ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Fallin' all in you [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #2 : ♥ Fallin' 01 ♥

    • อัปเดตล่าสุด 23 ม.ค. 64






     Fallin’ 01 

    First day with him!

    วันแรกกับเขา!



     

                “ไม่ดื้อนะคะน้อง”

                “ค่ะแอนน์”

                มีแต่รอยยิ้มจืดเจื่อนถูกส่งกลับไปให้แอนน์ ถูกพามาถึงงานทั้งที่ไม่รู้อะไรแบบนี้ ปฏิเสธหรือดื้อดึงไปก็คงไม่มีประโยชน์ ฉันคิดแบบนั้นอยู่ในใจและปล่อยให้แอนน์ออกไปรอข้างนอก ก่อนหน้าที่จะเข้ามารอในห้องรับรองของคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนี้ แม่บ้านท่าทางใจดีแจ้งไว้ว่าอีกสักครู่จะส่งคนเข้ามาช่วยแต่งหน้าและแต่งตัว

                ลมหายใจถูกระบายออกไปเฮือกใหญ่พลางกวาดสายตามองสำรวจห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแค่ฉันอยู่คนเดียว ดูท่าทางแล้วเจ้าของบ้านคงจะเป็นคนใหญ่คนโตน่าดู เครื่องเรือนทุกชิ้นดูมีราคา ยังไม่รวมกับโคมไฟแบบบห้อยระย้าที่จำได้ว่าราคาแพงมากโข ตอนนี้ฉันอยู่ที่ห้องชั้นสอง ชะโงกหน้ามองไปยังสนามหญ้าที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นคนงานเริ่มจัดวางโต๊ะจีน เดาว่างานนี้คงใหญ่โตไม่น้อย แต่ที่ฉันยังไม่รู้ก็คือเจ้าบ่าวของฉันคือใครกัน

                ความสนใจถูกดึงไปตรงบานประตูที่ปิดสนิท เสียงเคาะประตูดังอยู่สองสามครั้งตามมาด้วยเสียงหวานๆของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเอ่ยขออนุญาตก่อนจะค่อยๆผลักประตูเข้ามา

                วินาทีแรกที่ฉันเห็นเธอ ใบหน้าหวานดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของดวงตากลมโตแย้มรอยยิ้มน่ารัก เธออยู่ในชุดกี่เพ้าสีชมพูอ่อนปักด้วยลายดอกโบตั๋นสีทอง มือบางถือกล่องที่ฉันคิดว่าเป็นเครื่องสำอางเข้ามาด้วย

                “พี่เพ่ยใช่มั้ยคะ หมิงมาช่วยค่ะ” เธอว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางดูน่ารักไปหมด สองขาเรียวก้าวเข้ามาหาก่อนจะถามอีกครั้ง “ไปแต่งตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวหมิงเอาชุดออกมาให้”

                “คค่ะ”

                เพราะว่าน้องหมิงดูน่ารัก แถมมารยาทดี ฉันจึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ใส่แบบที่แอบคิดไว้ตอนแรก มองตามหลังร่างบางที่หมุนตัวเดินไปหยิบชุดจากตู้เสื้อผ้าพลางใช้ความคิดไปด้วย ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากทั้งที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีว่ารู้จักฉันมาก่อน

                “นี่ค่ะ ถ้าพี่เพ่ยจัดการไม่ได้ตรงไหนเรียกหมิงได้นะคะ”

                “ขอบคุณค่ะ” ฉันว่าแล้วรับชุดสีแดงมาถือไว้ คนตรงหน้ายังคงรอยยิ้มเหมือนเดิมก่อนที่ฉันจะเดินเลี่ยงไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ

                ใช้เวลาไม่นานนักฉันก็แบกร่างตัวเองในชุดเจ้าสาวออกมา ชุดสีแดงสดปักลายอ่อนช้อยด้วยด้ายสีเหลืองทองหนักไม่ใช่เล่น แถมยังใส่ยากซะจนต้องให้น้องหมิงช่วย คนตัวเล็กจัดแจงแต่งตัวให้ฉันอย่างคล่องแคล่วภายในเวลาไม่กี่นาที

                “โห้ ตาพี่เพ่ยสวยจังเลยค่ะ” น้องหมิงเอ่ยชมหลังจากที่จับให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็นั่งตรงข้าม ผมถูกรวบเกล้าไว้บนหัวเพื่อที่จะแต่งหน้าได้สะดวก

                “พี่ตาเหมือนแอนน์น่ะค่ะ” พอเห็นว่าอีกคนชะงักไปพร้อมกับมองตาปริบๆเหมือนสงสัย ฉันจึงรีบอธิบาย “หมายถึงแม่ค่ะ พี่ติดปากเรียกแบบนั้น”

                “อ่อ คุณน้าคนสวยที่คุยกับอาเจียอยู่ข้างล่าง” เธอว่าแล้วก็พยักหน้ารับหงึกหงึก รอยยิ้มน่ารักหลุดออกมาอีกหน

                “เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนใช่มั้ยคะน้องหมิง แต่ทำไมพี่คุ้นหน้าหนูมากๆก็ไม่รู้”

                ฉันตัดสินใจถามออกไปจนคนที่กำลังก้มหน้าค้นกระเป๋าเครื่องสำอางเงยหน้าขึ้นสบตา น้องหมิงเอียงคอมองฉันเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เธองุ้มริมฝีปากลงเหมือนครุ่นคิดแล้วบอก และนั่นทำให้ฉันรู้ว่างานแต่งครั้งนี้คงจะถูกเตรียมมานานแล้ว

                “หมิงเคยเพิ่งเห็นพี่เพ่ยผ่านรูปเมื่อวันก่อนเองค่ะ อาเจียบอกว่าพี่เพ่ยเป็นเจ้าสาวของเฮียดื้อ”

                “เฮียดื้อ?

