมาข้างล่างตอนเกือบแปดโมงเช้า สองเท้าขยับก้าวตามต้นเสียงที่ดังมาจากทางด้านหนึ่ง รวมถึงกลิ่นหอมฉุยๆที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ฉันหยุดเท้าลงที่หน้าห้องครัว เลื่อนสายตามองตามแผ่นหลังบางของนายหญิงของบ้าน เธอเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วหน้าเตาแก๊สและหม้อซุปที่มีควันสีขาวลอยเอื่อยๆ

                “ให้น้องช่วยมั้ยคะ” ฉันตัดสินใจถามขึ้นเสียงเบาพร้อมกับขยับเข้าไปในครัว ฉีกยิ้มหวานๆส่งไปให้คุณอาเจีย แม้จะไม่ได้เข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยความเต็มใจ แต่ก็ไม่ได้ความว่าฉันต้องทำตัวเป็นลูกสะใภ้นิสัยแย่สักหน่อย หมั่นทำตัวให้น่ารักน่าเอ็นดู ชีวิตในบ้านจะได้ราบรื่นไปอีกยาวๆ

                “หืม? ตื่นแล้วเหรอคะ” คนแก่กว่าหันมาถามหลังจากที่ปิดเตาแก๊สให้เรียบร้อย เธอส่งรอยยิ้มตอบกลับมาแล้วตั้งคำถามอีกหน “เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่าเอ่ย”

                ฉันส่งยิ้มให้แทนคำตอบพร้อมก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆกับคุณอาเจีย แอบกวาดสายตามองอาหารมื้อเช้าเล็กน้อยแล้วค่อยถามต่ออีกหนหนึ่ง

                “ให้น้องช่วยมั้ยคะ”

                “ไม่ต้องเหนื่อยช่วยม๊าหรอกค่ะ” คุณอาเจียปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เธอเหลือบมองด้านนอกผ่านทางหน้าต่างวูบหนึ่งก่อนจะยื่นข้อเสนอให้ฉัน “น้องอยากเดินเที่ยวดูบ้านก่อนมื้อเช้ามั้ยคะ”

                เพียงไม่กี่วินาทีสมองก็รีบประมวลผลอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบตอบรับข้อเสนอที่ว่านั่น ฉันมีความจำเป็นต้องสำรวจบ้านหลังนี้อยู่แล้ว ยิ่งมีคนในคอยแนะนำที่ทางต่างๆฉันก็ยิ่งได้ประโยชน์

                “ก็ดีค่ะ น้องยังไม่รู้ที่ทางในบ้านเลย”

                “ไป๋ ช่วยพานายหญิงดูรอบบ้านหน่อยสิ” นายหญิงของบ้านที่พยักหน้ารับหันไปเรียกใครสักคนก่อนที่ร่างสูงที่ฉันเคยเห็นหน้าในงานจะเดินเข้ามาในครัว เขาค้อมหัวให้คุณอาเจียก่อนจะรับคำเสียงฟังชัดเจน

                “ครับ นายหญิง”




                ฉันเดินตามไป๋ออกมาจากประตูหลังบ้าน ถ้าจำไม่ผิดไป๋มีฝาแฝดที่ฉันยังไม่รู้จักชื่อ และถ้าให้ฉันเดาเขาและแฝดคงจะเป็นมือซ้ายและมือขวาของเฮียวี

                อาณาเขตของคฤหาสน์หลังนี้กินพื้นที่กว้างขวาง แต่สิ่งปลูกสร้างทุกอย่างก็ถูกจัดสรรให้เป็นระเบียบ คนที่ทำหน้าที่แนะนำพื้นที่คอยชี้ทางบอกนู่นนี่จนกระทั่งเราเดินมาจนถึงทางซ้ายมือของบ้าน บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ พื้นที่ปูด้วยไม้สีน้ำตาลเข้มถูกจัดให้เป็นส่วนสำหรับพักผ่อนพร้อมกับบ่อปลาคาร์ฟที่อยู่ใกล้ๆ แต่สิ่งที่ฉันสนใจไม่ใช่อะไรที่ว่ามานั่น

                “ไป๋ไป๋” ฉันเรียกอีกคนด้วยชื่อที่เพิ่งคิดให้ สายตาเหลือบมองรั้วปูนที่อยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงแขนแล้วถามต่อ “เราปีนรั้วได้หรือเปล่า”

