คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ♥ Fallin' 01 ♥
♥ Fallin’ 01 ♥
First
day with him!
วันแรกกับเขา!
“ไม่ดื้อนะคะน้อง”
“ค่ะแอนน์”
มีแต่รอยยิ้มจืดเจื่อนถูกส่งกลับไปให้แอนน์
ถูกพามาถึงงานทั้งที่ไม่รู้อะไรแบบนี้ ปฏิเสธหรือดื้อดึงไปก็คงไม่มีประโยชน์
ฉันคิดแบบนั้นอยู่ในใจและปล่อยให้แอนน์ออกไปรอข้างนอก ก่อนหน้าที่จะเข้ามารอในห้องรับรองของคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนี้
แม่บ้านท่าทางใจดีแจ้งไว้ว่าอีกสักครู่จะส่งคนเข้ามาช่วยแต่งหน้าและแต่งตัว
ลมหายใจถูกระบายออกไปเฮือกใหญ่พลางกวาดสายตามองสำรวจห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงแค่ฉันอยู่คนเดียว
ดูท่าทางแล้วเจ้าของบ้านคงจะเป็นคนใหญ่คนโตน่าดู เครื่องเรือนทุกชิ้นดูมีราคา
ยังไม่รวมกับโคมไฟแบบบห้อยระย้าที่จำได้ว่าราคาแพงมากโข
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ห้องชั้นสอง
ชะโงกหน้ามองไปยังสนามหญ้าที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นคนงานเริ่มจัดวางโต๊ะจีน
เดาว่างานนี้คงใหญ่โตไม่น้อย แต่ที่ฉันยังไม่รู้ก็คือเจ้าบ่าวของฉันคือใครกัน
ความสนใจถูกดึงไปตรงบานประตูที่ปิดสนิท
เสียงเคาะประตูดังอยู่สองสามครั้งตามมาด้วยเสียงหวานๆของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเอ่ยขออนุญาตก่อนจะค่อยๆผลักประตูเข้ามา
วินาทีแรกที่ฉันเห็นเธอ
ใบหน้าหวานดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เจ้าของดวงตากลมโตแย้มรอยยิ้มน่ารัก
เธออยู่ในชุดกี่เพ้าสีชมพูอ่อนปักด้วยลายดอกโบตั๋นสีทอง มือบางถือกล่องที่ฉันคิดว่าเป็นเครื่องสำอางเข้ามาด้วย
“พี่เพ่ยใช่มั้ยคะ
หมิงมาช่วยค่ะ” เธอว่าพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางดูน่ารักไปหมด
สองขาเรียวก้าวเข้ามาหาก่อนจะถามอีกครั้ง “ไปแต่งตัวก่อนนะคะ
เดี๋ยวหมิงเอาชุดออกมาให้”
“ค…ค่ะ”
เพราะว่าน้องหมิงดูน่ารัก
แถมมารยาทดี ฉันจึงไม่กล้าแผลงฤทธิ์ใส่แบบที่แอบคิดไว้ตอนแรก
มองตามหลังร่างบางที่หมุนตัวเดินไปหยิบชุดจากตู้เสื้อผ้าพลางใช้ความคิดไปด้วย
ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเธอมากทั้งที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีว่ารู้จักฉันมาก่อน
“นี่ค่ะ
ถ้าพี่เพ่ยจัดการไม่ได้ตรงไหนเรียกหมิงได้นะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันว่าแล้วรับชุดสีแดงมาถือไว้ คนตรงหน้ายังคงรอยยิ้มเหมือนเดิมก่อนที่ฉันจะเดินเลี่ยงไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ
ใช้เวลาไม่นานนักฉันก็แบกร่างตัวเองในชุดเจ้าสาวออกมา
ชุดสีแดงสดปักลายอ่อนช้อยด้วยด้ายสีเหลืองทองหนักไม่ใช่เล่น แถมยังใส่ยากซะจนต้องให้น้องหมิงช่วย
คนตัวเล็กจัดแจงแต่งตัวให้ฉันอย่างคล่องแคล่วภายในเวลาไม่กี่นาที
“โห้
ตาพี่เพ่ยสวยจังเลยค่ะ” น้องหมิงเอ่ยชมหลังจากที่จับให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนตัวเองก็นั่งตรงข้าม
ผมถูกรวบเกล้าไว้บนหัวเพื่อที่จะแต่งหน้าได้สะดวก
“พี่ตาเหมือนแอนน์น่ะค่ะ”
พอเห็นว่าอีกคนชะงักไปพร้อมกับมองตาปริบๆเหมือนสงสัย ฉันจึงรีบอธิบาย “หมายถึงแม่ค่ะ
พี่ติดปากเรียกแบบนั้น”
“อ่อ คุณน้าคนสวยที่คุยกับอาเจียอยู่ข้างล่าง”
เธอว่าแล้วก็พยักหน้ารับหงึกหงึก รอยยิ้มน่ารักหลุดออกมาอีกหน
“เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนใช่มั้ยคะน้องหมิง
แต่ทำไมพี่คุ้นหน้าหนูมากๆก็ไม่รู้”
ฉันตัดสินใจถามออกไปจนคนที่กำลังก้มหน้าค้นกระเป๋าเครื่องสำอางเงยหน้าขึ้นสบตา
น้องหมิงเอียงคอมองฉันเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เธองุ้มริมฝีปากลงเหมือนครุ่นคิดแล้วบอก
และนั่นทำให้ฉันรู้ว่างานแต่งครั้งนี้คงจะถูกเตรียมมานานแล้ว
“หมิงเคยเพิ่งเห็นพี่เพ่ยผ่านรูปเมื่อวันก่อนเองค่ะ
อาเจียบอกว่าพี่เพ่ยเป็นเจ้าสาวของเฮียดื้อ”
“เฮียดื้อ?”