                แต่ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากถามถึงเฮียดื้อที่น้องหมิงว่า ประตูห้องกลับถูกเคาะเป็นจังหวะสองสามครั้ง คนที่อยู่ข้างนอกไม่รอฟังคำอนุญาต แต่กลับถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา แถมยังส่งเสียงเรียกอีกคนเสียงดังจนน้องหมิงเอ็ดแทบไม่ทัน

                “หมิงทำอะไรอยู่ เรารอนานแล้วนะ!

                “อย่าเสียมารยาทสิจองกุก”

                ชื่อที่หลุดมาจากปากน้องหมิงทำให้ต้องเลิกคิ้วพร้อมกับหันไปทางประตู ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท เรือนผมสีเข้มสนิทถูกเช็ทขึ้นอย่างเรียบร้อย ดวงตาคมกริบเลื่อนมองมาทางฉันเมื่อน้องหมิงบุ้ยปากมา ทันทีที่สบตากับผู้ชายตัวสูงคนนั้น ฉันก็เผลอตัวหลุดชื่อเขาออกมาเสียงดัง

                “เจย์เดน!

                “ยัยเพ่ย!

                ไม่คิดมาก่อนว่าฉันจะได้กลับมาเจอกับรุ่นน้องสมัยม.ปลายที่นี่ แถมยังรู้บางเรื่องของฉันอีกต่างหาก อีกฝ่ายก็คงจะตกใจไม่ต่างกันถึงได้มองฉันอย่างตื่นๆ ไหนจะเรียกกันอย่างไม่มีสัมมาคาระวะแบบนั้นอีก

                “เรียกเราดีๆไม่ได้หรือไง เราพี่นายนะเจย์เดน” อดจะต่อว่าอย่างฮึดฮัดไม่ได้ จองกุกคงจะไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นพี่หรือแก่กว่าเลยสินะ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังคงเรียกฉันเหมือนอย่างวันแรกที่รู้จักกัน ไม่สิ วันแรกที่ฉันทำความแตกต่างหาก

                พอเห็นหน้าจองกุก ฉันก็นึกได้ในทันทีว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าน้องหมิงนักหนา

                “อ๋อ ที่โม้เรื่องน้องหมิงไว้ทำได้จริงแล้วสินะอื้อ!

                พูดยังไม่ทันจบ จองกุกก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมกับใช้มือปิดปากฉันไว้แน่น เขาไม่ออมแรงฉันนิดจนแทบหงายหลัง ดวงตากลมโตเหมือนกระต่ายมองเขม็งคล้ายกับข่มขู่ห้ามไม่ให้พูดเรื่องนั้นออกมา

                “ไปจับพี่เพ่ยแบบนั้นทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะจองกุก” ถึงจะดูตกใจ น้องหมิงก็รีบห้ามทั้งยังช่วยดึงจองกุกให้ออกห่าง มือบางตีคนตัวโตกว่าหลายทีจนกระทั่งเขายอมผละออกไป แต่ก็ยังไม่วายหันมาทำท่าจิกกัดฉันผ่านสายตาจนถูกน้องหมิงหยิกเข้าตรงเอวจนร้องลั่น “นั่น ยังจะมองพี่เพ่ยแบบนั้นอีก”

                “โอ๊ย! เจ็บนะหมิง จี๊ดๆเลยเนี่ย”

                ฉันเผลออ้าปากค้างตอนที่เห็นจองกุกแทนตัวเองอย่างนั้น ท่าทางเป็นคนละคนกับเจย์เดนที่ฉันเคยรู้จักเลย แต่ก็อย่างว่าแหละเพราะรู้จักจองกุกมานานถึงได้รู้ว่าเขาน่ะชอบน้องหมิงหมิงมากแค่ไหน ฉันเคยได้ยินแต่ที่จองกุกโม้เอาไว้ พอได้มาเจอจริงๆก็ได้รู้ว่าเขาไม่ได้คุยเกินจริง แค่ไม่กี่นาทีที่เจอน้องหมิง ฉันก็สัมผัสได้ถึงความน่ารักเต็มไปหมด

                “มองไรอ่ะเพ่ย” ฉันอยู่เฉยๆยังถูกจองกุกพาลใส่ เขาหันมาถามเสียงห้วนทั้งยังคว้าน้องหมิงเข้าไปโอบไหล่ “ไม่ต้องมองหมิงด้วย ปิดตาไปเลย”