                “ครับ? นายหญิงว่ายังไงนะครับ”

                “ยังไม่ทันจะแก่ก็หูตึงแล้วนะไป๋ไป๋” ฉันหันกลับมาแซวคนที่หลุดทำหน้าเหลอหลาแล้วถามย้ำอีกครั้ง “รั้วน่ะ ปีนได้หรือเปล่า”

                เพราะอีกคนให้คำตอบช้าเกินไปฉันจึงไม่รอ หันกลับไปทางกำแพงพลางเหยียดแขนยืดเส้นเล็กน้อย พริบตาเดียวสองเท้าก็เหยียบขอบปูนพลางดันตัวเองขึ้นไปด้านบน พอคว้าขอบรั้วได้ก็เกาะแน่นพร้อมกับกวาดสายตามองพื้นที่นอกบ้าน

                เท่าที่สังเกตจากเมื่อวาน คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่อย่างสันโดษ พื้นที่รอบข้างคล้ายกับป่าสนขนาดย่อมๆ แต่ว่าทุกอย่างถูกจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนที่มุ่งตรงไปสู่ถนนเส้นหลังมีเพียงแค่เส้นเดียวซึ่งต้องผ่านทางหน้าบ้าน แต่ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างฉันอยู่บ้างที่บังเอิญกวาดสายตาไปเจอเส้นทางเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ถัดไปอีกไม่กี่เมตร

                “นายหญิงครับ ลงมาเถอะ อันตรายนะครับ” เสียงของไป๋ดังขึ้นมาเรียกสติ ฉันจะเกาะรั้วเป็นลิงแบบนี้นานเกินไปไม่ได้

                ส่งยิ้มหวานๆให้คนที่ทำหน้าตื่นตระหนกข้างล่างพร้อมกับเอี้ยวตัวมองพื้นเพื่อกะระยะห่างดีๆก่อนที่จะกระโดดลงมา สองเท้าแตะพื้นอย่างสวัสดิภาพโดยที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่วินาทีที่ทรงตัวได้ก็เพิ่งนึกออกว่าเผลอลืมอะไรบางอย่างไป

                ลืมว่าต้องแกล้งล้มไปซะสนิทเลย!

                “ทำอะไรกันอยู่ตรงนี้”

                เสียงทุ้มต่ำของเฮียวีทำเอาฉันขนลุกเกรียวกราว ค่อยๆหันหลังกลับไปเผชิญหน้าร่างสู้พร้อมกับยกยิ้มทำใจดีสู้เสือ ไม่รู้ว่าเขาทันมาเห็นช็อตที่ฉันปีนรั้วเป็นลิงเป็นค่างหรือเปล่า แต่ว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับถ้าหากเขาเกิดสงสัยเกี่ยวกับฉันขึ้นมา

                “ตั้งโต๊ะแล้ว ม๊าเลยให้มาตาม” เพราะว่าเขายังไม่ตั้งคำถามอะไรฉันถึงค่อยๆฉีกยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับด้วยโทนเสียงอ่อนหวาน

                “ค่ะเฮีย”

     

                คฤหาสน์ของตระกูลคิมมีพื้นที่กว้างขวางจนฉันเหนื่อยเกินกว่าจะสำรวจภายในวันเดียว หลังจากมื้อเช้า เฮียวีก็ออกไปทำงาน ส่วนคุณอาชางต้องบินไปคุยธุรกิจที่ฮ่องกง ทั้งบ้านเหลือแค่ฉันกับคุณอาเจียและคนงานในบ้านที่แยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังจากได้รับอนุญาตจากนายหญิงของบ้าน

                ร่างบางของคุณอาเจียนั่งถักนิตติ้งอยู่ที่โซฟาตัวยาวในห้องรับแขก เสียงเพลงบรรเลงด้วยทำนองดนตรีคลาสสิกถูกเปิดคลอเบาๆ ส่วนฉันก็นั่งอยู่ใกล้ๆกับเธอก่อนที่นายหญิงคนสวยจะบอกให้ฉันนอนหนุนตักเธออย่างใจดี

                “ง่วงเหรอคะน้องเพ่ย”