แต่ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยปากถามถึงเฮียดื้อที่น้องหมิงว่า
ประตูห้องกลับถูกเคาะเป็นจังหวะสองสามครั้ง คนที่อยู่ข้างนอกไม่รอฟังคำอนุญาต แต่กลับถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา
แถมยังส่งเสียงเรียกอีกคนเสียงดังจนน้องหมิงเอ็ดแทบไม่ทัน
“หมิงทำอะไรอยู่
เรารอนานแล้วนะ!”
“อย่าเสียมารยาทสิจองกุก”
ชื่อที่หลุดมาจากปากน้องหมิงทำให้ต้องเลิกคิ้วพร้อมกับหันไปทางประตู
ร่างสูงอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท เรือนผมสีเข้มสนิทถูกเช็ทขึ้นอย่างเรียบร้อย ดวงตาคมกริบเลื่อนมองมาทางฉันเมื่อน้องหมิงบุ้ยปากมา
ทันทีที่สบตากับผู้ชายตัวสูงคนนั้น ฉันก็เผลอตัวหลุดชื่อเขาออกมาเสียงดัง
“เจย์เดน!”
“ยัยเพ่ย!”
ไม่คิดมาก่อนว่าฉันจะได้กลับมาเจอกับรุ่นน้องสมัยม.ปลายที่นี่
แถมยังรู้บางเรื่องของฉันอีกต่างหาก
อีกฝ่ายก็คงจะตกใจไม่ต่างกันถึงได้มองฉันอย่างตื่นๆ
ไหนจะเรียกกันอย่างไม่มีสัมมาคาระวะแบบนั้นอีก
“เรียกเราดีๆไม่ได้หรือไง
เราพี่นายนะเจย์เดน” อดจะต่อว่าอย่างฮึดฮัดไม่ได้ จองกุกคงจะไม่เคยเห็นว่าฉันเป็นพี่หรือแก่กว่าเลยสินะ
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขาก็ยังคงเรียกฉันเหมือนอย่างวันแรกที่รู้จักกัน ไม่สิ
วันแรกที่ฉันทำความแตกต่างหาก
พอเห็นหน้าจองกุก
ฉันก็นึกได้ในทันทีว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าน้องหมิงนักหนา
“อ๋อ ที่โม้เรื่องน้องหมิงไว้ทำได้จริงแล้วสินะ…อื้อ!”
พูดยังไม่ทันจบ
จองกุกก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมกับใช้มือปิดปากฉันไว้แน่น
เขาไม่ออมแรงฉันนิดจนแทบหงายหลัง ดวงตากลมโตเหมือนกระต่ายมองเขม็งคล้ายกับข่มขู่ห้ามไม่ให้พูดเรื่องนั้นออกมา
“ไปจับพี่เพ่ยแบบนั้นทำไม
ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะจองกุก” ถึงจะดูตกใจ น้องหมิงก็รีบห้ามทั้งยังช่วยดึงจองกุกให้ออกห่าง
มือบางตีคนตัวโตกว่าหลายทีจนกระทั่งเขายอมผละออกไป แต่ก็ยังไม่วายหันมาทำท่าจิกกัดฉันผ่านสายตาจนถูกน้องหมิงหยิกเข้าตรงเอวจนร้องลั่น
“นั่น ยังจะมองพี่เพ่ยแบบนั้นอีก”
“โอ๊ย! เจ็บนะหมิง จี๊ดๆเลยเนี่ย”
ฉันเผลออ้าปากค้างตอนที่เห็นจองกุกแทนตัวเองอย่างนั้น
ท่าทางเป็นคนละคนกับเจย์เดนที่ฉันเคยรู้จักเลย แต่ก็อย่างว่าแหละเพราะรู้จักจองกุกมานานถึงได้รู้ว่าเขาน่ะชอบน้องหมิงหมิงมากแค่ไหน
ฉันเคยได้ยินแต่ที่จองกุกโม้เอาไว้ พอได้มาเจอจริงๆก็ได้รู้ว่าเขาไม่ได้คุยเกินจริง
แค่ไม่กี่นาทีที่เจอน้องหมิง ฉันก็สัมผัสได้ถึงความน่ารักเต็มไปหมด
“มองไรอ่ะเพ่ย”
ฉันอยู่เฉยๆยังถูกจองกุกพาลใส่ เขาหันมาถามเสียงห้วนทั้งยังคว้าน้องหมิงเข้าไปโอบไหล่
“ไม่ต้องมองหมิงด้วย ปิดตาไปเลย”
“พูดจาไม่น่ารัก
พี่เพ่ยโตกว่าจองกุกนะ”
…ดูสิ ขนาดดุจองกุกอยู่ยังใช้คำพูดคำจาไพเราะเลย นุ่มนิ่มไปหมดเด็กคนนี้
“ไม่สนใจ
ก็เราหวง” ดูท่าจองกุกจะสวมบทเป็นเด็กงอแงเต็มตัว
เขาว่าอย่างกระเง้ากระงอดพร้อมกับโน้มลงไปฟัดแก้มน้องหมิงเสียงดังฟอดก่อนจะหันมาแนะนำฉันให้คนที่รีบก้มหน้างุดเพื่อซ่อนแก้มแดงๆเอาไว้ด้วยท่าทีปกติ
“หมิง นี่เพ่ยอิง เป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนที่เดียวกันกับเรา”
“ความจริงก็ไม่อยากรู้จักหรอกค่ะ”
ฉันไหวไหล่เมื่อเห็นว่าจองกุกจิ๊ปากเมื่อฉันตอบกลับไป ฉันเลิกให้ความสนใจกับรุ่นน้องที่รู้จัก