                “พูดจาไม่น่ารัก พี่เพ่ยโตกว่าจองกุกนะ”

                ดูสิ ขนาดดุจองกุกอยู่ยังใช้คำพูดคำจาไพเราะเลย นุ่มนิ่มไปหมดเด็กคนนี้

                “ไม่สนใจ ก็เราหวง” ดูท่าจองกุกจะสวมบทเป็นเด็กงอแงเต็มตัว เขาว่าอย่างกระเง้ากระงอดพร้อมกับโน้มลงไปฟัดแก้มน้องหมิงเสียงดังฟอดก่อนจะหันมาแนะนำฉันให้คนที่รีบก้มหน้างุดเพื่อซ่อนแก้มแดงๆเอาไว้ด้วยท่าทีปกติ “หมิง นี่เพ่ยอิง เป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนที่เดียวกันกับเรา”

                “ความจริงก็ไม่อยากรู้จักหรอกค่ะ” ฉันไหวไหล่เมื่อเห็นว่าจองกุกจิ๊ปากเมื่อฉันตอบกลับไป ฉันเลิกให้ความสนใจกับรุ่นน้องที่รู้จัก หันไปทางน้องหมิงแล้วบอก “ไม่ต้องอายก็ได้ เมื่อก่อนพี่เห็นเจย์เดนทำแบบนี้กับสาวๆบ่อย”

                “เดี๋ยวเหอะเพ่ย ไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”

                ฉันหลุดยิ้มตอนที่แกล้งแหย่จองกุกได้สำเร็จ น้องหมิงเองก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อฉันว่าแบบนั้น ส่วนจองกุกก็รีบแก้ตัวยกใหญ่จนสุดท้ายก็ต้องช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้

                “พี่ล้อเล่นนะคะ เจย์เดนไม่มองใครเลยนอกจากน้องหมิง” ฉันว่ายิ้มๆ แต่สุดท้ายก็แกล้งแหย่อย่างอดไม่ได้ “แล้วที่พี่บอกว่าคุ้นหน้าน้องหมิงก็เพราะตอนเรียนพี่ได้ยินเรื่องน้องหมิงจากปากเจย์เดนทุกวันเลยล่ะ ถ้าเบื่อเจย์เดนก็มาซบอกพี่เพ่ยได้นะคะ พี่ชอบคนน่ารักๆแบบหนู”

                “อย่ามาเคลมเมียผมนะเพ่ย!

                “หยุดเลยจองกุก ออกไปรอข้างนอกได้แล้ว เดี๋ยวเราแต่งหน้าพี่เพ่ยไม่ทัน” น้องหมิงปรามพลางดันจองกุกออก พอเขาทำท่าจะค้านก็บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง นิ้วเรียวชี้หน้าอย่างเอาจริงจนอีกคนต้องยกมือยอมแพ้ “เราบอกให้ออกไป”

                ถึงจะฮึดฮัดไปบ้าง แต่จองกุกก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน เขาพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะโน้มลงมากระซิบข้างๆหูพอให้ได้ยินกันแค่สองคน

                “ยินดีด้วยที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝา” คำอวยพรที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับจากจองกุกดังขึ้นเบาๆ ฉันนึกสงสัยว่าคนอย่างเขาจะพูดจาดีๆกับฉัน แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าอีหรอบเดิม เจย์เดนคนร้ายกาจยังคงไม่เคยหายไปไหน “แต่ผัวมาเฟียดุนะ เพ่ยไหวเหรอ”

                เด็กเวร






                ฉันพยายามจะสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด ไม่รู้ว่าทำไมเวลาถึงผ่านไปอย่างรวดเร็วได้มากขนาดนี้ รู้สึกว่าเพียงกะพริบตาไม่กี่ที ฉันก็พร้อมในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสีเดียวกับชุดและขลิบด้วยลายปักสีทองพร้อมห้อยพู่ทั้งผืน

                ทุกอย่างถูกจัดแจงและดำเนินไปอย่างเรียบร้อยราวกับจัดเตรียมพิธีการไว้พร้อมเป็นอย่างดี ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องพิธีแต่งงานแบบจีนมากนัก แค่ทำตามที่คุณอาเจียแม่ของเจ้าบ่าวคอยกระซิบบอก เธอดูใจดีพอๆกับหน้าตาที่ยังสะสวยแม้อายุจะล่วงเลยไปที่หลักสี่แล้วก็ตาม แต่ว่าช่างแตกต่างกับเจ้าบ่าวของฉันลิบลับ

                ผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งและเป็นเจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอยู่ข้างกายชื่อวี และแน่นอนว่าเขาคนนี้คือเจ้าบ่าวที่ฉันไม่รู้จัก

                เจ้าบ่าวในชุดสีแดงปักลายมังกรคงใบหน้านิ่งเฉยตลอดการเริ่มพิธี รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของเขาดูจืดชืดสิ้นดี ไร้ความยินดียินร้ายใดๆทั้งนั้น และนั่นทำให้ฉันรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นความต้องการของฉันหรือว่าเขา เราสองคนต่างถูกบังคับเหมือนกัน