                “นิดหน่อยค่ะ เมื่อคืนแปลกที่น้องเลยนอนไม่ค่อยจะหลับ” ฉันตอบยิ้มๆทั้งที่ความจริงเป็นเพราะระแวงที่ต้องนอนข้างๆเฮียวีทั้งคืนต่างหาก จำได้ว่ากว่าจะข่มตาหลับก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง

                “งั้นเดี๋ยวม๊าต้มยาจีนให้ดื่มก่อนนอนดีมั้ยคะ ทั้งน้องทั้งเฮียวีเลย” คุณอาเจียบอกอย่างใจดีก่อนจะเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง “แต่จริงๆแล้วเฮียวีหลับยากเลยล่ะ ม๊ากลัวนิสัยเฮียเขาจะกวนเวลาหนูนอน”

                “แต่เมื่อคืนเฮียหลับปุ๋ยเลยนะคะ” ฉันย้อนกลับไปด้วยความจริงของเมื่อคืน ก่อนจะนึกได้ว่านิสัยนอนหลับยากของอีกคนไม่ใช่ปัญหาของฉันเลยสักนิด เพราะไม่ว่ายังไงเราก็แยกห้องกันนอนอยู่แล้ว

                “จริงเหรอคะ แปลกนะเนี่ย” เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา วูบหนึ่งที่เห็นความดีใจฉายชัดในดวงตาสีน้ำตาลสวยของนายหญิงตระกูลคิม ซึ่งฉันไม่รู้สาเหตุว่าทำไม

                คุณอาเจียชวนฉันพูดคุยไปเรื่อยเปื่อยๆ ตอนแรกยอมรับว่าเกร็งกับเธอไม่น้อยเลย แต่เพราะเธอใจดี การอยู่ใกล้ๆและได้รับสัมผัสอบอุ่นจากเธอทำให้ฉันอุ่นใจคล้ายกับได้อยู่กับแอนน์

                “น้องดื้อจริงๆนะคะคุณม๊า” ฉันคุยจ้อเหมือนลืมไปว่าเพิ่งรู้จักกับคุณอาเจียเมื่อวาน พอเห็นเธอยิ้มขำเหมือนไม่เชื่อก็บอกต่ออีกประโยค “ดื้อจนถูกส่งไปอยู่กับคุณลุงเลย”

                “ดื้อของน้องกับดื้อของม๊าคงต่างกันมั้งคะ ม๊าดูยังไงน้องเพ่ยก็ไม่ดื้อเลยนะ”

                ได้แต่ย่นจมูกให้กับคำพูดนั่น ทำไมไม่เคยมีคนเชื่อว่าฉันน่ะดื้อ ดื้อจนถูกพ่อกับแอนน์ส่งไปอยู่กับอเล็กซ์ที่อังกฤษ แต่ก็ดูไม่ค่อยช่วยอะไรในเมื่ออเล็กซ์น่ะเป็นตัวพ่อกับเรื่องที่ขึ้นชื่อว่าวุ่นวาย อยู่กับเขา ฉันยิ่งได้ลองเปิดหูเปิดตา แต่เรื่องอะไรที่ว่ามาก็ใกล้จบลงเต็มทีแล้ว คงอีกไม่นานนักหรอก

                “ถ้าอยากกลับไปเยี่ยมคุณแม่ก็ได้นะคะ” คุณอาเจียพูดขึ้นมาพลางละมือจากนิตติ้งที่ถักตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกให้แล้วบอกต่ออย่างนุ่มนวล “เดี๋ยวม๊าให้คนไปส่งแล้วก็จะไปกับน้องด้วย”

                “ไม่เอาดีกว่าค่ะ น้องเพิ่งมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงวัน” ฉันนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะปฏิเสธกลับไป “อีกอย่างน้องว่า น้องยังไม่อยากเจอแอนน์กับพ่อ”

                “น้องโกรธหรือเปล่าคะที่ถูกพามาแต่งงานโดยที่ไม่รู้อะไรเลย” เธอถามฉันเสียงค่อย “ม๊าขอโทษนะคะ”

                “เปล่าค่ะ น้องไม่ได้โกรธ” รีบส่ายหน้าปฏิเสธ สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งแล้วบอกไปตามความจริงพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “แค่น้อยใจเฉยๆ”