หันไปทางน้องหมิงแล้วบอก “ไม่ต้องอายก็ได้ เมื่อก่อนพี่เห็นเจย์เดนทำแบบนี้กับสาวๆบ่อย”
“เดี๋ยวเหอะเพ่ย
ไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”
ฉันหลุดยิ้มตอนที่แกล้งแหย่จองกุกได้สำเร็จ
น้องหมิงเองก็เงยหน้าขึ้นมาเมื่อฉันว่าแบบนั้น
ส่วนจองกุกก็รีบแก้ตัวยกใหญ่จนสุดท้ายก็ต้องช่วยแก้ความเข้าใจผิดให้
“พี่ล้อเล่นนะคะ
เจย์เดนไม่มองใครเลยนอกจากน้องหมิง” ฉันว่ายิ้มๆ
แต่สุดท้ายก็แกล้งแหย่อย่างอดไม่ได้ “แล้วที่พี่บอกว่าคุ้นหน้าน้องหมิงก็เพราะตอนเรียนพี่ได้ยินเรื่องน้องหมิงจากปากเจย์เดนทุกวันเลยล่ะ
ถ้าเบื่อเจย์เดนก็มาซบอกพี่เพ่ยได้นะคะ พี่ชอบคนน่ารักๆแบบหนู”
“อย่ามาเคลมเมียผมนะเพ่ย!”
“หยุดเลยจองกุก
ออกไปรอข้างนอกได้แล้ว เดี๋ยวเราแต่งหน้าพี่เพ่ยไม่ทัน” น้องหมิงปรามพลางดันจองกุกออก
พอเขาทำท่าจะค้านก็บอกด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
นิ้วเรียวชี้หน้าอย่างเอาจริงจนอีกคนต้องยกมือยอมแพ้ “เราบอกให้ออกไป”
ถึงจะฮึดฮัดไปบ้าง
แต่จองกุกก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน
เขาพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะโน้มลงมากระซิบข้างๆหูพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ยินดีด้วยที่ได้เป็นฝั่งเป็นฝา”
คำอวยพรที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับจากจองกุกดังขึ้นเบาๆ ฉันนึกสงสัยว่าคนอย่างเขาจะพูดจาดีๆกับฉัน
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าอีหรอบเดิม เจย์เดนคนร้ายกาจยังคงไม่เคยหายไปไหน “แต่ผัวมาเฟียดุนะ
เพ่ยไหวเหรอ”
…เด็กเวร
ฉันพยายามจะสูดลมหายใจเข้าให้ลึกที่สุด
ไม่รู้ว่าทำไมเวลาถึงผ่านไปอย่างรวดเร็วได้มากขนาดนี้
รู้สึกว่าเพียงกะพริบตาไม่กี่ที ฉันก็พร้อมในชุดเจ้าสาวสีแดงสด
ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าสีเดียวกับชุดและขลิบด้วยลายปักสีทองพร้อมห้อยพู่ทั้งผืน
ทุกอย่างถูกจัดแจงและดำเนินไปอย่างเรียบร้อยราวกับจัดเตรียมพิธีการไว้พร้อมเป็นอย่างดี
ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องพิธีแต่งงานแบบจีนมากนัก แค่ทำตามที่คุณอาเจียแม่ของเจ้าบ่าวคอยกระซิบบอก
เธอดูใจดีพอๆกับหน้าตาที่ยังสะสวยแม้อายุจะล่วงเลยไปที่หลักสี่แล้วก็ตาม แต่ว่าช่างแตกต่างกับเจ้าบ่าวของฉันลิบลับ…
ผู้ชายผิวสีน้ำผึ้งและเป็นเจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอยู่ข้างกายชื่อวี
และแน่นอนว่าเขาคนนี้คือเจ้าบ่าวที่ฉันไม่รู้จัก
เจ้าบ่าวในชุดสีแดงปักลายมังกรคงใบหน้านิ่งเฉยตลอดการเริ่มพิธี
รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยของเขาดูจืดชืดสิ้นดี ไร้ความยินดียินร้ายใดๆทั้งนั้น
และนั่นทำให้ฉันรู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เป็นความต้องการของฉันหรือว่าเขา
เราสองคนต่างถูกบังคับเหมือนกัน
สัมผัสแรกของเขาเป็นตอนที่มือหนาบรรจงสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้ายให้ฉัน
เราสบตากันวูบหนึ่งก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายสวมแหวนให้เขาบ้าง ถึงจะเพียงแค่วินาทีเดียว
แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆดูเข้าถึงยากอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาสีเข้มดูว่างเปล่าและเย็นชา
แววตาที่ทอดมองมาราวกับประกาศบอกว่าอย่าคิดจะเข้าไปพัวพันกับเขาแม้ว่าต่อจากนี้อีกไม่กี่นาทีเราสองคนจะกลายเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ตาม