                สัมผัสแรกของเขาเป็นตอนที่มือหนาบรรจงสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ฉัน เราสบตากันวูบหนึ่งก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายสวมแหวนให้เขาบ้าง ถึงจะเพียงแค่วินาทีเดียว แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆดูเข้าถึงยากอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาสีเข้มดูว่างเปล่าและเย็นชา แววตาที่ทอดมองมาราวกับประกาศบอกว่าอย่าคิดจะเข้าไปพัวพันกับเขาแม้ว่าต่อจากนี้อีกไม่กี่นาทีเราสองคนจะกลายเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ตาม

                พิธีดำเนินไปเรื่อยๆ ผ่านพิธีกินขนมอี้ (บัวลอย) และพิธียกน้ำชา ก่อนจะเป็นกล่าวให้คำอวยพรแก่บ่าวสาวจากทั้งฝ่ายพ่อแม่ของทั้งคู่ เวลาผ่านไปจนกระทั่งตอนที่ฉันไม่อยากให้มาถึงมากที่สุด

                ฉันและเจ้าบ่าวถูกพาขึ้นมาบนห้องชั้นสองของบ้าน เมื่อประตูบานหนาถูกเปิดออกก็มองเห็นเตียงคิงไซส์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง เสาสี่ต้นถูกผูกด้วยผ้าแพรสีแดง ผ้าปูสีนอนที่ถูกโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบจนกลายเป็นรูปหัวใจ ฉันแทบไม่อยากจะขยับเท้าเข้าไปในห้องหอที่เห็นตรงหน้า

                เราใช้เวลาอีกหลายนาทีเพื่อฟังคำสั่งสอนจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย มือที่ถูกดึงไปวางบนมือหนาของเจ้าบ่าวรีบดึงกลับมาวางบนหน้าตักเมื่อเสียงประตูห้องนอนที่ปิดจนสนิทดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าของทั้งสี่คนที่ค่อยๆหายไป และนั่นแหละ เข้าสู่บรรยากาศเดดแอร์ของจริง

                ฉันเหลือบมองเจ้าบ่าวของตัวเอง เห็นว่าเขายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่คิดที่จะพูดอะไรกับฉันสักคำ ส่วนฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไง เรียกว่าไม่รู้จะต้องหาเรื่องคุยกับเขามั้ยดีกว่า จากที่ลองเลียบๆเคียงๆถามมาจากน้องหมิงก็พบว่าเจ้าบ่าวของฉันเป็นมาเฟีย ถึงน้องหมิงจะบอกว่าเขาใจดีก็เถอะ ให้ตีลังกามองก็ไม่พบความเป็นมิตรเลยสักนิด ไหนจะถูกจองกุกปั่นหัวมาอีก

                ดุที่ว่านั่นใช่นิสัยใช่มั้ยนะ

                “น้องเพ่ย” เสียงทุ้มดังมาจากริมฝีปากหยักลึก ฉันที่เอาแต่จมอยู่กับความคิดตัวเองถึงได้สะดุ้งโหยง รีบหันไปตอบรับ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงถึงได้ตะกุกตะกักแบบนั้น

                “คคะ?”

                “ให้เฮียเปิดผ้าคลุมให้มั้ย” ถึงรูปประโยคจะดูมีน้ำใจ แต่น้ำเสียงของเขากลับราบเรียบ เหมือนกับถามไปตามหน้าที่เท่านั้น สรรพนามที่เขาใช้แทนตัวเองและเรียกฉันก็เช่นกัน ตอกย้ำให้รู้ว่าเราสองคนไม่ต่างจากคนแปลกหน้าของกันเลยจริงๆ

                “ไม่เป็นไรค่ะ เราทำเองได้” ฉันปฏิเสธพลางแตะมือลงที่ปลายผ้าคลุมก่อนจะเลิกมันขึ้นด้วยตัวเอง แม้จะรู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วเจ้าบ่าวต้องเป็นคนเลิกผ้าคลุมให้ แต่ก็อย่างว่า ทั้งฉันและเขาไม่ได้เต็มใจแต่งงานกัน จะแหกขนบธรรมเนียมก็คงไม่เป็นอะไร

                ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปอยผมที่หลุดออกมาปรกหน้าผากไปทัดไว้หลังใบหู ก่อนจะเลื่อนสายตามองหน้าเจ้าบ่าวให้เต็มตาครั้งแรก ยิ่งเห็นใบหน้าคมคายชัดเจน ก็รู้ว่าเฮียวีหล่อเหลามากขนาดไหน ทุกอย่างบนใบหน้าดูลงตัวและเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ไล่ตั้งแต่คิ้วเข้ม จมูกที่โด่งเป็นสันและตอนปลายที่แต้มด้วยจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ดวงตาสีเข้มที่แตกต่างกัน ข้างหนึ่งที่คมกริบจากตาสองชั้น ส่วนอีกข้างดูเรียวเฉี่ยวด้วยตาชั้นเดียว แต่ว่าไม่ได้ทำให้เขาดูด้อยลงไปสักนิด รวมไปถึงริมฝีปากหยักลึกที่หนาตามแบบฉบับผู้ชาย

                เผลอตัวกวาดสายตามองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท กระทั่งเสียงทุ้มของเฮียวีดังขึ้น คราวแรกฉันนึกว่าตัวเองฟังผิด แต่พอเห็นนัยน์ตาจริงจังของเจ้าของประโยคถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง

                “เฮียขอนอนแยกห้องนะ”

                “ได้ค่ะ” ฉันตอบรับอย่างว่าง่าย แน่นอนว่าฉันไม่ยอมปล่อยโอกาสดีๆหลุดมือไปหรอก อย่างที่บอกว่าฉันและเขาไม่ใช่คู่แต่งงานที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตัวเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป อีกอย่างนั่นก็เป็นการเซฟตัวเองอีกทางหนึ่ง เพราะลึกๆแล้วฉันก็หวังว่าสักวันจะได้รับอิสรภาพ การผูกมัดที่เรียกว่าการแต่งงานจะหายไป เป็นผู้หญิงยังไงก็ต้องอยากแต่งงานกับผู้ชายที่รักอยู่แล้ว

                เราพูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ แต่เรื่องที่ถูกกำชับนักหนาก็เป็นเรื่องที่ห้ามให้ใครรู้ว่าเราสองคนแยกกันนอน ก่อนที่ฉันจะแยกตัวไปที่ห้องนอนอีกห้องที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอนของเฮียวี จัดการปิดประตูและลงกลอนให้เรียบร้อยแล้วระบายลมหายใจเฮือกใหญ่

                ความเงียบงันในห้องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเล็กกว่าห้องเจ้าบ่าวทำให้น้ำตาที่กลั้นมาตลอดทั้งวันคลอหน่วย รีบกะพริบตาปริบๆไล่มวลน้ำสีใสออกไปให้หมด ถึงจะพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นอะไร แต่ความจริงแล้วฉันรู้สึกเคว้งคว้างไม่ต่างจากครั้งแรกที่ต้องห่างจากพ่อและแม่ จำได้ว่าตอนนั้นฉันแอบร้องไห้อยู่คนเดียวเป็นเดือนๆ และครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่หนักหนากว่าเดิมนิดหน่อย

                หลังจากสูดหายใจเข้าก็ไล่เปิดไฟในห้องและสำรวจห้องนอนใหม่เงียบๆ ห้องดูเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน เหลือบมองกระเป่าเดินทางสองใบที่จำได้ว่าเป็นของตัวเองที่วางอยู่ข้างประตู ก่อนตัดสินใจแกะผมและถอดชุดแต่งงานออกแล้วจะจัดการเก็บของให้เข้าที่

                ปิ่นปักผมและต่างหูเข้าชุดถูกถอดและวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งหลังจากที่จัดการล้างเครื่องสำอางจนหมดแล้ว ฉันย้ายมือลงมาแกะชุดที่น้องหมิงช่วยใส่ แต่ไม่ว่าจะพยายามรูดซิปมากแค่ไหนก็ทำไมได้ ฉันเอื้อมมือไปด้านหลังและกำซิปไว้แน่นก่อนจะดึงลงสุดแรง แต่กลับกลายเป็นว่าได้แผลเลือดซิบตรงปลายนิ้วกลับมาแทน

                ฉันจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด ความร้อนและความรู้สึกเหนียวตัวทำให้อยากอาบน้ำเต็มแก่ แต่อะไรก็ไม่เอื้ออำนวย ค่อยๆหันไปมองบานประตูที่คั่นระหว่างห้องตัวเองกับเฮียวีก่อนจะตัดสินใจขอให้อีกฝ่ายช่วย

                เคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นมารยาทก่อนจะถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป ริมฝีปากเผลออ้าค้างเมื่อพบว่าเจ้าของห้องเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มีเพียงผ้าขนหนูสีเทาเข้มผูกลวกๆตรงเอวสอบ เรือนผมสีเข้มหมาดน้ำถูกขยี้ด้วยผ้าอีกผืน และฉันก็ดันเสียมารยาทด้วยการเลื่อนมองหน้าท้องลีนๆที่มีหยดน้ำเกาะพราวของคนตัวสูง แต่พอได้ยินเสียงกระแอมเหมือนดุก็รีบเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าคมคายทันที

                “มีอะไรหรือเปล่า” เฮียวีถามเสียงเรียบ เขาปรายตามองฉันทั้งตัวครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่เดิม แววตาที่มองมาคล้ายกับเร่งเร้าให้ฉันรีบตอบและพาตัวเองไสหัวไปให้พ้นจากพื้นที่ของเขา สาบานว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง อ่านจากความดุดันจากนัยน์ตาสีเข้มทั้งนั้น

                “เอ่อ คุณคะ” ฉันเริ่มต้นประโยคอย่างกระอักกระอ่วน เม้มริมฝีปากหนหนึ่งแล้วเอ่ยขอความช่วยเหลือที่ตั้งใจขอตั้งแต่แรก “ช่วยรูดซิปลงให้เราหน่อยได้มั้ยคะ”