                ฉันไม่เคยโกรธพ่อกับแอนน์เลยสักนิด ฉันรู้ว่าพวกเขารักฉัน และคงไม่ผลักไสไล่ส่งให้ฉันต้องเผชิญหน้ากับชีวิตแย่ๆ แต่ก็มีวูบหนึ่งที่คิดว่าชีวิตของฉัน ทำไมฉันถึงเลือกไม่ได้ว่าจะแต่งงานกับใคร อยู่ๆก็ต้องมาผูกมัดกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันแค่ไม่กี่นาทีก่อนพิธีเริ่ม แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องอยู่ในสถานะแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

                “นี่มันชีวิตน้องนะ แต่จู่ๆก็ถูกจับแต่งงานทั้งที่ยังไม่รู้จักเจ้าบ่าวเลยสักนิด” เสียงที่บอกออกไปกลั้วหัวเราะแบบฝืนๆก่อนที่ฉันจะหยุดเสียงลงไปครู่เดียวเพื่อสูดหายใจ ขยับรอยยิ้มจริงใจส่งให้คุณอาเจียแล้วบอก “แต่น้องเชื่อใจพ่อกับแอนน์ค่ะ ถ้าพวกท่านไม่แน่ใจก็คงไม่ทำกับน้องแบบนี้”

                “เด็กดีจังเลยค่ะน้อง” คุณอาเจียว่าพลางลูบหัวฉันเบาๆ นิ้วเรียวเลื่อนมาบีบแก้มอย่างเอ็นดูแล้วว่าต่อ “เฮียวีของน้องเป็นคนดีค่ะ ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่ชินหรือดูใจร้ายไปบ้าง แต่ม๊าเชื่อว่าเขาต้องดูแลน้อง รักน้องแน่ๆ”

                “ความรักจะเกิดจากการคลุมถุงชนได้จริงๆเหรอคะ” คำถามของฉันทำเอาคุณอาเจียเงียบ พอเห็นเธอนิ่งไปแบบนั้นฉันก็รีบบอกเพื่อไม่ให้เธอเข้าใจผิด “น้องเปล่าประชดนะคะ แค่สงสัยจริงๆ”

                “เอาเถอะค่ะ ไม่มีใครรู้อนาคตหรอก ม๊าแค่เชื่อว่าน้องกับวีจะต้องรักกันแน่ๆ แล้วถ้าเฮียเขาทำไม่ดีกับน้องก็บอกม๊านะคะ ม๊าจะดุให้เอง”

                “น้องไม่ใช่เด็กขี้ฟ้องนะ” ฉันบอกยิ้มๆ “ขอบคุณนะคะที่ใจดีกับน้องขนาดนี้ คุณม๊าทำให้น้องรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

                “ม๊ายินดีค่ะ ว่าแต่วันนี้ตอนเย็นไปทานข้าวนอกบ้านกับม๊ามั้ยคะ” คุณอาเจียเองก็ยิ้มตอบก่อนสิ่งที่เธอว่าจะทำให้ฉันตื่นเต้นยกใหญ่ “ที่ร้านของน้องหลินน้องหมิง ภัตตาคารเจ็ดดาวเลยนะ”

                “งื้อ~ น้องอยากเจอตัวเล็กอีก ไปค่ะๆ”

                เอาเป็นว่าฉันชอบน้องหมิงมากๆ คนอะไรไม่รู้ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู แล้วก็แอบเสียใจนิดหน่อยที่คนนิสัยไม่ดีอย่างจองกุกได้น้องเป็นแฟน และถ้าหากฉันแอบเต๊าะน้องหมิงนิดหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ

                “ค่ะๆ สักหกโมงเย็นแล้วกันเนอะ” นายหญิงของบ้านยิ้มรับก่อนที่เธอจะเอ่ยแซวกันในประโยคสุดท้าย “แต่ว่าน้องเพ่ยนี่เรียกน้องหมิงเหมือนกับที่เฮียวีชอบเรียกเลยนะเนี่ย อย่างนี้หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าใจตรงกัน”

                “คุณม๊าก็!