พิธีดำเนินไปเรื่อยๆ
ผ่านพิธีกินขนมอี้ (บัวลอย) และพิธียกน้ำชา ก่อนจะเป็นกล่าวให้คำอวยพรแก่บ่าวสาวจากทั้งฝ่ายพ่อแม่ของทั้งคู่
เวลาผ่านไปจนกระทั่งตอนที่ฉันไม่อยากให้มาถึงมากที่สุด
ฉันและเจ้าบ่าวถูกพาขึ้นมาบนห้องชั้นสองของบ้าน
เมื่อประตูบานหนาถูกเปิดออกก็มองเห็นเตียงคิงไซส์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง
เสาสี่ต้นถูกผูกด้วยผ้าแพรสีแดง
ผ้าปูสีนอนที่ถูกโรยด้วยกลีบดอกกุหลาบจนกลายเป็นรูปหัวใจ
ฉันแทบไม่อยากจะขยับเท้าเข้าไปในห้องหอที่เห็นตรงหน้า
เราใช้เวลาอีกหลายนาทีเพื่อฟังคำสั่งสอนจากพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย
มือที่ถูกดึงไปวางบนมือหนาของเจ้าบ่าวรีบดึงกลับมาวางบนหน้าตักเมื่อเสียงประตูห้องนอนที่ปิดจนสนิทดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าของทั้งสี่คนที่ค่อยๆหายไป
และนั่นแหละ เข้าสู่บรรยากาศเดดแอร์ของจริง
ฉันเหลือบมองเจ้าบ่าวของตัวเอง
เห็นว่าเขายังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่คิดที่จะพูดอะไรกับฉันสักคำ
ส่วนฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนายังไง
เรียกว่าไม่รู้จะต้องหาเรื่องคุยกับเขามั้ยดีกว่า จากที่ลองเลียบๆเคียงๆถามมาจากน้องหมิงก็พบว่าเจ้าบ่าวของฉันเป็นมาเฟีย
ถึงน้องหมิงจะบอกว่าเขาใจดีก็เถอะ ให้ตีลังกามองก็ไม่พบความเป็นมิตรเลยสักนิด
ไหนจะถูกจองกุกปั่นหัวมาอีก
…ดุที่ว่านั่นใช่นิสัยใช่มั้ยนะ
“น้องเพ่ย”
เสียงทุ้มดังมาจากริมฝีปากหยักลึก ฉันที่เอาแต่จมอยู่กับความคิดตัวเองถึงได้สะดุ้งโหยง
รีบหันไปตอบรับ แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงถึงได้ตะกุกตะกักแบบนั้น
“ค…คะ?”
“ให้เฮียเปิดผ้าคลุมให้มั้ย”
ถึงรูปประโยคจะดูมีน้ำใจ แต่น้ำเสียงของเขากลับราบเรียบ เหมือนกับถามไปตามหน้าที่เท่านั้น
สรรพนามที่เขาใช้แทนตัวเองและเรียกฉันก็เช่นกัน
ตอกย้ำให้รู้ว่าเราสองคนไม่ต่างจากคนแปลกหน้าของกันเลยจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ
เราทำเองได้” ฉันปฏิเสธพลางแตะมือลงที่ปลายผ้าคลุมก่อนจะเลิกมันขึ้นด้วยตัวเอง
แม้จะรู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วเจ้าบ่าวต้องเป็นคนเลิกผ้าคลุมให้ แต่ก็อย่างว่า
ทั้งฉันและเขาไม่ได้เต็มใจแต่งงานกัน จะแหกขนบธรรมเนียมก็คงไม่เป็นอะไร
ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปอยผมที่หลุดออกมาปรกหน้าผากไปทัดไว้หลังใบหู
ก่อนจะเลื่อนสายตามองหน้าเจ้าบ่าวให้เต็มตาครั้งแรก ยิ่งเห็นใบหน้าคมคายชัดเจน
ก็รู้ว่าเฮียวีหล่อเหลามากขนาดไหน
ทุกอย่างบนใบหน้าดูลงตัวและเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ไล่ตั้งแต่คิ้วเข้ม
จมูกที่โด่งเป็นสันและตอนปลายที่แต้มด้วยจุดสีน้ำตาลเล็กๆ ดวงตาสีเข้มที่แตกต่างกัน
ข้างหนึ่งที่คมกริบจากตาสองชั้น ส่วนอีกข้างดูเรียวเฉี่ยวด้วยตาชั้นเดียว แต่ว่าไม่ได้ทำให้เขาดูด้อยลงไปสักนิด
รวมไปถึงริมฝีปากหยักลึกที่หนาตามแบบฉบับผู้ชาย
เผลอตัวกวาดสายตามองสำรวจอีกฝ่ายอย่างเสียมารยาท
กระทั่งเสียงทุ้มของเฮียวีดังขึ้น คราวแรกฉันนึกว่าตัวเองฟังผิด
แต่พอเห็นนัยน์ตาจริงจังของเจ้าของประโยคถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง
“เฮียขอนอนแยกห้องนะ”
“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับอย่างว่าง่าย แน่นอนว่าฉันไม่ยอมปล่อยโอกาสดีๆหลุดมือไปหรอก