                ความเงียบเป็นรีแอคชั่นที่ได้รับมาจากคนตัวสูง เขานิ่งซะจนฉันหวั่นใจ หวังว่าเขาจะไม่คิดรำคาญจนหาอะไรมาฟาดหัวฉันเพื่อให้เรื่องวุ่นวายนี่จบลงหรอกนะ

                “ซิป?” คำถามสั้นๆถูกย้อนกลับมาหลังจากที่เฮียวีเงียบไปเกือบนาที ส่วนฉันก็รีบพยักหน้ารับพร้อมกับอธิบาย พยายามเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อบอกให้รู้ว่าฉันทุลักทุเลแค่ไหนกับการถอดชุดแต่งงานนี่

                “ค่ะ เรารูดลงเองไม่ได้ มันติดอะไรก็ไม่รู้”

                “หันหลังสิ” คำสั่งสั้นๆถูกบอกมาอีกครั้งพร้อมกับฉันที่หมุนอย่างไม่ขัดขืน ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่อยากให้ฉันรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ฉันเองก็แทบอยากจะออกไปจากตรงนี้ใจจะขาด

                ไม่รู้ว่าระยะห่างระหว่างฉันกับเฮียวีมันมากน้อยแค่ไหน แต่ลมหายใจอุ่นๆที่ปัดเป่าบริเวณลำคอสร้างความรู้สึกบางอย่างจนขนลุกเกรียว ลมหายใจถูกกลั้นอย่างอัตโนมัติเมื่อฝ่ามือหนาข้างหนึ่งทาบลงบนแผ่นหลัง ความอุ่นร้อนจากอุ้งมือของเฮียวีซึมผ่านเนื้อผ้าจนรับรู้ได้ ปลายนิ้วเรียวแตะลงอย่างผิวเผินตรงผิวเนื้อเหนือซิป สัมผัสเล็กน้อยแบบนั้นทำให้ยิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

                กึก!

                ฉันยืดตัวตรงเมื่อเฮียวีออกแรงดึงซิป ดูท่ามันคงจะกินเนื้อผ้าข้างๆไปจึงทำให้รูดลงมาไม่ได้ แรงมือที่ทาบทับบนแผ่นหลังกลายเป็นฝ่ามือที่เลื่อนลงมาจับตรงเอวไว้ก่อนที่เขาจะออกแรงอีกหนเพื่อรูดซิปเจ้าปัญหาลง

                วูบแรกที่ผิวกายปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ขนอ่อนลุกชันขึ้นง่ายดาย แต่ว่านั่นก็ไม่เท่ากับสัมผัสจากข้อนิ้วเรียวที่แตะลงกลางแผ่นหลังและเฉียดตะขอชั้นในไปแค่นิดเดียว วินาทีนั้นฉันเลือกที่จะสะบัดตัวออกแล้วเบี่ยงตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากับเฮียวีแทน เห็นความตื่นตกใจในแววตาของเขาครู่เดียวก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

                “ขอบคุณค่ะ” ฉันเลือกที่จะกล่าวคำขอบคุณสั้นๆ เหลือบสบสายตากับดวงตาคมกริบครู่เดียวแล้วขอตัวกลับห้อง “งั้นเราขอตัวก่อนนะคะ”

                ไม่ได้รอฟังคำตอบจากปากอีกคน ฉันรีบก้าวเท้าพรวดๆเพื่อให้ถึงประตูที่เชื่อมห้องนอนของตัวเองกับเขาให้เร็วที่สุด ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกยาวตอนที่แตะมือลงกับลูกบิด ฉันใกล้จะจบค่ำคืนน่าอึดอัดใจนี่ลงไปได้แล้ว

                โอเค ฉันคิดผิดมหันต์เมื่อไม่สามารถหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูได้ เผลอจิ๊ปากเพราะความหงุดหงิดใจก่อนลองหมุนลูกบิดดูอีกหน แต่ผลก็ยังออกมาเป็นแบบเดิม ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเจ้าของห้องที่ยังคงมองฉันอย่างไม่คลาดสายตา คิ้วเข้มที่ขมวดชนกันเต็มไปด้วยคำถามก่อนที่ฉันจะบอกต่อ

                “คุณคะ คือว่าประตูเปิดไม่ออกค่ะ”

                รีแอคชั่นของเฮียวีคือการเลิกคิ้วขึ้นนิดๆแล้วขยับเคลื่อนตัวเข้ามาหา ฉันเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อให้เขาลองเปิดประตูดูบ้าง พอการหมุนลูกบิดไม่ได้ผล ร่างกำยำก็ขยับหันข้างแล้วใช้ตัวกระแทกประตูเพื่อให้มันเปิดออก

                ดูความทุ่มเทของเขาสิ ไม่อยากให้ฉันอยู่ในห้องเดียวกันมากขนาดไหนกันนะ แต่ก็นั่นแหละ เป็นอีกครั้งที่ฉันคิดผิด เมื่อคนตัวโตหยุดการกระทำทุกอย่างลงแล้วหันกลับมา นัยน์ตาสีเข้มมองฉันวูบหนึ่งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงและรูปประโยคที่เป็นรูปแบบของคำสั่ง

                “คืนนี้น้องคงต้องนอนกับเฮียแล้วล่ะ”