     





                กว่าจะได้จัดการธุระส่วนตัวและกลับมาพักผ่อนก็เกือบสามทุ่ม ตอนเย็นคุณอาเจียพาฉันไปทานข้าวที่ภัตตาคารเจ็ดดาวของที่บ้านน้องหมิงตามที่เธอบอก ครอบครัวของน้องดูวุ่นวายแต่ก็อบอุ่นไปในทีเดียวกัน หนำซ้ำฉันก็เพิ่งจะรู้ว่าคุณเหม่ยหลินพี่สาวของน้องหมิงยังเป็นคุณครูที่โรงเดียวกันกับฉัน แต่เธอสอนอยู่แผนกมัธยม ส่วนฉันเป็นครูอนุบาลที่ต้องคอยรับมือเด็กน้อยจอมป่วนทุกวัน

                น้ำอุ่นช่วยผ่อนคลายความปวดเมื่อยตามตัวได้มากโข ฉันต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวออกจากห้องน้ำเพราะดันลืมเสื้อผ้าที่วางทิ้งเอาไว้บนเตียง มือข้างหนึ่งกดๆนวดๆตรงไหล่ระหว่างที่เดินกลับไปที่เตียง ส่งเสียงฮัมเพลงคลอไปเบาๆจนแทบจะไม่รับรู้ถึงเสียงปลดล็อกลูกบิด

                มือหยิบเสื้อยืดที่เป็นเครื่องแต่งตัวชิ้นสุดท้ายมาถือไว้ในมือก่อนจะจัดการสวมมันลงทางหัว แต่วินาทีนั้นฉันกลับหันไปพบว่าร่างสูงของเฮียวียืนอยู่ตรงประตู เขาชะงักคล้ายกับทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่งก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบแล้วกระเอมเสียงเบา

                “เฮียว่าน้องใส่เสื้อก่อนดีกว่า” เสียงทุ้มว่าก่อนเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง โทนเสียงราบเรียบขัดกับบางอย่างที่แฝงในประโยคถัดมาทำเอาฉันหน้าร้อน “อย่าเพิ่งโชว์อกขาวๆให้เฮียดูเลย”

                รีบดึงเสื้อลงมาใส่ให้เรียบร้อยเมื่อได้ยินประโยคคล้ายกับล้อเลียนของเฮียวี ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวทัดผมเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าก่อนจะถามคนตัวสูงที่ยังยืนอยู่ที่เดิม

                “แล้วเฮียเข้ามาทำไมคะ” ฉันถามพลางเลื่อนสายตามองเจ้าของใบหน้าคมคาย จงใจแฝงความไม่พอใจอย่างเจือจางไปในแววตา และเดาว่าเฮียวีก็คงรู้ตัวเขาถึงไหวไหล่เล็กน้อยแล้วตอบกลับมา

                “เอากุญแจห้องมาให้น่ะ” ว่าแล้วเขาก็ชูกุญแจให้ฉันดู โคลงศีรษะหนหนึ่งก่อนจะบอกต่อ แต่ฟังดูจากน้ำเสียงแล้วเขาจงใจตอบโต้กับสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปชัดๆ “เฮียเคาะเรียกตั้งนานแต่น้องไม่ตอบ เฮียเลยถือวิสาสะเข้ามา”

                “ก็เราอาบน้ำอยู่เลยไม่ได้ยิน”

                หลังจากที่ฉันตอบกลับไป เราทั้งคู่ก็ต่างเงียบเสียงใส่อีกฝ่ายเหมือนอย่างเคย มองสบกับดวงตาสีเข้มของเฮียวีได้แค่เดี๋ยวเดียวก็ต้องแสร้งมองไปทางอื่น อยู่ๆก็ร้อนวูบขึ้นที่แก้มเมื่อนึกได้ว่าอีกคนอาจจะเพิ่งมองเห็นร่างกายเกือบเปลือยเปล่าของตัวเองไปหยกๆ

                “น้องมีแผลเป็นตรงไหล่ขวา?”