อย่างที่บอกว่าฉันและเขาไม่ใช่คู่แต่งงานที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตัวเฉกเช่นสามีภรรยาทั่วไป
อีกอย่างนั่นก็เป็นการเซฟตัวเองอีกทางหนึ่ง เพราะลึกๆแล้วฉันก็หวังว่าสักวันจะได้รับอิสรภาพ
การผูกมัดที่เรียกว่าการแต่งงานจะหายไป เป็นผู้หญิงยังไงก็ต้องอยากแต่งงานกับผู้ชายที่รักอยู่แล้ว
เราพูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ แต่เรื่องที่ถูกกำชับนักหนาก็เป็นเรื่องที่ห้ามให้ใครรู้ว่าเราสองคนแยกกันนอน
ก่อนที่ฉันจะแยกตัวไปที่ห้องนอนอีกห้องที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอนของเฮียวี
จัดการปิดประตูและลงกลอนให้เรียบร้อยแล้วระบายลมหายใจเฮือกใหญ่
ความเงียบงันในห้องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเล็กกว่าห้องเจ้าบ่าวทำให้น้ำตาที่กลั้นมาตลอดทั้งวันคลอหน่วย
รีบกะพริบตาปริบๆไล่มวลน้ำสีใสออกไปให้หมด ถึงจะพยายามบอกตัวเองว่าไม่เป็นอะไร
แต่ความจริงแล้วฉันรู้สึกเคว้งคว้างไม่ต่างจากครั้งแรกที่ต้องห่างจากพ่อและแม่
จำได้ว่าตอนนั้นฉันแอบร้องไห้อยู่คนเดียวเป็นเดือนๆ และครั้งนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่หนักหนากว่าเดิมนิดหน่อย
หลังจากสูดหายใจเข้าก็ไล่เปิดไฟในห้องและสำรวจห้องนอนใหม่เงียบๆ
ห้องดูเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีเจ้าของมาก่อน
เหลือบมองกระเป่าเดินทางสองใบที่จำได้ว่าเป็นของตัวเองที่วางอยู่ข้างประตู
ก่อนตัดสินใจแกะผมและถอดชุดแต่งงานออกแล้วจะจัดการเก็บของให้เข้าที่
ปิ่นปักผมและต่างหูเข้าชุดถูกถอดและวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้งหลังจากที่จัดการล้างเครื่องสำอางจนหมดแล้ว
ฉันย้ายมือลงมาแกะชุดที่น้องหมิงช่วยใส่ แต่ไม่ว่าจะพยายามรูดซิปมากแค่ไหนก็ทำไมได้
ฉันเอื้อมมือไปด้านหลังและกำซิปไว้แน่นก่อนจะดึงลงสุดแรง แต่กลับกลายเป็นว่าได้แผลเลือดซิบตรงปลายนิ้วกลับมาแทน
ฉันจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
ความร้อนและความรู้สึกเหนียวตัวทำให้อยากอาบน้ำเต็มแก่ แต่อะไรก็ไม่เอื้ออำนวย
ค่อยๆหันไปมองบานประตูที่คั่นระหว่างห้องตัวเองกับเฮียวีก่อนจะตัดสินใจขอให้อีกฝ่ายช่วย
เคาะประตูสองสามครั้งพอเป็นมารยาทก่อนจะถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป
ริมฝีปากเผลออ้าค้างเมื่อพบว่าเจ้าของห้องเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ
มีเพียงผ้าขนหนูสีเทาเข้มผูกลวกๆตรงเอวสอบ
เรือนผมสีเข้มหมาดน้ำถูกขยี้ด้วยผ้าอีกผืน
และฉันก็ดันเสียมารยาทด้วยการเลื่อนมองหน้าท้องลีนๆที่มีหยดน้ำเกาะพราวของคนตัวสูง
แต่พอได้ยินเสียงกระแอมเหมือนดุก็รีบเลื่อนสายตาขึ้นมองใบหน้าคมคายทันที
“มีอะไรหรือเปล่า”
เฮียวีถามเสียงเรียบ เขาปรายตามองฉันทั้งตัวครั้งหนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาที่เดิม
แววตาที่มองมาคล้ายกับเร่งเร้าให้ฉันรีบตอบและพาตัวเองไสหัวไปให้พ้นจากพื้นที่ของเขา
สาบานว่าฉันไม่ได้คิดไปเอง อ่านจากความดุดันจากนัยน์ตาสีเข้มทั้งนั้น
“เอ่อ คุณคะ” ฉันเริ่มต้นประโยคอย่างกระอักกระอ่วน เม้มริมฝีปากหนหนึ่งแล้วเอ่ยขอความช่วยเหลือที่ตั้งใจขอตั้งแต่แรก
“ช่วยรูดซิปลงให้เราหน่อยได้มั้ยคะ”
ความเงียบเป็นรีแอคชั่นที่ได้รับมาจากคนตัวสูง เขานิ่งซะจนฉันหวั่นใจ
หวังว่าเขาจะไม่คิดรำคาญจนหาอะไรมาฟาดหัวฉันเพื่อให้เรื่องวุ่นวายนี่จบลงหรอกนะ
“ซิป?”