     

                จำเป็นต้องหอบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนเข้ามาจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ไม่รู้ว่าต้องโชคร้ายขนาดไหนถึงมีแต่เรื่องประดังประเดเข้ามาวันนี้ เจ้าของห้องรับปากว่าจะให้คนมาซ่อมประตูให้ฉันพรุ่งนี้ ส่วนคืนนี้ฉันต้องนอนค้างที่ห้องกับเขาไปก่อน จะออกไปจากห้องก็ไม่ได้เมื่อถูกกำชับว่าคืนนี้บ่าวสาวต้องอยู่ในห้องจนถึงเช้า

                พยายามใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำให้มากที่สุด ฉันไม่ค่อยพร้อมหากต้องเผชิญหน้ากับเฮียวีตรงๆ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้เผยความน่ากลัวตามวิสัยมาเฟียออกมา แต่ใช่ว่านิสัยพวกนนั้นจะไม่ได้อยู่ในตัวเขา อย่างน้อยก็ความเย็นชากับการชอบออกคำสั่งที่ฉันมองเห็น

                และเชื่อหรือเปล่า เฮียวีดูไม่เข้าใจผู้หญิงสักเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้าที่ฉันจะเข้ามาอาบน้ำ เราก็ถกเถียงเรื่องชุดชั้นในไปกันครั้งหนึ่ง

                “ไม่ใส่สักคืนไม่เป็นไรหรอก”

                เขาบ้าหรือเปล่าที่พูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉย คนอื่นอาจจะบอกว่าอึดอัดหากต้องใส่ชั้นในตอนนอน แต่ไม่ใช่กับฉันแน่ ยิ่งต้องมานอนร่วมเตียงกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักก็ยิ่งต้องใส่ ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามี แต่ฉันเปล่ามีความรู้สึกอะไรกับเขานี่ และโชคดีสุดๆเมื่อเฮียวีพบมุมใหม่ในตู้เสื้อผ้าตัวเอง เขาคาดว่าเป็นคุณอาเจียที่แอบมาจัดมุมเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงให้ฉัน

                ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนสีชมพูอ่อนที่ไม่ใช่ตัวฉันสักนิด แต่เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่มีให้ใส่ ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกวางแหมะไว้บนหัวพร้อมกับออกแรงขยี้ให้มันซับน้ำออกจากเรือนผมไปด้วย กวาดสายตามองไปทั่วห้องอีกครั้งเพื่อมองหาเจ้าของห้อง

                เฮียวีนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้บุหนังสีแดงเลือดนกตรงโซนโต๊ะทำงานของเขา ท่วงท่าที่เขาจดจ่อกับตัวอักษรในกรอบสายตาและท่านั่งไขว่ห้างนั่นฉันไม่ปฏิเสธสักนิดเลยว่าดูดีเอามากๆ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องชื่นชม ตัดสินใจตีหน้าตายก่อนจะเคลื่อนตัวไปทางโซฟาที่วางไว้ติดกับปลายเตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงเงียบๆ

                ฉันไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เพียงแต่ซับผมให้หมาดน้ำไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องโดยที่ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที จนกระทั่งเสียงนุ่มทุ้มของเฮียวีดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งสังเกตเห็นฉันที่นั่งจุ่มปุกอยู่ตรงนี้

                “อ้าว น้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “ก็สักห้านาทีก่อนมั้งคะ” ฉันหันไปตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆเพื่อไม่ให้ดูแข็งกระด้างมากเกินไป เห็นว่าคนตัวโตพยักหน้ารับกับคำตอบของฉันก่อนที่จะก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ ส่วนฉันก็เม้มริมฝีปากลงทีหนึ่งอย่างชั่งใจก่อนจะค่อยๆขยับปากเรียกอีกคน “เอ่อ เฮียคะ”

                “หืม?”

                ได้รับความสนใจจากเฮียวีด้วยคำพูดสั้นๆและการเงยหน้าขึ้นมา ฉันโคลงศีรษะครั้งหนึ่งเป็นเชิงเรียกความมั่นใจก่อนจะบอกออกไปตรงๆ

                “เฮียไม่ต้องเรียกเราว่าน้องก็ได้นะคะ แค่เพ่ยเฉยๆก็พอ”

                “ไม่อยากให้เรียกเหรอ” นั่นเป็นคำถามที่หลุดจากปากเฮียวีหลังจากที่เขาวางหนังสือในมือลง ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะไม่มีปฏิกิริยาด้วยซ้ำ คิ้วเข้มขมวดชนกันเป็นครั้งที่สองของคืนนี้ก่อนที่เขาจะถามซ้ำอีกครั้งด้วยโทนเสียงดุดันเล็กน้อย “ไม่ชอบให้เฮียเรียกหรือว่าอะไร”

                “คะ? ก็เปล่าค่ะ” ฉันปฏิเสธพลางส่ายหน้า ลอบผ่อนลมหายใจลงแล้วค่อยๆอธิบายเหตุผล “เราแค่คิดว่าเฮียอาจจะไม่อยากเรียกเราว่าน้องแบบที่คุณอาเจียเรียก ให้เรียกเราว่าเพ่ยเฮียอาจจะสะดวกใจมากกว่า”

                ยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้ยินเฮียวีเรียกแทนฉันว่าน้องก็ตกใจไม่เบา ความสัมพันธ์ของฉันและเขาเกิดจากการคลุมถุงชน ซึ่งเขาอาจจะรู้สึกต่อต้านฉันก็ไม่ผิด การที่ฉันไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือวางตัวเป็นคนสำคัญของเขาคงจะทำให้เฮียวีรู้สึกสะดวกใจมากกว่า เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่อยากถูกเขาจับตามองในบ้านหลังนี้

                “ม๊า” ฉันสะดุ้งเมื่อเฮียวีเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาที่ติดจะดุดันมองสบเข้ามาก่อนจะขยายความด้วยประโยคที่ยาวขึ้นมาอีกนิด “ไม่ใช่คุณอาเจีย”

                “ค่ะ เราเข้าใจแล้ว”

                น้ำเสียงที่ปะปนด้วยความไม่ชอบใจทำให้ต้องยอมตกปากรับคำง่ายๆ ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มทุ้มจะเรียกร้องความสนใจด้วยประโยคถัดมา

                “แล้วก็เฮียพอใจจะเรียกน้องว่าน้อง” นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องฉันทุกคำพูด และไม่รู้ว่าอุปทานไปเองหรือว่าอย่างไรถึงได้เห็นยิ้มเล็กๆตรงมุมปากของเฮียวี เสียงทุ้มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกต่อด้วยประโยคทีเล่นทีจริงที่ฉันคิดว่าเฮียวีคงจะเอาจริงล้วนๆ “ส่วนเพ่ย เอาไว้เรียกตอนที่เฮียดุน้องดีกว่า”

                เอาล่ะ ผู้ชายคนนี้น่ากลัว!!!

                ท่าทีที่ดูเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทำให้ฉันคงวางใจเกี่ยวกับเขาไม่ได้ง่ายๆ ดูเหมือนเขาพร้อมจะไล่ต้อนฉันทุกทางหากรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแบบนั้นขอหมายหัวไว้ก่อนแล้วกันว่าเฮียวีเป็นบุคคลอันตราย

                “ส่วนตอนนี้ก็ขึ้นไปบนเตียงได้แล้ว”

                “คะ?!

                “ตกใจอะไรกัน” เฮียวีย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยการเหย้าแหย่ที่ฉันคิดว่าอันตราย ร่างสูงที่ผุดลุกจากเก้าอื้และกำลังก้าวเท้าเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งตอนที่เขาหยุดเท้าลงด้วยระยะห่างไม่เกินหนึ่งช่วงแขน ฉันถึงได้รู้ว่าเฮียวีกำยำมากแค่ไหน เขาโคลงศีรษะเบาๆก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงอย่างหนึ่ง “แล้วก็ไม่เห็นแปลก

                ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องเอนหลังหนีเฮียวี รู้แค่ว่าเขาไม่เหมือนใครที่ฉันเคยเจอ ดูอันตรายจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่อีกด้านก็กลับดูลึกลับและให้ความรู้สึกน่าค้นหา โดยเฉพาะดวงตาสองชั้นข้างหนึ่ง ชั้นเดียวข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์นั่น สบตากับเขาทีไรก็รู้สึกเหมือนโดนล้วงความลับอยู่ตลอดเวลา

                “คนเป็นผัวเมียก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ”





    หลัวมาเฟียที่ยังคีพคลูก็ยังแบบนี้แหละค่ะ



    Let's talk with me

                เฬาว์กลับมาแร้ว!!! หายหน้าไปนานมั่กๆ บางคนอาจจะคิดว่าเฬาว์เทไปแร้วแน่ๆ ความจีงก็คือเหน่ยค่ะ คิดอะไรไม่ค่อยออกเลยไม่อยากฝืนเขียน กลัวจะไม่สนุกเอา อิอิ แต่วันนี้มาต่อแล้วนะ!!! แหม คุณเฮียเขาก็ใจดียอมช่วยน้องเพ่ยรูดซิปด้วย แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดค่ะ ขอแยกห้องนอน แต่น้องดันกลับห้องไม่ได้ คิกค้ากกก เอาล่ะ คืนนี้ก็นอนด้วยกันไปก่องนะคะ แล้วหยั่กลองทำตัวเล็กๆร้องดังๆมั้ยอ่า??? คาแร็กเตอร์คุณเฮียเขาอาจจะดูผีเข้าผีออกไปบ้างนะคะช่วงต้นๆบอกก่อนเรย ส่วนน้องเพ่ยเป็นเด็กดื้อค่ะ ดื้อกับเฮียคนเดียวนั่นแหละ!!! รอดูตอนหน้าว่าเข้าหอวันแรกจะเป็นยังไง เขาจะทำอะไรมากกว่านอนหรือเปล่า อิอิ (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส) ปล.Happy Jungook’s Day ต้ะ นับเป็นปีแรกที่ไม่ได้เขียนSFวันเกิด ฮริ้งงงงง

     

    01/09/2019

    B
    E
    R
    L
    I


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×