                เสียงทุ้มตีสติฉันจนแตกกระเจิง ลอบพรูลมหายใจออกทางปากก่อนที่จะค่อยๆพยักหน้ารับ ไม่ค่อยอยากพูดเรื่องที่มาของมันนักเลยรีบเปลี่ยนประเด็น

                “เอากุญแจมาให้เรานี่คะ” ฉันว่าพลางเป็นฝ่ายสืบเท้าเข้าไปหาร่างสูงก่อน แบมือไปตรงหน้าเมื่อระยะห่างระหว่างฉันกับเฮียวีเหลือเพียงช่วงแขน บอกต่อด้วยประโยคสั้นๆแต่แฝงความนัยให้เขารู้ตัวว่าถึงเวลาที่ต้องคืนความเป็นส่วนตัวให้ฉันสักที “ให้กุญแจเราแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ”

                วูบหนึ่งที่ฉันเห็นเฮียวีกระตุกรอยยิ้มก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว มือหนาหย่อนกุญแจสองดอกที่ห้อยด้วยจี้รูปดาวลงมาที่มือ ทิ้งท้ายไว้แค่ไม่กี่คำก่อนจะหันหลังเดินออกไปและปล่อยให้ฉันได้ถอนหายใจเฮือกยาว

                “กุญแจของห้องน้องแล้วก็ห้องเฮีย และอย่าให้ใครรู้ว่าเรานอนแยกห้องกัน”

                พอประตูห้องถูกปิดลงอีกหน ฉันก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงพร้อมกับผ่อนลมหายใจอีกครั้งหนึ่ง เอาใจยากยังไงก็ไม่รู้ผู้ชายคนนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเอาอกเอาใจเฮียวีหรอกนะ สถานะสามีภรรยาที่เข้าขั้นกำมะลอของราทั้งคู่นั่นน่ะก็ไม่รู้ว่าจะตบตาคนในบ้านไปได้อีกสักกี่น้ำ คิดภาพไม่ออกเลยถ้าหากนายหญิงของบ้านอย่างคุณอาเจียเกิดอยากให้เรามีนายน้อยหรือคุณหนู ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันจะทำยังไงดี

                “คุณพีจะช่วยเราได้รึเปล่านะ” ฉันถามพึมพำไปอย่างนั้นทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอีกคนคงไม่รับรู้ตัว ตัวเขาอยู่ที่ไหนฉันยังไม่รู้เลย

                เสียงแจ้งเตือนที่ดังมาจากโทรศัพท์เครื่องสีดำทำให้ต้องหันเหความสนใจไปที่มัน หลังจากที่เงียบหายไปนาน ตอนนี้มันกลับมาทำงานแล้วสินะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแสกนลายนิ้วตามด้วยปลดล็อกระบบรักษาความปลอดภัยอีกครั้ง ดูเผินๆแล้วโทรศัพท์เครื่องนี้แทบไม่ได้ใช้งาน มีเพียงแอพพลิเคชั่นไม่เกินสามแอพพลิเคชั่นที่อยู่บนหน้าจอ กดเลือกไปที่ไอค่อนรูปข้อความซึ่งขึ้นการแจ้งเตือนเอาไว้

                FM W C. PHLOX

                ตัวอักษรไม่กี่ตัวปรากฏอยู่บนหน้าแชท แต่ฉันกลับเข้าใจความหมายมันตั้งแต่ครั้งแรกที่อ่าน ขยับมือพิมพ์ตอบอีกฝ่ายกลับไปก่อนจะเก็บโทรศัพท์เครื่องนั้นลงที่เดิม และหวังลึกๆในใจว่าจะไม่ได้เห็นข้อความจากมันอีกแล้ว

                NED.

                “อีกนิดนะเกว็น เราจะทำให้ดี ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว”

     





                ความทรงจำเลวร้ายที่กลายเป็นฝันร้ายทำให้ฉันสะดุ้งตื่นกลางดึก ลมหายใจไม่ได้ถี่รัวเหมือนครั้งแรกๆที่มันแวะเวียนมาเยี่ยมยามจมอยู่ในห้วงนิทรา ฉันเพียงหลับตาลงพลางขับไล่ฝันร้ายที่เคยทำให้น้ำตานองหน้าให้จางหายไปพร้อมกับลมหายใจที่ถูกระบายออกมา

                อาการคอแห้งผากหลังจากสะดุ้งตื่นทำให้ฉันตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง ออกไปดื่มน้ำกับสูดอากาศด้านนอกสักหน่อยคงทำให้รู้สึกดีขึ้น ค่อยๆเปิดประตูอย่างระมัดระวังเพราะใกล้ถึงเวลาตีสามเต็มที ฉันใช้ประตูห้องนอนของตัวเองเปิดไปด้านนอกแทนที่จะเป็นประตูห้องของเฮียวีเหมือนอย่างทุกครั้งเพราะไม่อยากรบกวนเวลาตอนเขานอน