คำถามสั้นๆถูกย้อนกลับมาหลังจากที่เฮียวีเงียบไปเกือบนาที
ส่วนฉันก็รีบพยักหน้ารับพร้อมกับอธิบาย
พยายามเอื้อมมือไปข้างหลังเพื่อบอกให้รู้ว่าฉันทุลักทุเลแค่ไหนกับการถอดชุดแต่งงานนี่
“ค่ะ
เรารูดลงเองไม่ได้ มันติดอะไรก็ไม่รู้”
“หันหลังสิ”
คำสั่งสั้นๆถูกบอกมาอีกครั้งพร้อมกับฉันที่หมุนอย่างไม่ขัดขืน
ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่อยากให้ฉันรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ฉันเองก็แทบอยากจะออกไปจากตรงนี้ใจจะขาด
ไม่รู้ว่าระยะห่างระหว่างฉันกับเฮียวีมันมากน้อยแค่ไหน
แต่ลมหายใจอุ่นๆที่ปัดเป่าบริเวณลำคอสร้างความรู้สึกบางอย่างจนขนลุกเกรียว ลมหายใจถูกกลั้นอย่างอัตโนมัติเมื่อฝ่ามือหนาข้างหนึ่งทาบลงบนแผ่นหลัง
ความอุ่นร้อนจากอุ้งมือของเฮียวีซึมผ่านเนื้อผ้าจนรับรู้ได้
ปลายนิ้วเรียวแตะลงอย่างผิวเผินตรงผิวเนื้อเหนือซิป สัมผัสเล็กน้อยแบบนั้นทำให้ยิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า
กึก!
ฉันยืดตัวตรงเมื่อเฮียวีออกแรงดึงซิป
ดูท่ามันคงจะกินเนื้อผ้าข้างๆไปจึงทำให้รูดลงมาไม่ได้
แรงมือที่ทาบทับบนแผ่นหลังกลายเป็นฝ่ามือที่เลื่อนลงมาจับตรงเอวไว้ก่อนที่เขาจะออกแรงอีกหนเพื่อรูดซิปเจ้าปัญหาลง
วูบแรกที่ผิวกายปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ขนอ่อนลุกชันขึ้นง่ายดาย แต่ว่านั่นก็ไม่เท่ากับสัมผัสจากข้อนิ้วเรียวที่แตะลงกลางแผ่นหลังและเฉียดตะขอชั้นในไปแค่นิดเดียว
วินาทีนั้นฉันเลือกที่จะสะบัดตัวออกแล้วเบี่ยงตัวหันกลับมาเผชิญหน้ากับเฮียวีแทน
เห็นความตื่นตกใจในแววตาของเขาครู่เดียวก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันเลือกที่จะกล่าวคำขอบคุณสั้นๆ เหลือบสบสายตากับดวงตาคมกริบครู่เดียวแล้วขอตัวกลับห้อง
“งั้นเราขอตัวก่อนนะคะ”
ไม่ได้รอฟังคำตอบจากปากอีกคน
ฉันรีบก้าวเท้าพรวดๆเพื่อให้ถึงประตูที่เชื่อมห้องนอนของตัวเองกับเขาให้เร็วที่สุด
ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกยาวตอนที่แตะมือลงกับลูกบิด ฉันใกล้จะจบค่ำคืนน่าอึดอัดใจนี่ลงไปได้แล้ว…
โอเค ฉันคิดผิดมหันต์เมื่อไม่สามารถหมุนลูกบิดเพื่อเปิดประตูได้ เผลอจิ๊ปากเพราะความหงุดหงิดใจก่อนลองหมุนลูกบิดดูอีกหน
แต่ผลก็ยังออกมาเป็นแบบเดิม ต้องสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนตัวกลับไปหาเจ้าของห้องที่ยังคงมองฉันอย่างไม่คลาดสายตา
คิ้วเข้มที่ขมวดชนกันเต็มไปด้วยคำถามก่อนที่ฉันจะบอกต่อ
“คุณคะ
คือว่าประตูเปิดไม่ออกค่ะ”
รีแอคชั่นของเฮียวีคือการเลิกคิ้วขึ้นนิดๆแล้วขยับเคลื่อนตัวเข้ามาหา
ฉันเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเพื่อให้เขาลองเปิดประตูดูบ้าง พอการหมุนลูกบิดไม่ได้ผล
ร่างกำยำก็ขยับหันข้างแล้วใช้ตัวกระแทกประตูเพื่อให้มันเปิดออก
ดูความทุ่มเทของเขาสิ
ไม่อยากให้ฉันอยู่ในห้องเดียวกันมากขนาดไหนกันนะ แต่ก็นั่นแหละ
เป็นอีกครั้งที่ฉันคิดผิด เมื่อคนตัวโตหยุดการกระทำทุกอย่างลงแล้วหันกลับมา นัยน์ตาสีเข้มมองฉันวูบหนึ่งแล้วบอกด้วยน้ำเสียงและรูปประโยคที่เป็นรูปแบบของคำสั่ง
“คืนนี้น้องคงต้องนอนกับเฮียแล้วล่ะ”
จำเป็นต้องหอบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนเข้ามาจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าต้องโชคร้ายขนาดไหนถึงมีแต่เรื่องประดังประเดเข้ามาวันนี้
เจ้าของห้องรับปากว่าจะให้คนมาซ่อมประตูให้ฉันพรุ่งนี้