                แต่เดินยังไม่ทันพ้นหน้าห้องเฮียวี หัวคิ้วก็ขมวดชนกัน แสงไฟที่ลอดมาจากใต้บานประตูทำให้นึกสงสัยว่าเฮียวียังไม่หลับรึยังไงทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว หรือเขาเพียงแต่ลืมปิดไฟในห้องเท่านั้นก็ไม่รู้ หยุดครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นเกือบนาทีก่อนจะตัดสินใจขยับเท้าลงไปชั้นล่าง แต่ถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเท้าอยู่ที่เดิมเมื่อประตูห้องถูกผลักออกมา

                “ออกมาทำอะไรดึกดื่น” เสียงทุ้มถามหลังจากที่เปิดประตูออกมา ร่างสูงอยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินเข้ม ขลิบขาวอยู่รอบปกเสื้อ แขนและขา เนื้อผ้าลื่นๆสะท้อนกับแสงไฟที่สาดมาจากทางด้านหลังทำให้ฉันเผลอหรี่ตาลงเพื่อปรับโฟกัสไม่ทัน

                “เราสะดุ้งตื่นแล้วพอดีกระหายน้ำก็เลยกะจะลงไปที่ครัวค่ะ” ฉันอธิบายเสียงค่อยก่อนจะย้อนถามอีกคนตามที่นึกสงสัย “ว่าแต่เฮียยังไม่นอนอีกเหรอคะ”

                “ยัง เฮียมีงานให้ต้องทำต่อนิดหน่อย”

                ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าว่าเฮียวีดูอิดโรยอย่างบอกไม่ถูก รอยคล้ำจางๆปรากฏอยู่ใต้ดวงตาคมกริบ แม้ใบหน้าจะยังเรียบเฉยแต่กลับซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ พอเห็นแบบนั้นฉันก็เลยหลุดปากพูดออกไปด้วยความเคยชินที่มักจะดุพ่อตัวเองแบบนี้บ่อยๆ

                “งั้นถ้าทำงานเสร็จก็ต้องรีบนอนเลยนะคะ”

                “รู้มั้ยว่าน้องกำลังทำให้เราเหมือนคู่สามีภรรยากันจริงๆ” เฮียวีย้อนกลับอย่างเนิบนาบขัดกับแววตาที่ฉายแววลุ่มลึกที่มองจ้องสบตากับฉัน คาดเดาอารมณ์ของเขาไม่ได้เลยจากสายตาตอนนี้

                “เราก็เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละค่ะ” ฉันแก้ตัวพลางถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากที่ขยับไปเรื่อยเปื่อยเพื่อเอาตัวรอดต้องชะงักลงด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่เข้มขึ้นอีกระดับของเฮียวี “อาชาง ม๊าเจีย หรือไป๋ไป๋ เราก็

                “ไปนอนเถอะ”

                “เอ๊ะ ก็เราบอกว่าจะลงไปห้องครัวไงคะ อย่าไล่เราแบบนี้สิ” คราวนี้ฉันย้อนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เอาจริงๆแล้วฉันไม่ชอบเลยที่ถูกตัดบทจนเผลอทิ้งน้ำเสียงไม่พอใจใส่เฮียวีไปจนได้

                “ขอโทษ เฮียไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น” แต่เขากลับไม่ได้แสดงอาการขุ่นเคืองให้เห็น ขยับรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วกล่าวขอโทษอย่างไม่อ้อมค้อม และแน่นอนว่าทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้นมาทันควัน ร่างสูงไหวไหล่น้อยๆก่อนจะเอ่ยปากถาม “เฮียลงไปด้วยสิ ยืดเส้นยืดสายหน่อยคงจะดี”

                เพียงแต่พยักหน้ารับและปล่อยให้เจ้าบ้านอย่างเฮียวีเดินนำลงไป ดวงไฟสีส้มนวลถูกเปิดให้ความสว่างเป็นจุดๆก่อนที่ความสว่างจะเข้าครอบคลุมห้องครัวเมื่อคนตัวสูงกดเปิดสวิตช์ไฟ ฉันเดินตรงไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำดื่ม เอี้ยวหลังไปถามคนที่ยืนพิงกับเคาน์เตอร์ตามมารยาท

                “เฮียจะเอาอะไรมั้ยคะ”

                “กาแฟ”

                “ฮะ? ดื่มตอนนี้จะได้นอนตอนไหนคะ” แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินจากปากเฮียวี หลุดเสียงพ่นลมหายใจสั้นๆก่อนจะให้ข้อสรุปเองและไม่รอฟังคำตอบ ฉันก็เลือกที่จะมัดมือชกอีกฝ่ายทันที “เราจะอุ่นนมให้ดื่มแทน ตกลงนะคะ”

                จัดการหยิบนมรสจืดในตู้เย็นออกมาเทใส่แก้ว ขยับเท้าไปทางที่เฮียวีอยู่ วางแก้วนมในไมโครเวฟพร้อมกับตั้งเวลาให้มันทำงาน พอหันกลับมาก็เจอเฮียวียืนอยู่ตรงข้ามพอดี คนที่ยืนกอดอกหลุบสายตาสำรวจฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถามขึ้นมาดื้อๆ

                “น้องใช้น้ำหอมกลิ่นไหน”

                “คะ? เราไม่ได้ใช้น้ำหอมนะ” งุนงงนิดหน่อยแต่ฉันก็บอกไปตามความจริง ปกติฉันแทบจะไม่ใช้น้ำหอมอยู่แล้ว แถมเป็นเวลาพักผ่อนตอนกลางคืนแบบนี้ ฉันไม่คิดจะหยิบน้ำหอมขึ้นมาฉีดหรอก

                “งั้นเหรอ แต่ว่าหอมดี” เฮียวีที่ค่อยๆพยักหน้ารับตอบกลับมา เขาเว้นวรรคอย่างอ้อยอิ่ง รอยยิ้มจางๆจุดที่มุมปากและหายไปอย่างรวดเร็วตอนที่เราสบตากัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มบอกต่อในประโยคสุดท้ายก่อนที่ทิ้งไว้แค่เสียงแปลกๆที่ดังตึกตักอยู่ในอกของฉัน “กลิ่นวนิลาบนตัวน้องน่ะ”






    Let's talk with me

                แง้~ ขอโทษนะคะที่หายหน้าไปนาน เฬาว์น่ะยังอยู่ดี ชีวิตวุ่นวายไม่เอื้อให้มานั่งแต่งฟิคแบบเมื่อก่อนเท่าไหร่5555 นี่เพิ่งสอบเสร็จ แต่ก็ปิดเทอมอยู่แค่7วัน ฮึ เอาสิ ตะ ตะ แต่วันนี้เฮียวีกับน้องเพ่ยมาเสิร์ฟแล้ว!!! และถ้านานจนจำเรื่องไม่ได้ต้องกลับไปย้อนอ่านนะคะ อิอิ แน่ะ แอบมองน้องล่ะสิ เป็นสัมมีย์แต่ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ น้องยังไม่ยินยอม เอาสิ จะแยกกันนอนได้อีกกี่น้ำ!!! ส่วนน้องเพ่ยเป็นบุคคลที่มีปริศนามากมาย แต่อย่าไปเครียดตามนะคะ เดาพอให้สนุกพอ ส่วนแชทของน้องเพ่ยไว้จะเฉลยตอนที่ความจริงถูกเปิดเผย คิกค้ากกกก แง้ๆ เฮียวีหยั่กดื่มกาแฟ แต่น้องเพ่ยจะให้ดื่มนม อย่าขัดใจน้องนะ!!! แล้วๆนี่แอบจีบหรือแอบอ่อยน้องป่ะคะเฮีย เฬาว์น่ะครุ่นคิสนะะะะ (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส) ปล.ต่อไปเราอาจจะไม่ได้เปลี่ยนgifของแต่ละตอนนะคะ ไม่ใช่เพราะขก. แต่จะเป็นลมทุกทีที่เห็นหน้าพี่แท กลั้นปากอุดกรี๊ดไม่ได้เลยเวลาหารูปแต่ละที คนอะไรคือหล่อมากอ่ะแกร และที่สำคัญคือรูปไหนก็หล่อ จบปิ๊งนะ


    07/12/2019


    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×