ส่วนคืนนี้ฉันต้องนอนค้างที่ห้องกับเขาไปก่อน
จะออกไปจากห้องก็ไม่ได้เมื่อถูกกำชับว่าคืนนี้บ่าวสาวต้องอยู่ในห้องจนถึงเช้า
พยายามใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำให้มากที่สุด
ฉันไม่ค่อยพร้อมหากต้องเผชิญหน้ากับเฮียวีตรงๆ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้เผยความน่ากลัวตามวิสัยมาเฟียออกมา
แต่ใช่ว่านิสัยพวกนนั้นจะไม่ได้อยู่ในตัวเขา อย่างน้อยก็ความเย็นชากับการชอบออกคำสั่งที่ฉันมองเห็น
และเชื่อหรือเปล่า
เฮียวีดูไม่เข้าใจผู้หญิงสักเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้าที่ฉันจะเข้ามาอาบน้ำ
เราก็ถกเถียงเรื่องชุดชั้นในไปกันครั้งหนึ่ง
“ไม่ใส่สักคืนไม่เป็นไรหรอก”
เขาบ้าหรือเปล่าที่พูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉย
คนอื่นอาจจะบอกว่าอึดอัดหากต้องใส่ชั้นในตอนนอน แต่ไม่ใช่กับฉันแน่
ยิ่งต้องมานอนร่วมเตียงกับผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักก็ยิ่งต้องใส่
ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นสามี แต่ฉันเปล่ามีความรู้สึกอะไรกับเขานี่ และโชคดีสุดๆเมื่อเฮียวีพบมุมใหม่ในตู้เสื้อผ้าตัวเอง
เขาคาดว่าเป็นคุณอาเจียที่แอบมาจัดมุมเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงให้ฉัน
ก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดนอนสีชมพูอ่อนที่ไม่ใช่ตัวฉันสักนิด
แต่เอาเถอะ ก็ยังดีกว่าไม่มีให้ใส่
ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกวางแหมะไว้บนหัวพร้อมกับออกแรงขยี้ให้มันซับน้ำออกจากเรือนผมไปด้วย
กวาดสายตามองไปทั่วห้องอีกครั้งเพื่อมองหาเจ้าของห้อง
เฮียวีนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้บุหนังสีแดงเลือดนกตรงโซนโต๊ะทำงานของเขา
ท่วงท่าที่เขาจดจ่อกับตัวอักษรในกรอบสายตาและท่านั่งไขว่ห้างนั่นฉันไม่ปฏิเสธสักนิดเลยว่าดูดีเอามากๆ
แต่ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องชื่นชม ตัดสินใจตีหน้าตายก่อนจะเคลื่อนตัวไปทางโซฟาที่วางไว้ติดกับปลายเตียงแล้วทรุดตัวนั่งลงเงียบๆ
ฉันไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา
เพียงแต่ซับผมให้หมาดน้ำไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมไปทั่วทั้งห้องโดยที่ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที
จนกระทั่งเสียงนุ่มทุ้มของเฮียวีดังขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งสังเกตเห็นฉันที่นั่งจุ่มปุกอยู่ตรงนี้
“อ้าว
น้องออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็สักห้านาทีก่อนมั้งคะ”
ฉันหันไปตอบพร้อมกับรอยยิ้มจางๆเพื่อไม่ให้ดูแข็งกระด้างมากเกินไป เห็นว่าคนตัวโตพยักหน้ารับกับคำตอบของฉันก่อนที่จะก้มลงอ่านหนังสือในมือต่อ
ส่วนฉันก็เม้มริมฝีปากลงทีหนึ่งอย่างชั่งใจก่อนจะค่อยๆขยับปากเรียกอีกคน “เอ่อ
เฮียคะ”
“หืม?”
ได้รับความสนใจจากเฮียวีด้วยคำพูดสั้นๆและการเงยหน้าขึ้นมา
ฉันโคลงศีรษะครั้งหนึ่งเป็นเชิงเรียกความมั่นใจก่อนจะบอกออกไปตรงๆ
“เฮียไม่ต้องเรียกเราว่าน้องก็ได้นะคะ
แค่เพ่ยเฉยๆก็พอ”
“ไม่อยากให้เรียกเหรอ”
นั่นเป็นคำถามที่หลุดจากปากเฮียวีหลังจากที่เขาวางหนังสือในมือลง ตอนแรกฉันคิดว่าเขาจะไม่มีปฏิกิริยาด้วยซ้ำ
คิ้วเข้มขมวดชนกันเป็นครั้งที่สองของคืนนี้ก่อนที่เขาจะถามซ้ำอีกครั้งด้วยโทนเสียงดุดันเล็กน้อย
“ไม่ชอบให้เฮียเรียกหรือว่าอะไร”
“คะ?
ก็เปล่าค่ะ” ฉันปฏิเสธพลางส่ายหน้า ลอบผ่อนลมหายใจลงแล้วค่อยๆอธิบายเหตุผล “เราแค่คิดว่าเฮียอาจจะไม่อยากเรียกเราว่าน้องแบบที่คุณอาเจียเรียก
ให้เรียกเราว่าเพ่ยเฮียอาจจะสะดวกใจมากกว่า”
ยอมรับว่าครั้งแรกที่ได้ยินเฮียวีเรียกแทนฉันว่าน้องก็ตกใจไม่เบา
ความสัมพันธ์ของฉันและเขาเกิดจากการคลุมถุงชน ซึ่งเขาอาจจะรู้สึกต่อต้านฉันก็ไม่ผิด
การที่ฉันไม่เข้าไปยุ่มย่ามหรือวางตัวเป็นคนสำคัญของเขาคงจะทำให้เฮียวีรู้สึกสะดวกใจมากกว่า
เพราะไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่อยากถูกเขาจับตามองในบ้านหลังนี้…
“ม๊า”
ฉันสะดุ้งเมื่อเฮียวีเอ่ยเสียงเรียบ
ดวงตาที่ติดจะดุดันมองสบเข้ามาก่อนจะขยายความด้วยประโยคที่ยาวขึ้นมาอีกนิด “ไม่ใช่คุณอาเจีย”
“ค่ะ
เราเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงที่ปะปนด้วยความไม่ชอบใจทำให้ต้องยอมตกปากรับคำง่ายๆ
ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มทุ้มจะเรียกร้องความสนใจด้วยประโยคถัดมา
“แล้วก็เฮียพอใจจะเรียกน้องว่าน้อง”
นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องฉันทุกคำพูด
และไม่รู้ว่าอุปทานไปเองหรือว่าอย่างไรถึงได้เห็นยิ้มเล็กๆตรงมุมปากของเฮียวี
เสียงทุ้มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะบอกต่อด้วยประโยคทีเล่นทีจริงที่ฉันคิดว่าเฮียวีคงจะเอาจริงล้วนๆ
“ส่วนเพ่ย เอาไว้เรียกตอนที่เฮียดุน้องดีกว่า”
เอาล่ะ
ผู้ชายคนนี้น่ากลัว!!!
ท่าทีที่ดูเรียบนิ่ง
แต่กลับแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์และเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวทำให้ฉันคงวางใจเกี่ยวกับเขาไม่ได้ง่ายๆ
ดูเหมือนเขาพร้อมจะไล่ต้อนฉันทุกทางหากรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะแบบนั้นขอหมายหัวไว้ก่อนแล้วกันว่าเฮียวีเป็นบุคคลอันตราย
“ส่วนตอนนี้ก็ขึ้นไปบนเตียงได้แล้ว”
“คะ?!”
“ตกใจอะไรกัน”
เฮียวีย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยการเหย้าแหย่ที่ฉันคิดว่าอันตราย
ร่างสูงที่ผุดลุกจากเก้าอื้และกำลังก้าวเท้าเข้ามาใกล้ๆ ยิ่งตอนที่เขาหยุดเท้าลงด้วยระยะห่างไม่เกินหนึ่งช่วงแขน
ฉันถึงได้รู้ว่าเฮียวีกำยำมากแค่ไหน เขาโคลงศีรษะเบาๆก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงอย่างหนึ่ง
“แล้วก็ไม่เห็นแปลก…”
ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงต้องเอนหลังหนีเฮียวี รู้แค่ว่าเขาไม่เหมือนใครที่ฉันเคยเจอ ดูอันตรายจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่อีกด้านก็กลับดูลึกลับและให้ความรู้สึกน่าค้นหา โดยเฉพาะดวงตาสองชั้นข้างหนึ่ง ชั้นเดียวข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์นั่น สบตากับเขาทีไรก็รู้สึกเหมือนโดนล้วงความลับอยู่ตลอดเวลา
“คนเป็นผัวเมียก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ”
หลัวมาเฟียที่ยังคีพคลูก็ยังแบบนี้แหละค่ะ
Let's talk with me
เฬาว์กลับมาแร้ว!!! หายหน้าไปนานมั่กๆ บางคนอาจจะคิดว่าเฬาว์เทไปแร้วแน่ๆ ความจีงก็คือเหน่ยค่ะ คิดอะไรไม่ค่อยออกเลยไม่อยากฝืนเขียน กลัวจะไม่สนุกเอา อิอิ แต่วันนี้มาต่อแล้วนะ!!! แหม คุณเฮียเขาก็ใจดียอมช่วยน้องเพ่ยรูดซิปด้วย แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดค่ะ ขอแยกห้องนอน แต่น้องดันกลับห้องไม่ได้ คิกค้ากกก เอาล่ะ คืนนี้ก็นอนด้วยกันไปก่องนะคะ แล้วหยั่กลองทำตัวเล็กๆร้องดังๆมั้ยอ่า??? คาแร็กเตอร์คุณเฮียเขาอาจจะดูผีเข้าผีออกไปบ้างนะคะช่วงต้นๆบอกก่อนเรย ส่วนน้องเพ่ยเป็นเด็กดื้อค่ะ ดื้อกับเฮียคนเดียวนั่นแหละ!!! รอดูตอนหน้าว่าเข้าหอวันแรกจะเป็นยังไง เขาจะทำอะไรมากกว่านอนหรือเปล่า อิอิ (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส) ปล.Happy Jungook’s Day ต้ะ นับเป็นปีแรกที่ไม่ได้เขียนSFวันเกิด ฮริ้งงงงง
01/09/2019
ความคิดเห็น